My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 458
ครืออ!
เมื่อพลังลมปราณไหลเวียนสู่พังงารถม้า รถม้าล่องเมฆาก็เริ่มส่งเสียงออกมา มันกำลังลอยขึ้นสู่บนท้องฟ้า
ไม่มีใครคิดจะพูดคุยกับซูยู่ชู
เพราะแบบนั้นเองนางจึงรู้สึกอึดอัด ทั้งสถานะและพลังที่นางมี ซูยู่ชูมักจะได้รับความเคารพนับถือจากสำนักอื่นๆ อยู่เสมอ แต่สำหรับศาลาปีศาจลอยฟ้า นางในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนจรที่ไม่ได้มีสถานะอะไร เป็นธรรมดาที่จีเทียนเด๋าจะไม่สนใจอะไรนาง แต่อะไรกันที่ทำให้สาวกทั้ง 2 ดูแคลนตัวนางด้วยสายตาได้แบบนี้? ซูยู่ชูรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่เคยเป็น ในฐานะที่นางเป็นผู้อาวุโสอีกทั้งยังเป็นสหายเก่าของจีเทียนเด๋านางไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้
รถม้าล่องเมฆาได้ลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนที่จะลอยออกจากม่านพลังของภูเขาทองไป มันกำลังบินไปยังทางตอนใต้ของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่
…
ไม่นานนักหลังจากที่รถม้าลอยฟ้าจากไป ผู้ใช้ดาบชุดเขียวที่ดูเป็นมิตรกำลังเดินทางไปที่เชิงเขาของภูเขาทอง ไม่นานนักตัวเขาก็มาถึงเชิงเขา ชายคนนั้นยืนอยู่ที่เชิงเขาก่อนที่จะจ้องมองไปที่ม่านพลังตรงหน้า หลังจากนั้นเขาก็เหลือบไปมองดวงอาทิตย์ก่อนที่จะปาดเหงื่อที่ไหลรินอยู่บนใบหน้า ถ้าหากชายคนนี้เป็นยอดฝีมือระดับสูง ตัวเขาก็คงจะไม่เสียเหงื่อในการเดินทางเลย แต่อย่างไรก็ตามชายคนนี้กลับสนุกสนานกับความรู้สึกที่ได้ออกเดินทาง มันเป็นความสุขของชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้จางหายไปนาน นี่เป็นอีกครั้งที่ทำให้ชายคนนี้รู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
“ศิษย์พี่รอง” มีใครบางคนเรียกชายคนนั้นจากป่าที่อยู่ด้านข้าง
ยู่ฉางตงรีบหันกลับไปมอง ตัวเขาได้เห็นกับยี่เทียนซินที่กำลังปรากฏตัวจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ “ศิษย์น้องหกหรอกหรอ?”
“ศิษย์พี่รอง ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านจะกลับมาได้”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงข้านะศิษย์น้องหก ข้าโชคดีจริงๆ” ยู่ฉางตงยิ้มให้จางๆ
“ท่านทำงานได้ดีจริงๆ ตอนนี้ท่านอาจารย์ออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะไปไหน”
นับตั้งแต่ที่ลู่โจวเก็บกวาดสาวกของเจ็ดสำนักใหญ่ไปได้ ยี่เทียนซินก็ตั้งใจที่จะไปเยี่ยมเยียนผู้เป็นอาจารย์ที่บนหุบเขา แต่ถึงแบบนั้นนางก็จำได้ดีว่าตัวนางไม่ใช่ลูกศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกต่อไป นางไม่มีความกล้ามากพอที่จะปีนขึ้นไปบนหุบเขาได้
“ทำไมเจ้าไม่ขึ้นไปซะล่ะ?”
“ข้าอยู่ที่นี่ก็สบายอยู่แล้ว”
ยู่ฉางตงรู้ดีว่ายี่เทียนซินคิดอะไร “เจ้าวางแผนที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอดเลยอย่างงั้นเหรอ?”
