My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 670-675
ตอนที่ 670
“พวกคุณสองคนควรจะอยู่ที่นี่ ถ้ามีใครตกลงมาจากด้านบน ช่วยจับเขาเอาไว้” เฉินเกอวางกระเป๋าที่มีเจ้าแมวขาวเอาไว้บนพื้น และเขาก็วิ่งขึ้นบันไดไปพร้อมค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลก
“ระวังตัวด้วย!” ไม่ว่าชายขี้เมาจะร้องดังแค่ไหน เฉินเกอก็ไม่ชะงัก การช่วยเหลือคนนั้นเป็นเรื่องของความสะดวก เป็นทางผ่านเท่านั้น ตั้งแต่ที่เฉินเกอก้าวเท้าเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน เป้าหมายแท้จริงของเขาก็คือเงานั่น ตัวตนที่ลึกลับและยังมีรายละเอียดมากมายเชื่อมโยงกับตัวเขาเอง มีเพียงแค่จับเงานั่นได้ที่เฉินเกอจะปล่อยให้ตัวเองสบายใจขึ้นได้
“ฉันต้องเค้นข้อมูลเกี่ยวกับพ่อแม่ของฉันจากเงานั่นได้เยอะแน่ ๆ” ก่อนที่จะเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน เขาก็ได้คิดถึงช่วงเวลานี้ไว้แล้ว แต่ว่า แผนการเดิมของเขานั้นคือการให้ชายหน้ายิ้มและรองเท้าส้นสูงสีแดงช่วยเขาดูลาดเลาข้างหน้า โชคร้าย การปรากฏตัวของคุณหมอเกานั้นทำให้แผนการของเขานั้นยุ่งเหยิงไปหมด
“แต่จะว่าไปแล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็ยังนับเป็นข้อได้เปรียบของฉันอยู่” ที่นอกตึก คุณหมอเกานั้นถูกซู่อินล่อไปและนี่ก็เปิดโอกาสอันหายากให้เฉินเกอ
“ปิศาจนั่นกำลังรอคุณอยู่ที่ด้านบนนี่ อย่าขึ้นมา!” คราวนี้เป็นมือกรรไกรพูดขึ้น สภาพของเขานั้นไม่ดีนัก จุดเลือดจาง ๆ ปรากฏอยู่บนตัวเขาราวกับหลอดเลือดฝอยใต้ผิวของเขาทั้งหมดแตกออกพร้อม ๆ กัน
“เขากำลังรอฉันอยู่ ฉันเองก็ตามหาเขาอยู่เหมือนกัน!” เฉินเกอวิ่งเร็วขึ้น ที่ด้านหลังเขา เจ้าแมวขาวคลานออกจากกระเป๋า มันตามหลังเฉินเกอมาติด ๆ การเคลื่อนไหวของมันนั้นคล่องแคล่ว เด็กที่ชั้นเจ็ดนั้นกำลังใช้กลุ่มของมือกรรไกรเป็นเหยื่อล่อเฉินเกอให้รุดขึ้นมาอย่างชัดเจน พวกเขาได้รับคำสั่งเข้มงวดมา เมื่อเฉินเกอปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็ปล่อยตัวคนที่จับมาและหนีไปทันที
“ส่งมือให้ฉัน!” เฉินเกอลากมือกรรไกรกับชายขี้เมาไปยังที่ปลอดภัย ไม่มีเชือกหรืออะไรแบบนั้นที่รอบตัวพวกเขา แต่จากกริยาของพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้รับความเจ็บปวดจากปฏิกริยาตอบสนองต่อบางอย่าง ร่างกายของพวกเขานั้นถูกความเจ็บปวดทำลาย และแค่ยืนขึ้นก็ยังเป็นเรื่องยาก
“คุณเดินเองไหวไหม?” จากนั้นเฉินเกอก็ลากหมอไปที่ด้านข้าง พิษของคุณหมอยังไม่ได้รับการรักษา
“ทิ้งพวกเราไว้ เหตุผลที่เงานั่นไม่ฆ่าพวกเราก็เพราะว่าเขาวางแผนจะใช้พวกเราถ่วงคุณเอาไว้ เจ้านั่นจะไม่หยุดหากยังทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จ” หมอพึมพำอ่อนแรง
“ในเมื่อคุณยังพูดจบประโยคได้ ดูเหมือนว่าคุณจะค่อย ๆ ดีขึ้นแล้ว” เฉินเกอกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาที่บ้านของฟ่านฉง แต่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแตะหลังคอเขา พอหันกลับไปมอง หัวของชายมีรอยสักกลับกลิ้งลงมาจากชั้นที่แปด ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาของเขาถลนออกมา รอยสักกะโหลกศีรษะคนที่บนแขนของเขานั้นถูกดึงออกจากผิวของเขาอย่างเหี้ยมโหด เด็กสีหน้าไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกหลายคนยืนอยู่รอบตัวเขา พวกเขาถือแปรงระบายสีเอาไว้ในมือและกำลังใช้เลือดของชายมีรอยสักวาดรูป
“ผู้ชายคนนี้ตายแล้ว?” เด็กพวกนี้นั้นไร้ความรู้สึกและไร้อารมณ์ยิ่งกว่าที่ชั้นล่าง ๆ วิธีการที่พวกเขาปฏิบัติกับคนเป็นเหมือน ‘ของเล่น’ นั้นทำให้เฉินเกอเย็นวาบไปตามสันหลัง
“ชายมีรอยสักตายแล้ว ถ้าพวกเรายิ่งขึ้นไปชั้นบน ๆ ก็จะยิ่งมีจุดจบที่เลวร้าย ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่ามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเหมินหนานและเหล่าโจวแล้ว?” เฉินเกอเป็นห่วง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักได้ว่าพนักงานที่มักจะอยู่กับเขาเสมอนั้นมีความสำคัญเพียงใด โดยที่ไม่ทันรู้ตัว เขาก็ได้รับคนเหล่านี้มาเป็นครอบครัวและเพื่อนสนิทไปแล้ว
ศพของชายมีรอยสักถูกเด็ก ๆ ผลักลงบันไดไป มันหล่นลงไปต่อหน้าต่อตาเฉินเกอ ชีวิตอันแสนมีค่าจบลงทั้งอย่างนี้– นี่เป็นธรรมชาติของโลกที่ด้านหลังประตู ในโลกแห่งฝันร้ายที่ถักทอขึ้นจากความสิ้นหวังและความเจ็บปวด ชีวิตและความหวังนั้นเป็นสิ่งที่บอบบางที่สุด
หลังจากศพของชายมีรอยสักกระแทกกับพื้นดังตุบ เด็ก ๆ ก็กระจายตัวออกไปเหมือนทำภารกิจสำเร็จแล้ว สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในช่องบันไดก็คือภาพวาดที่วาดขึ้นด้วยเลือดของชายมีรอยสัก
หลังจากเด็ก ๆ จากไป เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ก็ดังมาจากชั้นที่สิบ ใบหน้าของเด็ก ๆ ที่ด้านบนนั้นไม่มีความโง่ทึบ ใบหน้าของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส แต่สิ่งที่พวกเขากำลังทำนั้นทำให้เฉินเกอกัดฟัน
เด็ก ๆ หลายคนกำลังจับผีโทรศัพท์ ถงถง เอาไว้ ร่างของเขานั้นถูกดึงจากหลายทิศทางจนร่างเริ่มผิดรูป โทรศัพท์ที่แสนสำคัญของเขานั้นถูกเอาไปไกล ๆ และเด็ก ๆ ก็ลบข้อความที่แม่ของถงถงส่งให้เขาทีละประโยคต่อหน้าต่อตาเด็กชาย
เด็ก ๆ เหล่านี้นั้นเป็นยิ่งกว่าสัตว์ที่ถูกเงานั่นเลี้ยงดูมาและไม่สามารถเรียกเป็นเด็กได้อีกต่อไป พวกเขาถูกสอนให้เกลียดชังสิ่งดีงามทั้งหมดบนโลกนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมองความรักเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก เฉินเกอมีความรู้สึกว่าเงานั่นฝึกเด็กพวกนี้เหมือนเป็นลูกศิษย์ของมัน เปลี่ยนพวกเด็ก ๆ ไปเป็นสัตว์ประหลาดอย่างที่มันเป็น
พนักงานทุกคนที่บ้านผีสิงนั้นมีเรื่องราวของตนเอง และเรื่องราวของถงถงนั้นก็ทำให้เฉินเกออ่อนไหวที่สุด เหตุผลที่เขาโอบอุ้มเด็กคนนั้นไว้ใต้ปีกของตัวเองไม่ใช่แค่เพราะพลังของเขาแต่ยังเพราะสัญญาที่เขาให้ไว้กับแม่ของถงถง ถงถงไม่ได้ขัดขืนหรือร้องไห้ เขาเคยชินกับทั้งหมดนี้แล้ว เขาเคยประสบกับบางอย่างที่คล้ายกันนี้ทั้งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่และตอนที่ยังทำงานให้กับฮั่นเป่าเอ๋อร์ของสมาคมเล่าเรื่องผี แต่ว่า ยิ่งเขามีท่าทีเช่นนี้ เฉินเกอก็ยิ่งเจ็บปวดใจ
เด็ก ๆ รู้ว่าถงถงนั้นดึงดูดความสนใจของเฉินเกอได้แล้ว พวกเขาแบกถงถงขึ้นบันไดไปชั้นสูงขึ้นไปอีก เห็นได้ชัดเจนว่าพยายามล่อเฉินเกอให้ตามพวกเขาไป
“เฉินเกอ! อย่าตามพวกเขาไป!” หลี่เจิ้งลากเจียหมิงขึ้นบันไดมาห้ามเฉินเกอไว้ “พวกเรามีคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่กับพวกเราแล้ว พวกเราต้องพาพวกเขาออกไปจากที่นี่ ตอนที่ฉันเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน ฉันติดต่อเจ้าหน้าที่คนอื่นที่สถานีเอาไว้ กำลังเสริมจะมาถึงที่นี่ในไม่ช้า”
“ไม่มีกำลังเสริม ผมต้องการให้คุณกับเจียหมิงช่วยผมแบกคนพวกนั้นลงบันไดไป พยายามย้ายพวกเขาไปให้ไกลจากที่นี่เท่าที่ทำได้” เฉินเกอขมวดคิ้วนิด ๆ เขาพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนไปทีละหน้าแต่ไม่เจออะไรที่จะไม่กระตุ้นความสนใจของหลี่เจิ้งกับเจียหมิงเลย เขาทำทั้งหมดนี้ด้วยเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที
“คุณจะไม่ออกไปกับพวกเราเหรอ? คุณกำลังจะทำอะไร?” หลี่เจิ้งพยายามหยุดเฉินเกอเอาไว้สุดความสามารถ
“ผมไม่เก่งเรื่องสอนเด็ก ดังนั้นผมจึงได้แต่นับเด็ก ๆ ที่รังแกคนอื่นนั้นเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง และถ้าพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ เรื่องก็ง่ายขึ้น” เฉินเกอยกค้อนขึ้นขณะพึมพำชื่อหนึ่ง ในช่องบันไดแคบ ๆ กลิ่นเลือดหนาหนักอวลตลบ มือบิดเบี้ยวข้างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ข้างกายเฉินเกอก่อนที่จะแตะลงบนไหล่ของเขาช้า ๆ
“จับพวกเขาทุกคน พาพวกเขากลับไปกับพวกเราให้พวกเราได้สั่งสอนบทเรียนที่ถูกต้องให้พวกเขา”
ศีรษะที่ห้อยหลวม ๆ อยู่บนไหล่เงยขึ้นช้า ๆ ด้วยตัวเอง ร่างกายที่เสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ค่อย ๆ ดีขึ้นขณะที่เธอเงยหน้าขึ้น วิญญาณสีเลือดจากอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นถูกเรียกออกมา เธอดูเหมือนจะมีธรรมชาติที่หวาดระแวงโลกที่ด้านนอกอุโมงค์ พอหมอกเลือดบาง ๆ เข้ามาล้อมร่างเธอเอาไว้ มันก็ทำให้เธอปรารถนาจะฆ่าทุกอย่างตรงหน้า
หลังจากซู่อินล่อคุณหมอเกาไปแล้ว ไป๋ชิวหลินก็อ่อนแอเกินกว่าจะรับมือกับเรื่องอันตรายอื่น ๆ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง เฉินเกอใช้ไพ่ตายอีกใบของตัวเอง– ผู้หญิงจากอุโมงค์
มีวิญญาณสีเลือดตนหนึ่งนำทาง เขาก็สามารถตามไปได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าเมื่อใด วิญญาณสีเลือดก็ยังเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุด ตอนที่เด็ก ๆ ในตึกเห็นวิญญาณสีเลือดตรงเข้าไปหา พวกเขาก็เริ่มวิ่งหนีและซ่อนตัวตามสัญชาตญาณ เด็กหลายคนที่แบกถงถงอยู่นั้นก็สลัดรอยยิ้มทิ้งแล้ว พวกเขาพุ่งไปข้างหน้าเหมือนชีวิตของตัวเองขึ้นกับการทำเช่นนั้น จากที่เฉินเกอเห็น มันเหมือนเด็ก ๆ เหล่านี้นั้นทำภารกิจสำเร็จแล้ว ซึ่งก็คือล่อเฉินเกอขึ้นไปที่ชั้นบน
“ชั้นบนสุดอันตรายมาก! อย่าไปที่นั่น!” หลี่เจิ้งร้องออกมาอย่างเร่งร้อนอยู่ที่ด้านหลัง เขาดูเหมือนจะมีข้อมูลบางอย่างจากเจียหมิง ด้วยสถานการณ์เร่งร้อน เขาทิ้งมือกรรไกรและชายขี้เมาเอาไว้แล้วไล่ตามเฉินเกอมา
มีวิญญาณสีเลือดนำทาง เฉินเกอจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายที่อาจจะปรากฏขึ้นระหว่างทาง เขาสงบใจลงหาคำถามให้กับคำถามสำคัญสองสามข้อ
“รูปวาดที่ผีปากกากับเอี๋ยนต้าเหนียนร่วมมือกันนั้นบอกว่าเหล่าโจวและเหมินหนานซ่อนตัวอยู่ในห้องเล็ก ๆ พวกเขาไม่ได้ถูกจับเอาไว้แต่ว่าถูกกักตัวเอาไว้ชั่วคราว หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เงานั่นไม่ได้ควบคุมสถานการณ์ได้เต็มที่อย่างแท้จริง เขามัวแต่สู้อยู่กับคุณหมอเกา และเขาก็หายตัวไปจากสายตาของฉันแค่ไม่นานเท่านั้น แล้วเขาจะติดตั้งกับดักมากมายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้อย่างไร?
