My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 683-689
ตอนที่ 683
มีผู้เข้าชมมาถามเฉินเกอเกี่ยวกับฉากใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ และเฉินเกอก็ยินดีบอกข้อมูลที่ไม่สำคัญนักกับพวกเขา เขารู้ว่าสิ่งที่ผู้เข้าชมกระหายจะรู้คืออะไร และข้อมูลที่เขาให้นั้นก็เหมือนเหยื่ออันโอชะ ล่อหลอกพวกเขาเข้าสู่การท้าทายฉาก
“บอสเฉิน พวกเราพบกันอีกแล้ว ทำไมยิ่งมาฉันยิ่งรู้สึกเหมือนคุณดูเด็กลง?” ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเฉินเกอนั้นมีผมตัดสั้นและรูปลักษณ์ทอมบอยของเธอทำให้เธอดูมีสไตล์มากกว่าพวกผู้ชายเสียอีก แต่ว่ารูปร่างเย้ายวนของเธอก็ไม่ได้ทำให้เธอไร้เสน่ห์แบบหญิงสาวเช่นกัน
“นั่นอาจจะได้ผลกับพวกคุณลุงวัยกลางคนนะครับ– สำหรับคุณผมดูแก่ขนาดนั้นเหรอ?” ผู้หญิงคนนี้นับได้ว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเฉินเกอ ชื่อของเธอก็คือ เย่เสี่ยวซิน นักรีวิวบ้านผีสิง เธอมีผู้ติดตามมากกว่าล้านคน ตอนที่คนจากบ้านผีสิงโรงเรียนแพทย์เทียนเถิงมาเข้าชม เธอก็เข้าร่วมกับพวกเขา และหลังจากที่เธอออกมา เธอก็แทบจะตีกับตัวเองอยู่ตรงนั้น
“ฉันไม่เคยเสียเวลาพูดประจบประแจง ฉันคิดจริง ๆ ว่าคุณดูเด็กลง” เย่เสี่ยวซินดึงโทรศัพท์ออกมา “ฉันขอตั๋วเข้าห้องเก็บศพใต้ดิน ฉันวางแผนจะรีวิวฉากนั้นวันนี้”
“ห้องเก็บศพใต้ดิน?” เฉินเกอไม่ปิดบังความไม่สบอารมณ์บนใบหน้า “ไม่ใช่ว่าคุณกำลังจะท้าทายฉากใหม่ของผมหรอกเหรอ? มันสนุกนะ”
“ไม่ละ ขอบใจ ฉันจะรอให้มีไกด์บนออนไลน์ก่อน” เย่เสี่ยวซินสะบัดผมไปด้านหลัง จากนั้น ก็เหมือนจะนึกอะไรได้ เธอก็เสริม “แล้วก็ มีกลุ่มบนออนไลน์ตั้งใจจะรวบรวมและแบ่งปันรูปของฉากในบ้านผีสิงของคุณแน่ะ คุณแน่ใจนะว่าจะไม่ทำอะไรกับเรื่องนั้น? ฉันรู้สึกว่านี่เป็นการโจมตีคุณ”
“ไม่เป็นไร ผมมองมันเป็นการโฆษณาฟรี” เฉินเกอมีความช่วยเหลือของถงถง แต่ในเมื่อมันมีฉากเยอะเกินไป ถงถงก็ไม่สามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ที่มากมายเกินไปได้ และแน่นอนว่า นี่ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เฉินเกอจงใจผ่อนปรนให้ผู้เข้าชม
บ้านผีสิงนั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว และยังมีคู่แข่งน่ากลัวอย่างสวนสนุกแห่งอนาคตปรากฏตัวออกมาอีก ก่อนที่ผลลัพธ์จะปรากฏ ความนิยมนั้นเป็นเรื่องสำคัญของเฉินเกอ อย่างไรเสีย ถ้าเขาต้องการหยุดการกระทำเช่นนี้ มันก็ไม่ได้ยากเกินไปเมื่อคิดถึงว่าพนักงานของเขานั้นต่างจากของคนอื่น ๆ
“ระวังไว้หน่อยแล้วกัน ถ้าพวกเขาทำลายคุณซึ่งหน้าไม่ได้ พวกเขาก็อาจจะทำอะไรลับหลัง” เย่เสี่ยวซินลดเสียงลง “ตอนที่ฉันต่อแถวอยู่เมื่อกี้นี้ ฉันเห็นผู้ชายคนนี้ที่ห้องโถงรอพัก ระวังเขาเอาไว้”
เย่เสี่ยวซินค้นโทรศัพท์ตัวเองและเปิดรูปหนึ่งให้เฉินเกอดู ในรูปนั้นเป็นผู้ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ ถึงแม้ว่าพระอาทิตย์จะสาดแสงแรงกล้า เขากลับดูไม่ร้อนเลย เขากำลังคุยโทรศัพท์ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เขาดูมีการศึกษาและสุภาพ ดูไม่เหมือนคนไม่ดี”
“อย่าถูกรูปลักษณ์ของเขาหลอกเอา ถ้าคุณเข้าไปดูในกระดานสนทนาเกี่ยวกับบ้านผีสิง คุณจะพบว่าผู้ชายคนนี้ติดแบล็กลิสต์ของบ้านผีสิงหลายแห่ง” เย่เสี่ยวซินไปยืนด้านข้างเพื่อให้ไม่ขวางแถว “เขาไม่ใช่ผู้เข้าชมธรรมดา– มีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับจิตใจของเขา เขาน่ากลัว และสิ่งที่ประหลาดที่สุดก็คือเขาชอบ ‘เปิดเผย’ ตัวเองต่อคนอื่นที่ในบ้านผีสิง เขาทำให้นักแสดงผู้หญิงที่ในบ้านผีสิงหลายคนร้องไห้เพราะการกระทำของเขา”
“เขาเป็นคนน่ากลัวขนาดนั้น?”
