My Disciples Are All Villains - UFAZEED My Disciples Are All Villains -
การปรากฏตัวของชนเผ่าอื่นอย่างกะทันหันทำให้ผู้ฝึกยุทธจากสำนักอเวจีต่างก็ออกจากค่ายทหารไป
ผู้ฝึกยุทธกว่า 1,000 กำลังอยู่บนกำแพงเมืองที่ตั้งสูงตระหง่านเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ศัตรูบุกเข้ามาประชิดเมืองได้ ในเวลาเดียวกันผู้ฝึกยุทธอีกกลุ่มหนึ่งก็จับกลุ่มกันเพื่อที่จะเปิดเขตแดนขนาดเล็กบนกำแพงเมืองจู่โจมชนเผ่าอื่นๆ ที่กำลังบุกโจมตีทางอากาศ
ส่วนทหารราบทั้งหลายเลือกที่จะเสริมการป้องกันในส่วนของประตูเมืองแทน
เมื่อการต่อสู้ของเหล่าผู้ฝึกยุทธใกล้ที่จะสิ้นสุดลง เมื่อถึงตอนนั้นก็จะเป็นเวลาของคนธรรมดาทั่วไปที่ต้องออกไปต่อสู้แทน ในการทำสงครามระหว่างดินแดน ผู้คนที่มักจะอยู่ในแนวหน้ามักจะเป็นเหล่าผู้ฝึกยุทธอย่างไม่มีทางเลือก นี่ถือเป็นรากฐานการทำศึกที่ดินแดนหยานแห่งนี้มี มันเป็นหนึ่งในวิธีการต่อสู้ที่เป็นพื้นฐานที่สุดในโลกแห่งพลังวรยุทธ
เมื่อผู้ฝึกยุทธที่อยู่ด้านบนกำแพงเริ่มหมดสภาพการต่อสู้ไป เฉินเหลียงชูที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกตกใจ ครู่หนึ่งตัวเขานิ่งเงียบไป เฉินเหลียงชูได้รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีก่อนที่จะถามออกมา “ผู้อาวุโส ข้ามีเรื่องสงสัยอยากที่จะถามท่าน”
“อะไรกัน?” ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะสังเกตการณ์ต่อสู้ต่อไป
หลังจากที่กองกำลังทหารของเมืองมณฑลงเหลียงได้พ่ายแพ้ให้กับสำนักอเวจีไป พวกเขาก็ต้องพึ่งพากำลังของฝ่ายตัวเองเท่านั้นเพื่อที่จะขับไล่ชนเผ่าอื่นๆ แม้ว่าจะเป็นแบบนี้แต่มันก็อยู่ในการคำนวณของสีวู่หยาแล้ว แต่ทำไมเหล่าผู้ฝึกยุทธที่รับหน้าที่ต้านทานการโจมตีถึงได้ดูไร้พลังขนาดนี้? นี่คือเจตนาของสีวู่หยาอย่างงั้นสินะ?
“ท่านมาจากสำนักลั่วสินะท่านผู้อาวุโส” ในที่สุดเฉินเหลียงชูก็ได้ถามออกมา
“ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้นกันล่ะ?”
