My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 452
หมิงซี่หยินเกาหัวของตัวเอง ตัวเขาจำสีหน้าอันเคร่งขรึมของหญิงชราคนนั้นได้ดี หมิงซี่หยินเชื่อว่าหญิงชราคนนั้นจะต้องเต็มใจแยกตัวออกมาจากชาวลัทธิขงจื๊อแน่ บางทีบางอย่างอาจจะมีอะไรที่ซับซ้อนไปกว่าที่เล้งลั่วพูด หมิงซี่หยินได้ถามออกมาด้วยความสงสัย “พวกเขาจะส่งต่อความรู้กันในหมู่ของชายหนุ่มเท่านั้นสินะ?”
เล้งลั่วก้าวไปข้างหน้าก่อนที่จะคารวะลู่โจว
ลู่โจวพยักหน้าตอบรับหมิงซี่หยิน
เล้งลั่วเหลือบมองไปที่หมิงซี่หยินก่อนที่จะอธิบายออกมา “ตั้งแต่สมัยโบราณ ราชวงศ์สมัยก่อนมักจะปกครองโลกด้วยความรู้ทางวิชาการและความแข็งแกร่งในการต่อสู้ การศึกษาถือว่าเป็นสิ่งที่ผูกขาดอย่างหนึ่ง ชาวเมืองทั่วไปสามารถฝึกฝนพลังทางด้านร่างกายได้เท่านั้น ถ้าหากมีใครโชคดีมากพอคนคนนั้นก็อาจจะฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้ แต่ถ้าหากมีใครต้องการฝึกตนให้เหนือไปกว่านั้น คนคนนั้นจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากเข้าร่วมสำนักต่างๆ เพื่อช่วยงานพร้อมกับฝึกฝนตนไปในตัว ความแข็งแกร่งในเรื่องของการต่อสู้เพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะกำหนดความรุ่งโรจน์หรือแม้แต่การล่มสลายของอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง และความรู้ที่จะได้รับการศึกษามีเพียงผู้ชายเท่านั้นที่สามารถศึกษาได้ ถ้าหากมีหญิงสาวคนไหนต้องการที่จะร่ำเรียนเป็นการส่วนตัว คนคนนั้นก็จะได้แต่แอบศึกษา ในสถานการณ์แบบนี้ผู้ชายจึงมักจะเป็นใหญ่และผู้หญิงมักจะต้องเป็นฝ่ายที่ทนทุกข์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปทั้งแนวคิดของลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋าต่างก็รุ่งเรืองขึ้นมา ผลสำเร็จจากการศึกษาได้ทำให้การเมืองและการทหารเจริญรุ่งโรจน์ตามไปด้วย”
คำพูดของเล้งลั่วคล้ายกับสิ่งที่ลู่โจวได้เรียนรู้มาจากความทรงจำ แม้ว่าตัวเขาจะไม่คาดหวังว่าโลกใบนี้จะมีวิธีการแบบเดียวกันกับสมัยโบราณของโลกใบเดิม แต่เมื่อเทียบกับโลกใบเดิมแล้วโลกใบนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดที่ผู้ชายถูกมองให้เหนือกว่าผู้หญิงจนเกินไป ในยุทธภพหลายสำนักต่างก็เคารพสาวกหญิงของตัวเอง
“ช่างน่ารังเกียจซะจริงๆ” หมิงซี่หยินสบถออกมา
“500 ปีที่แล้วซูยู่ชูศึกษาในเรื่องของพลังแผ่สวรรค์จนไปได้ไกลเกินขอบเขต…หลังจากที่นางแยกตัวออกมาจากชาวลัทธิขงจื๊อ นางก็ได้เก็บตัวจนไม่มีใครได้ล่วงรู้อีกว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่” จากน้ำเสียงที่เล้งลั่วพูด ดูเหมือนว่าตัวเขาจะชื่นชมยอดฝีมืออย่างซูยู่ชู
หมิงซี่หยินพูดต่อ “ถ้าหากนางมาที่นี่ พวกเราไว้ค่อยถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับนางก็ได้นิ?”
“นางจะมาที่นี่อย่างงั้นเหรอ?” เล้งลั่วดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“ถูกต้องแล้ว นางต้องการที่จะยืนหยัดอยู่ข้างเจ้าสำนักเฟิงชิงจนถึงที่สุด” หมิงซี่หยินตอบกลับมา
หากเป็นเช่นนี้ในอดีต เล้งลั่วก็คงจะกังวลแทนปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่ถ้าหากซูยู่ชูวางแผนที่จะต่อสู้ให้เจ้าสำนักเจินชางอย่างเฟิงชิงเช่นนี้ แต่เมื่อได้เห็นปรมาจารย์คนนี้ใช้พลังอวตารดอกบัวเก้ากลับออกมาต่อสู้ ซูยู่ชูจะไปต่อสู้กับปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ยังไงกัน? “นางคงประเมินความสามารถของตนสูงเกินไปแน่”
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพูดต่อ “ช่างเรื่องนี้ก่อนเถอะ แล้วทำไมเจ้าถึงมาที่นี่กันล่ะผู้อาวุโสเล้ง?”