“เงานั่นสู้กับจางหยามาก่อน และเขารู้ว่าฉันมีวิญญาณสีเลือดเก่งกาจอยู่กับฉัน ดังนั้น ความเป็นไปได้เดียวที่เขาคิดได้ก็คือจัดการกับวิญญาณสีเลือดตนนั้นก่อนเขาถึงจะจัดการกับฉันได้ แต่ฉันสงสัยว่ากับดักที่ทรงพลังเช่นนั้นไม่น่าสามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยเวลาสั้น”
เฉินเกอรู้ทั้งหมดนี้ดี เขาหรี่ตา และจู่ ๆ ก็มีรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างหนึ่งผ่านเข้ามาในใจเขา
“ฉันรู้แล้ว!” เฉินเกอพุ่งขึ้นบันไดไปโดยไม่ลดความเร็วลง ยิ่งขึ้นมาชั้นสูง ๆ เด็ก ๆ ก็ดูจะมีความอาฆาตแค้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น พวกเขาเปลี่ยนจากวิญญาณสัมภเวสีไปเป็นวิญญาณอาฆาต พอเลยชั้นที่สิบเอ็ด เสื้อของเด็กบางคนมีรอยเลือดเปื้อน และเฉินเกอยังเห็นชายหนุ่มที่เป็นกึ่งวิญญาณสีเลือดตนหนึ่ง หากไม่มีความช่วยเหลือจากผู้หญิงในอุโมงค์ แค่เขากับไป๋ชิวหลิน การเดินทางของพวกเขาน่าจะหยุดอยู่ที่ชั้นสิบเอ็ดแล้ว
แต่ว่า กระทั่งมีความช่วยเหลือของเธอ การเดินทางของพวกเขาก็ไม่ได้ง่าย รูปวาดสลับซับซ้อนเริ่มปรากฏขึ้นที่บนกำแพง พวกมันวาดขึ้นด้วยของเหลวสีเข้มชนิดพิเศษบางอย่าง เฉินเกอเคยเจอของเหลวเช่นนี้ที่โรงแรมก่อนหน้านี้ มันสามารถส่งอิทธิพลบางอย่างกับวิญญาณสีเลือดได้ ตอนนี้เฉินเกอเริ่มเสียใจที่ใช้ของดีเช่นนี้ท้าทายหญิงไร้หัว มองไปที่กำแพง รูปวาดที่บนกำแพงล้วนใช้ของเหลวชนิดนี้ และพอเดินผ่านพวกมันเฉินเกอก็รู้สึกไม่ดีอย่างยิ่ง
“รูปวาดทั้งหมดดูหยาบ เหมือนเป็นผลงานของเด็กขี้เบื่อสักคน รูปวาดพวกนี้เป็นผีทารกวาดขึ้นหรือเปล่า?”
ผู้หญิงที่เดินอยู่ด้านหน้านั้นได้รับความกดดันมากที่สุด และสภาพของเธอก็ดูไม่ดีนัก
“รูปวาดเหล่านี้สามารถทำให้วิญญาณสีเลือดอ่อนแอลงได้ มันเป็นบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวตนที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือดใช่หรือเปล่า?” มองรูปวาดเหล่านั้นแล้วเฉินเกอก็พบว่าพวกมันก็แค่บันทึกถึงกิจกรรมประจำวันธรรมดา ๆ แต่เพราะอะไรไม่รู้ พวกมันทำให้เฉินเกอขนลุกชัน เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงได้หวาดกลัวสิ่งเหล่านี้ “เป็นไปได้ไหมว่ารูปที่บนกำแพงนั้นบอกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ฉันเคยเจอมา? แต่ทำไมฉันถึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย? ไม่ นี่น่าจะเป็นความทรงจำของผีทารก– พวกมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย”
“เฉินเกอ! เธอกำลังจะทำอะไร? รีบตามฉันกลับไปข้างล่าง!” หลี่เจิ้งและเจียหมิงตามหลังเขามาติด ๆ รูปวาดดูเหมือนจะไม่มีผลกับมนุษย์ธรรมดานัก พวกเขาไม่รู้สึกถึงความอาฆาตแค้นลึกซึ้งและความเกลียดชังที่อยู่ในรูปวาด
“พวกเขาเป็นพนักงานของผม แล้วผม ที่เป็นเจ้านาย จะทิ้งพวกเขาแล้ววิ่งหนีไปคนเดียวได้ยังไง?”
ผู้หญิงในอุโมงค์และเฉินเกอทนรับแรงกดดันและไปถึงที่ชั้นบนสุดของตึก แต่ว่าถงถงนั้นหายตัวไปแล้ว ทั้งหมดที่เฉินเกอเห็นก็คือประตูสู่ชั้นดาดฟ้าซึ่งเปิดอยู่ครึ่ง ๆ
“เงานั่นทำของตั้งมากมายมาเพื่อล่อฉันมาที่นี่?” ประตูที่นำไปสู่ชั้นดาดฟ้านั้นปกคลุมไปด้วยรูปวาดสีดำ แต่เนื้อหาของรูปวาดนั้นต่างไปจากที่บนกำแพง พวกมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตแล้ว แต่ว่าพูดถึงภาพการตายมากมายที่โหดร้ายอย่างไม่เป็นไปได้
เด็กในรูปวาดประสบกับความตายหลากหลายรูปแบบและเขาก็โดดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่เข้าใจความหมายของการมีตัวตนของเขาเหมือนจุดมุ่งหมายในการมีชีวิตของเขาก็เพื่อรอคอยและประสบกับความตายที่โหดร้ายมากขึ้นไปอีก
รูปวาดสีดำเมื่อมองจากที่ไกล ๆ ดูเหมือนจะก่อตัวเป็นรูปร่างของมนุษย์คนหนึ่งและที่น่าสงสัย เงาร่างของมนุษย์ผู้นั้นเข้ากับได้กับเฉินเกอดีเกินไปสักนิด สีของหมึกที่ส่วนล่างของภาพวาดประหลาดนั้นค่อนข้างจาง เมื่อภาพวาดเพิ่มมากขึ้น มันก็ยิ่งเข้มขึ้น มันเหมือนสัตว์ประหลาดนั้นเติบโตมากขึ้นทุกครั้งที่กลับมาและใช้ภาพวาดนี้เติมเต็มร่างกายของมัน
ตอนแรก รูปร่างของภาพวาดนั้นน่าจะเป็นเด็กคนหนึ่ง แต่มันเติบโตขึ้นตามเวลา เหมือนเฉินเกอ แต่ว่า การเติบโตของเฉินเกอนั้นมีแสงสว่างและความหวัง ขณะที่การเติบโตของสิ่งที่บนประตูนั้นเต็มไปด้วยความน่ากลัวต่าง ๆ และการตายอันเหี้ยมโหด
“ถงถงอยู่ด้านหลังประตูนี่” เฉินเกอมองที่ประตูที่นำไปสู่ดาดฟ้าและเขาก็รู้สึกเหมือนสติของตัวเองเลือนลาง มันเหมือนกับวิธีการตายค่อย ๆ ไชเข้าไปในจิตใจของเขา พยายามทำให้ตัวมันเองกลายเป็นความทรงจำของเขา
“ฉันไม่เคยเจออะไรอย่างนี้! นี่ไม่ใช่ความทรงจำของฉัน!” เฉินเกอยกค้อนขึ้นและคิดจะทุบประตูตรงหน้า เหมือนกับเขารู้สึกว่าถ้าประตูพัง ความทรงจำอันเจ็บปวดที่ไม่ได้เป็นของเขาจะหายไป
สีหน้าของเขาบิดเบี้ยว และตอนที่ค้อนกำลังจะตวัดลงนั้น เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่รอบหัวใจของตัวเองเหมือนมีใครเอาเข็มจิ้ม ความเจ็บปวดระลอกสั้น ๆ ทำให้เฉินเกอหลุดออกจากความสับสน ในครู่สั้น ๆ นี้ หลังของเขาเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ เฉินเกอเอื้อมมือเข้าไปในหน้าอกตัวเองแล้วดึงกุญแจที่หน้าตาเหมือนกันสองดอกออกมาจากกระเป๋าหน้าอก
“กุญแจแห่งการรู้ตน?” สนิมที่บนกุญแจนั้นส่วนใหญ่หลุดออกไปแล้ว เฉินเกอยังไม่เข้าใจวิธีการที่ถูกต้องในการใช้กุญแจดอกนี้ แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นกุญแจที่ช่วยเขาเมื่อครู่นี้
“ถ้าความทรงจำของเขาหลอมรวมเข้าเป็นของฉัน อย่างนั้นผลที่ตามมาก็ยากที่จะจินตนาการแล้ว” เฉินเกอวางค้อนและมองไปยังประตูที่เปิดครึ่ง ๆ อยู่ เหมือนคนบ้าคนหนึ่ง เขาพูดกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต “แกเป็นใคร ทำไมแกถึงได้เกลียดฉันขนาดนี้?”
“พวกเราไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว รีบออกไปเดี๋ยวนี้!” หลี่เจิ้งมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างตื่นตัว มือของเขาขยับไปที่ปืนที่ตรงเอว เขากำลังจะดึงมันออกมาแล้วตอนที่เฉินเกอหันกลับมามองที่เขาช้า ๆ
“แกเป็นใคร?” ดวงตาของเฉินเกอแดงก่ำ มือถือค้อนเอาไว้
“ผม? ผมคือหลี่เจิ้ง! เฉินเกอ เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?” มือของหลี่เจิ้งอยู่ที่ซองปืน เขาอยากจะดึงปืนออกมา แต่ว่าเขาพบว่าเฉินเกอนั้นคงจะทุบมือเขาก่อนที่เขาจะเอื้อมถึงปืน
“แกไม่ใช่หลี่เจิ้ง” เสียงของเฉินเกอแหบแห้ง “แกพูดก่อนหน้านี้ว่าตอนที่แกเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน แกติดต่อคนที่เหลือที่สถานี ตอนนั้น แกไล่ตามเจียหมิงมาคนเดียว ตอนที่พวกเราเจอกันที่โรงแรม ฉันไม่เห็นแกพกวิทยุติดตามตัวมาด้วย และรัศมีทำการของวิทยุติดตามตัวก็จำกัด ดังนั้นฉันจึงเชื่อว่าแกใช้โทรศัพท์ของแกสื่อสารกับคนที่เหลือในทีมของแก”
“แล้วมีอะไรไม่ถูกต้องถ้าจะใช้โทรศัพท์ของผม?”
“ก่อนที่จะเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน ฉันได้รับข้อความจากแก เสียงของแกและรูปแบบการพูดนั้นคล้ายกับของสารวัตรหลี่ แต่เพราะสถานการณ์พิเศษของฉัน ฉันรับสายแกไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงให้แกส่งข้อความหาฉัน” ดวงตาของเฉินเกอเต็มไปด้วยเลือด แต่เสียงของเขาก็สงบลงอย่างช้า ๆ “ตอนที่คุณหมอเกาสู้กับเงานั่น มันเป็นเวลาเดียวกับที่พวกแกทั้งหมดหายตัวไป ตอนนี้ที่เงานั่นเลิกสู้กับคุณหมอเกา แกก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง นี่มีความหมายเดียวก็คือเงาคือหนึ่งในพวกแกที่หายตัวไป”
หลี่เจิ้งยังอยากจะพูดบางอย่างแต่ว่าถูกเฉินเกอขัดขึ้น
“แกกลัวจะถูกเปิดโปง ดังนั้นแกจึงใช้ไพ่ตายของแกก่อนที่ควรจะเป็นและให้คำสาปแพร่เข้าใส่คนที่กำลังรออยู่นอกอุโมงค์ ด้วยวิธีนั้น แกสามารถปิดบังตัวตนแท้จริงของแกเอาไว้ได้ต่อ” เฉินเกอก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง และผู้หญิงจากอุโมงค์ก็คอยป้องกันอยู่ข้างกายเขา “ในตอนแรก ฉันก็แค่สงสัย แต่ตอนนี้ ในที่สุดฉันก็แน่ใจว่าแกคือเงานั่น”
เขาเปิดหนังสือการ์ตูนและปล่อยลูกสุนัขสีดำอ่อนแอและดูป่วยตัวหนึ่งออกมา ลูกสุนัขดูยินดีมากเมื่อเห็นเฉินเกอ แต่เมื่อมันเห็นหลี่เจิ้ง มันก็ร้องครวญครางอย่างงุนงง
“แกคือตัวตนที่พิเศษที่สุดสำหรับมัน แกอาจจะสามารถหลอกพวกเราที่เหลือได้ แต่แกไม่มีทางสามารถหลอก ‘คน’ ที่เห็นแกเป็นโลกทั้งใบได้” เฉินเกอหันไปมองสุนัขดำที่เขานำมาจากบ้านสุนัขด้วย
เห็นสุนัขสีดำ มือของหลี่เจิ้งที่ขยับไปยังปืนก็คลายออกช้า ๆ ความกระวนกระวายและความโกรธที่บนหน้าของเขาค่อย ๆ สลายไป และมันก็แทนที่ด้วยความสงบ
“นี่ช่างย้อนแย้งเสียจริง นี่คือสิ่งดีงามเดียวที่ฉันทำในชีวิต และมันก็กลายเป็นเงื่อนงำให้แกมองผ่านการปลอมตัวของฉันได้” หลี่เจิ้งมองลูกสุนัขและความเย็นชาในดวงตาของเขาก็ทำให้ลูกสุนัขขดตัวอย่างหวาดกลัว “ฉันน่าจะฆ่ามันซะ ตอนนั้น ฉันรู้สึกว่ามันสนุกดีที่จะปล่อยให้มันถูกทรมานเรื่อย ๆ”
เมื่อเขาพูดจบ หลี่เจิ้งก็หลับตาลง ร่างกายของเขาแตกสลายลงไปกับพื้น แต่เงาของเขากลับลุกขึ้นยืนในท่าเดิมก่อนหน้านี้
ตอนที่ 671
ขณะที่เฉินเกอวิ่งขึ้นบันไดมา หลายอย่างวิ่งวุ่นอยู่ในความคิดเขา เงาและคุณหมอเกานั้นได้รับบาดเจ็บเท่า ๆ กัน และกับดักชนิดไหนกันที่เงานั่นจะสามารถติดตั้งได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ?