“ในสามสำนักลั่ว, เทียน และหยุนมีเพียงสำนักลั่วเท่านั้นที่มียอดฝีมือผู้มีทักษะในการยิงธนู ภายในสำนักลั่วเต็มไปด้วยยอดฝีมือมากมายหลายคน นอกจากนี้ปรมาจารย์แห่งสำนักลั่วก็ยังเป็นยอดฝีมือผู้ใช้ธนูที่ไม่อาจเทียบได้ ครั้งหนึ่งเขาได้สังหารสัตว์อสูรไปด้วยการยิงธนูเพียงครั้งเดียวภายในป่าคูน้ำสวรรค์” เฉินเหลียงชูได้พูดออกมาด้วยความเคารพ จนถึงตอนนี้ความกลัวที่ถูกลูกธนูปริศนาของลู่โวยิงก็ยังฝังลึกอยู่ในใจของเขา
“มียอดฝีมือผู้ใช้ธนูมากมายอยู่ในใต้หล้าที่ไม่มีผู้คนกล่าวถึง สำนักลั่วไม่ควรค่าที่จะพูดถึงหรอก” ลู่โจวตอบกลับไปอย่างไม่แยแส
“…” เฉินเหลียงชูที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก ตัวเขารู้สึกได้ถึงความหยิ่งผยองที่ลู่โจวมีได้อีกระดับ แม้แต่สำนักลั่วก็ยังไม่ควรค่าแก่การพูดถึงในสายตาของผู้อาวุโสคนนี้ เมื่อได้ฟังแบบนั้นเป็นธรรมดาที่เฉินเหลียงชูจะไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอะไรต่กจากนี้ ตัวเขาได้เลือกที่จะถามออกมาในท้ายที่สุดแทน “ท่านผู้อาวุโส แล้วทำไมท่านถึงไม่ใช้ทักษะธนูของท่านยิงชนเผ่าอื่นๆ ที่อยู่บนท้องฟ้าล่ะ?”
เฉินเหลียงชูเป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่อาจจะป้องกันลูกศรพลังงานที่ลู่โจวใช้โจมตีได้ ในความคิดของเฉินเหลียงชู ถ้าหากลู่โจวใช้พลังทั้งหมดในการโจมตีหัวหน้าของชนเผ่าอื่น เมื่อทำแบบนั้นกระแสของความได้เปรียบก็จะเปลี่ยนทิศทางไปในทันที ผู้อาวุโสคนนี้อาจจะมีส่วนร่วมในการปกป้องดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่เอาไว้ได้
ลู่โจวยังคงสังเกตการณ์ต่อสู้ที่อยู่บนกำแพงเมืองต่อ ตัวเขาไม่ได้ตอบคำถามในทันที ถ้าหากตัวเขาได้ทำแบบที่เฉินเหลียงชูพูด ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็จะถูกเปิดเผยออกมาอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นตัวเขาจะจับยู่เฉิงไห่และสีวู่หยาได้ยังไงกัน? เพราะแบบนั้นเป็นธรรมดาที่ลู่โจวจะไม่ผลีผลามตัดสินใจทำอะไร ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้ตอบออกไป “ด้วยพลังความแข็งแกร่งที่สำนักอเวจีก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับชนเผ่าอื่นได้”
“…” เฉินเหลียงชูที่ได้ฟังแบบนั้นไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก
หยวนเอ๋อได้เกาะแขนของลู่โจว ในตอนนี้ความกังวลที่นางเคยมีได้จางหายไปแล้ว นางในตอนนี้รู้สึกอยากรู้อยากเห็นซะมากกว่า “ท่านอาจารย์ข้าอยากดูการต่อสู้”
ลู่โจวเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน “งั้นพวกเราไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนรีบมุ่งหน้าไปยังกำแพงเมือง
เฉินเหลียงชูเริ่มมองซ้ายขวาของตัวเอง ในตอนนี้ค่ายทหารที่เคยมีไม่มีผู้คนอยู่อีกต่อไป ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นจึงรีบตะโกนออกมาอย่างเร่งรีบ “ผู้อาวุโส รอข้าด้วย!” ในตอนนี้สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเมืองก็คือการอยู่เคียงข้างผู้อาวุโสอย่างลู่โจว
…
ผ่านไปไม่นานทั้งสามคนก็เดินมาถึงฐานของกำแพงเมือง เมื่อเข้ามาใกล้กำแพงมากขึ้นลู่โจวก็สังเกตเห็นถึงความสูงที่กำแพงเมืองมี ความสูงที่กำแพงเมืองมีมันสูงเกินกว่าที่ตัวเขาจะคาดการณ์เอาไว้ซะอีก มันสูงจนลู่โจวมองไม่เห็นเหตุการณ์อะไรจากทางด้านบน
ถ้าหากไม่มียอดฝีมือใช้พลังอวตารบินต่อสู้อยู่บนกลางอากาศ มันก็แทบที่จะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกของลู่โจวจะมองเห็นการต่อสู้ที่น่าสนใจจากภายในเมืองได้
“ผู้อาวุโส ข้า…อย่าลืมข้าซะสิ…” เฉินเหลียงชูได้พูดออกมาอย่างลังเล
ลู่โจวได้โบกแขนของตัวเองขึ้น ในไม่ช้าทั้งสามคนก็บินไปสู่ด้านบนของกำแพงเมือง
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ฟรึ๊บ! ฟรึ๊บ! ฟรึ๊บ!