“ใช่ เขายังถูกจับกุมหลายครั้งเพราะการกระทำของเขา แต่ว่าเขาก็ไม่เปลี่ยนนิสัยเลย” เย่เสี่ยวซินถอนหายใจ “เขาเข้าใจกฎของนักแสดงของบ้านผีสิง เขารู้ว่าพวกนักแสดงทำร้ายเขาไม่ได้ เขายังไม่ได้มีการสัมผัสทางกายกับพวกนักแสดง เขาแค่เปิดบางส่วนของตัวเองให้นักแสดงดูเพื่อเติมเต็มความปรารถนาทางเพศของตัวเอง ผู้ชายคนนั้นเก่งเรื่องนี้ เขามักจะลงมือในมุมที่ไม่มีกล้องวงจรปิด ตอนที่เขาถูกจับกุมก็เป็นเพราะว่าใช้เวลาไปทำเรื่องพวกนี้จนผู้เข้าชมคนอื่นที่เข้าพร้อมกันทนไม่ไหวทุบตีเขาเข้า”
“บางคนก็ต้องการบทเรียน บทเรียนที่ลึกซึ้งและจริงจัง” พนักงานทำอะไรไม่ได้ แต่ว่าผู้เข้าชมทำได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ เฉินเกอก็มองเห็นทางแก้ปัญหานี้หลายทาง
“ฉันคิดว่าน่าจะประมาณนี้แหละ ระวังด้วย ฉันจะเข้าไปก่อนตอนนี้” เย่เสี่ยวซินตามคนที่เหลือเข้าไปในบ้านผีสิง เฉินเกอใช้ดวงตาหยินหยางของตัวเองมองไปทางห้องโถงรอพัก ชายคนนั้นยังคุยโทรศัพท์ แต่เฉินเกอพบว่าตอนที่เขากำลังคุย ดวงตาของเขาก็ยังกลอกไปมาเหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่
เฉินเกอมองไปรอบ ๆ โดยมีชายคนนี้เป็นศูนย์กลาง และเขาก็พบว่าที่จุดอับสายตาชายคนนี้นั้นมีชายอีกคนที่กำลังคุยโทรศัพท์ ผู้ชายคนนี้นั้นสวมหมวกใบใหญ่ และมีผิวขาว รูปลักษณ์ของเขานั้นดูนุ่มนวลและคล้ายผู้หญิง
“คู่หู?” ตอนที่เฉินเกอหันไปมองชายคนนั้น ชายในเสื้อคลุมก็วางสายและเดินออกจากห้องโถงมา บังเอิญว่า ชายอีกคน ก็เดินออกมาพร้อมกับคนอื่นอีกสามคนด้วย
ทั้งห้าคนเริ่มต่อแถว คนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้า อีกคนอยู่ด้านหลัง และคนอื่น ๆ อยู่ตรงกลาง จากภายนอกแล้ว พวกเขาดูไม่เหมือนว่าจะรู้จักกัน
“พวกเขามาจากสวนสนุกแห่งอนาคต?” แต่ว่าเฉินเกอรู้สึกเหมือนตัวเองนั้นทิ้งร่องรอยบาดแผลทางใจเอาไว้ให้กับคนจากสวนสนุกแห่งอื่นลึกมากจนพวกเขาไม่น่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้ เฉินเกอให้ความสนใจพวกเขาเป็นพิเศษ หลังจากทั้งสามคนเข้าไปต่อแถว จู่ ๆ ก็เกิดความวุ่นวายขึ้น สามคนเริ่มเคลื่อนไหวและไปรวมตัวกัน “พวกเขาเตรียมตัวมา!”
ความวุ่นวายเริ่มปะทุ และนี่ก็รบกวนผู้เข้าชมคนอื่น ๆ หนึ่งในนั้นตะโกนใส่พวกเขาตรง ๆ อย่างโมโห “ทำไมพวกคุณถึงแซงคิว? ถอยออกไปนะ!”
เขาเสียงดังมากและนี่ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ในทันที คนที่พูดขึ้นนั้นเป็นชายวัยกลางคนสูงประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตร รูปลักษณ์ของเขานั้นไม่เข้ากับพื้นอารมณ์ของเขาเลย
“คุณชิโนซากิ กรุณาใจเย็นก่อน พวกเรามาที่นี่เพื่อตามหาแรงบันดาลใจ– ไม่มีความจำเป็นต้องทะเลาะกับคนอื่น ๆ” ผู้หญิงคนหนึ่งอายุยี่สิบกว่าปีที่ยืนอยู่ข้างชายวัยกลางคน เธอดูเหมือนจะเป็นผู้ช่วยของเขา ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะคุ้นชินกับการระเบิดอารมณ์ของชายคนนั้น และเธอก็ขอโทษผู้เข้าชมที่รอบ ๆ
“ชิโนซากิ? คนต่างชาติ?” ก่อนที่เฉินเกอจะทันได้พูดอะไร ผู้ชายที่ชื่อชิโนซากิก็เริ่มทะเลาะวิวาทด้วยภาษาจีนอันยอดเยี่ยม เฉินเกอรีบส่งหน้าที่ขายตั๋วต่อให้ลุงซู และรีบวิ่งเข้าไประงับการต่อสู้ “ได้โปรดหยุดทะเลาะกัน เมื่อครู่นี้ใครแซงคิวนะครับ?”
เห็นพนักงานเข้ามาแล้วทั้งสองฝ่ายก็หยุดเถียงกัน
“เขา! เขาแซงคิว ฉันกำลังจะบอกคุณว่า ถ้าพวกเราไม่มีกฎของสังคม ฉันก็ต่อยหน้าเขาไปแล้ว ไร้ระเบียบชะมัด” ชายวัยกลางคนช่างหาเรื่องเก่งเหลือเกิน
“เข้าใจแล้วครับ” เฉินเกอหันไปหาคนที่แซงคิว เขายืนอยู่ติดกับชายที่สวมหมวกใบใหญ่ เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกัน “ถ้าคุณต้องการเข้าชมบ้านผีสิงของเผม ผมก็ต้องการให้พวกคุณทั้งหมดถอยกลับไปต่อแถวและทำตามกฎ”
เฉินเกอไม่ปล่อยให้มีโอกาสได้ต่อรอง ผู้ชายคนนั้นดูไม่พอใจกับการจัดการนี้อย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าด้วยการโน้มน้าวจากเพื่อนของเขา เขาก็ถอยกลับไปต่อแถวด้านหลังอย่างเชื่อฟัง
“เอาละ ตอนนี้ทุกอย่างก็เป็นปกติดีแล้ว” เฉินเกอยืนอยู่ท้ายแถว เพราะอะไรสักอย่าง ชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเมิน เขาตะโกนไปที่เฉินเกอ “ร้อนขนาดนี้แถวก็ยาว คุณไม่มีแถวสำหรับ VIP หรืออะไรแบบนั้นเหรอ? ผมยินดีจ่ายเพิ่ม!”
“ต้องขออภัยด้วยครับ แต่ว่าผมปฏิบัติกับผู้เข้าชมทั้งหมดของผมเสมอภาคกัน”
“ดี! ช่างมีหลักการนัก! อย่างนั้นฉันกลับ! ทุกคนแม่งขัดใจฉันตลอด!” เพื่อตบตาเฉินเกอ ผู้ชายคนนั้นจึงทำเป็นโกรธและหันหลังกลับ
“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณชิโนซากิ! บ้านผีสิงนี่โดดเด่นมาก! พวกเราก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นพวกเราอย่างน้อยที่สุดก็ควรเข้าไปดูนะคะ!” หญิงสาวผู้ช่วยพยายามรั้งเขาเอาไว้ จากนั้นเธอก็วิ่งกลับมาขอร้องเฉินเกอ “บอสคะ คุณช่วยยกเว้นให้พวกเราได้ไหม?”