เงานั่นไม่รู้ว่าเฉินเกอมีไพ่ตายอยู่มากแค่ไหน และถ้าเฉินเกอมีโอกาสเรียกวิญญาณสีเลือดของเขาออกมา อย่างนั้นโอกาสที่เงานั่นจะชนะก็ลดลง ต่อให้เขาชักนำเฉินเกอเข้าสู่กับดักได้ ด้วยการปกป้องจากวิญญาณสีเลือดชั้นสูง มันก็ไม่แน่ใจว่าเฉินเกอจะตายแน่ ๆ ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เงานั่นอาจจะใช้วิธีการอื่นฆ่าเฉินเกอ อย่างละทิ้งความช่วยเหลือจากผีและใช้บางอย่างที่ตรงไปตรงมามากกว่าอย่างปืนของหลี่เจิ้ง
ถ้าเฉินเกอนั้นไม่สงสัยหลี่เจิ้ง เขาย่อมไม่เรียกวิญญาณสีเลือดมาปกป้องตัวเองตอนที่หลี่เจิ้งเข้ามาใกล้ เงานั่นแค่ต้องปิดบังความคิดชั่วร้ายของตัวเองเอาไว้เพื่อป้องกันการตรวจจับจากวิญญาณสีเลือด จากนั้น เขาก็แค่ต้องดึงปืนออกมาแล้วกดไกเบา ๆ และเฉินเกอก็จะตาย เทียบกับการสร้างกับดักที่อาจจะไม่มีประโยชน์แล้ว นี่เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุด
เงานั่นรู้ว่ายิ่งเฉินเกอขึ้นมาสูงเท่าไร่ พลังของวิญญาณสีเลือดก็จะถูกกดเอาไว้มากเท่านั้น สารสีดำนี่น่าจะมาจากตัวตนที่ทรงพลังยิ่งกว่าวิญญาณสีเลือด และมันก็มีอิทธิพลต่อวิญญาณสีเลือดเป็นอย่างยิ่ง ด้วยข้อได้เปรียบนี้ โอกาสที่เงานั่นจะชนะก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
อันที่จริง ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายกลับเป็นอะไรที่ทำให้เขาประหลาดใจ ก่อนที่เขาจะทันได้ดึงปืนของหลี่เจิ้งออกมา เฉินเกอก็มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาก่อนแล้ว ในทางเดินมืดมิด หมอกสีเลือดลอยกระเพื่อม เสียงเด็กร้องไห้ก้องอยู่ใกล้ ๆ
เงานั่นยืนห่างจากเฉินเกอไปหลายเมตร รูปร่างของมันค่อย ๆ เปลี่ยนไปช้า ๆ และความสูงของมันก็ถูกเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเปลี่ยนไปเป็นคนที่ดูคล้ายเฉินเกอ
“แกดูไม่เหมือนว่าไม่พร้อมจะเจอหน้าฉันนะ” เฉินเกอมองเงานั่น และความรู้สึกประหลาดก็ท่วมเข้ามา มันเหมือนเขากำลังพูดอยู่กับกระจกเงาในตอนกลางดึก
“แกผิดแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่แกทอดทิ้งฉัน ฉันก็รู้ว่าวันนี้จะมาถึง แต่ฉันยอมรับ มันค่อนข้างต่างจากที่ฉันวางแผนเอาไว้” เสียงของเงานั่นเปลี่ยนไปช้า ๆ และเสียงของมันก็ฟังคล้ายกับเฉินเกอขึ้นเรื่อย ๆ “ฉันคิดว่าครั้งถัดไปที่เราพบกัน ฉันจะเป็นมนุษย์ และแกจะเป็นเงา”
“แกอยากให้ฉันเป็นเงาของแกขนาดนั้นเลยเหรอ?” เฉินเกอยืนอยู่ที่เดิม เงานั่นสามารถรับมือกับจางหยาได้ ดังนั้นพลังของมันย่อมเท่า ๆ กับวิญญาณสีเลือดชั้นสูง ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะบาดเจ็บหนักจากคุณหมอเกา มันก็ไม่ได้หมายความว่าเฉินเกอจะสามารถประมาทได้
“คนที่ไม่มีเงาไม่ใช่คนของโลกนี้ ฉันหวังว่าแกจะมาเป็นเงาของฉันแล้วฉันก็จะสามารถให้แกได้ประสบกับความตายทั้งหมดที่ฉันเจอมาก่อน” เสียงนั้นเปลี่ยนไปจนเหมือนกับเสียงของเฉินเกอโดยสมบูรณ์
“แกเกลียดฉันมากขนาดนั้น แต่ฉันเคยทำอะไรให้แกกัน?” เฉินเกอไม่คิดว่าเขาจะความจำเสื่อม และในความทรงจำของเขา เขาไม่ได้ทำอะไรที่เหนือธรรมชาติเลยตอนเด็ก ๆ
“ดูเหมือนว่าแกจะลืมทุกอย่างไปจริง ๆ แต่ว่ามันก็ไม่สำคัญแล้ว ฉันช่วยให้แกจำทุกอย่างได้ ในประตู นอกประตู แกกับฉัน แกที่ในประตู และในที่สุด ฉันที่นอกประตู” ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ ร่างของเงานั่นสูงขึ้น มันยืนอยู่บนบันไดขั้นต่ำกว่า แต่มันกลายเป็นสูงกว่าเฉินเกอ “แกไม่ได้ทำอะไรกับฉัน แกใช้ชีวิตภายใต้แสงอาทิตย์ ล้อมรอบด้วยความอบอุ่น เสียงหัวเราะ และความหวัง แกมีความสุขกับทุกอย่างดี ๆ ในชีวิต แต่ว่า คำสาป เสียงหัวเราะเยาะ และความแค้นลึกซึ้งที่คนอื่นมุ่งไปที่แกล้วนถูกถ่ายเทมาที่ฉัน!”
“อารมณ์ด้านลบทั้งหมดของฉันอยู่กับแก?” คิ้วของเฉินเกอเลิกขึ้น
“ความรู้สึกด้านลบไม่เพียงพอที่จะอธิบายความสิ้นหวังอย่างที่สุดที่ฉันค่อย ๆ จมลงไปหรอก ฉันเห็นตัวเองจมลงไปช้า ๆ แต่ว่าฉันก็ส่งเสียงอะไรไม่ได้ คอของฉันถูกรัดเอาไว้ และร่างกายของฉันก็ถูกตัดเป็นชิ้น ๆ ฉันอ้าปากไม่ได้ ฉันหายใจไม่ได้ ฉันตายไม่ได้ถึงแม้ว่าจะอยากตายแค่ไหนก็ตาม!” เสียงของเงานั่นดังขึ้นเรื่อย ๆ “เดิมที ฉันไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร ต่อให้ฉันต้องอยู่กับคำสาปไร้ที่สิ้นสุด ต่อให้ฉันต้องลอยอยู่ในทะเลแห่งความสิ้นหวัง ต่อให้ฉันต้องประสบกับความเจ็บปวดที่แกคิดภาพไม่ถึง ฉันก็ไม่เคยคิดจะทำร้ายใครอื่น”
ร่างกายของเงานั่นขยายใหญ่และบิดเบี้ยว รูปวาดที่บนกำแพงราวกับจะมีชีวิตขึ้นมาเช่นกัน เงาดำในรูปวาดตายซ้ำแล้วซ้ำอีก
“จากนั้น วันหนึ่ง ฉันที่สิ้นหวังอย่างที่สุดก็เห็นประตูที่บ้านของแก!”
ถ้อยคำของเงานั่นทำให้เฉินเกอตื่นตัวขึ้นทันที เขารู้ว่ามีประตูอยู่ในห้องน้ำบ้านผีสิง แต่เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนเปิดประตู “แกคือคนที่ผลักเปิดมัน?”
“ตอนที่คำสาปลากฉันลงไปนรกที่ลึกที่สุด ประตูก็อยู่ตรงนั้นแล้ว แต่ความสิ้นหวังของฉันไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะเปิดประตู มันแค่เพียงพอให้ฉันได้ยินเสียงจากด้านหลังประตูเท่านั้น” สภาพชวนหายใจไม่ออกที่แผ่ออกมาจากเงานั่นขยายกว้างขึ้น “มีบางคนเรียกชื่อแกจากด้านหลังประตู แกน่าจะไม่ได้ยินมัน แต่ว่าฉันตอบรับแทนแกแล้ว”
น้ำเสียงเจ้าเล่ห์และไหลลื่นของเงานั่นทำให้ขนที่หลังคอเฉินเกอลุกชัน “และตั้งแต่วินาทีนั้นที่ฉันตระหนักได้ว่า ทำไมฉันถึงเป็นแกไม่ได้? ทำไมฉันถึงต้องทนทุกข์อยู่ในความมืดมิดขณะที่แกอาบอยู่ในแสงอาทิตย์? ฉันเป็นเงาของแก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องทนรับความเจ็บปวดที่ควรจะเป็นของแก!”
ตอนที่เขาพูดคำสุดท้าย แขนข้างหนึ่งก็เอื้อมออกมาจากจุดที่ควรเป็นหัวใจของมันและพุ่งเข้าใส่เฉินเกอ มันกะทันหันเหมือนทุกอย่างที่มันพูดก่อนหน้านั้นเป็นแค่การดึงดูดความสนใจเตรียมพร้อมให้กับการลอบโจมตีนี้ เงานั่นได้รับบาดเจ็บในการต่อสู้กับคุณหมอเกา รูปร่างของมันจางลง แต่แขนข้างนี้ที่ยื่นออกมาจากหน้าอกของมันนั้นดูเหมือนจริงอย่างที่มันควรเป็น มันปรากฏขึ้นเหมือนรอยนิ้วมือที่สร้างจากหลอดเลือดใต้นิ้วแต่ละนิ้ว
ผู้หญิงจากอุโมงค์ขยับไปขวางหน้าเฉินเกอตอนที่เงานั่นลงมือ แต่เธอประมาทพลังของเงานั่นเกินไป แขนข้างนั้นทะลุผ่านร่างของเธอไปตรง ๆ มันเปื้อนเลือดของเธอและคว้าตัวเฉินเกอไว้ได้!
“ตอนนี้แหละ!” หนังสือการ์ตูนในกระเป๋าของเขาส่งเสียงเบา ๆ และหน้าหนังสือการ์ตูนก็พลิกเปิดด้วยตัวมันเองทันที แล้วในตอนนี้เอง แขนสีดำก็ชะงักไปวินาทีหนึ่ง!
ผู้หญิงที่ร่างถูกแทงผ่านกรีดร้องโหยหวน เธอตายจากอุบัติเหตุรถยนต์ และร่างของเธอก็ยังเสียหายไปแล้วในตอนที่เธอตาย เธอใช้แขนทั้งสองข้างคว้าแขนข้างนั้นที่แทงผ่านร่างของเธอเอาไว้ เธอไม่สนใจแขนนั่นและปล่อยให้มันห้อยอยู่ในร่างของเธอ เธอแนบตัวเองเข้ากับร่างของเงาและเริ่มโจมตีเงานั่นอย่างบ้าคลั่ง
ผู้หญิงจากอุโมงค์นั้นแตกต่างจากวิญญาณสีเลือดอื่น ๆ ภายใต้ชุดของเธอนั้นเป็นร่างกายที่เสียหาย เลือดเนื้อแตกสลาย และกระดูกป่นละเอียด นอกจากนี้ ความสามารถพิเศษของเธอยังดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับกระดูกที่หัก เศษกระดูกสีแดงเลือดแทงเข้าไปในร่างของเงา ร่างกายของผู้หญิงเริ่มเปลี่ยนไป และมันก็เหมือนเธอพยายามใช้ร่างกายของเธอกลืนกินเงานั่น
“เมื่อครู่นี้ การโจมตีของฉันชะงักลงครู่หนึ่ง ผีชนิดไหนกันที่มอบพลังเช่นนี้ให้แก?” เงานั่นหันไปมองเฉินเกอ “แกพาวิญญาณมาด้วยมากแค่ไหน?”