เมื่อขึ้นมาด้านบนสุดเสียงการต่อสู้ก็ได้ดังไปถึงหูพวกเขา
เมื่อทั้งสามคนมาถึงด้านบนกำแพงเมืองได้พวกเขาก็ได้แต่ตกตะลึงในสิ่งที่ได้เห็น
มีร่างอวตารทั้งหมด 2 ร่างด้วยกัน โดยร่างอวตารร่างแรกสูง 50 ฟุต และร่างอวตารร่างที่สองสูง 70 ฟุต ร่างอวตารทั้งสองกำลังต่อสู้กับชนเผ่าอื่นอย่างกล้าหาญอยู่บนทุ่งหญ้านอกกำแพงเมือง
ผู้ที่เป็นเจ้าของพลังอวตารร่างหนึ่งก็คือหยางเยียนยอดฝีมืออันดับที่หนึ่งของโถงวิหคสายฟ้า หยางเยียนได้เพิ่มขนาดพลังอวตารของตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนที่จะใช้พลังทั้งหมดขับไล่คนจากรั่วหลี่ไปกว่าหลิยสิบคน
คนจากรั่วหลี่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกระอักเลือดออกมาหลังจากที่ได้รับการโจมตี
ถึงจะสามารถขับไล่ศัตรูส่วนหนึ่งไปได้ก็ยังมีชนเผ่าอื่นจากทั้งรั่วหลี่และลั่วหลานอยู่อีกมาก คนจากลั่วหลานพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะใช้เวทมนตร์คาถาให้นานที่สุด ในตอนนั้นเองลำแสงสีม่วงก็ได้เข้าปกคลุมคนจากรั่วหลี่จากบนท้องฟ้า
การต่อสู้เต็มไปด้วยความวุ่นวายจนเกินไป มันวุ่นวายจนไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็นลู่โจวและคนอื่นๆ พวกเขาทั้งสามกำลังยืนอยู่ที่มุมที่ดีที่สุดจากมุมสูงอย่างบนกำแพงเมือง
เฉินเหลียงชูกลืนน้ำลายของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “แม้แต่หยางเยียนหนึ่งในสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่แห่งสำนักอเวจีที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น…ก็ยังไม่อาจจบการต่อสู้ครั้งนี้ได้?”