เธอมองเฉินเกอด้วยสายตาขอร้อง “คุณชิโนซากิเป็นนักเขียนการ์ตูนค่ะ เขาไม่มีแรงบันดาลใจมาหลายเดือนแล้ว และอารมณ์ของเขาก็แย่ลงเพราะเรื่องนั้น ปกติเขาไม่ได้เป็นอย่างนี้”
“นักเขียนการ์ตูน? เขาดังไหม? ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน?” เฉินเกอจู่ ๆ ก็นึกถึงเอี๋ยนต้าเหนียน บางทีเขาอาจจะใช้โอกาสนี้เติมเต็มความปรารถนาของเอี๋ยนต้าเหนียน
ผู้ช่วยหน้าแดง “คุณชิโนซากิปกติตีตลาดอยู่ต่างประเทศค่ะ และเขาก็มีชื่อเสียงในด้านนี้ แต่ว่าสองสามปีหลังมานี่ เขาเริ่มเปลี่ยนสไตล์ไป! ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังเป็นชายที่ทรงอิทธิพลมากทีเดียว!”
เฉินเกอพยักหน้าและจงใจเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น “ถ้าคุณไม่ต้องการต่อแถว อย่างนั้นก็มีทางเลือกเดียวครับ ผมเพิ่งเปิดฉากใหม่ และคนที่ต้องการเข้าชมฉากใหม่สามารถลัดแถวเข้ามารวมกับผมได้เลยตอนนี้”
“ฉากใหม่?” เธอดูไม่กล้าตัดสินใจ ดังนั้นจึงหันไปหาชายคนนั้น
“ผมเพิ่งชมว่าคุณมีหลักการไปก่อนหน้านี้ แต่พอได้ยินชื่อผมคุณก็เปลี่ยนใจ ได้ ผมจะให้โอกาสคุณทำให้ผมประทับใจให้ได้วันนี้” ชายวัยกลางคนเดินกลับมาอย่างเอื่อยเฉื่อย “ฉากใหม่ก็ฉากใหม่!”
เห็นชายวัยกลางคนแซงคิว ผู้ชายคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาจากท้ายแถว “ผมก็อยากจะเข้าชมฉากใหม่เหมือนกัน”
ผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุม อุณหภูมิข้างนอกนี่ก็สูง และยังไม่มีเครื่องปรับอากาศ ผมของเขาเปียกเหงื่อเหมือนเขากำลังจะไหม้แล้ว ได้ยินเสียงเขา คนอื่นในกลุ่มของเขาก็อยากจะรั้งเขาเอาไว้ แต่ว่ามันก็สายเกินไปแล้ว
“ได้ อย่างนั้นก็ตามผมมา มีคนอื่นอีกไหม?” เฉินเกอยอมรับการอาสาของเขาอย่างรวดเร็วและรับเงินเขามา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีโอกาสสำนึกเสียใจแล้ว
คนอื่นในกลุ่มก็เดินออกมาช้า ๆ เฉินเกอให้ลุงซูขายตั๋วให้คนพวกนี้ขณะที่เขาใช้โทรศัพท์ค้นข้อมูลของชิโนซากิในออนไลน์
ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ชาวต่างชาติ– เขาก็แค่มีชื่อที่ฟังดูคล้ายชื่อชาวต่างชาติ แต่ว่า ที่บอกว่าเขาสร้างผลงานโดยมีตลาดอยู่ที่ต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องจริง แฟนคลับของเขาเรียกเขาเป็นโมเสกเดินได้*และบิดาแห่งแสงศีลธรรม**
TL note:
*หมายถึงการเบลอภาพที่มักจะใช้ในการปิดส่วนอันสงวนในการ์ตูนอีโรติกหรือที่มีฉากอิโรติก
**แสงแห่งศีลธรรมนั้นมักจะถูกใช้ในการ์ตูนอีโรติกหรือที่มีฉากอิโรติก เช่นเมื่อตัวละครถอดเสื้อผ้าหรือว่าเปลือยกาย แทนที่จะใช้การเบลอภาพ ก็จะใช้แสงหรือว่าควันในการปิดส่วนสงวน ดังนั้น แฟน ๆ การ์ตูนจึงมักเรียกมันว่าแสงแห่งศีลธรรม ในภาษาอังกฤษใช้ว่า Holy light, Saint light แต่ในภาษาไทยมักใช้คำว่าแสงแห่งศีลธรรม
ตอนที่ 684
นามปากกาของศิลปินผู้นี้ก็คือ ชิโนซากิ ไต้เสิน และเขาก็มีชื่อเสียงมากที่ต่างประเทศ แต่ว่า มีคนไม่มากที่รู้ชื่อจริงของเขา เฉินเกออ่านผลการค้นหาอยู่นานก่อนที่จะเจอบางอย่างที่สำคัญ ใครบางคนที่เรียกเขาว่าเจ้าของบ้านของชิโนซากินั้นเผยแพร่สิ่งหนึ่งเอาไว้
เขาอ้างว่าตัวเองเคยเห็นบัตรประชาชนของชิโนซากิมาก่อน นักเขียนการ์ตูนผู้นี้ที่ชื่อเสียงโด่งดังที่ต่างประเทศอันที่จริงนั้นมีชื่อที่ธรรมดามาก ๆ เขาเกิดมาในฐานะ หลี่เป้าฝู
“ชิโนซากิไต้เสินกับหลี่เป้าฝู นี่ยากที่จะคิดภาพว่าพวกเขาอาจจะเป็นคนคนเดียวกัน” เฉินเกอหันไปมองทางเข้าบ้านผีสิง ชิโนซากินั้นกำลังแข่งจ้องตาอยู่กับผู้ชายในชุดคลุมตัวยาว– พวกเขาต่างสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติในตัวอีกฝ่าย
ตอนนี้มีคนอยู่ที่ด้านในประตูบ้านผีสิงเจ็ดคน ชิโนซากิและผู้ช่วยสาวของเขายืนอยู่ทางซ้าย ขณะที่ชายในชุดคลุมยาวยืนอยู่ทางขวาคนเดียว สี่คนที่เหลือนั้นมาด้วยกัน แต่ว่าพวกเขายืนกันเป็นกลุ่มสองคน ทำเหมือนไม่รู้จักกันและกัน