“ข้าต้องการที่จะกล่าวคำอำลาก่อนที่จะเดินทางไปยังทิศตะวันตกน่ะ”
“เพื่อหาเฉินกวางอย่างงั้นสินะ?”
“ค่ะ”
“เป็นเรื่องที่ดีที่เจ้ายังมีเป้าหมาย ขอให้การเดินทางของเจ้าราบรื่นนะศิษย์น้อง” ยู่ฉางตงคารวะให้กับนางก่อนที่จะหันหลังและขึ้นสู่หุบเขาทองไป
ในขณะที่มองยู่ฉางตงจากไป ยี่เทียนซินก็ตกตะลึงเล็กน้อย นางรู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกประหลาดไป ‘ท่านเย็นชาจริงๆ ศิษย์พี่รอง ท่านไม่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้ข้าอยู่ต่อเลย’
…
รถม้าล่องเมฆากำลังเร่งไปในทางตอนใต้ ทั่วทุกที่ที่มันได้เคลื่อนที่ผ่านมันจะทิ้งร่องรอยพลังงานเอาไว้ราวกับหางของอุกกาบาต
ลู่โจวยืนอยู่ใกล้ๆ กับหมิงซี่หยิน ตัวเขากำลังมองดูภูเขาและผืนดินที่อยู่เบื้องล่าง
ซูยู่ชูเดินเข้ามาหาก่อนที่จะพูดออกมา “ข้ามีเรื่องที่อยากจะถาม”
“ว่ามา”
“จากที่ข้าได้คำนวณ ดูเหมือนขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ของท่าน…”
“แค่ก!”
ก่อนที่ซูยู่ชูพูดจบหมิงซี่หยินก็ได้ไอขึ้นมาซะก่อน
ซูยู่ชูมองไปที่หมิงซี่หยินด้วยความสับสน
หมิงซี่หยินหันไปมองนางก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสซู…อาจารย์ของข้าฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลับแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่…ที่ท่านอาจารย์จะมีชีวิตที่ยืนยาว ท่านไม่เห็นหรือไงกันว่าท่านอาจารย์ของข้าดูอ่อนกว่าวัยน่ะ?”
เล้งลั่วและฮั๊ววู่เด๋ามองไปที่ลู่โจวก่อนที่จะพิจารณาหน้าตาเขา ทั้งคู่ที่จ้องอยู่นานต่างก็ตกใจ เป็นความจริงที่ลู่โจวมีรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนกว่าวัยเมื่อเทียบกับในอดีต
แม้ว่าเล้งลั่วจะเด็กกว่าและยังมีผมดกดำ แต่ถึงแบบนั้นผมบางส่วนรวมไปถึงหนวดเคราของเขาก็เริ่มเปลี่ยนสีไปแล้ว ส่วนฮั๊ววู่เด๋าเองก็มีรูปร่างไม่ต่างจากเล้งลั่ว
ซูยู่ชูเปรียบเทียบรูปร่างของทั้ง 3 คนอยู่อย่างเงียบๆ ‘หรือว่าเขาจะฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบแล้วกัน? ถ้าหากเขามีพลังที่ว่าจริง ทำไมเขาถึงไม่เรียกพลังอวตารออกมาเพื่อขจัดข้อสงสัยทั้งหมดกัน?’
