My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 504
ตอนที่ 504 ดอกบัวสีแดง
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย
แม้ว่าสํานักชิงหยุนจะเป็นชาวลัทธิเต๋า แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็รู้จักพลังฝ่ามือสละปัญญาดี ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะชาวลัทธิเต๋าและชาวลัทธิขงจื้อต่างก็มีสัมพันธ์อันดีต่อกันนั่นเอง
หม่าชิงรู้ดีว่าฝ่ามือสละปัญญาที่ลู่โจวเป็นคนใช้ต่างไปจากฝ่ามือสละปัญญาที่ตัวเขารู้จัก หม่าชิงไม่เคยเห็นใครใช้ฝ่ามือสละปัญญาด้วยมือข้างเดียวมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นด้านล่างหรือด้านบน พลังฝ่ามือสละปัญญาที่ถูกปลดปล่อยมาจากมือเดียวของลู่โจวไม่ได้แตกต่างจากฝ่ามือสละปัญญาที่ถูกปลดปล่อยด้วยสองมือเลย
ซึ่งต้องตีให้ตาย ลู่โจวเป็นผู้ที่เชื่อในคําๆ นี้มาโดยตลอด ตัวเขาจะไม่ยอมปล่อยให้งูพิษหลุดรอดเพื่อที่จะรอวันแว้งกัดตัวเขาใหม่
หลังจากที่เป้าหมายถูกพลังฝ่ามือสละปัญญาซัดเข้าใส่ ร่างกายของลานนี้จึงถูกพลังฝาทําลายจนเหลือแต่เพียงเถ้าถ่าน เถ้าถ่านของเขาบัดปลิวไปตามสายลมที่พัดผ่าน
บัดนี้ไม่เหลือร่องรอยของชนเผ่าอื่นหลงเหลืออีกต่อไป
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสําเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 3,000” (หมายเหตุ: เป็นแต้มบุญที่ได้เพิ่มเติมจากพันธะแห่งโชคชะตา)
พลังฝ่ามือไม่หยุดเพียงแค่นั้น มันได้เคลื่อนไปที่ด้านหน้าก่อนที่จะตกลงสู่พื้น
ตุ๊ม!
ต้นไม้กว่าหลายสิบต้นถูกพลังฝ่ามือทําลายในทันที
เมื่อฝุ่นควันหายจางไป บนพื้นเองก็มีรอยฝ่ามืออันเด่นชัดปรากฏขึ้น
ทุกๆ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ หลายคนต่างก็กลืนน้ําลายด้วยความหวาดกลัว รอยฝ่ามือที่อยู่บนพื้นเป็นพลังที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด ไม่มีใครคาดคิดว่ามหาวายร้ายจีเทียนเด่ผู้ชั่วร้ายจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ว่ากันว่าที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ใช่ที่สำหรับคนดี ไม่น่าแปลกใจเลยที่สํานักใหญ่ทั้งเจ็ดจะไม่มีใครรอดชีวิตจากเหตุการณ์บุกโจมตีในอดีตได้ ชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าช่างไร้ปรานี้! แต่สิ่งที่ลู่โจวทําลง ไปก็ยังน่าประทับใจอยู่ดี สาวกจากสํานักชิงหยุนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เกลียดชังชนเผ่าอื่นมากขึ้นไปอีก แม้ว่าการโจมตีของมหาวายร้ายจะเกินกําลังไปก็ตาม แต่ทุกคนก็พอใจที่เห็นชนเผ่าอื่น ถูกฆ่าตาย
ลู่โจวได้ชักฝ่ามือกลับมา ตัวเขาไม่ได้อะไรจากการต่อสู้ในครั้งนี้มากนัก ลูโจวได้ใช้พลังวิเศษทั้งหมดไปกับการสังหารลานนี้เพียงคนเดียว
ด้วยพลังฝ่ามืออันน่าสะพรึงกลัวของผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ ผู้ฝึกยุทธผู้ใช้ดาบแห่งสํานักชิงหยุนจึงสวามิภักดิ์ต่อลู่โจวไปโดยปริยาย ด้วยเหตุผลที่ต้องร่วมมือกันทําให้ลู่โจวไม่คิด เป็นศัตรูกับพวกเขา ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกประหลาดกับบรรยากาศแบบนี้ เป็นเพราะบรรยากาศนี้เองทําให้หลายคนเริ่มประหม่าจนตัวสั่น
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งลมกระโชกแรงก็ได้พัดผ่านบรรยากาศที่น่าอึดอัด
หม่าชิงเป็นผู้เริ่มสนทนาอีกครั้ง “ฝามือสละปัญญาของท่านได้เปิดหูเปิดตาของพวกเราแล้ว ผู้อาวุโสจี!”