“เมืองหลี่ว่านใหญ่มาก ต่อให้เข้าไปเจ็ดคน ฉันยังสงสัยว่ามันก็คงจะไม่สะเทือน” ถ้าผู้เข้าชมเหล่านี้เคยผ่านประสบการณ์ฉากระดับสามดาว เฉินเกอก็อาจจะส่งพวกเขาเข้าไปทั้งอย่างนั้น แต่ว่าหลายคนในนี้นั้นเป็นหน้าใหม่ การมีจุดประสงค์ไม่ดีในการมาที่นี่นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ว่าชิโนซากิและผู้ช่วยสาวของเขานั้นเป็นผู้บริสุทธิ์โดยแท้ เฉินเกอนั้นเป็นคนใจดี เขาจะไม่ทำให้สองคนนี้ต้องลงนรกไปด้วยเพียงเพราะว่าพวกที่เหลือดูถูกบ้านผีสิงของตนและอ้างว่าฉากของเขานั้นไม่น่ากลัว
หลังจากคิดดูแล้ว เฉินเกอก็เดินไปรวมกับกลุ่มเจ็ดคน “ฉากใหม่นั้นกว้างมาก– นี่หมายความว่ามันควรเป็นการท้าทายด้วยกลุ่มสิบคน หลังจากที่พวกเรารวมอีกสามคนที่เหลือได้ อย่างนั้นก็เริ่มเข้าฉากได้”
“ยิ่งพวกเราคนน้อยก็ยิ่งสนุก เจ็ดคนก็มากเกินพอแล้ว” ชายในชุดเสื้อคลุมยาวนั้นเคยถูกผู้เข้าชมทุบตีมาก่อน เขาไม่ได้กลัวนักแสดง แต่ว่าเขากลัวว่าผู้เข้าชมคนอื่น ๆ จะทำลายแผนการของเขา
“ใช่ ถ้ามีกันสิบคน ก็มีแต่จะเสียงดังและแออัดเกินไป แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ชิโนซากิให้ความเห็นด้วยเหมือนกัน ด้วยพื้นอารมณ์ของเขานั้น ย่อมไม่กลั่นกรองคำพูด สิ่งที่ออกมาจากใจก็คือถ้อยคำที่ออกจากปาก
“ผมแนะนำให้พวกคุณฝึกความอดทนกันสักหน่อยนะ– คุณเจ้าของก็แค่เป็นห่วงพวกคุณเท่านั้น” มีเสียงชายหนุ่มพูดขึ้นมาจากในกลุ่มคน เสียงของผู้ชายคนนั้นคุ้นหูเฉินเกอมาก เขาหันไปทางเสียงนั้นและเห็นหยางเฉินกำลังขมวดคิ้วขณะอ่านป้ายไม้ที่ข้าง ๆ ห้องขายตั๋ว
“คุณไม่ไปเรียนแต่ว่ามาที่นี่ทุกวันเลยนะช่วงนี้?” บางทีอาจจะเพราะตัวตนที่ในห้องเก็บศพใต้ดิน เมื่อไหร่ก็ตามที่เฉินเกอเห็นนักศึกษาจากวิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียง เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับคนเหล่านี้
หยางเฉินนั้นกลัวเฉินเกออยู่นิด ๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงเฉินเกอ เขาก็ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว “ผมยังไม่ผ่านฉากห้องเก็บศพใต้ดิน ดังนั้นไม่มีทางที่ผมจะไปลองฉากใหม่ คุณไม่ต้องคิดอะไรเลยนะ!”
“เสี่ยวหยาง ทำไมนายพูดแบบนั้นล่ะ? นายลืมคูปองที่ฉันให้นายไปแล้วเหรอ?” เฉินเกอชูโทรศัพท์ขึ้นมาและคำแนะนำฉากใหม่ก็อยู่บนหน้าจอ “นายแน่ใจเหรอว่านายไม่อยากท้าทายฉากนี้? ด้วยความสามารถของนาย เด็ก ๆ จากที่วิทยาลัยของนายก็เหลือแค่ผ่านฉากห้องเก็บศพใต้ดินให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเท่านั้นเอง หลังจากผ่านฉากห้องเก็บศพใต้ดิน รวมถึงฉากนี้ด้วย เงินรางวัลสองแสนก็จะเป็นของนาย นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนรักษาคำพูด ฉันไม่เคยผิดสัญญานะ ถ้านายผ่านฉากนี้ได้ ฉันจะส่งเงินรางวัลให้นายตรงนี้เลย”
ฉากที่วิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียงผ่านได้นั้นกลายเป็นที่นิยมในอินเตอร์เนต ในสายตาของเฉินเกอ นักศึกษาเหล่านี้นั้นไม่ได้ต่างอะไรจากสัญลักษณ์หรือว่าเครื่องรางแห่งโชคลาภของเขาเลย
“ไม่ต้องนับผมรวมเข้าไป แต่ว่าผมพาคนมาให้คุณสองสามคนวันนี้” หยางเฉินหันกลับไปโบกมือ เด็กหนุ่มสองคนกับเด็กสาวคนหนึ่งเดินออกจากมาฝูงชน คนที่เดินอยู่ข้างหน้าคือหวังตั้น เฉินเกอเคยเจอเขามาแล้ว เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มาพร้อมกับหยางเฉินตอนที่พวกเขาท้าทายฉากโรงเรียนมัธยมมู่หยางและห้องเก็บศพใต้ดิน
เด็กหนุ่มกับเด็กสาวที่ด้านหลังนั้นคุยกันอย่างสนุกสนาน เด็กสาวสวมเสื้อยืดตัวหลวมที่เผยให้เห็นหัวไหล่ของเธอกับกางเกงขาสั้นสีขาว มันเผยความเย้ายวนและน่ารักที่เธอมีในวัยเยาว์นี้ของเธอ
เด็กหนุ่มคนนั้นสูงกว่าหวังตั้นและยังมีมัดกล้ามเนื้อสวยงามบนร่าง เขาไม่ได้แต่งตัวจัด แต่ว่าเสื้อผ้าทุกชิ้นเป็นของมีราคา เขาดูดีกว่าหวังตั้นที่แทบจะกลายไปเป็นฉากหลัง
“ผมมั่นใจว่าคุณจำเพื่อนผมได้ หวังตั้น เด็กสาวที่ด้านหลังเขาคือแฟนสาวของเขา ผู้ชายคนนั้นเป็นนักศึกษาคณะกีฬาและสุขภาพของวิทยาลัยครูจิ่วเจียง เขาเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของแฟนของหวังตั้น” หยางเฉินเอนตัวเข้าไปกระซิบกับเฉินเกอใกล้ ๆ “แล้วเขาก็ยังได้รับเลือกเป็นนักเรียนที่หล่อที่สุดของโรงเรียนตอนเรียนมัธยมด้วย”
“นั่นแฟนหวังตั้นเหรอ? ถ้านายไม่บอกฉัน ฉันก็ไม่รู้จริง ๆ นะ” เฉินเกอจู่ ๆ ก็คิดได้ “เดี๋ยวนะ ทำไมนายถึงบอกฉันเรื่องนี้?”