เล้งลั่วโค้งคำนับก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะถามวิธีการฝึกฝนตนจากท่านปรมาจารย์”
“…”
ในที่สุดเวลาแบบนี้ก็มาถึง ลู่โจวเคยคิดเรื่องนี้มาเช่นกัน “เจ้าต้องการที่จะฝึกฝนตนไปให้ถึงขั้นที่เก้าอย่างงั้นสินะ?”
เล้งลั่วตอบกลับ “ในตอนนี้ข้าได้มาอยู่ที่หน้าประตูเรียบร้อยแล้ว ถ้าหากข้าไม่เปิดประตูนั่นออกมา มันคงจะเป็นความเสียใจที่ติดไปทั้งชีวิตของข้าแน่” ไม่มีเหตุผลเลยที่ผู้ฝึกยุทธพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบจะไม่พยายามฝึกฝนตัวเองต่อไป
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “ปัจจุบันมีวิธีในการฝึกฝนไปให้ถึงขั้นที่เก้าแค่ 2 วิธีเท่านั้น วิธีแรกก็คือการแยกดอกบัวทองคำก่อนที่จะเริ่มผลิกลีบขึ้นมาอีกครั้ง วิธีนี้เป็นวิธีที่มีโอกาสทำได้สูงที่สุดแล้ว”
เล้งลั่วมองไปที่ลู่โจว
หมิงซี่หยินมีสีหน้าที่ตกใจ ในตอนที่ตัวเขาออกไปหาข้อมูล ในตอนนั้นหมิงซี่หยินก็ได้ข่าวว่ามีผู้ฝึกยุทธหลายคนเอาชีวิตรอดจากการแยกดอกบัวทองคำมาได้ แต่อย่างไรก็ตามตัวเขากลับไม่เคยได้ยินว่าจะมีใครผลิกลีบดอกบัวออกมาอีกครั้งหลังจากที่แยกดอกบัวทองคำถ้าหากวิธีนี้เป็นไปได้จริง มันจะต้องนำพาวิธีการฝึกตนรูปแบบใหม่มาสู่ยุทธภพในอนาคตแน่ ทำไมผู้เป็นอาจารย์ของเขาถึงมั่นใจมากขนาดนี้กัน?
ลู่โจวพูดต่อไป “วิธีที่สองก็คือวิธีที่จะเลือกไม่สร้างดอกบัวทองคำในตอนที่ฝึกฝนตัวเองจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองวิธีต่างก็เป็นเส้นทางการฝึกฝนตนที่จะนำพาไปสู่อวตารดอกบัวเก้ากลีบ ผู้ที่ยังฝึกฝนตัวเองไปไม่ถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์สามารถเลือกหนึ่งในสองวิธีที่ว่าได้ แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์แล้ว คนคนนั้นก็คงจะเลือกได้แต่หนทางแรกได้เท่านั้น”
เล้งลั่วได้ถามออกมาด้วยความสงสัย “แล้วท่านเลือกหนทางแรกสินะ?” เล้งลั่วที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้แต่คิดสงสัย ปรมาจารย์คนนี้เลือกที่จะตัดดอกบัวทองคำก่อนที่จะผลิกลีบดอกบัวทั้งเก้าออกมาในเวลาอันสั้นได้ยังไงกัน?
“ข้าไม่ได้ใช้ทั้งสองวิธีนั่น” ลู่โจวพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา
เล้งลั่วและหมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นยิ่งงุนงง แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่กล้าพอที่จะถามต่อ
ลู่โจวพูดต่อ “เป็นเพราะพวกเจ้ามีดอกบัวทองคำอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจึงเลือกได้แต่วิธีการแรกเท่านั้น”
เล้งลั่วตกใจ ดูเหมือนว่าการแยกดอกบัวทองคำจะเป็นหนทางเดียวสำหรับตัวเขา แต่อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะอยู่รอดได้ มีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อหลังจากที่แยกดอกบัวทองคำไป เล้งลั่วโค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมาอย่างจริงจัง “ช่วยชี้แนะข้าด้วยเถอะท่านปรมาจารย์!”