“ผู้อาวุโสได้เปิดหูเปิดตาพวกเราแล้ว!” สาวกคนอื่นๆ เองก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองแบบไหน พวกเขาได้แต่พูดตามหม่าชิง
ลู่โจวมองดูทุกคนอย่างสงบนิ่งในขณะที่ลูบเคราของตัวเอง “ข้าไม่ใช่คนไร้เหตุผล ในเมื่อพวกเจ้าให้ความร่วมมือข้ากําจัดชนเผ่าอื่น ข้าจะมอบสัตว์ร้ายเทียนกูวให้กับพวกเจ้า”
เทียนกูวที่มีชีวิตยังเป็นประโยชน์ได้บ้าง แต่สําหรับคนตายนั้น…มันช่างไร้ค่า
ลู่โจวรู้ดีว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ไม่รู้จักเทียนกูว ตัวเขาที่คิดแบบนั้นจึงพูดต่อ “เทียนกูวถือเป็นสัตว์ร้ายของโลกใบนี้ ด้วยปีกที่ใหญ่มหึมาของมันจะทําให้ผู้ที่ได้ขี้เทียนกูวสามารถท่องไปตามท้องนภาได้อย่างอิสระ เที่ยวสามารถเคลื่อนไหวราวกับสายลม เสียงร้องของมันเปรียบดั่งเสียงฟ้าร้อง นอกจากนี้มันยังมีผิวหนังที่ทนทานจนเทียบเท่ากับชุดเกราะได้กระดูกของมันเองก็แข็งแกร่งไม่ต่าง อะไรกับอาวุธระดับโลก หลายคนต่างก็ใฝ่ฝันที่จะได้ครอบครองสัตว์ร้ายตัวนี้”
เมื่อหม่าซึ่งได้ฟังเช่นนั้น ตัวเขาก็มีความสุขขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเขาเป็นประกายในขณะที่โค้งคํานับให้ “คําอธิบายของผู้อาวุโสทําให้พวกเรากระจ่าง คําอธิบายของท่านดีกว่าการอ่านตํารากว่าหลายสิบปีซะอีก พวกเราโง่เขลาเบาปัญญา ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่มอบเทียนกูวให้กับพวกเรา!”
ทุกๆ คนที่ได้ฟังคําอธิบายของลู่โจวตกตะลึง สาวกจากสํานักชิงหยุนต่างก็โค้งคํานับให้อย่างสุดซึ้ง “ขอบคุณผู้อาวุโสจี”
“ตั้ง! ได้รับการสรรเสริญจากคน 105 คน ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,050”
ในที่สุดเรื่องทุกอย่างก็คลี่คลาย
ในขณะนั้นเองลู่โจวก็นึกถึงโลงศพและตําราลึกลับได้ ลานนี้ได้บอกเอาไว้ว่าตําราเล่มนั้นเป็นตําราที่มีวิธีการฝึกยุทธอยู่ ลู่โจวที่นึกได้แบบนั้นไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ตัวเขาได้โบกแขนก่อนที่จะเรียกวิซซาร์ดมา
สาวกสํานักชิงหยุนที่เห็นลู่โจวกําลังจะจากไปได้โค้งคํานับให้ “ขอให้เดินทางปลอดภัยผู้อาวุโส”
ลู่โจวและวิซซาร์ดได้หายไปท่ามกลางหมู่เมฆในชั่วพริบตา
หม่าชิงมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม “การเดินทางครั้งนี้มันช่างคุ้มค่าการที่ข้าได้เห็นยอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบกับตามันก็คุ้มค่ามากแล้ว!”
ทุกๆ คนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
ในตอนที่ลู่โจวกลับมายังศาลาปีศาจลอยฟ้า ในตอนนั้นดวงอาทิตย์ก็เริ่มจะตกดินแล้ว
ต้วนมู่เฉิงกําลังรอคอยลู่โจวอยู่ที่ด้านนอกม่านพลังอย่างเงียบๆ เมื่อตัวเขาเห็นผู้เป็นอาจารย์กลับมา ต้วนมู่เฉิงก็รีบโค้งคํานับให้อย่างรีบร้อน “ท่านอาจารย์!”