หยางเฉินขยิบตาให้และส่งสัญญาณให้เฉินเกอ และนั่นทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ก่อนที่เขาจะทันพูดอะไร หวังตั้นกับอีกสองคนก็เดินเข้ามาแล้ว “ขอตั๋วสามใบสำหรับฉากใหม่ครับ”
เห็นได้ชัดเจนว่าหวังตั้นอารมณ์ไม่ดีนัก เสียงของเขาดูเอื่อยเฉื่อยและสิ้นหวัง
“นายแน่ใจเหรอ? ฉากใหม่น่ากลัวมากนะ ฉันแนะนำให้นายอย่าวู่วามดีกว่า”
“ไม่เป็นไร ผมผ่านฉากระดับสามดาวหลายฉากแล้ว ฉากใหม่นี่น่าจะเป็นเรื่องกล้วย ๆ สำหรับผม”
“งั้นก็ได้ ยังไงฉันก็จะรู้สึกดีขึ้นที่มีผู้เข้าชมที่มีประสบการณ์อย่างนายเข้าไปกับผู้เข้าชมที่เหลือ” เฉินเกอส่งตั๋วให้ทั้งสามคนละใบ จากนั้นเขาก็นำทั้งสามคนเข้าไปในบ้านผีสิง “ปากกาอยู่บนโต๊ะ รบกวนลงชื่อในใบยินยอมด้วย”
ผู้เข้าชมสิบคนเบียดกันอยู่ในทางเดิน และมันก็ค่อนข้างแออัด บนโต๊ะมีปากกาจำนวนจำกัด ดังนั้นจึงต้องรอกันบ้าง ผู้ชายในชุดคลุมยาวดูรำคาญ “มันจำเป็นด้วยเหรอเนี่ย? ฉันเคยไปบ้านผีสิงตั้งหลายที่แล้ว และฉันก็ไม่เคยเห็นที่ไหนต้องทำขนาดนี้เลย”
“ใช่ คุณทำอย่างกับมาบ้านผีสิงเหมือนอะไรแบบกระโดดบันจี้จั๊มพ์ ผมมั่นใจว่านี่ไม่ใช่อะไรนอกจากกลเม็ดสร้างความกดดันทางจิตใจ” เด็กหนุ่มนักศึกษาที่ใส่เสื้อผ้ามียี่ห้อทั้งตัวและดูสดใสราวกับพระอาทิตย์พูดด้วยท่าทางสบาย ๆ เขายืนอยู่ข้างแฟนสาวของหวังตั้นและเริ่มเล่าเรื่องตอนที่เขาไปดำน้ำตื้นกับกระโดดบันจี้จั๊มพ์ เทียบกับบ้านผีสิงแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าการดำน้ำตื้นและการกระโดดบันจี้จั๊มพ์นั้นดึงดูดความสนใจของเด็กสาวได้ดีกว่ามาก แฟนสาวของหวังตั้นฟังทุกคำพูดของเขาและพยักหน้าและทำเสียงเห็นด้วยเป็นระยะ
“คุณจะไม่ควรพูดแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่คุณมาบ้านผีสิงนี่ ผมแนะนำให้คุณระวังคำพูดของคุณมากกว่านี้” หวังตั้นส่งปากกาที่เขาถืออยู่ให้คนถัดไป
“ขอบใจ” นักศึกษาชายคนนั้นยักไหล่และลงชื่อก่อนที่จะวางใบยินยอมลงบนโต๊ะ
“จางเฟิง?” เฉินเกออ่านชื่อที่บนใบยินยอมและเก็บมันไปอย่างรอบคอบ “คุณลงชื่อด้วยตัวคุณเอง และผมไม่ได้บังคับให้คุณทำ ผมอยากจะแน่ใจว่าคุณเข้าใจดีว่าคุณยินดีเข้าไปในบ้านผีสิงแห่งนี้เองและไม่ได้ถูกบีบบังคับให้ต้องเข้าไป”
ตอนที่เขาได้ยินว่านี่คือครั้งแรกที่จางเฟิงมาเข้าชมบ้านผีสิง การท้าทายครั้งแรกของเขาคือฉากระดับสามดาวครึ่งของเฉินเกอ นั่นเป็นบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยแค่คำว่ารนหาที่ตาย
“คุณล้อเล่นหรือไง?”
“ยังมีเวลาให้คุณเปลี่ยนใจนะ” เฉินเกอพยายามโน้มน้าวเด็กหนุ่ม
“คุณจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยเหรอกับแค่เข้าบ้านผีสิง? คุณทำเกินไปแล้วนะ ลงชื่อในใบยินยอมนั่นก็พอแล้ว แต่ตอนนี้คุณยังทำตัวน่ารำคาญ” จางเฟิงไม่สนใจคำแนะนำอย่างอ่อนน้อมของเฉินเกอและหันกลับไปคุยกับแฟนสาวของหวังตั้น
ในเมื่อเด็กหนุ่มไม่รับคำแนะนำของเขา เฉินเกอก็ทำอะไรไม่ได้ เขาเก็บใบยินยอมของคนอื่น ๆ ไป หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาก็บรรยายสั้น ๆ ให้ผู้เข้าชมฟังถึงวิธีการสนุกกับฉากเมืองหลี่ว่าน
“ฉากใหม่นี้เรียกว่าเมืองไร้นาม มันสร้างขึ้นจากเรื่องผีหลาย ๆ เรื่อง มันกินพื้นที่ค่อนข้างกว้าง และคุณสามารถไปที่ไหนก็ได้อย่างอิสระตามที่ต้องการ หลังจากคุณเข้าไปแล้ว ผมก็จะปิดทางเข้าเมืองไร้นาม และทางออกนั้นซ่อนอยู่ในฉากแล้ว
“คุณต้องหาเงื่อนงำที่ซ่อนเอาไว้ขณะที่ถูกฆาตกรและเหล่าวิญญาณไล่ตาม มีคำใบ้ทั้งหมดสามสิบสองชิ้นซ่อนเอาไว้ในฉากนี้ และมันจะนำไปหาจุดจบสามสิบสองแบบที่แตกต่างกัน”
ถึงตอนนี้ เฉินเกอชูสี่นิ้ว
“ในเมื่อพวกคุณเป็นผู้เข้าสัมผัสประสบการณ์ในฉากนี้เป็นกลุ่มแรก ผมจะบอกตำแหน่งของคำใบ้สี่แห่งให้คุณ
“จุดแรกนั้นซ่อนอยู่ถังน้ำในห้องห้องหนึ่ง มีโทรศัพท์ที่คุณสามารถใช้สื่อสารกับผีได้
“จุดที่สองสองนั้นอยู่ในเขตที่พักอาศัย คุณจะไม่เชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตประหลาดชนิดไหนซ่อนอยู่ที่นั่นในสถานที่ที่ไม่คาดคิด
“คำใบ้ที่สามซ่อนอยู่ในอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง กล่องดนตรีที่ส่งเสียงได้ด้วยตัวเอง
“คำใบ้ที่สี่ซ่อนอยู่ที่บอสของโรงแรม คุณไปหาเขาได้ และเขาจะให้ข้อมูลบางอย่างกับคุณ
“แน่นอนว่า คำใบ้ทั้งสี่ที่ผมมอบให้คุณนั้นเป็นเพียงส่วนเล็กมาก ๆ ของฉากนี้ ตามหาคำใบ้อื่นได้ตามสบายและหาทางออกจากที่นี่”
เฉินเกอมอบคำใบ้ทั้งสี่นี่เพราะว่าเป็นสี่จุดที่พร้อมอยู่แล้ว คำใบ้ทั้งสามสิบสองนั้นเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าในฉากควรจะมี และเขาก็จะติดตั้งส่วนที่เหลือทีหลัง
“คำใบ้สามสิบสองชิ้น?” หนึ่งในสี่คนที่แซงคิว คนหนึ่งนั้นไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่เฉินเกอพูด แต่เขาก็เก็บความสงสัยเอาไว้กับตัวและไม่พูดอะไรอีก