“ทำไมแกไม่ลองเดาดูล่ะ?” เฉินเกอต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับประตูที่ในบ้านผีสิง ดังนั้นจึงไม่ได้รีบร้อนลงมือกับเงานั่น เอี๋ยนต้าเหนียนและผู้หญิงในอุโมงค์ซื้อเวลาอันมีค่าให้เฉินเกอ เขาถอยหลังออกมา เรียกชื่อจางหยาในใจ
“ถึงจะเผชิญกับความตายอันแน่นอน แกก็ยังยิ้มออก ทุกอย่างที่แกเป็นอยู่ได้นี้ล้วนเป็นเพราะฉัน” เสียงของเงานั่นเย็นชายิ่งกว่าเดิม ร่างกายของมันเริ่มบิดเบี้ยวช้า ๆ ภายใต้การโจมตีอย่างไร้ปรานีของหญิงจากอุโมงค์ แต่มันกลับดูไม่สนใจเลยสักนิด ทั้งหมดที่มันแสดงออกมาก็คือความเกลียดชังที่พุ่งไปที่เฉินเกอ “ที่นี่ถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องเก็บมันไว้แล้ว เด็ก ๆ ที่ถูกส่งไปให้ผีทารกน่าจะเพียงพอช่วยให้เขาถือกำเนิดได้สำเร็จ”
รูปวาดสีดำบนประตูเริ่มเปลี่ยน เงาร่างสีดำเล็ก ๆ ที่ทนทุกข์กับความตายไร้ที่สิ้นสุดในรูปเริ่มคลานออกมา และพวกมันก็หลอมรวมเข้าไปในร่างของเงา เด็กทั้งหมดที่ในตึกนี้ปล่อยเสียงหัวเราะประหลาด พวกมันไม่สามารถมองให้เป็นเด็กไร้เดียงสาได้เลย– พวกมันไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากหุ่นเชิดของเงา
“เด็ก ๆ ที่ในตึกนี้ล้วนเป็นเครื่องบูชายัญแก่ผีทารก? นี่แกฝังคนเอาไว้ในจิ่วเจียงตะวันออกมากแค่ไหนกันแน่?” ประตูที่ด้านหลังเฉินเกอนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก รูปร่างมนุษย์สีดำที่ดูเหมือนเขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นจางลงอย่างช้า ๆ จนไม่ใช่สีดำ พวกมันที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและอาฆาตแค้น คลานออกจากประตูทีละตน แต่ละตนนั้นมีสองหน้า หน้าหนึ่งเป็นหน้าที่แท้จริง อีกหน้าหนึ่งนั้นดูคล้ายเฉินเกอกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
นี่เป็นภาพที่น่ากลัวมากจริง ๆ แต่ว่าเงาดูเหมือนจะมีความสุขกับกระบวนการนี้มาก “ความอาฆาตแค้นของผีทารกนั้นลึกซึ้งเกินไป และไม่มีทางที่เขาจะถือกำเนิดขึ้นมาได้ด้วยวิธีธรรมดา ดังนั้น ฉันก็เลยต้องใช้เด็กเหล่านี้แบ่งปันความอาฆาตแค้นบางส่วนของเขามา ตอนนี้ แกรู้ความจริงแล้วนี่ ใช่ไหม? เด็กมากมายขนาดนี้ และยังไม่พอที่จะแบ่งปันเศษเสี้ยวความอาฆาตแค้นของผีทารกเลย แกคิดภาพออกไหมว่าความเจ็บปวดที่ฉันได้รับเพราะแกมันจะมากขนาดไหน!”
รอยยิ้มไร้เดียงสาจางหายไปจากใบหน้าของเด็ก ๆ สีหน้าของพวกมันนั้นทะมึนและประหลาด– มีความเกลียดชังต่อชีวิตที่มองเห็นได้ กระทั่งสำหรับเฉินเกอก็ยังรู้สึกหวาดกลัว ถ้าไม่มีใครทำอะไร เด็กคนใดในนี้ก็สามารถกลายมาเป็นผีทารกตนใหม่ได้ และนั่นก็เป็นผลลัพธ์ที่เงาปรารถนาให้เป็นที่สุด
ขณะที่เงาร่างเล็ก ๆ สีดำเข้าสู่ร่างกายของมัน ร่างกายของเงาก็เริ่มชัดเจนขึ้นอีกครั้ง คำสาปสีดำไหลผ่านผิวกายของมันไป ดันเอาเศษกระดูกที่ผู้หญิงจากอุโมงค์ส่งเข้าไปในร่างของมันก่อนหน้านี้ออกมา วิญญาณสีเลือดทั่วไปย่อมไม่ยินดีเข้าใกล้คำสาป ตอนที่เงาร่างเล็ก ๆ สีดำปรากฏตัวขึ้น ผู้หญิงจากอุโมงค์ก็บิดร่างและรีบหนีออกมาจากข้าง ๆ เงานั่น
“เหตุผลที่ฉันยังไม่จัดการกับแกก็เพราะว่าฉันรอเวลาจนกว่าจะถึงวันที่ฉันสามารถทำให้แกมาเป็นเงาของฉันได้ แต่ว่าแกกลับมาปรากฏตัวรบกวนแผนการของฉันเสียเอง”
ใบหน้าเด็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนร่างของเงา เด็ก ๆ ทั้งหมดนั้นสูญเสียสิ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นมนุษย์ไป และพวกเขาก็มีรอยยิ้มประหลาด “คนที่ไม่มีเงานั้นไม่สมบูรณ์ และฉันก็จะทำให้แกมาเป็นเงาของฉัน!”
ตอนที่เงานั่นเตรียมโจมตีครั้งแรก เสียงกระแทกดังลั่นก็ดังมาจากที่ข้างนอกตึก มองออกจากหน้าต่างไป โซ่กลุ่มหนึ่งสะบัดเข้าใส่ด้านนอกตึกอย่างบ้าคลั่ง
“เป็นแกที่ชักนำไอ้คนเสียสติน่ารังเกียจนั่นมาที่นี่ใช่ไหม?” เงาดูเหมือนจะไร้พลังต่อกรกับคุณหมอเกาอยู่บ้าง “ฉันเพิ่งหาวิธีการจัดการกับวิญญาณสีเลือดที่แกมีได้ แต่ฉันก็ต้องประหลาดใจที่แกดันไปหาวิญญาณสีเลือดเก่งกาจตนที่สองมาได้ แต่ว่า ต่อให้มีพวกเขาคอยช่วย แกก็เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ไม่ได้หรอก นอกเสียจากแกจะมีวิญญาณสีเลือดชั้นสูงตนที่สาม”
เฉินเกอได้ยินความขัดแย้งในถ้อยคำของเงา เขาพยายามเรียกจางหยา แต่ก็ต้องหมดหวัง ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ จางหยากลับไม่ตอบสนองต่อเขาเลยสักนิด
“ฉันรู้ว่าวิญญาณสีเลือดนั่นอาศัยอยู่ในเงาของแก แต่แกอย่าลืมว่า ฉันต่างหากที่เป็นเงาที่แท้จริงของแก!” หมอกเลือดแยกออก และทั้งตึกก็สะท้อนเสียงหัวเราะบ้าคลั่งของเงา
ด้วยแสงอ่อนจางจากพระจันทร์สีเลือด เฉินเกอเห็นเท้าของเงาเชื่อมอยู่กับของเขาเอง ขณะที่เงาร่างสีดำเล็ก ๆ ผสานเข้ากับเงา การเชื่อมโยงระหว่างเงาและเฉินเกอก็เพิ่มมากขึ้น
“ตอนที่แกยังเด็ก พ่อกับแม่ของแกคงจะเตือนให้แกอยู่ให้ห่างจากจิ่วเจียงตะวันออกใช่ไหม?” เสียงของเงานั่นเต็มไปด้วยความร้ายกาจและความตื่นเต้น “พวกมันห่วงว่าฉันจะกลับสู่ร่างของแก! แผนการของฉันน่ะสมบูรณ์แบบ ดังนั้นแล้วฉันจะแพ้ได้ยังไง? ผีทารกกำลังจะถือกำเนิด และฉัน วิญญาณสัมภเวสี ก็จะกลับไปเป็นเงาของแก! ฉันจะค่อย ๆ กลืนกินจิตใจและร่างกายของแก! ฉันจะทำให้แกได้สัมผัสกับความสิ้นหวังทั้งปวง การตายทั้งหมด ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ควรจะเป็นของแก! ฉันจะเป็นปิศาจที่แกสลัดไม่หลุด! ฉันจะเป็นส่วนหนึ่งของแกที่แกไม่มีทางหนีพ้น! ฉันก็คือแก!”
ทั้งตึกดูเหมือนจะได้ยินเสียงของเงานั่นชัดเจน มันรอคอยวันนี้มานานมากแล้ว “ฉันจะมอบความทรงจำของฉันให้แก เปลี่ยนแกมาเป็นฉัน และจากนั้นแกก็จะถูกป้อนให้ผีทารก ไปเป็นเงาของเขา! ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ! ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคบ้าง แต่ผลลัพธ์ก็ถูกตัดสินเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว!”
เฉินเกอเรียกชื่อจางหยาอย่างบ้าคลั่ง แต่เหมือนมีบางอย่างขัดขวางการสื่อสารระหว่างพวกเขา และจางหยาก็ไม่ได้ยินเสียงเขา
“ไร้ประโยชน์! ฉันเป็นเงาของแก วิธีเดียวที่เธอจะหนีออกจากเงาของแกได้ก็คือเธอมาแทนที่ฉันและเปลี่ยนไปเป็นเงาใหม่ของแก” เงานั่นหัวเราะบ้าคลั่ง ก็เป้าหมายที่มันวางแผนเอาไว้มานานปีกำลังจะออกผลให้เชยชม แล้วจะไม่ให้มันดีใจจนคลั่งได้ยังไง?
มือดำราวหมึกรวบคอเฉินเกอเอาไว้ และเงานั่นก็มองเข้าไปในดวงตาของเขา “ฉันเคยใช้รูปร่างของคนตั้งมาก แต่วันนี้ ในที่สุดฉันก็สามารถกลับไปเป็นตัวเองได้!”
ใบหน้าของเขาแดงก่ำจากการขาดออกซิเจน เฉินเกอถูกยกลอยขึ้นจากพื้น และเขาก็ไม่สามารถทำเสียงอะไรได้ ในวินาทีสุดท้าย ผู้ชายคนหนึ่งที่หัวใจถูกย้อมเป็นสีแดงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายเฉินเกอ เขากอดแขนของเงานั่นเอาไว้แล้วพยายามดึงกลับ แต่ก็ทำได้แค่หยุดเงานั่นจากการยกแขน เจ้าแมวขาวกระโจนขึ้นกลางอากาศกัดลงที่ใบหน้าของเงานั่น แต่มันก็ทะลุผ่านร่างของเงาแล้วตกกระแทกพื้นอย่างแรง แม้จะไม่สามารถเรียกพวกเขาออกมาได้ และส่งเสียงอะไรไม่ได้ เงาร่างมากมายก็หลุดออกมาจากกระเป๋าสะพายหลังของเฉินเกอ แขนของเงานั้นถูกแขนมากมายถ่วงเอาไว้ แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนเปลงผลลัพธ์ได้
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงโซ่ฟาดกับตึกชัดเจนมากขึ้นเหมือนบางอย่างล่อโซ่พวกนั้นขึ้นบันไดมา จากนั้น หน้าต่างที่ชั้นบนก็ถูกผลักเปิด และเงาร่างสีแดงร่างหนึ่งก็พุ่งเข้าไปที่เงานั่น!
ปลายนิ้วแตกยับทะลวงเข้าไปในร่างของเงา วิญญาณสีเลือดตนหนึ่งคว้าแขนของเงาเอาไว้ และความเศร้าโศกที่มักปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาก็หายวับไป มันแทนที่ด้วยความกระวนกระวายและความโกรธแค้นลึก ๆ
“แกยังมีวิญญาณสีเลือดตนอื่นอีก?” เงานั่นขู่ฟ่ออย่างอาฆาตแค้น ไม่รู้ทำไม ความเกลียดชังของมันต่อเฉินเกอเพิ่มมากขึ้น มันปรารถนาจะทำลายผู้ชายคนนี้และทุกอย่างที่ผู้ชายคนนี้ห่วงใย!
คำสาปสีดำเริ่มไต่เข้าไปในร่างของวิญญาณสีเลือด หลอดเลือดสีดำเริ่มปรากฏขึ้นบนเสื้อที่มีเลือดซึมของเขา คำสาปไชเข้าไปในร่างของเขาเหมือนหนอน และพวกมันก็กัดหน้าและหัวใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง
“เจ็บปวดเหลือเกิน!”
เขากัดฟัน เลือดที่ซึมออกมาเป็นสีดำ แต่เขากลับไม่มีทีท่าจะยอมแพ้
“น่ารังเกียจ! พวกแกทำให้ฉันคลื่นไส้!”เงานั่นตะโกนเสียงดัง คำสาปมากมายพรั่งพรูเข้ามาในห้อง พุ่งเข้าไปในร่างของวิญญาณสีเลือด เส้นเลือดฝอยแตกออก และร่างกายก็เริ่มล้มเหลวขณะที่คำสาปมากมายทำลายร่างกายของวิญญาณสีเลือด
“เจ็บเหลือเกิน! เจ็บปวดเหลือเกิน!” ใบหน้าของซู่อินบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ร่างกายของเขาแทบจะแตกสลาย แต่ว่าพื้นที่ว่างเปล่าใกล้หัวใจของเขากลับค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง!
ทั้งที่ไม่มีเหตุผลที่เห็นได้ชัด แต่ภายใต้การบีบเค้นจากคำสาปมหาศาลของเงานั่น ซู่อินก็ยังไม่ถอย
ปัง!
โซ่พุ่งผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้เข้ามาและพวกมันก็พุ่งไปยังซู่อินราวกับฉลามสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือด!
คุณหมอเกามาถึงแล้วและเป้าหมายของเขาก็คือใบปลิวที่ซู่อินถือเอาไว้ โซ่ที่หนาหนักไปด้วยกลิ่นเลือดตวัดใส่ซู่อินที่ถูกคำสาปคลุมร่างอยู่ แต่ก็เหมือนก่อนหน้า ซู่อินไม่มีทีท่าจะหนี ถ้าเขาถูกโซ่นี้ตวัดใส่ เงาที่ข้างตัวเขาย่อมต้องได้รับบาดเจ็บไปด้วย
“ไอ้พวกบ้า!” เพื่อไม่ให้ถูกหมอเกาทำร้าย เงานั่นไม่มีทางเลือดนอกจากยอมรามือชั่วคราว เฉินเกอล้มลงพื้นและไป๋ชิวหลินก็ขยับเข้ามาประคองร่างเขาเอาไว้ทันทีและคว้ากระเป๋าเอาไว้ เขาดึงประตูเปิดแล้ววิ่งออกไปยังดาดฟ้า
“แกหนีไม่พ้นหรอก! ฉันวางแผนเอาไว้นานขนาดนี้! ไมมีทางหนีให้แกหรอก!”