…
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนักลั่ว ที่ที่ตั้งอยู่บนยอดเงาสูงชัน
ที่แห่งนี้มีม่านหลังหลายชั้น มันเป็นม่านพลังที่ใช้ปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
ในตอนนั้นเองผู้อาวุโสที่อายุน้อยที่สุดแห่งสำนักลั่ว ผู้อาวุโสคนที่สามลู่ปิงกำลังเดินไปเดินมาด้วยความกังวล “ผู้อาวุโส ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกัน? ขีดจำกัดของท่านปรมาจารย์ใกล้ที่จะมาถึงเต็มที แต่ถึงแบบนั้นสำนักหยุนกลับเข้าโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้า แม้แต่พลังของเจ็ดสำนักใหญ่ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงกับผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ลู่ปิงได้กลายเป็นคนขี้กลัวต่อศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแล้ว แม้ว่าจะคิดเช่นนั้นผู้อาวุโสทั้งหมดก็ไม่มีคำพูดที่จะตอบกลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชานหยุนเจิง ผู้อาวุโสคนที่สองที่ได้แต่นิ่งเงียบ
ในท้ายที่สุดชานหยุนเจิงก็ได้พูดขึ้น “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาห่วงเรื่องนี้ พวกเราควรจะคิดแผนรับมือถ้าหากศาลาปีศาจลอยฟ้าจะมาทวงแค้น พวกเราทั้งสามสำนักจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมา”
“จากที่ข้าคิดได้ พวกเราควรจะร่วมมือกับสำนักเทียนและแยกสำนักหยุนออกจากพวกเรา นี่เป็นวิธีเดียวที่พวกเราจะรักษาชีวิตของอีก 2 สำนักไว้ได้” ผู้อาวุโสอีกคนพูดขึ้น
ครืดด! ครืดด!
มีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้น
เมื่อมองขึ้นไปที่ด้านบน ทุกคนต่างก็เห็นกลุ่มก้อนพลังที่กำลังกระจายไปทั่วม่านพลัง
ผู้อาวุโสทุกคนล้วนแต่ตกตะลึง
“ศัตรูบุกมาแล้ว!”
ลู่ปิงหรี่ตามองขึ้นบนฟ้า เมื่อเริ่มเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นมาในทันที “นั่นมันรถม้าลอยฟ้าของศาลาปีศาจลอยฟ้า!”
ทุกๆ คนที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็ตื่นตกใจ
บางคนถอยกลับหลัง บางคนคุกเข่าอย่างอ่อนแรง บางคนได้แต่นั่งลงบนพื้นอย่างสิ้นหวัง
ผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบกำลังจะมาแก้แค้น
ในที่สุดเรื่องที่เป็นกังวลก็เกิดขึ้น
ลู่ปิงที่รวบรวมสติได้พูดออกมาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ใจเย็นไว้พวกเรา เรื่องทุกอย่างเป็นความผิดของสำนักหยุน มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราสำนักลั่วและสำนักเทียน”
ทุกๆ คนที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็พยักหน้า ในตอนนี้ทุกคนเริ่มกลับมามีสติอีกครั้งแล้ว
ลู่ปืงได้ลอยขึ้นไปบนอากาศพร้อมกับเรียกพลังอวตารของตัวเองออกมา ตัวเขาได้บินผ่านม่านพลังด้วยความเร็วสูงเพื่อที่จะมุ่งหน้าเข้าหารถม้าล่องเมฆา
ครู่ต่อมาลู่ปิงก็ได้หยุดเคลื่อนไหว ตัวเขาได้พูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “สวัสดีผู้อาวุโสจี! ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับ”
รถม้าล่องเมฆาหยุดเคลื่อนไหว
หมิงซี่หยินเป็นผู้ที่มองเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ดีที่สุด ตัวเขาเห็นลู่ปิงที่กำลังอยู่หน้ารถม้า เมื่อเห็นแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ได้กวักมือเรียก “มานี่สิ เจ้าน่ะมาควบคุมพังงารถม้าซะ”
“ด้วยความยินดี!” ลู่ปิงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยศาลาปีศาจลอยฟ้าก็ไม่ได้มาที่นี่ด้วยความอาฆาตแค้น
เมื่อเห็นแบบนั้นซูยู่ชูก็ได้พูดขึ้น “เป็นไปตามที่คาดไว้ สามสำนักหยุนเทียนลั่วต่างก็มีมารยาทที่ดี” นางรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเมื่อคิดถึงการต้อนรับที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าต้อนรับนาง
หลังจากที่ลู่ปิงขึ้นรถม้า ตัวเขาก็จ้องมองลู่โจวด้วยความตื่นเต้น ลู่ปิงตื่นเต้นจนไม่อาจควบคุมรถม้าได้อย่างสมบูรณ์แบบได้ “ข้ารู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้ควบคุมรถม้าให้กับท่านผู้อาวุโสเป็นการส่วนตัวเช่นนี้”
ซูยู่ชูงุนงง นางรู้สึกแสบร้อนราวกับถูกตบหน้า นี่คือ…ความภาคภูมิใจของสามสำนักอย่างงั้นเหรอ?