“บ้านผีสิงแบบเปิดโดยสมบูรณ์พร้อมกับอิสระในการสำรวจ ที่นี่คุณสามารถสนุกไปกับประสบการณ์สุดยอดที่คุณไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน” เฉินเกอถือใบยินยอมทั้งหมดแล้วนำทั้งกลุ่มไปที่ประตูสู่ชั้นใต้ดิน “คำแนะนำสุดท้าย หลังจากคุณเข้าไปแล้ว เดินตรงไปหาแสง อย่าได้เดินเตร็ดเตร่ไปทางอื่นเอง”
“ทักษะการแสดงของคุณสมควรได้รับคำชม แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็รู้กันอยู่แล้ว” บางทีอาจจะเพราะความไม่มั่นใจหรือเพราะเหตุผลอื่น แต่ว่าชายในชุดคลุมยาวก็บ่นเบา ๆ
“การเลือกแต่ละครั้งของพวกคุณจะนำไปซึ่งผลลัพธ์ที่ต่างกัน คุณจะเข้าใจความหมายของผมหลังจากคุณเข้าไปในฉาก” เฉินเกอเปิดประตูโหยหวน และลมเย็นเฉียบก็พุ่งออกมาจากปากที่อ้ากว้าง อุณหภูมิลดลงทันทีและผู้เข้าชมบางคนก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
“มาสิ ผมจะนำพวกคุณไปที่ทางเข้า” เฉินเกอเดินอยู่ข้างหน้า เขาก้าวยาว ๆ ไปตามเส้นทางน่าขนลุกและไปถึงที่ทางเดินที่นำไปสู่ฉากเมืองหลี่ว่าน ประตูเหล็กบานใหญ่ที่ถูกทาสีดำปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา ที่ด้านนี้ของประตูพวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงวิ่งของผู้เข้าชมคนอื่น ๆ แต่ว่าที่อีกด้านหนึ่ง มันเงียบสนิทราวกับไม่มีคนเป็น ๆ เคยย่างเท้าเข้าไปที่อีกฟากหนึ่ง
“เวลาของการเข้าชมก็คือสี่สิบนาที ถ้าคุณต้องการยอมแพ้ ก็แค่ยืนอยู่กับที่แล้วร้องขอความช่วยเหลือ พนักงานของเราจะเข้าไปช่วยพาคุณออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้” หลังจากส่งผู้เข้าชมทั้งหมดเข้าไปในเมืองหลี่ว่าน เฉินเกอก็ล็อกประตูเหล็ก
เสียงโซ่เสียดสีกับประตูนั้นแหลมเสียดหู เฉินเกอมองผู้เข้าชมทั้งสิบตรงหน้าเขา และมุมปากก็ยกโค้งขึ้น “ผมหวังว่าพวกคุณจะสนุกกับประสบการณ์ครั้งนี้”
เขาหันกลับเดินออกไปจากฉากใต้ดินและเข้าไปที่ห้องควบคุมหลัก เขาเปลี่ยนเพลงแบ็คกราวน์ของเมืองหลี่ว่านไปเป็นเพลงธรรมดา มีหน้าใหม่หลายคนเกินไป ดังนั้นเฉินเกอจึงเชื่อว่าแค่ฉากอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาหวาดกลัวแล้ว
หลังจากเสร็จแล้ว เฉินเกอก็กลับไปขายตั๋วที่ทางเข้า หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เย่เสี่ยวซินก็ออกมาจากฉาก และเธอก็เดินออกมาจากบ้านผีสิง แผ่นหลังของเธอชุ่มเหงื่อ และหน้าผากก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ
“เป็นยังไงบ้าง?” เฉินเกอเดินเข้าไปทักทายเธอ
“ไม่ว่าฉันจะมาที่นี่กี่ครั้ง นี่ก็ยังมีความรู้สึกของความเหมือนจริงที่สลัดไม่หลุด ความหวาดกลัวจู่โจมหัวใจของคุณ มันเหมือนกับว่าสิ่งที่ฉันได้เจอนั้นสะท้อนมาจากชีวิตจริง” เย่เสี่ยวซินให้ความเห็นอย่างซื่อตรง “ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณออกแบบทั้งหมดนี่มาได้ยังไง– พวกมันน่ากลัวมากจริง ๆ”
“ถ้าไม่น่ากลัว แล้วจะเรียกว่าบ้านผีสิงได้ยังไงเล่า?” เฉินเกอตอบพร้อมยิ้ม
“แล้วก็ มีอีกอย่างที่ฉันอยากจะบอกคุณ” เย่เสี่ยวซินดึงโทรศัพท์ออกมา “เมื่อกี้นี้มีแฟนคลับคนหนึ่งของฉันส่งข้อความส่วนตัวมาให้ บอกฉันว่าบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดที่ซินไห่จะมาดูงานที่บ้านผีสิงของคุณ”
“บ้านผีสิงที่ซินไห่?”
“ใช่ ฉันได้ยินมาว่าพวกเขากำลังจะเจ๊ง ดังนั้นจึงอยากมาล้วงความลับของคุณ”
เย่เสี่ยวซินเปิดข้อมูลของบ้านผีสิงให้เฉินเกอดูู เฉินเกอไม่ได้สนใจมากนักในตอนแรก แต่หลังจากกวาดตามองเร็ว ๆ รอบหนึ่ง เขาก็รู้สึกถึงบางอย่างที่คุ้นเคยอย่างน่าสงสัย “เดี๋ยวก่อนนะ คุณให้ผมดูรูปหมู่อีกทีได้ไหม?”
เฉินเกอขยายรูปออกดูและเขาก็ต้องตกใจว่ารูปที่เย่เสี่ยวซินให้เขาดูนั้นมีคนผู้หนึ่งที่เขาค่อนข้างคุ้นเคย หน้าตานุ่มนวลและดวงตาเล็ก ชายหนุ่มคนนี้ตอนนี้กำลังอยู่ในบ้านผีสิงของเขา!
“ผมเคยเจอผู้ชายคนนี้มาก่อน เขาเพิ่งเข้าไปในบ้านผีสิงกับไอ้ทุเรศนั่น”
“อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้!” เย่เสี่ยวซินตกใจ
“ไอ้คนลามกนั่นถูกบ้านผีสิงหลายที่ขึ้นบัญชีดำแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่รู้กันเฉพาะในกลุ่มที่เข้ากระดานสนทนาบ้านผีสิงบ่อย ๆ เท่านั้น ผมสลัดความรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องออกไปไม่ได้เลย” เฉินเกอคืนโทรศัพท์ให้เย่เสี่ยวซิน “ผมขอตัวก่อนนะ”
บอกลานักรีวิวแล้วเฉินเกอก็กลับไปที่ห้องควบคุมหลักตรวจดูกล้องวงจรปิดที่ทางเข้าบ้านผีสิง หลังจากเทียบดูแล้ว ความสงสัยของเฉินเกอก็ยืนยันได้
สี่คนนี้รู้จักกันชัด ๆ พวกเขาหลอกให้ไอ้ทุเรศนั่นเข้ามาที่บ้านผีสิงของฉัน พวกเขาคิดจะทำอะไร? พวกเขามาที่นี่ในนามของสวนสนุกแห่งอนาคตเหรอ??