เงานั่นรีบไล่ตามมา พนักงานจากบ้านผีสิงถูกสลัดทิ้งและมีแค่ซู่อินที่ยังทรงตัวอยู่ได้แต่เงาก็ไม่สามารถหยุดเงานั่นได้ด้วยตัวคนเดียว
“จางหยา เธอได้ยินเสียงฉันไหม?” เงาอยู่ใต้เท้าของเฉินเกอ และมันก็ปิดกั้นเสียงของเฉินเกอเอาไว้
“มันไร้ประโยชน์ ที่การประปาฉันก็สังเกตเห็นแล้ว! นี่เป็นช่องโหว่ถึงตายของแก!” เงานั่นคว้าหัวของซู่อินไว้แล้วกระแทกเขาเข้ากับพื้นอย่างแรง มันลากร่างยับเยินของซู่อินเดินไปหาเฉินเกอ
“ช่องโหว่ถึงตาย แกว่างั้นเหรอ?” เฉินเกอหยุดครู่หนึ่งเหมือนกำลังใคร่ครวญบางอย่างในใจ เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังช้า ๆ “อันที่จริง ฉันแค่สงสัยว่าฉันจะเผชิญหน้ากับเธอยังไง ฉันไม่รู้ว่าเธอครอบครองพื้นที่แบบไหนในใจฉัน แต่ฉันคิดว่าฉันเข้าใจแล้วตอนนี้”
เฉินเกอหยิบจดหมายรักอันล้ำค่าออกจากกระเป๋าสะพายหลังและจากนั้นก็ไฟแช็ก เขาจุดไฟเผาจดหมาย “ฉันไม่ต้องการใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างอีกต่อไปแล้ว”
ไฟติดง่ายดาย และเงาของเฉินเกอก็เดือดพล่าน ราวกับว่าคลื่นยักษ์สีดำกำลังจะมา!
“แกกำลังทำอะไร?” เงาหน้าถมึงทึง ร่างกายของมันเริ่มจางลง “แกอยากให้วิญญาณสีเลือดนั่นมาเป็นเงาของแกจริง ๆ หรือไง?”
เฉินเกอลุกขึ้น ปล่อยขี้เถ้าจากจดหมายรักปลิวไปกับสายลม “จางหยา อยู่กับฉันไปตลอดกาลเถอะนะ ฉันไม่เชื่อว่าจะมีอะไรบนโลกนี้โรแมนติกยิ่งไปกว่าเป็นเงาของกันและกันไปตลอดชีวิต!”
ปัง!
แขนซีดขาวแทงผ่านเงาของเฉินเกอและที่ตามมาจากนั้นก็คือทะเลสีดำลึกล้ำทะลักทลาย!
หน้าต่าง ตั้งแต่ชั้นบนสุดของตึกแตกร้าวลงมาทีละชั้น!
ภายใต้แสงจากพระจันทร์สีเลือด เด็กสาวคนหนึ่งเอนตัวแนบหลังเฉินเกออย่างนุ่มนวล
“จางหยา!”
ตอนที่ 672
หลังจากคนผู้หนึ่งตายลง วิญญาณสัมภเวสีของคนผู้นั้นจะคงอยู่ได้ก็ต้องยึดติดตัวเองเข้ากับวัตถุ และวัตถุที่จางหยายึดติดอยู่ก็คือจดหมายรักต้องสาปของเธอ เฉินเกอเผาจดหมายรักที่บนดาดฟ้าเพราะเขาตั้งใจจะทำลายอดีตอันเจ็บปวดของจางหยาให้สิ้น เขาเตรียมหาภาชนะใหม่ให้จางหยาแล้ว
เหมือนแสงและเงา ขาดกันและกันไม่ได้ จากวินาทีที่เขาเผาจดหมายรัก เขาก็กลายมาเป็นสิ่งที่จางหยาหลงใหล
เส้นผมสีดำพุ่งไปข้างหน้าราวกับทะเลสีดำ ทำลายล้างและกลืนกิน กลืนกินทุกอย่างที่อยู่ในตึกนี้
เงาที่บีบคอซู่อินอยู่อึ้งไป ขาของมันที่เชื่อมโยงอยู่กับเฉินเกอถูกกระชากออก เศษเสี้ยวคำสาปโปรยปรายในคืนสีเลือดราวกับเป็นหิมะสีดำ
“แกให้วิญญาณดวงนั้นมาเป็นเงาของแก?” ความโกรธที่เก็บกักอยู่ในหัวใจของเงาระเบิดออกมา และร่างกายของมันก็เอาแต่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ “นี่ไม่ควรเป็นอย่างนี้ นี่ต่างไปจากที่ฉันวางแผนเอาไว้!”
ทั้งเขตที่พักหมิงหยาง ตึกทั้งสี่ถูกถล่มด้วยเสียงร้องไห้บาดหูของเด็ก ๆ เงาร่างเล็กเตี้ยมากมายคลานออกจากหน้าต่าง ทั้งหมดล้วนมุ่งหน้าไปยังห้องหนึ่งในตึกที่เฉินเกอกับเงายืนอยู่
ไม่ช้า ในตึกที่อยู่ทางตะวันออกสุด เงาร่างผอมบางเงาหนึ่งขยับออกจากห้อง ลากแขนสีขาวราวหิมะข้างหนึ่งมาด้วย นี่เป็นแขนของเสี่ยวปู้ มันยืนอยู่ที่ขอบตึกและคาบแขนข้างนั้นไว้ในปาก และบางอย่างที่ทำให้เฉินเกอขนลุกก็เกิดขึ้น เงาร่างสีดำมากมายเริ่มฉีกกระชากแขนข้างนั้น แต่ละคำ รอยกัดสีดำก็ปรากฏขึ้นบนแขนข้างนั้น แต่ละรอยกัด เงาดำก็แข็งแกร่งมากขึ้น “แกเป็นเงาของฉัน ฉันจะทำให้แกเป็นเงาของฉัน!”
เขตที่พักหมิงหยางนั้นอยู่นอกเมืองหลี่ว่าน แต่ว่าหมอกเลือดจากเมืองหลี่ว่านก็สามารถขยับมาที่นี่ได้ มันพุ่งไปทางเขตที่พักหมิงหยางเหมือนคลื่น
“ไม่พอ นี่ไม่พอ!”
เงานั่นหันไปมองตึกอื่น แต่สิ่งที่มันเห็นก็นำความไม่พอใจมาให้มันอีกครั้ง
ที่บนยอดตึกทางใต้ ชายประหลาดพร้อมรอยยิ้มประหลาดติดแน่นบนใบหน้าอุ้มร่างกายยับเยินของเสี่ยวปู้ขึ้นไปชั้นดาดฟ้า ร่างกายของเขาเริ่มมีรอยแตก แต่ละรอยแยกนั้นราวกับปากที่ฉีกออกเป็นรอยยิ้ม
ในตึกทางเหนือ ดูราวกับมีฝนเลือด หญิงคลั่งในชุดเสื้อกันฝนสีแดงที่ริมฝีปากถูกเย็บปิดเอาไว้ กรีดตัดเงาทั้งหมดขณะปกป้องชิ้นส่วนร่างกายของเสี่ยวปู้เอาไว้
“บอส!” ที่ด้านใต้ถัดลงไปพวกเขานั้นมีเสียงของเหล่าโจวดังมา เงาและเฉินเกอหันไปมองพร้อมกัน แขนและหัวของเสี่ยวปู้นั้นเป็นกุญแจที่เงาใช้ในการควบคุมเมืองหลี่ว่าน เพื่อควบคุมประตูที่หลุดออกจากการควบคุม เพื่อทำให้เสี่ยวปู้กลายมาเป็นหุ่นเชิดให้เขาควบคุมโดยง่าย เขาต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงไปกับเสี่ยวปู้มาก แต่ตอนนี้ ทุกอย่างถูกทำลายลงโดยเฉินเกอ
เงานั่นเข้าถึงเพียงแขนข้างเดียวของเสี่ยวปู้ การควบคุมเมืองหลี่ว่านของมันอ่อนกว่าที่เสี่ยวปู้สามารถควบคุมได้
“ทำไมพวกแกถึงอยากช่วยคนผู้นี้กัน? เขาอาศัยอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ อาบความหวัง ล้อมรอบด้วยเสียงหัวเราะ แต่ฉันคือคนที่ต้องรับความเกลียดชังและคำสาปทั้งปวงของเขา!”
เมื่อไม่สามารถเคลื่อนย้ายหมอกเลือดจากเมืองหลี่ว่านมาได้อีก เงาร่างเล็ก ๆ ก็พุ่งกลับเข้าไปในร่างของเงา มันจ้องมองเฉินเกอ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย เฉินเกอไม่เถียงกับเงานั่น นิ้วของเขาลูบไปบนเส้นผมสีดำที่ทิ้งตัวผ่านเขา “ฉันไม่เคยอาบอยู่ในความหวังหรืออาศัยอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ และยิ่งไม่อยู่ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ฉันก็แค่โชคดีพอที่จะได้พบคนจิตใจดีกลุ่มหนึ่ง”
เส้นผมสีดำปิดกั้นการมองเห็นของเฉินเกอ สีแดงที่สดใสที่สุดเดินผ่านเฉินเกอไป ปลายนิ้วเรียวเอื้อมออกไปหยิบหิมะสีดำที่เกือบจะตกต้องร่างของเขา ปลายนิ้วนั้นกดแน่นเข้าและคำสาปของเงานั่นก็เปลี่ยนไปเป็นขี้เถ้าก่อนที่มันจะได้ร้องขอความเมตตา จางหยายืนอยู่หน้าเฉินเกอและเอียงคอมองซู่อินที่ถูกเงานั่นบีบคออยู่
“แกอยากช่วยเขาเหรอ?” เงานั่นตะปบหัวของซู่อินเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง ก่อนที่มันจะได้พูดประโยคที่สอง หัวของมันก็ถูกแขนซีด ๆ ข้างหนึ่งล็อกเอาไว้ เส้นผมสีดำพุ่งไปเหมือนคลื่นอย่างแน่วแน่ จางหยาคว้าหัวของเงานั่นเอาไว้แล้วกระแทกมันลงกับพื้น
ปัง!
เกิดหลุมหนึ่งขึ้นที่บนพื้น และพวกเขาก็หล่นลงไป แต่ว่านั่นเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น!
เมื่อไม่สามารถควบคุมหมอกเลือดจากเมืองหลี่ว่าน ไม่สามารถใช้พลังด้านหลังประตูได้ และเพิ่งต่อสู้รุนแรงกับคุณหมอเกามา เงานั่นก็อ่อนแอที่สุดเท่าที่มันเคยเป็นมา มันไม่คิดว่าจางหยาจะจู่ ๆ ก็ลงมือ และมันก็ไม่คิดว่าแค่ไม่กี่วัน วิญญาณสีเลือดดวงนี้ก็กลายเป็นน่าหวาดเกรงมากขึ้นอีก!
เมื่อจางหยาสู้กับเงานั่น เฉินเกอก็หาซู่อินที่ทั้งร่างเกือบจะฉีกขาดออกจากกันเจอที่ริมดาดฟ้า
“นาย…” เหมือนรู้ว่าตนได้วางชีวิตของบอสไว้ในมือที่แข็งแกร่งแล้ว เสียงแทรกจากเครื่องเล่นเทปก็เบาลงเรื่อย ๆ มือของเขาที่วางอยู่เหนือหน้าอกเลื่อนหลุด เผยให้เห็นหัวใจที่ถูกย้อมเป็นสีแดงจนหมด
ใบหน้าบูดบึ้งของเขาค่อย ๆ คลี่ออก ซู่อินมองเฉินเกอ และมุมปากของเขาก็บิดเหมือนเขาต้องการทำสีหน้าอื่นที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ว่า ความพยายามหลายครั้งก็ล้มเหลวและเขาก็กลับมามีสีหน้าตามปกติ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ” เฉินเกอพยุงซู่อินขึ้นจากพื้น เสียงแทรกหายไป และเลือดที่บนตลับเทปก็หยุดไหล ซู่อินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับเข้าไปในเครื่องเล่นเทป
“เมื่อกี้นี้เขาพยายามยิ้มอยู่เหรอ?” เฉินเกอลุกขึ้นแล้วรับกระเป๋าจากไป๋ชิวหลิน หนังสือการ์ตูน เครื่องเล่นเทป ปากกาลูกลื่น และตุ๊กตาล้วนอยู่ข้างใน “ทุกคนยังอยู่กับพวกเรา ฉันว่านี่ก็โชคดีพอแล้ว”
ตึกที่ใต้เท้าเขาสะเทือน นอกจากเส้นผมสีดำของจางหยาและหิมะที่เกิดจากคำสาปของเงานั่น ยังมีโซ่ที่สลักใบหน้ามนุษย์เอาไว้แทรกเข้ามาในตึก เสียงกรีดร้องก้องอยู่ในหูของเขา เฉินเกอมองไปที่ริมขอบดาดฟ้า คุณหมอเกา ที่ลงไปคลานสี่ขาปีนขึ้นมาจากด้านข้างตึกราวกับสัตว์ร้าย ดวงตาของเขาเป็นสีแดงเลือดจ้องตรงมาที่เฉินเกอ
“ฉันเจอแกแล้ว เฉินเกอ…”
ตอนที่คุณหมอเกาตรงเข้ามา มือซีดเผือดข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเฉินเกอ เทียบกับเงานั่นแล้ว คุณหมอเกานั้นเป็นสิ่งที่คุกคามจางหยาได้มากกว่า สีแดงเต้นระยิบอยู่บนพระจันทร์– จางหยาในสภาพยอดเยี่ยมที่สุดของเธอนั้นเหมือนกับพระอาทิตย์สีแดงเลือดขณะที่คุณหมอเกา ที่แบกคำสาปของทั้งเมืองหลี่ว่านอยู่นั้นดูราวกับ ‘นรก’ ความรู้สึกด้านลบและคำสาปพันเกี่ยวอยู่ตลอดร่างของเขา เขาเพียงผู้เดียวก็เป็นตัวแทนของนรกของความสิ้นหวังไร้ก้นบึ้งได้แล้ว
“หมอบ้า ทำไมแกไม่ร่วมมือกับฉันล่ะ? ฉันรู้ว่าแกอยากได้ของบางอย่างจากผู้ชายคนนั้น ฉันสามารถมอบเขาให้แกและยังบอกความลับทั้งหมดเกี่ยวกับเขาให้แกได้” ชีวิตของเงานั้นกำจัดยากกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ มันเหมือนปิศาจที่ฆ่าไม่ได้ที่เพียงแค่อ่อนแอลงแต่ว่าไม่ได้หายไปจริง ๆ
คุณหมอเกาไม่ตอบคำเงานั่น สถานะของเขานั้นประหลาดมาก เขาดูเหมือนจะเคลื่อนไหวไปตามความทรงจำน้อยนิดที่เขายังเหลืออยู่ในใจ เฉินเกอไม่รู้ว่าหมอเกาต้องการทำอะไร แต่เขารู้ว่าหากตนไม่ทำอะไร จางหยาก็อาจจะถูกโจมตีทั้งจากหมอเกาและเงา
การต่อสู้ครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น เฉินเกอเรียกซู่อินให้คืนใบปลิวของสมาคมเล่าเรื่องผีให้เขา บนใบปลิวคุ้นเคยนั้น ประตูที่เป็นตัวแทนสามาคมเล่าเรื่องผีถูกผลักเปิดและมือซีดเผือดข้างหนึ่งก็เอื้อมออกมาจากข้างใน
เมื่อได้เจอหน้ากัน เฉินเกอก็นึกถึงแขนข้างนั้น คุณหมอเกาวางกับดักบางอย่างเอาไว้บนใบปลิวทั้งหมด แต่แผนการของเขานั้นผิดพลาดอะไรสักอย่างไร การเชื่อมโยงในแผนการของเขาจึงหลุดออกจากกัน
ถือใบปลิวเอาไว้ เฉินเกอยืนอยู่ด้านหลังจางหยาและบอกหมอเกา “คุณลืมอะไรไปหลายอย่างมาก ผมจะช่วยคุณนึกเอง! ครั้งหนึ่งคุณเคยเป็นประธานสมาคมเล่าเรื่องผี และผมก็เป็นสมาชิกที่คุณเลือกให้เข้าร่วม ใบปลิวนี่เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด!”