“พอได้แล้ว…ถอยไปซะ” หมิงซี่หยินที่เห็นรถม้าโคลงเคลงเตะหมิงซี่หยินไป
“ถูกต้องแล้วล่ะ…ข้าได้เรียนรู้จากลูกเตะนี้จริงๆ ท่านศิษย์คนที่สี่ ข้าไม่ควรที่จะรบกวนผู้อาวุโสด้วยเรื่องไร้สาระเช่นนี้”
หมิงซี่หยินพูดไม่ออก ‘นี่มันอะไรกัน? เจ้านี่มันเป็นญาติของศิษย์น้องแปดอย่างงั้นเหรอ?’
ลู่ปิงรีบถอยกลับไป หมิงซี่หยินรีบควบคุมพังงาเรือแทน รถม้าลอยฟ้าได้บินผ่านม่านพลังทั้งหลายก่อนที่จะจอดลงบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ซูยู่ชูประหลาดใจที่เห็นผู้อาวุโสและสาวกของสำนักลั่วทั้งหมดรวมตัวกันที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเฟิงยี่จือเจ้าสำนักลั่วที่เห็นการมาถึงรีบเดินมายังรถม้าพร้อมกับผู้อาวุโสทั้ง 10 ทุกคนต่างก็โค้งคำนับให้กับรถม้าลอยฟ้า
“เฟิงยี่จือ เจ้าสำนักลั่วขอทักทายผู้อาวุโส!”
“ผู้อาวุโส!”
เหล่าสาวกต่างก็เดินทางมารวมตัวกันที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น ทุกๆ คนต่างก็ทักทายชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างเคารพนับถือ
เมื่อเห็นแบบนั้นหมิงซี่หยินก็รู้สึกภาคภูมิใจ ตัวเขารู้สึกชอบความรู้สึกที่ถูกเทิดทูนแบบนี้มาก หมิงซี่หยินอดไม่ได้ที่จะเชิดคางขึ้นมาก่อนที่จะยืดหลังตรง
เล้งลั่วและฮั๊ววู่เด๋าดูเหมือนจะไม่ได้รู้สึกอะไร แม้ว่าภายนอกจะเป็นแบบนั้นแต่ภายในพวกเขาต่างก็รู้สึกชื่นชม ไม่มีเหตุผลอะไรในโลกที่จะไม่อยู่เคียงข้างกับพลังอันยิ่งใหญ่
ซูยู่ชูที่อยู่บนรถม้าตกตะลึง นางเองมีประสบการณ์และความรู้จากสิ่งที่ได้ผ่านพ้นมาในชีวิต แม้แต่นักบุญแห่งลัทธิขงจื๊อเองก็ยังไม่เคยได้รับความเคารพเช่นนี้
“ท่านอาจารย์ดูนั่นสิ! เจ้าพวกนั้นแห่กันมาเต็มไปหมด!” หยวนเอ๋อไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจเหมือนกับคนอื่นๆ นางแค่รู้สึกมีชีวิตชีวาที่เห็นคนมารวมตัวเช่นนี้
ผู้ฝึกยุทธต่างก็แห่กันไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เหล่าสาวกที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ได้เดินทางมาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น