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เฉินเกอก็คิดและตัดสินใจเปลี่ยนเพลงแบ็คกราวน์กลับไปเป็น Wedding dress และ Black Friday
ในเมื่อพวกแกมาที่นี่เพื่อดูงาน อย่างนั้นฉันก็จะไม่เก็บความลับของฉันเอาไว้จากพวกแก ฉันไม่อยากจะถูกหาว่าขี้งกหรอกใช่ไหม?
เขาเดินออกไปจากห้องควบคุมหลักและเฉินเกอก็เข้าไปในห้องแต่งตัวแล้วแต่งหน้าให้ตัวเอง จากนั้นเขาก็ดึงชุดจากในห้องแต่งตัวปิศาจ เขาติดต่อเสี่ยวกู่ผ่านเส้นทางพนักงานและสวมชุดคุณหมอนักเจาะกะโหลกที่เสี่ยวกู่ถอดออกมา
พวกเขาคงไม่ทันคาดคิดว่าจะมีฆาตกรสองคนหรอกใช่ไหม?
โซ่ลากไปบนพื้นและเฉินเกอก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์ ถือค้อนเอาไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วกลับไปที่เมืองหลี่ว่าน
ในเมื่อฉันมีสหายจากแดนไกลมาเยือน ฉันจะปล่อยให้เขากลับไปโดยไม่สนุกสักหน่อยได้หรือ?
…
เมื่อประตูของเมืองหลี่ว่านถูกปิดลง อุณหภูมิก็ลดต่ำลงไปอีก ความเงียบ ความกลัว และความสยองที่บรรยายไม่ได้ชะโลมใส่พวกเขาเป็นระลอก ไม่มีใครพูดอะไร และผู้เข้าชมก็แทบจะได้ยินเสียงหัวใจของคนอื่นเต้นได้ด้วยซ้ำ
“ไม่มีกระทั่งป้ายหรืออะไรเลย? เขาแค่เอาพวกเรามาทิ้งไว้อย่างนี้น่ะนะ?” ชิโนซากิเองนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเบาเสียงลง
“บ้านผีสิงของบอสเฉินก็เป็นแบบนี้แหละ เขามีวิธีการที่ต่างไปจากบ้านผีสิงอื่น ๆ ในตลาด” น้ำเสียงของหวังตั้นไม่เป็นมิตรนัก เขาเดินไปหน้ากลุ่มและพูด “ผมผ่านฉากระดับสามดาวมาแล้ว แต่มีใครตรงนี้ที่พูดแบบเดียวกันได้บ้าง? มีแค่การร่วมมือกันเท่านั้นพวกเราถึงจะมีโอกาสเคลียร์ภารกิจนี้ได้”
“แกถูกบ้านผีสิงล้างสมองหรือไง? แกก็ดูโง่เท่า ๆ กับบอสเมื่อกี้นั่นแหละ” ชายคนหนึ่งที่ตามชายที่ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นเข้ามาพูด “ใครให้เขามีสิทธิ์ตัดสินระดับความน่ากลัวของฉากในบ้านผีสิงกัน? บ้านผีสิงของเขาก็แค่เป็นที่นิยมขึ้นมานิดหน่อยในเมืองจิ่วเจียงนี่”
“เขาแบ่งฉากเป็นระดับต่าง ๆ กันก็เพื่อเก็บเงินจากลูกค้าที่มาซ้ำอย่างแกนั่นแหละ พวกเราพยายามทำอย่างนี้ดูแล้วเมื่อปีก่อน” อีกคนบิดขี้เกียจ และดึงเอาโทรศัพท์ออกมาเตรียมส่งข้อความให้ใครบางคน
“นี่เป็นคำแนะนำของผมนะ ว่าคุณไม่ควรใช้โทรศัพท์ในบ้านผีสิงนี่” หวังตั้นมองชายคนนั้นอย่างจริงจัง “ทุกคนที่ใช้โทรศัพท์ของตัวเองในบ้านผีสิงมักพบจุดจบเลวร้ายที่สุดและเป็นได้แค่ภาระให้กับเพื่อนร่วมทีมที่เหลือ”
“แกเป็นนักแสดงที่บ้านผีสิงจ้างมาใช่ไหม? หรือสมองแกมีอะไรผิดปกติ?” ผู้ชายคนนั้นไม่สนใจและหันหน้าหนีไปจากหวังตั้น
หวังตั้นอยากจะพูดอะไรอื่นอีกแต่ถูกแฟนสาวรั้งเอาไว้ แฟนสาวของเขาดูเหมือนจะคิดว่าที่เขาทำนั้นค่อนข้างน่าอาย
ตอนที่ 685
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครรับฟังที่เขาพูดจริง ๆ คิ้วของหวังตั้นก็ขมวดลึก เขารู้ดีเลยว่าผู้เข้าชมที่เคยเข้ามาบ้านผีสิงของบอสเฉินนั้นจะไม่พูดอะไร ‘ใสซื่อ’ อย่างนั้น
“นี่เป็นครั้งแรกที่พวกคุณทุกคนที่บ้านผีสิงนี่ใช่ไหม?” หวังตั้งมีความรู้สึกย่ำแย่อยู่ในใจ
“คุณชิโนซากิกับฉันเพิ่งกลับเข้าประเทศมา เขาตั้งใจจะเปลี่ยนสไตล์ ลองเขียนการ์ตูนเรื่องยาวรูปแบบใหม่ ๆ ดังนั้นพวกเราจึงมาที่บ้านผีสิงนี่เพื่อหาแรงบันดาลใจ” ผู้ช่วยสาวพูดเบา ๆ เธอไม่ได้กล้าหาญถึงเพียงนั้น ถึงพวกเขาจะยังไม่ได้เข้าไปในฉากอย่างเป็นทางการเสียงของเธอก็เริ่มสั่นแล้ว “พวกเราเห็นเรตติ้งของบ้านผีสิงนี่สูงมากในออนไลน์ ดังนั้นพวกเราก็เลยมาที่นี่หลังจากลงจากเครื่องบิน มีอย่างอื่นที่พวกเราต้องทำก่อนที่จะมาลองเข้าบ้านผีสิงในประเทศด้วยเหรอ?”