“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับสำนักอเวจีอย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวเหลือบมองไปที่เฉินเหลียงชู
เฉินเหลียงชูดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าลู่โจวเป็นคนที่ทำร้ายตัวเขา เฉินเหลียงชูได้ตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม “ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าเจ้าสำนักอเวจีเป็นศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้า เพราะแบบนั้นเป็นธรรมดาที่ข้าจะรู้จักพวกเขา”
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็สังเกตเห็นคนจากรั่วหลีที่ถูกโจมตีไปแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทุกๆ คนที่เคยล้มลงได้ล้อมรอบหยางเยียนเอาไว้
“ชนเผ่ารั่วหลี่มีความคล่องแคล่วและรวดเร็วเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่ใช่ผู้ที่ใช้ทั้งวิชาชาวพุทธ, หลักการของขงจื๊อ หรือแม้แต่วิชาเต๋าเองก็ยังไม่มีอะไรคล้ายคลึง ชนเผ่ารั่วหลี่มีวิธีการต่อสู้ที่คล้ายกับหมาป่า พวกเขาเลือกที่จะต่อสู้ด้วยวิธีที่ดูคล้ายหมาป่า…พลังอวตารของพวกเขาเองก็คล้ายกับรูปหมาป่าเช่นกัน นอกเหนือจากความเร็ว ความสามารถในการรักษาตัวเองและความสามารถในการยืดหยุ่นเองก็ยังมีสูงจนไม่น่าเชื่อ” เฉินเหลียงชูพูดต่อ “ยังไงซะพวกป่าเถื่อนก็คือพวกป่าเถื่อนอยู่วันยังค่ำ คงจะไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลแน่กับการที่ดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่จะสามารถสยบทั้ง 12 ประเทศได้”
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดตอบกลับไป “ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจในดินแดนหยานมากนะ”
เฉินเหลียงชูได้ถอนหายใจออกมาก่อนจะตอบกลับ “ความเชื่อมั่นของข้าอยู่ที่จักรพรรดิหย่งชู แต่สำหรับหย่งชิง…เอาเป็นว่าลืมไปซะเถอะ”
“เจ้าที่มีชื่ออยู่บนอันดับสูงสุดของบัญชีขาวไม่กล้าที่จะเอ่ยชื่อเลยอย่างงั้นหรอ?
“ผู้อาวุโส…บัญชีดำและบัญชีขาวไม่ได้จัดอันดับของคนตามพลังวรยุทธ อันดับของข้าที่อยู่ในบัญชีขาวเป็นแค่เรื่องตลกขบขันก็เท่านั้น” เฉินเหลียงชูได้พูดดูถูกตัวเองออกมา เมื่อฟังจากที่เฉินเหลียงชูได้พูดเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าตัวเขาคิดว่าผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำมีเกียรติมากกว่าตัวของเขาเอง
ผู้ที่มีชื่ออยู่บนอันดับสูงสุดของบัญชีขาวเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธที่มีพลังอวตารดอกบัวเพียงแค่ห้ากลีบเท่านั้น
ฟรึ๊บ!
ในตอนนั้นเองคนจากรั่วหลี่หลายคนก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ พลังอวตารที่ดูไม่เหมือนกับที่ไหนก็ได้ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน
“ท่านอาจารย์นั่นมันอะไรกัน?!” หยวนเอ๋อได้ชี้ไปยังอวตารหมาป่าตัวใหญ่จากระยะไกล
“อวตารราชาหมาป่า ถ้าหากดูจากรูปลักษณ์ของมัน พลังนั่นคงจะเป็นพลังอวตารราชาหมาป่าหกกลีบ” เฉินเหลียงชูได้ตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่มืดมน
ในขณะที่พลังอวตารราชาหมาป่าได้ปรากฏตัวออกมา ในตอนนั้นเองดอกบัวทองคำใต้เท้าที่มีถึงหกกลีบก็ได้เบ่งบานก่อนที่จะหมุนตัวเอง
หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นได้ถามออกมาอย่างสงสัย “ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงมีพลังอวตารที่ไม่ได้อยู่ในรูปร่างของมนุษย์กันล่ะ? แปลกจริงๆ …แถมยังมีดอกบัวทองคำด้วย”
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้อธิบายออกมาอย่างช้าๆ “เส้นทางของการฝึกยุทธล้วนแต่เป็นการฝึกฝนตนที่เหล่าบรรพบุรุษได้ทิ้งไว้ให้เป็นแนวทาง ทุกๆ หนทางของการฝึกฝนมีแนวคิดที่แตกต่างกัน แนวคิดที่ว่าจะเป็นแนวทางให้สำหรับจิตใจและเจตจำนง มันก็เป็นเหมือนกับพลังลมปราณ ถ้าหากข้าต้องการที่จะสร้างกระบี่จากพลังลมปราณ มันก็จะกลายเป็นกระบี่…” ลู่โจวที่พูดเสร็จได้ยกมือขวาขึ้น ในตอนนั้นเองก็มีกระบี่พลังงานปรากฏขึ้นในมือของลู่โจว “แต่ถ้าหากข้าต้องการที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นดาบ กระบี่พลังงานก็จะแปรเปลี่ยนเป็นดาบ…” กระบี่พลังงานในมือของลู่โจวได้แปรเปลี่ยนรูปร่างต่างๆ ก่อนที่ลู่โจวจะกำหมัดแน่นเพื่อสลายพลังทั้งหมดไป
“มันก็เหมือนกับพลังอวตาร…แต่การที่จะเปลี่ยนรูปร่างของพลังอวตารหลังจากที่สร้างขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วมันเป็นเรื่องยาก โดยปกติแล้วรูปแบบของมันคงจะขึ้นอยู่กับช่วงแรกของการฝึกตน ลัทธิขงจื๊อ, ชาวพุทธ และลัทธิเต๋าต่างก็ต่อสู้กันเพื่อครองดินแดนแห่งนี้มา และเพราะแบบนั้นมวลมนุษย์ทั้งหลายก็จะได้ครอบครองการฝึกฝนตนทั้ง 3 แบบสืบต่อกันมา การฝึกฝนวรยุทธของมนุษย์ก็ได้มาถึงยุคทอง…30,000 ปีหลังจากนั้นการฝึกยุทธก็ได้แตกแขนงแนวทางไปหลายประเภทด้วยกัน วิชาที่แตกต่างกันออกไปทำให้กำเนิดพลังอวตารทั้ง 3 ประเภทออกมา ชนเผ่าอื่นที่ได้รับอิทธิพลการฝึกฝนตนจากดินแดนหยานของพวกเราก็จะมีพลังอวตารที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ ในทางกลับกันผู้ที่ไม่ได้รับอิทธิพลก็จะฝึกฝนตนตามความเชื่อของบรรพบุรุษของตัวเอง อย่างเช่นชาวรั่วหลี่มีการบูชาราชาหมาป่า และเพราะแบบนั้นพลังอวตารของพวกเขาจึงกลายเป็นราชาหมาป่าไป”
“เป็นอย่างงี้นี่เอง” หยวนเอ๋อพยักหน้าตอบรับ
“ติ้ง! ชี้แนะหยวนเอ๋อสำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 200”
เฉินเหลียงชูที่ได้ฟังอยู่ก็ได้คารวะเช่นกัน “ข้าเองก็ได้เปิดหูเปิดตาขึ้นแล้ว”
หยวนเอ๋อได้ถามต่อ “ท่านอาจารย์ชนเผ่าอื่นนอกเหนือจากพวกเรามีอีก 10,000 เผ่าใช่ไหมคะ?”
ลู่โจวไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงไม่สามารถที่จะให้คำตอบได้
แต่เฉินเหลียงชูไม่ใช่แบบนั้น ตัวเขาได้เลือกที่จะตอบออกมาแทน “แท้จริงแล้วชนเผ่าอื่นๆ ทั้ง 10,000 ชนเผ่าเคยถูกบันทึกเอาไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์เท่านั้น…เมืองของมณฑลเหลียงเป็นที่แห่งเดียวของดินแดนหยานของพวกเราที่มีคนจากทั่วทุกชนเผ่าอาศัยอยู่ ที่แห่งนี้จึงใช้ภาษาพูดที่แตกต่างกัน แน่นอนเองว่าหรงซีและหรงเป่ยเองก็เป็นเช่นกัน ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาได้หลอมรวมกับชนเผ่าอื่นด้วยผลจากสงคราม ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างก็ได้หลอมรวมกันเหมือนกับที่พวกเราได้เห็นในปัจจุบันนั่นแหละ
“มันจะน่าทึ่งเหมือนกับดินแดนหยานไหม?”