ทุกสำนักมักจะมีกฎเฉพาะตัวเกี่ยวกับการฝึกสุดยอดวิชาเป็นของตัวเอง สิ่งที่เล้งลั่วกำลังทำอยู่ในตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม ยิ่งไปกว่านั้นนี้เป็นสุดยอดความลับของอวตารดอกบัวเก้ากลีบ พลังที่ทุกคนอยากจะได้มาครอบครอง เล้งลั่วเข้าใจความน่าอึดอัดใจนี้ดี ดังนั้นตัวเขาจึงระมัดระวังที่จะพูดเป็นพิเศษ เล้งลั่วได้พูดเสริมต่อ “ข้าไม่ได้ต้องการที่จะล่วงรู้ความลับการมีอำนาจของท่านทุกอย่าง ถ้าหากท่านปรมาจารย์ไม่เต็มใจที่จะเปิดเผย ข้าเองก็จะไม่พูดถึงมันอีกต่อไป”
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างใจเย็น “ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น วิธีการแยกดอกบัวทองคำเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น…ข้าเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้มันจะต้องมีวิธีที่สมบูรณ์แบบมากกว่านี้แน่”
เล้งลั่วและหมิงซี่หยินรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่ลู่โจวเพิ่งจะพูด
หมิงซี่หยินพูดต่อ “ถ้าหากไม่มีวิธีอะไรแล้วจริงๆ ข้าก็ควรที่จะตัดดอกบัวทองคำในทันทีสินะครับ? มันคงจะเสียเวลาน้อยกว่าถ้าหากตัดดอกบัวทองคำตอนนี้ ตอนที่ข้ายังฝึกฝนตัวเองจนยังไม่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ” การแยกดอกบัวทองคำออกมาในตอนที่ผู้ฝึกยุทธมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบก่อนที่จะผลิกลีบดอกบัวใหม่ทั้งหมดอีกครั้งไม่ได้แตกต่างอะไรกับการผลิกลีบดอกบัวทองคำตั้งแต่ต้นของผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวสี่กลีบ ไม่มีเหตุผลเลยที่ไม่ให้หมิงซี่หยินเริ่มแยกดอกบัวทองคำซะตั้งแต่ตอนนี้เลย
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นหันกลับมาส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับมา “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ ผู้ที่สามารถฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบได้จะสามารถควบคุมพื้นฐานในการฝึกตนได้ง่ายกว่า พวกเขาเองมีประสบการณ์ในการฝึกตนด้วยเช่นกัน มันจะต้องเป็นประโยชน์มากแต่ถ้าหากพวกเขาพยายามผลิกลีบดอกบัวขึ้นมาอีกครั้ง มันอาจจะเร็วกว่าถ้าหากเทียบกับคนอื่นๆ อันที่จริงยอดฝีมือทั้งหลายอาจจะได้รับประโยชน์อื่นๆ จากการผลิกลีบดอกบัวอีกครั้งก็ได้”
“ข้าได้เรียนรู้สิ่งใหม่จริงๆ” เล้งลั่วเองก็เพิ่งจะรู้เช่นกัน
“ติ้ง! ชี้แนะหมิงซี่หยิน ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 500”
ลู่โจวไม่ได้แปลกใจเลยเมื่อได้ยินการแจ้งเตือนนี้ ยังไงซะการสั่งสอนก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ตัวเขาเตรียมเอาไว้ในอนาคต ท้ายที่สุดแล้วความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตัวลู่โจวเองอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าได้กับผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวกลีบเดียวเท่านั้น ด้วยการถือกำเนิดขึ้นของการแยกดอกบัวทองคำเพื่อการฝึกฝน ในโลกยุทธภพจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงไปแน่ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของชนเผ่าอื่นที่กำลังจับจ้องมายังดินแดนแห่งนี้ เพื่อที่จะปกป้องตัวเองได้ศาลาปีศาจลอยฟ้าจึงจะต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้
อันที่จริงลู่โจวรู้วิธีการฝึกฝนที่สามดี วิธีนั้นก็คือการฝึกฝนในแบบดั้งเดิม แต่อย่างไรก็ตามวิธีการฝึกฝนนั้นจะคร่าชีวิตของผู้ฝึกไปซะเอง นอกจากนี้มันยังไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนกับผู้ที่อยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้า ดังนั้นลู่โจวจึงไม่เลือกที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้กับพวกเขาได้ฟัง “ถ้าหากไม่มีอะไรแล้วล่ะก็พวกเจ้าก็ไปกันเถอะ”
“ข้าขอตัวก่อน” เล้งลั่วพูดขึ้น
“ข้าเองก็ขอตัวเช่นกัน ท่านอาจารย์” หมิงซี่หยินเองก็ขอตัวเช่นกัน
หลังจากที่ทั้งคู่จากไป ลู่โจวก็กลับไปที่ห้องของตนก่อนที่จะทำสมาธิต่อไป ถ้าหากไม่มีการ์ดระเบิดจุดสุดยอดอยู่ในมือ สิ่งที่ตัวเขาพอจะพึ่งพาได้มีเพียงพลังจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์
ก่อนที่จะเข้าสู่การทำสมาธิลู่โจวได้ตรวจสอบแต้มบุญที่เหลืออยู่ก่อน ตัวเขาในตอนนี้มีแต้มบุญเหลือ 2,300 แต้ม ด้วยแต้มบุญเพียงแค่นี้มันจะไปมากพอที่จะช่วยอะไรได้อย่างงั้นเหรอ?