การพูดถึงสมาคมเล่าเรื่องผีนั้นทำให้เกิดประกายขึ้นในดวงตาแดงก่ำของคุณหมอเกา
“อย่าฟังมัน! ทำตามหัวใจของแก!” เงานั่นตะโกนอย่างตระหนก มันไม่กล้าคิดภาพเมื่อถูกโจมตีจากทั้งจางหยาและหมอเกา
“ใช่ คุณต้องทำตามหัวใจของคุณ!” เฉินเกอชูใบปลิวขึ้นสูง “ก่อนที่คุณจะจากไป คุณส่งต่อสมาคมเล่าเรื่องผีให้ผม ผมเป็นเพื่อนที่คุณเชื่อถือที่สุด และนั่นคือสาเหตุที่คุณจำชื่อผมได้! ใช่ ผมคือเฉินเกอ! ผมคือประธานคนปัจจุบันของสมาคมเล่าเรื่องผี เฉินเกอ! และที่ด้านหลังผม วิญญาณและวิญญาณสีเลือดเหล่านี้ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับผม พวกเขาตอนนี้คือทุกอย่างที่สมาคมเล่าเรื่องผีมี!”
ตอนที่ 673
เฉินเกอไม่ได้โกหก ทุกอย่างที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง และกระทั่งผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์สีหน้าก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าคำพูดของเขานั้นมีอะไรไม่ถูกต้อง
“ตอนนี้ ผมเป็นสมาชิกที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวของสมาคมเล่าเรื่องผี ผมคือความหวังเดียวของทั้งสมาคม ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงตามหาผม แต่ผมรู้ว่าคุณต้องมีบางอย่างที่สำคัญจะบอกผม!” เฉินเกอสืบเท้าเข้าไป ชูใบปลิวขึ้นเหนือศีรษะ “เมืองหลี่ว่านนั้นยึดเอาสมบัติลับของสมาคมไปถึงหนึ่งในสาม การปิดประตูที่หลุดออกจากการควบคุมนั้นเป็นความปรารถนาก่อนตายของคุณ! วันนี้ ผมมาที่นี่แม้ว่ามันจะเป็นอันตรายและคุกคามชีวิตผมก็เพราะผมวางแผนที่จะนำเอาสิ่งที่เป็นของสมาคมเล่าเรื่องผีกลับคืนมา!”
เงานั้นเก่งกาจในด้านการจัดการ เมื่อมันได้ยินสิ่งที่เฉินเกอพูด มันก็รู้สึกไม่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ชายคนนี้ดูไม่เหมือนว่ากำลังโกหก และเขาก็มาที่นี่เพื่อช่วยนำทางให้กับหมอคนนั้น
“พวกแกทั้งคู่…”
เฉินเกอไม่ให้โอกาสเงาได้พูด เขาพูดทับขณะจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหมอเกา “นึกถึงคำที่ครั้งหนึ่งคุณเคยบอกผมเอาไว้! คิดถึงสัญญาระหว่างเรา! คิดถึงลูกสาวของคุณ เธอยังคงรอคอยให้คุณกลับไปที่บ้าน!”
มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษมาก ๆ ต่อให้กำลังแบกรับความรู้สึกด้านลบเบื้องหลังประตูทั้งหมดเอาไว้ ต่อให้ต้องถูกคำสาปทั้งเมืองกลืนกิน ต่อให้ต้องกลายไปเป็นนรกเดินได้ ก็ยังมีอารมณ์ของมนุษย์อยู่ภายในตัวคุณหมอเกาที่บางทีตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึก และนั่นก็คือความทรงจำของเขาเกี่ยวกับเกาหรูเซว่
ดวงตาสีแดงขยับช้า ๆ และคุณหมอเกาก็มองไปที่เงาที่ยืนอยู่ที่อีกด้านของดาดฟ้า เสื้อคลุมสีแดงเลือดสะบัดตามลม และเลือดสีดำก็หยาดหยดลงไปตามด้านข้างของตึก
เฉินเกอนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหมอเกาที่ด้านหลังประตู และเขาก็งุนงงเพราะว่าภรรยาของเขาที่มักจะอยู่กับเขาเสมอนั้นหายไป แต่ว่า มีอย่างหนึ่งที่เขารู้กระจ่าง คุณหมอเกาดูเหมือนจะสูญเสียความมีเหตุผลของตนเองไปหลังจากกลืนกินวิญญาณและวิญญาณสีเลือดเข้าไปมากเกินไป
สูญเสียความทรงจำ เขาจึงได้แต่ทำตามสัญชาตญาณ และคงมีสองเหตุผลให้เขาจดจำเฉินเกอได้ หนึ่ง ก่อนที่คุณหมอเกาจะตาย เขาทิ้งความปรารถนาก่อนตายเอาไว้กับเฉินเกอ ซึ่งก็คือการปิดประตูในเมืองหลี่ว่านและดูแลลูกสาวของเขา เกาหรูเซว่
สอง มันอาจจะเป็นเพราะว่าคุณหมอเกานั้นวางแผนทุกอย่างเอาไว้รอบตัวเฉินเกอ และเขายังวางแผนไว้ถึงกระทั่งหลังจากตายไป ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับเฉินเกอและบ้านผีสิงของเขา เป็นเหตุผลให้เขาสามารถจดจำเฉินเกอได้อย่างชัดเจน
ผู้ชายคนนี้นั้นเสียสติไปเพราะหลายเหตุผล และมันก็ยากอย่างเหลือเชื่อที่จะรักษาคนเสียสติเช่นนี้ให้หายขาด เพราะว่าศัตรูคนแรกที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วยก็คือตัวเขาเอง
เฉินเกอรู้เรื่องนั้น และมันก็ทำให้เขาก้าวเท้าเข้าไปอีกก้าว เขารู้ว่าคุณหมอเกานั้นจะไม่ดีขึ้นด้วยแค่คำพูดไม่กี่คำของเขา และเขาก็ไม่คิดว่าคุณหมอเกาจะหยุดโจมตีเขา เขาแค่ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของหมอเกาจากเขาไปยังเงานั่น หลังจากจัดการกับความไม่แน่ไม่นอนของเงานี่แล้ว ทุกอย่างที่เหลือก็สามารถจัดการให้เรียบร้อยได้ในภายหลัง
“คุณหมอเกา ถึงแม้ว่าคุณจะสูญเสียความทรงจำ ถึงแม้ว่าคุณจะกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือด ในใจของคุณ คุณก็ยังคงเป็นประธาน เป็นคุณที่ให้ผมได้เห็นเรื่องผีที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร และเป็นคุณที่ทำให้ผมเข้าใจคามหมายที่แท้จริงของสมาคมเล่าเรื่องผี!
“ดังนั้น เลิกลังเล ประตูในเมืองหลี่ว่านครั้งหนึ่งเคยเป็นของสมาคม และมันจะกลับมาเป็นของสมาคมต่อไปในอนาคต!”
โซ่ที่สลักใบหน้ามนุษย์พุ่งออกจากตึกและเลื้อยขึ้นไปบนกำแพง– เป้าหมายของพวกมันก็คือเงา เงาไม่คิดว่าเฉินเกอจะสามารถโน้มน้าววิญญาณสีเลือดบ้าคลั่งได้จริง ๆ แต่ในไม่ช้าเขาก็พบว่ามีสิ่งที่เลวร้ายกว่ากำลังรอตนอยู่ เมื่อโซ่เลื้อยมาทางเงา เส้นผมสีดำก็ขวางทางเขาเอาไว้เหมือนกำแพงที่ทำลายไม่ได้ จางหยาลงมือในเวลาเดียวกัน
“เขาไม่ใช่วิญญาณสีเลือด และเขาฟื้นตัวได้ดีกว่าวิญญาณสีเลือด พวกเราควรจะล้อมเขาเอาไว้แล้วหาวิธีการทำลายเขาให้สิ้นซาก” ชายเสียสติคนหนึ่ง กับชายอีกคนที่ดีกว่าชายเสียสติไม่มาก นี่คือประธานคนเก่าและคนปัจจุบันของสมาคมเล่าเรื่องผี คงต้องพูดว่าคุณหมอเกานั้นมีสายตาที่เฉียบแหลมในการเลือกผู้สืบทอด
“ฉันเป็นเงาของแก ถ้าแกต้องการฆ่าฉัน ก็ง่ายมาก– ตายซะสิ” เงานั้นอ่อนแอมาก แต่มันก็ไม่ได้มีทีท่าจะยอมแพ้ ราวกับการเผยจุดอ่อนออกมาต่อหน้าเฉินเกอนั้นเป็นสิ่งที่น่าอับอาย
“ตั้งแต่วินาทีที่ฉันเผาจดหมายรัก แกก็ไม่ใช่เงาของฉันอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะสามารถฆ่าแกได้หรือไม่ แต่ฉันหวังว่าแกจะหุบปากเงียบและสนุกไปกับเรื่องผีที่ฉันสร้างให้แกโดยเฉพาะ คิดเสียว่านี่คือของขวัญส่วนสุดท้ายจากฉัน”
เฉินเกอถอยออกมา เงาใต้เท้าเขาเชื่อมอยู่กับจางหยางขณะที่เงายืนอยู่โดดเดี่ยวที่อีกด้านของดาดฟ้า
“ของขวัญ?” เสียงหัวเราะน่ารังเกียจระเบิดออกจากเงานั่น “ของขวัญชิ้นแรกที่ฉันได้รับในชีวิตก็คือเรื่องผี?”
เสียงหัวเราะนั้นเจือเสียงร้องไห้ไม่รู้จบของเด็ก ๆ พวกเขาร้องไห้ระหว่างความตายแต่ละครั้งจนกระทั่งชินชาต่อความตาย จนกระทั่งสามารถหาความสนุกได้จากการถูกฆ่า
“ฉันจะฆ่าแก ฉันรอจนผีทารกถือกำเนิดไม่ไหวแล้ว!” หลังจากมันพูดอย่างนั้น ร่างกายของเงาก็ปรากฏชัดขึ้น ใบหน้าของมันค่อย ๆ ชัดขึ้นขณะที่เครื่องหน้าจริงนั้นดูเหมือนคนที่เพิ่งโผล่ขึ้นจากผิวน้ำ เงานั่นเปลี่ยนไปเป็นเฉินเกอคนที่สอง “ฉันคือแก และแกก็คือฉัน!”
มันทิ่มมือของตัวเองเข้าไปในร่างกายตัวเองและคำสาปก็วิ่งผ่านปลายนิ้วของมัน รอยแผลใหญ่ปรากฏขึ้นบนร่างกายของมันและพวกมันก็เปลี่ยนไปเป็นสัญลักษณ์เฉพาะ ไม่ช้า สัญลักษณ์ทั้งหมดก็รวมกันอยู่รอบ ๆ หัวใจของมันเกิดเป็นรูปร่างของทารกคนหนึ่ง
แต่ว่า ทารกคนนี้นั้นต่างไปจากเด็กทั่วไป หัวใจของมันนั้นเต้นตุบ และทุกจังหวะการเต้น ก็แผ่รัศมีอาฆาตแค้นไร้ที่สิ้นสุดออกมา มองมันแล้วก็เหมือนกับมองภาพวาดปิศาจที่บนประตูห้องน้ำที่บ้านผีสิง
“ผีทารก!” เด็กคนนั้นเหยียดแขนของมันออก และร่างของเงาก็ถูกฉีกทึ้ง แขนขาผอมบางสี่ข้างยื่นออกมาจากร่างของเงา สีหน้าของมันนั้นเหมือนกับของเด็กทารก สีหน้าเกลียดชังต่อทุกสิ่งที่อยู่บนโลกนี้
โซ่ที่สลักใบหน้ามนุษย์เอาไว้ตวัดเข้าใส่เงา ฝ่ายหลังนั้นหน้าตาบิดเบี้ยวขณะที่มีแขนขาคืบคลานออกมาจากแผ่นหลังของมัน พวกมันแทงทะลุร่างของเงา และของเหลวสีดำที่ก็คือคำสาปก็ทะลักออกมาจากร่าง พริบตาเดียว บนดาดฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยฝนสีดำ
“ฉันจดจำทุกความเจ็บปวดของความสิ้นหวังที่ฉันเคยเจอได้ และทุกความตายก็มีแต่ทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น แกบอกว่าแกต้องการฆ่าฉัน อย่างนั้นฉันก็หวังว่าแกจะโชคดี เพราะว่าฉันเองก็ยังไม่รู้วิธีการฆ่าตัวเองเลย!”