“ข้าเองก็ไม่เคยไปไกลจนพูดยืนยันได้ขนาดนั้น” เฉินเหลียงชูตอบกลับมา
หยวนเอ๋อได้ชี้ไปที่พลังอวตารราชาหมาป่าที่ลอยอยู่กลางอากาศก่อนที่จะพูดออกมา “แล้วทำไมพลังอวตารราชาหมาป่าถึงได้มีดอกบัวทองคำด้วยล่ะ? หรือว่าพวกนั้นจะเรียนรู้วิชาจากดินแดนของพวกเราอย่างลับๆ กัน…”
“เอ่อ…” เฉินเหลียงชูเองก็ไม่อาจรู้ได้ ตัวเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
“ท่านอาจารย์ ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกัน?”
‘วันนี้หยวนเอ๋อขี้สงสัยเป็นพิเศษจริงๆ’
สีหน้าของลู่โจวยังคงสงบเยือกเย็น โชคยังดีที่ผิวหนังและใบหน้าอันเหี่ยวแห้งของตัวเขาหนามากพอ เพราะแบบนั้นจึงไม่มีใครอ่านสีหน้าของเขาได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตามลู่โจวเองก็พบว่ามันแปลกเช่นกัน แม้แต่ประสบการณ์อันยาวนานของจีเทียนเด๋าเองก็ยังไม่มีคำตอบอยู่ในนั้น
ถ้าหากเป็นไปตามหลักคำสอนของลัทธิขงจื๊อ, ชาวพุทธ และลัทธิเต๋า พลังอย่างจิตวิญญาณและเจตจำนงจะเป็นตัวกำหนดรูปลักษณ์ของอวตาร…ถ้าหากชนเผ่าอื่นไม่ได้เข้าใจทฤษฎีพวกนี้ เหตุใดกันพวกเขาถึงมีดอกบัวทองคำในแบบเดียวกันได้? ใครกันที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะตอบกลับมาในที่สุด “บางที…มันอาจจะเป็นสิ่งพื้นฐานเหมือนกับการที่ทั้งมนุษย์และสัตว์ต้องหาอาหารกินเพื่อการเลี้ยงชีพ”
หยวนเอ๋อเกาหัวตัวเอง มันเป็นท่าทีที่แสดงออกได้ว่านางไม่เข้าใจสิ่งที่ลู่โจวกำลังพูด
ในตอนนั้นเองพลังอวตารราชาหมาป่าหกกลีบก็ได้พุ่งเข้าใส่พลังอวตารของหยางเยียนที่มีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบ
ตู๊ม!
การปะทะกันของพลังลมปราณได้ทำให้บรรยากาศที่อยู่รอบข้างเต็มไปด้วยลมกระโชกแรง ใครก็ตามที่เข้าใกล้พื้นที่การต่อสู้ต่างก็ถูกลมพัดล้มไป
“ผู้พิทักษ์หยาง ข้าจะช่วยท่านเอง!” ยู่ฮงพุ่งเข้าหาหยางเยียนพร้อมกับพลังอวตารดอกบัวสี่กลีบ
ตอนนี้มันกลายเป็นการต่อสู้สองต่อหนึ่งไปแล้ว
การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด ในตอนนี้ยังมีคนจากลั่วหลานอยู่ที่ด้านหลังกว่าอีกหลายร้อยคน พวกเขาทั้งหมดกำลังสนับสนุนคนจากรั่วหลี่ด้วยพลังเวทมนตร์คาถา
“เจ้าพวกใช้เวทมนตร์คาถานั่น!” หยวนเอ๋อที่เห็นเวทมนตร์คาถาก็ได้กระทืบเท้าของนางอย่างไม่สบอารมณ์ นางต้องการที่จะต่อสู้ด้วยเพื่อสังหารผู้ใช้เวทมนตร์คาถาที่แสนจะน่ารังเกียจ
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “ไม่ต้องกังวลไป เจ้าพวกนั้นเป็นเพียงผู้ใช้เวทมนตร์คาถาปลายแถม”