“จับฉลากนำโชค”
“ติ้ง! ใช้แต้มบุญ 50 และค่าความโชคดี 20 แต้ม ได้รับการ์ดจำแลง x5”
“การ์ดจำแลง: สามารถจำแลงพลังอวตารของตัวเองให้กลายเป็นพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเป็นระยะเวลา 10 วินาที”
การปรากฏตัวของการ์ดใบใหม่เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับลู่โจว แต่เมื่อตัวเขาเหลือบไปเห็นคำอธิบาย ลู่โจวก็พบว่าการ์ดใบนี้มันไร้ประโยชน์ มันเป็นแค่ของที่มีไว้หลอกคนอื่นเท่านั้น ระบบสนับสนุนให้ตัวเขาหลอกผู้อื่นอย่างงั้นเหรอ? “อย่างน้อยมีก็ยังดีกว่าไม่มีล่ะนะ”
“จับฉลากนำโชค”
“ติ้ง! ใช้แต้มบุญ 50 ได้รับการ์ดพลังชีวิต x10”
‘วันนี้เป็นวันที่โชคดีจริงๆ เป็นไปได้ไหมว่าโชคจะเข้าข้างฉันที่เพิ่งจะฝึกฝนตัวเองจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้น่ะ?’
“จับฉลากนำโชค”
“ติ้ง! ใช้แต้มบุญ 50 ได้รับค่าความโชคดี 1 แต้ม”
“…” ลู่โจวยังคงไม่ยอมแพ้ ตัวเขายังคงเสี่ยงโชคต่อไป ลู่โจวได้ใช้แต้มบุญที่เหลือไปกับการจับฉลากนำโชค ตัวเขาไม่ได้รับรางวัลอะไรตอบแทนนอกซะจากค่าความโชคดี ในตอนนี้ลู่โจวมีค่าความโชคดีกว่า 44 แต้ม
ตัวเขาไม่ได้มีแต้มบุญมากมายอะไรตั้งแต่แรกอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้ตัวเขาได้ใช้แต้มบุญที่มีหมดไป ลู่โจวไม่ได้คิดที่จะเก็บแต้มบุญที่เหลือไว้ใช้กับอะไร
ตัวเขาได้ตรวจสอบร้านค้าต่อ การ์ดทั้งหลายมีราคาเพิ่มมากขึ้น 500 แต้มบุญ มันเป็นราคาที่ไม่ได้เกินความคาดหมายอะไร ทันใดนั้นเองตัวเขาก็เหลือบไปเห็นการ์ดใบใหม่ การ์ดจำแลง: 10,000 แต้มบุญ
“…” ขยะล้ำค่า?
ลู่โจวคิดว่าตรรกะที่ระบบมีจะต้องมีข้อบกพร่องไปแล้วแน่ การ์ดการโจมตีของเพชฌฆาตมีราคาขายแค่ 4,000 แต้มบุญเท่านั้น ใครจะไปเก็บสะสมแต้มบุญนับหมื่นเพียงเพื่อต้องการหลอกผู้อื่นกัน? มีแต่พวกโง่เท่านั้นแหละที่จะทำอะไรแบบนั้น!
ลู่โจวเหลือบมองไปยังส่วนของพลังอวตาร
ขอบเขตทั้งพันแห่งการหมุนเวียน: 500,000 แต้มบุญ (หมายเหตุ: ผู้ซื้อจะต้องมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบให้ได้ซะก่อน)
กลีบดอกบัวทองคำ: 50,000 (หมายเหตุ: สามารถใช้ผลิกลีบดอกบัวตั้งแต่ 1-8 กลีบเท่านั้น เมื่อแลกเปลี่ยน 1 ครั้งจะทำการผลิกลีบดอกบัวทองคำของร่างอวตาร 1 กลีบ)
“…”