ลู่โจวกระโดดลงจากหลังของวิซซาร์ด ตัวเขาได้เคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวลราวกับตัวเองเบาดุจดั่งขนนก ลู่โจวเดินผ่านม่านพลังก่อนที่จะถามออกมา “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
“ชาวรั่วหลี่ทั้งสองคนถูกข้าและศิษย์น้องสี่จัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้อาการของหอยสังข์ดูจะไม่สู้ดีเท่าไหร่” ตัวนมู่เฉิงตอบกลับมา
“ข้าจะรีบไปดูเดี๋ยวนี้” ลู่โจวได้บินไปยังศาลาทางใต้ต่อ เมื่อมาถึงตัวเขาก็เดินตรงไปยังห้องหยวนเอ๋อ
ในตอนนั้นผู้ฝึกยุทธหญิงกว่าหลายคนก็อยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้ว
“ท่านปรมาจารย์”
“ท่านอาจารย์”
ทุกๆ คนต่างก็หลีกทางให้กับลู่โจว การปรากฏตัวของลู่โจวทําให้ทุกคนกลับมามันใจอีกครั้ง
หยวนเอ๋อเดินเข้าไปหาลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “ดูเหมือนว่าหอยสังข์จะจําอะไรบางอย่างได้”
ลู่โจวคิดมาตลอดว่าสาวน้อยได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อเข้าไปในห้อง ตัวเขาก็ได้เห็นสาวน้อยที่กําลังเอามือทั้งสองข้างกุมไปที่ศีรษะของตัวเองในตอนนี้หอยสังข์กําลังนั่งพิงอยู่บนเก้าอีก สภาพของนางดูไม่สู้ดีเท่าไหร่
ลู่โจวเดินไปหาธิดาหอยสังข์ก่อนที่จะนั่งลงอย่างช้าๆ “ยื่นมือของเจ้ามา”
“ค่ะ”
หลังจากที่ตรวจชีพจรของนาง ลู่โจวก็พยักหน้าอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าร่างกายของนางจะยังสบายดี
ลู่โจวมองไปที่หอยสังข์ก่อนที่จะถามอย่างอ่อนโยน “เจ้าจําอะไรได้บ้าง?”
“ดอกบัวดอกบัวสีแดง”
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นตกใจ มีอะไรบางอย่างกําลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในใจของตัวเขา ลู่โจวพยายามที่จะรักษาสีหน้าที่นิ่งเฉยต่อหน้าธิดาหอยสังข์ต่อไป
ลู่โจวที่สงบใจได้ยกฝามือขึ้นมา
ซู่วว!
พลังอวตารขนาดจิ๋วกําลังลอยอยู่ในมือเขา ที่ใต้อวตารมีกลีบดอกบัวสองกลีบกําลังโคจรหมุนรอบดอกบัวทองคํา
หมิงซูหยิน, หยวนเอ๋อ และต้วนมู่เฉิงต่างก็เหลือบมอง ทุกคนต่างก็พยักหน้าเงียบๆ
“ท่านอาจารย์สามารถควบคุมพลังอวตารได้อย่างชํานาญจริงๆ ด้วยทักษะที่ท่านอาจารย์มีท่านอาจารย์คงจะเลือกควบคุมจํานวนกลีบดอกบัวที่ปรากฏออกมาได้อย่างง่ายดาย
การแสดงพลังอวตารขนาดจิ๋วเองก็ยังดูดซับพลังลมปราณของผู้ใช้ได้
ลู่โจวได้ชี้ไปยังดอกบัวทองคําก่อนที่จะถามออกมา “สาวน้อย ดอกบัวที่เจ้าพูดถึงหน้าตาเป็นเช่นนี้อย่างงั้นสินะ?”
ธิดาหอยสังข์กะพริบตา หลังจากนั้นนางก็เฝ้ามองพลังอวตารก่อนจะพยักหน้า “อืม…”
ลู่โจวกําหมัดแน่น ในตอนนั้นพลังอวตารของเขาก็ได้หายจางไป แม้ว่าลู่โจวจะมีสีหน้าที่เรียบเฉย แต่จากคําพูดที่ธิดาหอยสังข์ได้บอกเอาไว้ นั่นก็หมายความว่ามีผู้ฝึกยุทธที่มีดอกบัวสีแดงอยู่!
“แล้วจําได้ไหมว่าเจ้าได้เห็นที่ไหน?”
สาวน้อยขมวดคิ้ว นางสายหัวก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าไม่รู้”
ในตอนนั้นเองหมิงซูหยินก็พูดแทรก “ท่านอาจารย์นางกําลังบอกว่ามีผู้ฝึกยุทธผู้มีดอกบัวสีแดง? นี่มันไม่เป็นความจริงอย่างงั้นสินะครับ?”
ต้วนมู่เฉิงพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่มีใครฝึกฝนตัวเองจนมีดอกบัวสีแดงได้”
ทุกคนในตอนนั้นได้นึกไปถึงพลังของลู่โจว ผู้เป็นอาจารย์ของพวกเขาเคยแสดงพลังพลังดอกบัวสีฟ้ามาก่อน เมื่อนึกย้อนไปก็มีคนพูดเสริม “หรือว่ามันอาจจะเป็นเคล็ดวิชาฝึกฝนลับกัน?”