ถ้าหากไม่มีสุดยอดคนทรงอย่างม่อหลี่และไป่มา เวทมนตร์คาถาสนับสนุนเหล่านั้นก็คงไม่อาจเปลี่ยนทิศทางการต่อสู้ได้ นอกจากนี้พวกเขายังอยู่นอกเมืองมณฑลเหลียง ถ้าหากไม่มีเขตแดนพลังใหญ่ เวทมนตร์คาถาพวกนี้ก็คงจะใช้ไม่ได้ผลอะไรมากนัก
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ยอดฝีมือจากรั่วหลี่ได้ทำการโจมตีสามครั้งติดต่อกัน พลังอวตารราชาหมาป่าได้แยกตัวเองออกเป็นสามร่าง อวตารราชาหมาป่าสองตัวได้รุมล้อมหยางเยียนเอาไว้ในขณะที่พลังอวตารที่เหลืออีกหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับยู่ฮงแทน
หยางเยียนรีบล่าถอยกลับมาอย่างเร่งรีบ ตัวเขากำลังถอยหลังอวตารของตัวเองไปยังกำแพงเมือง
ยู่ฮงเป็นเพียงผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวสี่กลีบเพียงเท่านั้น เมื่อตัวเขาถูกการโจมตีอันรุนแรงเข้า เป็นธรรมดาที่ยู่ฮงจะกระเด็นกลับมาพร้อมกับพลังอวตารของตัวเอง
“คนจากรั่วหลี่มีฝีมือจริงๆ!”
หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นตกใจ ในตอนนั้นความต้องการที่อยากจะร่วมสู้ของนางก็ได้หายไปในทันที หยวนเอ๋อรีบกอดแขนของลู่โจวแทน
“พลังอวตารราชาหมาป่ามีพลังระเบิดทำลายล้างที่ผิดคาดจริงๆ …หยางเยียนได้ใช้พลังไปเป็นจำนวนมากกับการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ถ้าหากนี่เป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรมหยางเยียนจะไม่มีวันพ่ายแพ้แน่” ลู่โจวได้พูดออกมาหลังจากที่เฝ้ามองการต่อสู้
“เป็นอย่างงี้นี่เอง”
ปัญหามีเพียงอย่างเดียว ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมอยู่จริงๆ
พลธนูจากบนกำแพงเมืองต่างก็ใช้ลูกศรพลังงานยิงโจมตีไปที่ชนเผ่าอื่นๆ ในตอนนั้นเองก็มีผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งบินเข้ามาใกล้กับกำแพงเมือง ชายคนนั้นได้ส่งเสียงประกาศออกมาอย่างสุดเสียง “เป็นแบบนี้แย่แน่…องค์ชายสี่กำลังเปิดฉากโจมตีตอบโต้มาจากทางใต้!”
หยางเยียนกำลังลอยอยู่ที่กลางอากาศ เป็นเพราะกำแพงเมืองกว้างใหญ่จนเกินไปทำให้ตัวเขามองไม่เห็นว่าใครกันแน่เป็นผู้ประกาศข่าวเรื่องนี้ แน่นอนว่าพวกของลู่โจวเองก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน
หยางเยียนที่ได้ฟังข่าวได้พูดออกมา “หลิวปิงสมรู้ร่วมคิดกับชนเผ่าอื่นรีบแจ้งให้เจ้าสำนักทราบเร็วเข้า!”
“ครับ!”
สำนักอเวจีกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย พวกเขากำลังถูกล้อมเอาไว้แล้ว
ในตอนนี้ชาวสำนักอเวจียังสามารถพึ่งพาพลังป้องกันของเขตแดนพลังได้ ตอนนี้จึงยังไม่ต้องรีบร้อนที่จะต้องทำอะไร แต่ถ้าหากสำนักอเวจียังอยู่แบบนี้ต่อไปพวกเขาก็คงจะกลายเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบซะเอง
‘สีวู่หยากำลังคิดที่จะเล่นอะไรอยู่กันแน่?’