ใบหน้าของเงาแตกออกราวกับหน้ากากที่แตกร้าว รอยแตกปรากฏขึ้นขณะที่หลอดเลือดคืบคลานออกจากเด็กทารกที่อกของเขา ดูดซับร่างกายของเงา เด็กทารกเติบโตขึ้น– อาจจะพูดได้ว่ามันกลืนกินเงาลงไปเพื่อเร่งการเติบโตของมันเอง
“ฉันเป็นตัวตนที่ใกล้ชิดกับความตายที่สุด ฉันยินดีกับความตาย และฉันก็เชื้อเชิญพวกแกทั้งหมด มาลิ้มรสความตายกับฉัน”
ใบหน้าของเงานั่นแตกออกเป็นชิ้น ๆ เด็กที่ในอกของเขาจู่ ๆ ก็ลืมตาขึ้น และสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและเกลียดชังนั้นก็ราวกับจะถอดแบบมาจากของเงา
“อย่าให้โอกาสมัน ดึงเด็กคนนั้นออกมาจากร่างของมัน!” เฉินเกอร้องสั่ง ตอนที่เขาพูด คุณหมอเกาก็พุ่งเข้าไปแล้ว สีหน้าของเขานั้นบ้าคลั่งเหมือนคนกำลังอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของยาเสพติด เขาดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ทรงพลังยิ่งกว่าวิญญาณสีเลือดในเงานั่น
ตอนที่ 674
หมอเกากางแขนทั้งสองข้างออก ภายใต้พระจันทร์สีเลือดเขาดูราวกับจะบ้าคลั่งขึ้นอีก โซ่คืบคลานออกจากใต้เสื้อคลุมของเขา พวกมันคือการโจมตีของเขา แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็คือเครื่องมือพันธนาการของเขา
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมอเกา เขาดูเหมือนจะพันโซ่เหล่านั้นเอาไว้รอบตัวตอนที่ยังมีสติ โซ่เหล่านี้นั้นเป็นตัวแทนของความสิ้นหวังและอารมณ์ด้านลบ และพวกมันยังเป็นตัวแทนของมนุษย์และวิญญาณที่เขาฆ่าด้วยมือตัวเอง โซ่พันธนาการทุกคนที่เขาฆ่า แต่พวกมันก็พันธนาการตัวเขาด้วยเช่นกัน
ยิ่งโซ่ผุดออกจากร่างของเขามากเท่าใด คุณหมอเกาก็ราวกับปลดล็อกผนึกแต่ละชั้นออกไป รัศมีอันตรายอย่างยิ่งยวดนั้นแผ่ออกมาจากตัวเขา เลือดสีดำหยดลงพื้น ผสมเข้ากับคำสาป และเปลี่ยนไปเป็นหลอดเลือดเป็นทาง
ปลายด้านหนึ่งขดอยู่รอบเท้าของหมอเกา และปลายอีกด้านนั้นเชื่อมอยู่กับโลกหลังประตูนี้ เสื้อคลุมสีแดงเลือดสะบัดไปตามลมและเสียงประหลาดก็ก้องออกมาจากในร่างของหมอเกา
“รอยยิ้มน่าอร่อยนั่น ฉันอยากจะยัดเขาเข้าไปในร่างของฉัน! กินเขา! กินเขา! กินเขาเลย!” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าหนึ่งงอกขึ้นบนร่างของหมอเกา เครื่องหน้าของเธอนั้นไม่อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ แต่ดวงตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความตะกละ
“หุบปาก!” ได้ยินเสียงเธอ หมอเกาก็แทงมือตัวเองเข้าไปในร่างตัวเองอย่างเหี้ยมโหด เลือดทะลักออกมา ไหลไปตามโซ่
“อาหารที่ฉันไม่เคยกินมาก่อน นี่เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยกินมาก่อน!”
“ไม่ใช่แก ฉันต่างหาก!”
“กินเขาเลย!”
หลายเสียงดังออกมาจากร่างของหมอเกา เฉินเกอตอนนี้ถึงได้เห็นว่ามีใบหน้ามากมายงอกอยู่บนร่างของหมอเกา และพวกมันก็ดูเหมือนจะเติบโตอยู่ในร่างของเขา
“หุบปาก! ฉันบอกให้พวกแกทั้งหมดหุบปาก!” เลือดไหลซึม เริ่มจากด้านใน เสื้อคลุมสีขาวของหมอเกานั้นย้อมสีเลือดมากขึ้นไปอีก ร่างกายของเขาเริ่มย่ำแย่ลงจากการทำร้ายตัวเองหลายครั้ง
คุณหมอเกาที่ดูสงบลงตั้งแต่ได้พบเฉินเกอกลับบ้าคลั่งขึ้นอีกครั้ง โซ่บนร่างของเขาดูเหมือนจะมีไว้เพื่อพันธนาการใบหน้าเหล่านั้น เมื่อโซ่หลุดออก ใบหน้าเหล่านั้นก็ใช้ร่างของเขาบอกความปรารถนาของตนออกมา
กระทั่งมีบาดแผลเช่นนี้ ผู้หญิงคนนั้นก็ยังไม่สนใจบาดแผลที่เกิดขึ้นและหัวเราะบ้าคลั่งต่อ อันที่จริง ฟางหยวนเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน เขาเคยเห็นใบหน้าของเธอครั้งหนึ่งในห้องที่เต็มไปด้วยรูปภาพของเหยื่อของสมาคมเล่าเรื่องผี เธอคือหนึ่งในคนที่ถูกสมาคมฆ่า
ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์ด้านลบ เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของบางอย่างที่คุณหมอเกาต้องแบกรับ เสียงที่ต่างกันดังมาจากใต้เสื้อคลุมสีเลือดของหมอเกา เฉินเกอคิดไม่ออกเลยว่าหมอเกาจะดูเป็นอย่างไรภายใต้เสื้อคลุมนี่ เขามองดูจากที่ไกล ๆ ขณะที่หมอเกาทำร้ายร่างกายตัวเองด้วยมือเปล่า แต่ว่านั่นก็ดูจะไม่ได้ผลอะไรเลย
เสียงยุ เสียงกร่นด่า และเสียงสาปแช่งมากมาย คุณหมอเกาหยุดลงช้า ๆ สีหน้าของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าบนร่างของตนเอง ริมฝีปากของเขาเปิดกว้าง ดวงตาข้างหนึ่งมีน้ำตาไหล และอีกข้างเป็นเลือดซึมออกมา และเขาก็หัวเราะบ้าคลั่งขณะพุ่งเข้าใส่เงานั่น!
เขาลงมืออย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หากเส้นผมของจางหยาขวางทางเขา เขาก็จะทึ้งมันออก
“คุมขัง เปลี่ยนรูป และกดข่ม วิญญาณที่มีคุณสมบัติพิเศษสามอย่าง” เงานั่นใช้ร่างกายของตนเองเป็นสารอาหารหล่อเลี้ยงแก่ผีทารก เด็กนั่นเติบโตต่อเนื่องจนกระทั่งถึงจุดสุดท้ายที่ร่างกายของเงาสลายลง “เมืองหลี่ว่านและอพาร์ทเม้นท์ผีนั้นปกป้องความลับของผีทารก หากฉันไม่สามารถทวงที่นี่คืนได้ ฉันก็จะทำลายที่นี่ทิ้งซะ”
โดยไม่ซ่อนเร้นหรือว่าถอยหลัง เงานั่นงอขาแล้วพุ่งเข้าใส่หมอเกา ใบหน้าของเงานั้นพร่ามัวไปขณะที่ใบหน้าของเด็กทารกกลับชัดเจนมากขึ้น เฉินเกอที่ยืนอยู่ไกล ๆ ใช้ดวงตาหยินหยางและจดจำใบหน้าของเด็กเอาไว้ในใจ โดยไม่มีการเกริ่นนำอะไรทั้งนั้น หมอเกาปะทะกับเงานั่น การต่อสู้ร้อนแรงขึ้นถึงขีดสุด
แค่คำว่าน่าสยดสยองยังไม่พอที่จะอธิบายการต่อสู้นี้ ไม่มีใครในพวกเขารู้จักความหมายของการป้องกัน พวกเขาโจมตีไม่หยุด คำสาปเปลี่ยนไปเป็นหอกแทงเข้าไปในร่างของหมอเกา ใบหน้ามนุษย์ผุดขึ้นมาขณะเสียงกรีดร้องโหยหวนและเสียงหัวเราะก้องออกมาจากร่างของหมอเกา
เสียงโซ่สะบัดแกรกกรากต้านคำสาป หมอเกาที่ไม่ยั้งมือแล้วระเบิดเลือดออกจากร่างเหมือนเป็นพลุที่ทำจากน้ำ เขาโจมตีเหมือนตัวเองกำลังจะตาย และเมื่อถูกกำหนดให้ตาย เขาก็จะรวบเอาเงานั่นไปด้วย
เลือดที่รอบตัวเขาเปลี่ยนไปเป็นโซ่เส้นหนึ่งพันรอบตัวเงาเอาไว้
ดาดฟ้ากลายเป็นแอ่งเลือด โซ่คลานออกจากแอ่งเลือดและพุ่งเข้าใส่เงาราวกับงูที่กำลังหิวโหย โซ่นับร้อยเส้นพุ่งเข้าไปในร่างเงา พวกมันแทงทะลุร่างเขา ตรึงเขาเอาไว้บนดาดฟ้า
“ฉันอยากรู้ว่าวิญญาณที่ทรงพลังยิ่งกว่าวิญญาณสีเลือดจะมีรสชาติอย่างไร?”
คุณหมอเกาที่มีรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้ากัดเข้าที่เงานั่น!
ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยคำสาป คุณหมอเกาเสียสติ วิญญาณสีเลือดตนนี้นั้นปรารถนาจะกลืนกินคำสาปลงไปทีละคำ
“โซ่คือการกักขัง ร่างกายโอบอุ้มพลังของการกดข่ม และแกยังมีความสามารถในการเปลี่ยนรูป แกทรงพลังมากจริง ๆ นั่นแหละ” ริมฝีปากของเด็กทารกขยับ โซ่หลายเส้นถูกคำสาปแผดเผา ร่างของเงาสลายไป และเขาก็หลุดออกจากกับดักของหมอเกา
หมอเกาไม่ได้ปลดปล่อยโซ่ทั้งหมดของตน พลังที่แท้จริงของเขาทำให้เงาหวาดระแวง และมันก็จะจดจำคำว่า ‘สมาคมเล่าเรื่องผี’ เอาไว้ไปตลอดกาล
“จุดอ่อนของเขาก็คือเด็กที่ในอกของเขา! คำสาปทั้งหมดนั้นปกป้องเด็กนั่นอยู่!” คนที่อยู่ด้านนอกล้วนเห็นชัดเจนกว่า เฉินเกอนั้นเป็นคนหนึ่งที่รักษาสติเอาไว้ได้ดีที่สุด และเขาก็มองจุดอ่อนของเงาออกในทันที
“แกอีกแล้วเหรอ?” ตอนที่พวกเขากำลังสู้กัน เงานั่นก็ขยับตัวเข้ามาใกล้เฉินเกอแล้ว ความเกลียดชังของมันที่มีต่อเฉินเกอนั้นเกินจะวัดได้ โซ่พันอยู่รอบ ๆ เงานั่น แต่กลเม็ดเดิมมักใช้ซ้ำสองไม่ได้
เขาใช้คำสาบปกป้องเด็กที่ในหน้าอกเอาไว้ชั้นหนึ่ง ละทิ้งการป้องกันส่วนใหญ่ขณะขยับมาทางเฉินเกอ เขาต้องการเข้าไปใกล้กับเฉินเกอเพื่อฆ่ามนุษย์คนนี้ที่เขาเกลียดที่สุดในโลก เขาไม่ต้องการเห็นเฉินเกอในรัศมีสายตาอีกต่อไป เขาเกลียดชังทุกอย่างเกี่ยวกับชายคนนี้ และความปรารถนาจะทำลายก็ก่อตัวอยู่ในใจเขา
“ฉันไม่เคยทำร้ายแก และฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแก ถ้ามีโอกาส ฉันก็หวังว่าพวกเราจะสามารถนั่งคุยกันดี ๆ ได้ แต่โชคร้าย พวกเราทั้งคู่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นอันตรายแค่ไหน” เฉินเกอยืนอยู่ที่เดิม ไป๋ชิวหลินและผู้หญิงจากอุโมงค์ยืนระวังอยู่ข้างกายเขาขณะที่เฉินเกอจับตามองรูปแบบการเคลื่อนไหวของเงานั่นอย่างละเอียด
การคืบหน้ามาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ขณะที่ในเวลาเดียวกันยังหลีกเลี่ยงการโจมตีถึงตายได้นั้นมีคุณค่าให้เฉินเกอศึกษา พวกเขานั้นมีร่างกายเช่นเดียวกัน แต่ความเชี่ยวชาญในด้านการใช้ร่างกายของเงานั่นเหนือกว่าเฉินเกอมาก
เฉินเกอนั้นอาศัยค้อนและแรงลุ่น ๆ แต่หลังจากประสบการณ์การเรียนรู้ครั้งนี้ เขาพบขีดจำกัดของการใช้แต่แรงเพียงอย่างเดียว เขาจำเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคอื่นมากขึ้นเพื่อให้สามารถหนีได้ง่ายขึ้นในอนาคตและไม่เป็นภาระให้แก่ผู้อื่น
ถึงเงาจะเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง เฉินเกอก็ยังสามารถเรียนรู้เทคนิคของเงานั่นได้อย่างสบายใจ ไม่ใช่เพราะว่าเฉินเกอรู้แจ้งในชีวิต แต่เพราะว่าจางหยาอยู่ข้างกายเขา
“ก็ยังเป็นจางหยาที่เชื่อถือได้มากกว่า พวกเขาล้วนเป็นวิญญาณสีเลือด แต่เทียบกับหมอเกาและเงา จางหยานั้นดูเป็นปกติธรรมดาที่สุดแล้วในพวกเขา”
นิ้วของเธอกำแน่น และเส้นสีดำก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนผิวที่แขนของจางหยา ผิวที่ขาวราวกับศพ ชุดสีแดงเลือด และเส้นประหลาดสีดำ… จางหยาที่มักจะมีสีหน้าไร้ความรู้สึกเปลี่ยนไปเป็นเงาและจู่ ๆ ก็ยิ้มออกมา
นี่เป็นวันที่มีความหมายสำหรับเธอ ในฐานะพยานของการประกาศความรู้สึกของเฉินเกอ จางหยาอยากจะเปลี่ยนเงาไปเป็นตุ๊กตา เป็นของที่ระลึก
เธอคิดว่าจะทำแบบเดียวกันนั้นในพิธีแต่งงานของพวกเขา เธอจะเปลี่ยนแขกทุกคนไปเป็นตุ๊กตา และด้วยวิธีนั้น ความสุขของวันนั้นก็จะได้รับการเก็บรักษาเอาไว้ไปตลอดกาล
ตอนที่ 675
ตอนที่จางหยายังไม่ปรากฏตัว เงานั้นแค่รู้สึกเกลียดชังเฉินเกอ แต่หลังจากจางหยาปรากฏตัว ความเกลียดชังเฉินเกอของเงาก็ลึกซึ้งมากขึ้น เดิมที เขาแค่ต้องการเปลี่ยนเฉินเกอไปเป็นเงาของตัวเอง แต่ตอนนี้ มันต้องการฆ่าผู้ชายคนนี้
วิญญาณสัมภเวสีดวงหนึ่งไม่สามารถออกจากวัตถุที่มันสิงสู่อยู่ได้ วิญญาณอาฆาตสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และวิญญาณสีเลือดสามารถออกจากสิ่งที่สิงสู่อยู่ได้เป็นเวลานานและยังสามารถหาวัตถุอื่นเข้าสิงสู่ได้ ตอนนี้นั่นเป็นวิธีที่ฉันใช้ในการจำแนกระหว่างวิญญาณชนิดต่าง ๆ
เฉินเกอมองไปยังเงาที่กำลังใกล้เข้ามา
แต่วิธีการนี้ดูเหมือนจะใช้กับวิญญาณที่อยู่เหนือระดับวิญญาณสีเลือดไม่ได้ คุณหมอเกาบอกว่าเขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือดในเงานั่น ดังนั้นสิ่งที่แตกต่างระหว่างบางอย่างนั่นกับวิญญาณสีเลือดคืออะไรกัน? ความแตกต่างของระดับพลังระหว่างพวกเขาน่าจะมากกว่าความแตกต่างของระดับพลังระหว่างวิญญาณสีเลือดและวิญญาณทั่วไป
นี่เป็นวิธีการจำแนกวิญญาณสีเลือดกับวิญญาณทั่วไป สีแดงของเสื้อผ้านั้นเป็นสัญญาณชัดเจน แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างวิญญาณสีเลือดและบางอย่างที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือดเล่า?