ในสถานการณ์ปกติ พลังลมปราณที่ควบแน่นจะกลายเป็นพลังสีทอง ผู้ที่ฝึกฝนวิถีอสูรจะเปลี่ยนพลังที่ได้จากการควบแน่นให้กลายเป็นสีดํา ส่วนพลังในการเยียวยารักษาจะมีสีเขียว และพลังของม่านพลังจะเป็นสีฟ้า แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้ยินพลังสีแดง
ลู่โจวไม่ได้ตอบคําถามของทุกคน ตัวเขานึกถึงตําราและโลงศพลึกลับแทน
บางทีคําพูดของเด็กสาวอาจจะเป็นคําโกหกหรือไม่ก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน ลู่โจวไม่สามารถเชื่อคําพูดของคนเพียงคนเดียวได้ ตัวเขาต้องการหลักฐานที่เป็นรูปธรรมเพื่อยืนยันคําพูดของนางลู่โจว จําคําที่อ่านเจอในตําราลึกลับได้ “ข้าหวังว่ามันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป ข้าหวังว่าจะไม่มีผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบบนโลกใบนี้อีก ข้าหวังว่าจะไม่มีผู้มีพลังอวตารดอกบัวสิบกลีบอีก เช่นกัน สิ่งที่เขียนเอาไว้มันหมายความว่าอะไรกันแน่?
ลู่โจวได้ไตร่ตรองในสิ่งที่เจอไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปมองธิดาหอยสังข์ “แล้วเจ้าจําอะไรได้อีกบ้าง?”
“ข้าจําอะไรไม่ได้แล้ว” สาวน้อยส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
“ความจําเสื่อมอย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวคาดเดา
ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็ได้โค้งคํานับก่อนจะพูดออกมา “ท่านอาจารย์ ข้าไม่คิดว่านางจะเป็นโรคความจําเสื่อมได้”
“หืม?”
“คนที่เป็นโรคความจําเสื่อมหรือปิดผนึกความทรงจําเอาไว้ในยามที่พวกเขาพยายามนึกถึงความทรงจําที่เคยมีในตอนนั้นมันจะกระตุ้นอะไรบางอย่างในหัวของคนคนนั้นอย่างแน่นอน แต่สาวน้อยในตอนนี้กลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย” หมิงซี่หยินพูดต่อ “ข้าสงสัยว่านางจะอยู่ในสถานะกึ่งหลับกึ่งตื่นมากกว่า”
“ทําไมเจ้าถึงได้คิดแบบนั้นล่ะ?” ลู่โจวเคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่แน่ใจ
“หลายคนเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการฝึกยุทธมาตั้งแต่แรก ยกตัวอย่างเช่นชาวมนุษย์เฝ้อกอย่างศิษย์น้องหก นางสามารถสร้างเส้นพลังลมปราณพิเศษขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเองได้ แม้ว่าจุดตันเถียน จุดพลังลมปราณของชาวมนุษย์เผือกจะถูกทําลายไป แต่มันก็ยังสามารถสร้างขึ้นมาใหม่เองได้” หมิงหยินลูบคางในขณะที่อนุมานต่อ “สาวน้อยคนนี้จําท่วงทํานองเพลงและ ลักษณะของดอกบัวได้ นั่นก็หมายความว่าจิตสํานึกที่นางมียังคงไม่ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์”
ลูโจวพยักหน้าก่อนที่จะตอบกลับไป “เจ้ากําลังจะบอกว่าถ้าหากนางเรียนรู้ที่จะฝึกยุทธ นางก็จะสามารถควบคุมจิตสํานึกที่ตัวเองมีได้อย่างเต็มที่อย่างงั้นสินะ?”
“สมแล้วที่เป็นท่านอาจารย์! เมื่อถึงตอนนั้นความทรงจําที่เลือนรางของนางจะต้องชัดเจนขึ้น มาแน่!” หมิงหยินรีบตอบรับ
สําหรับผู้ฝึกยุทธที่ฝึกฝนตัวเองมาถึงขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้ คนคนนั้นจะมีประสาทรับรู้ที่เฉียบคม นอกจากนี้คนคนนั้นจะเริ่มควบคุมจิตสํานึกของตัวเองได้
หมิงซูหยินพูดมีเหตุผล อย่างน้อยที่สุดก็คงจะมีแต่วิธีการนี้ วิธีการฝึกยุทธ แต่ธิดาหอยสังข์ได้ ข้ามขั้นการฝึกร่างกายจนมีพลังขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ แล้วนางจะฝึกฝนต่อได้ยังไงถ้าหากเส้นพลังลมปราณที่นางมีเปราะบางจนเกินไป?