เงานั่นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นวิญญาณสีเลือดขั้นสูงเท่านั้น หลังจากผีทารกถือกำเนิด มันก็จะกลายเป็นตัวตนที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือดอย่างแท้จริง
เฉินเกอสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างบนเงา
เด็กทารกที่ในอกของเงานั้นกลืนกินร่างของเขา และเขาก็ใช้ตัวเองหล่อเลี้ยงเด็กทารกแลกเปลี่ยนกับพลังที่เหนือระดับที่เขามี ขณะที่เด็กดูปกติ มันก็ทำให้ฉันรู้สึกแย่มากแล้ว มองดูมันแล้วก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับตอนที่ฉันมองรูปวิญญาณที่บนประตูในบ้านผีสิง
ตอนที่คุณหมอเกาเกือบจะถูกเปิดโปง เขาก็โยนความระมัดระวังทิ้งไปกับสายลมและใช้ชีวิตหลายชีวิตเป็นเครื่องบูชายัญ เขาควักตาของคนเหล่านั้นและทิ้งรูปวาดวิญญาณเอาไว้บนประตูในบ้านผีสิงของเฉินเกอ
วิญญาณนั่นน่าจะมีบางอย่างที่ทรงพลังกว่าวิญญาณสีเลือด
พอคิดกลับไปแล้ว ก็มีหลายอย่างที่ต้องสืบหาเกี่ยวกับสมาคมเล่าเรื่องผี ตัวอย่างเช่น กล่องที่มีคราบเลือดสีดำ อย่างไรเสีย ที่จางหยาสามารถเติบโตได้รวดเร็วก็อาจจะเกี่ยวข้องกับเลือดสีดำที่เธอขโมยมาจากสมาชิกสมาคมเป็นอย่างมาก เลือดสีดำนั่นต่างไปจากเลือดสีดำที่หยดจากร่างกายของหมอเกาซึ่งเป็นสีของคำสาป มันเป็นสีดำสนิท กระทั่งตอนที่ถูกเก็บเอาไว้ในกล่อง ก็ยังรู้สึกได้ถึงความอาฆาตแค้นลึกซึ้งที่มันสั่งสมไว้
คุณหมอเกาน่าจะไม่ได้วางแผนล่อปิศาจเช่นนั้นไปยังประตูที่บ้านผีสิงใช่ไหม?
เฉินเกอไม่สามารถคาดเดาเป้าหมายของวิญญาณได้ คนเดียวที่รู้ความจริง คนที่ติดตั้งกับดักนั่นเอาไว้ กลายเป็นบ้าไปแล้ว และเฉินกอก็ไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นเรื่องดีหรือเปล่า
หากนั่นเป็นแผนการแท้จริงของเขา ไม่มีอะไรที่ฉันจะทำได้นอกจากเพิ่มจำนวนพนักงานที่ฉันมีและฝึกพวกเขาให้แข็งแกร่งมากขึ้น
ตราบใดที่จางหยายังสามารถพัฒนาต่อไปได้ อย่างนั้นปัญหาส่วนใหญ่ก็สามารถแก้ไขได้ แต่ว่า ระยะห่างระหว่างวิญญาณสีเลือดและตัวตนที่เหนือกว่านั้นก็กว้างมาก ต่อให้เงาใช้เวลาสิบปีในการเปลี่ยนร่าง มันก็เหมือนจะยังมีบางอย่างที่ขาดไปสำหรับจางหยาที่จะมีพัฒนาการเช่นนั้น
พลังของจางหยานั้นเติบโตขึ้นสู่ระดับที่เป็นไปไม่ได้ ครั้งหนึ่งเธอเคยมีพลังเทียบเท่ากับผีผู้หญิงที่ในบ่อน้ำในหมู่บ้านโลงศพ แต่ตอนนี้ เธอน่าจะเอาชนะผู้หญิงในบ่อน้ำได้อย่างง่ายดาย
จางหยาน่าจะปิดบังความลับอะไรเอาไว้เหมือนกัน ฉันต้องทำดี ๆ กับเธอ แต่ฉันก็พบว่าอันที่จริงฉันไม่ได้รู้จักเธอดีขนาดนั้น
เสียงกระทบกันหนัก ๆ ดึงความสนใจเฉินเกอกลับสู่ความเป็นจริง เลือดสีดำที่เต็มไปด้วยคำสาปสาดไปทั่วและเส้นผมสีดำก็ห่อตัวเองรอบตัวเฉินเกอแน่นหนา
“พันธนาการ เขมือบ เชื่อมโยงจิตใจ ความเจ็บปวด ความแหลมคม… ทำไมแกถึงมีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่างนัก?”
ภายใต้การปกป้องจากเส้นผมสีดำของจางหยา เฉินเกอได้ยินเสียงเงา
เขาหมายถึงอะไรกัน ‘ความแหลมคม’?
เขมือบนั้นเป็นความสามารถพิเศษของผู้หญิงที่โรงแรม จางหยานั้นกินหัวใจของเธอลงไป ดังนั้นจึงเข้าใจได้ที่เธอจะครอบครองพลังเช่นนั้น พันธนาการนั้นน่าจะเป็นความสามารถของจางหยาเอง และนั่นก็ค่อนข้างเข้ากันได้ดี อย่างไรเสีย เธอก็ใช้เส้นผมของเธอมัดศัตรูของเธอ
จางหยางได้กินเด็กแฝดของปิศาจจากสมาคม และนั่นก็น่าจะทำให้เธอได้รับความสามารถพิเศษเชื่อมโยงจิตใจ นั่นอธิบายว่าทำไมจางหยาถึงสามารถได้ยินเสียงใจหัวใจของเฉินเกอ– เธอน่าจะเชื่อมโยงจิตใจของเธอเข้ากับเฉินเกอตั้งแต่เมื่อตอนนั้น
แต่คุณสมบัติพิเศษอีกสองอย่างนั้นทำให้เฉินเกองุนงง ความเจ็บปวดนั้นดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับซู่อิน และซู่อินก็เพิ่งได้กลายเป็นวิญญาณสีเลือดที่แท้จริง ซู่อินเองน่าจะไม่เข้าใจวิธีการใช้ความสามารถพิเศษของตนเอง ดังนั้นจางหยาจึงเอามันมาเป็นของเธอเองงั้นเหรอ?
ความแหลมคมนั้นเป็นของผีผู้หญิงไร้หัวที่เป็นเพื่อนบ้านเสี่ยวปู้ เธอตายจากการถูกมีดตัดเป็นชิ้น ๆ และความทรงจำนั้นทำให้เลือดของเธอครอบครองคุณสมบัติแหลมคม
เพื่อให้แน่ใจว่าจางหยาไม่ได้แอบกินผีผู้หญิงไร้หัวไปเงียบ ๆ เฉินเกอจึงเปิดหนังสือการ์ตูนแอบดู หญิงไร้หัวยังอยู่ที่นั่น ร่างของเธอยังไม่ได้จางหายไป แต่เธอดูเชื่อฟังมากขึ้นมาก
หญิงไร้หัวเป็นวิญญาณสีเลือดตนหนึ่งที่ฉันวางแผนจะให้เข้าร่วมกับบ้านผีสิง และซู่อินก็เป็นพนักงานที่เชื่อฟังคำสั่งของฉันไปแล้ว งั้นนี่ก็หมายความว่าจางหยาสามารถดูดซับความสามารถพิเศษของวิญญาณสีเลือดอื่น ๆ ผ่านทางฉันได้?
เฉินเกออ้าปากค้าง เขาไม่คิดว่านั่นจะเป็นไปได้
ความสามารถพิเศษที่เงานั่นพูดถึงน่าจะเป็นพลังพิเศษที่โทรศัพท์เครื่องดำระบุ ในเมื่อเงาสามารถมองเห็นคุณสมบัติพิเศษทั้งหมดของวิญญาณสีเลือด งั้นนี่ไม่ใช่หมายความว่าคุณสมบัติพิเศษของเขาเป็นอะไรอย่างเช่น การสังเกต เหรอ?
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอได้ยินคุณสมบัติพิเศษเช่นนี้ แต่เขาก็เชื่อว่าเงานั่นเข้าใจผิดแล้วครั้งนี้ จางหยาไม่ได้ครอบครองความสามารถพิเศษมากมาย มันก็แค่นอกจากพลังในการพันธนาการที่เธอมีอยู่แล้ว เธอครอบครองพลังต่าง ๆ ที่ฝังลึกอยู่ในร่างของเธอ
จางหยาครอบครองหน้าพิเศษเป็นของตัวเองในโทรศัพท์เครื่องดำ เฉินเกอเคยคิดว่านั่นเป็นเรื่องปกติของวิญญาณสีเลือดทั้งหมด แต่กระทั่งหลังจากซู่อินกลายเป็นวิญญาณสีเลือด เขาก็ยังไม่มีหน้าของตัวเอง
กระทั่งซู่อินกลายเป็นวิญญาณสีเลือด เขาก็ยังเป็นเพียงหนึ่งบรรทัดในรายชื่อพนักงาน แต่ชื่อของเขานั้นเปลี่ยนเป็นสีแดง
วิญญาณสัมภเวสีนั้นไม่มีพลังพิเศษอะไร วิญญาณอาฆาตส่วนน้อยที่มีจะพลังพิเศษ และนั่นก็เหมือนกับการสุ่มชิงโชค แต่ว่า วิญญาณสีเลือดทุกตนนั้นครอบครองพลังพิเศษหนึ่งชนิด วิญญาณสีเลือดตนหนึ่งอาจจะครอบครองพลังพิเศษที่มากกว่านั้น และยิ่งพลังพิเศษมีมากเท่าใด พวกเขาก็จะแข็งแกร่งมากเท่านั้น ถ้าคิดตามหลักนี้ ตัวตนที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือดจะครอบครองพลังแบบไหนกัน?
เฉินเกอพยายามคาดเดาดู และในความจริง เขาก็ยังพยายามคิดหาวิธีการวิวัฒนาการพนักงานของเขาให้ถึงระดับนั้น เวลาอันจำกัดของภารกิจระดับสี่ดาว– โรงเรียนแห่งปรโลก– นั้นกำลังจะหมดแล้ว เมืองหลี่ว่าน ภารกิจระดับสามดาวครึ่งนั้นยังทำให้เขาลำบากขนาดนี้ ถ้าเขาต้องท้าทายฉากระดับสี่ดาวจริง ๆ เขาอาจจะตายได้
ถึงแม้ฉากระดับสามดาวครึ่งจะไม่มีตัวตนที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือด แต่ก็ยังสังเกตเห็นร่องรอยของมันได้ ถ้าคิดตามนี้ ฉากระดับสี่ดาวน่าจะมีตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าวิญญาณสีเลือดปรากฏอยู่
เฉินเกอสูดลมหายใจลึก เมืองที่เขาอาศัยอยู่นั้นมีเรื่องผีมากมาย แต่กระทั่งในเมืองที่พิเศษเช่นนี้ ยังมีฉากระดับสี่ดาวแค่สามฉาก หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เมืองนี้เป็นที่อยู่อาศัยของตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าวิญญาณสีเลือดถึงสามตน พวกเขาเป็นความลับที่ปิดบังไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของเมือง พวกเขาคือด้านที่มืดกว่ามืดของเมือง