“อย่าไปฟังเขาพูดมั่วไปทั่ว เหตุผลเดียวที่บ้านผีสิงนี่มีเรตติ้งสูงในอินเตอร์เนตก็เพราะคนพวกนี้สะกดจิตกันเอง สิ่งเดียวที่บอสนั่นเก่งก็คือการโฆษณากับการทำโปรโมชั่น” ผู้ชายคนที่เดินอยู่กับผู้ชายท่าทางนุ่มนิ่มพูด “เทียบกับคนอย่างพวกเราที่ทุ่มเทพลังไปกับการสร้างบ้านผีสิง คิดเนื้อหาอย่างจริงจังและออกแบบกลไกมากมายสำหรับบ้านผีสิง ผู้ชายแซ่เฉินคนนั้นอย่างมากก็เป็นได้แค่นักธุรกิจเก่ง ๆ คนหนึ่งเท่านั้น”
“นักธุรกิจ?” หวังตั้นแทบจะหัวระเบิดเพราะความโมโห เขาอยากจะยกมือขึ้นอุดปากชายคนนี้ ถ้าเฉินเกอได้ยินสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไป ระดับความยากของฉากก็คงถูกเพิ่มขึ้นไปจนถึงระดับที่เป็นไปไม่ได้แล้ว
“เขาก็แค่เก่งในการหลอกนักศึกษาใสซื่ออย่างแกเท่านั้นแหละ สำหรับพวกเราที่อยู่ในธุรกิจนี้มาหลายปี นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ให้ตาย มุกของเขาเก่าจนฉันเครียดแล้ว”
ผู้ชายคนนั้นยังอยากจะพูดอะไรอีกแต่ว่าถูกผู้ชายท่าทางนุ่มนิ่มคนนั้นห้ามไว้ “หยุดพูดอะไรแบบนั้นได้แล้ว ถ้านักแสดงที่บ้านผีสิงนี่ได้ยินเข้าจะรู้สึกไม่ดี คนอื่น ๆ อาจจะคิดว่าพวกเราตั้งใจมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา”
กระทั่งชิโนซากิที่เจ้าอารมณ์ก็ยังมีประสบการณ์ด้วยวัยของตน ดังนั้นจึงจับใจความสำคัญได้ทันที “พวกคุณทุกคนก็ทำบ้านผีสิงเหรอ?”
เขาเข้าใจได้ในทันทีว่านี่คือการแข่งขันระหว่างคนในสายอาชีพเดียวกัน เขายังรู้สึกไม่ดีกับพวกที่แซงคิวพวกนี้
“พวกเราสามคนเป็นพนักงานจากบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดในซินไห่– สถาบันฝันร้าย พวกเราทำธุรกิจนี้มาเจ็ดปีแล้ว พวกเราเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ในท้องตลาดที่ทำบ้านผีสิงเสมือนจริง”
ทั้งสามคนแนะนำตัวอย่างง่าย ๆ ชายคนที่ดูวู่วามที่สุดคนนั้นชื่อเว่ยจินหยวน เขาเป็นนักเขียนบทที่อายุน้อยที่สุดในสถาบันฝันร้าย หน้าที่หลักของเขาก็คือคิดเรื่องสยองขวัญรวมถึงกลไกและบทในเนื้อเรื่อง คนที่ตัวเล็กที่สุดที่ทะเลาะกับชิโนซากิก่อนหน้านี้คือหลีจิ่ว เขาดูบอบบางและอ่อนแอ หน้าที่หลักของเขาคือการทำอุปกรณ์ประกอบฉากของสถาบันฝันร้าย เขามีพรสวรรค์และมีมือที่เชี่ยวชาญและสามารถใช้อุปกรณ์หลายชนิดได้
คนสุดท้าย คือผู้ชายที่มีเครื่องหน้ากระเดียดไปทางผู้หญิง เขาชื่อหลี่ซานอิ๋น มีฉายาว่าพ่อคนเย็นชา เขาเป็นคนดื้อรั้นแต่ว่าเป็นนักแสดงที่ได้รับคำชื่นชมที่สุดในสถาบันฝันร้าย เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของบ้านผีสิงซินไห่ เขาไม่ได้ดูแก่ แต่ว่ามีอาวุโสสูงที่สุดในพวกเขาสามคน
“เดี๋ยวก่อนนะ พวกคุณสี่คนไม่ได้มาด้วยกันเหรอ?” หวังตั้นเห็นผู้ชายอีกคนยืนรวมอยู่กับพนักงานจากสถาบันฝันร้ายสามคน และเขาก็สรุปว่าคนนั้นเองก็เป็นหนึ่งในพนักงาน
“เขาเป็นหนึ่งในไลฟ์สตรีมเมอร์ชื่อดังที่สุดของซินไห่ เขาดังมากในออนไลน์ อย่างน้อยที่สุดก็มีชื่อเสียงกว่าบอสบ้านผีสิงนี่ หรือฉันควรจะพูดว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยแหละ”
เว่ยจินหยวนอยากจะแนะนำต่อแต่โฮสต์ไลฟ์สดผู้นี้กลับขมวดคิ้ว “ถ้าคุณอยากจะเสียเวลาคุยกันต่อ อย่างนั้นก็คุยไป แต่ว่าผมจะไปก่อนละ”
ผู้ชายคนนั้นพูดจบ ก็คว้ากระเป๋าแล้วเดินเข้าไปในฉากคนเดียว เขาดูกล้าหาญมากทีเดียว
“เฮ้!” เห็นเขาเดินนำไป หวังตั้นก็รีบวิ่งไปหา “อย่าเดินสะเปะสะปะไปคนเดียว แล้วก็ ผมไม่ได้พูดเล่น อย่าได้คิดจะไลฟ์สดที่นี่– คุณจะทำร้ายพวกเราทุกคน”
โฮสต์ไลฟ์สตรีมนั้นไม่ได้สนใจจะรับรู้การมีตัวตนของหวังตั้นด้วยซ้ำ ดวงตาของเขากวาดมองรอบตัวพลางคิดว่าจะมีคนดูมากเท่าไหร่ตอนที่เขาเริ่มไลฟ์สดที่นี่ โฮสต์นั้นคุ้นเคยกับความนิยมบนออนไลน์ของบ้านผีสิงของเฉินเกอ ถ้าเขาไลฟ์สดที่ด้านในบ้านผีสิงในฉากใหม่ ไลฟ์จะต้องฮอตระเบิด ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการเปิดเผยการตกแต่งภายในบ้านผีสิงหรือว่าส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจของเฉินเกอ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องพะวงถึงเสียหน่อย
หลังจากเข้าใจท่าทีของโฮสต์แล้ว หวังตั้นก็รู้สึกขนลุก เพื่อนร่วมทีมประเภทไหนกันที่เขาเอาตัวเองมาผูกติดเอาไว้ในคราวนี้?
ทุกคนเป็นหน้าใหม่นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้น ไม่มีใครในพวกเขาอยากจะรับฟังคำแนะนำในการดูแลตัวเองของเขาเลย ถ้าพวกเขาอยากตายมันก็ไม่เป็นไร แต่ด้วยสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำนั้นทำร้ายตัวหวังตั้นเองเหมือนกัน
“ถ้าคุณต้องการจะทำอะไรแบบนั้น อย่างนั้นก็ไปก่อนเลย ผมจะไม่พูดแล้ว” หวังตั้นพูดและคว้ามือแฟนสาวเพื่อแยกออกไป
“หวังต้า นายจะทำอะไร?” แฟนสาวของเขาคิดว่าเขากำลังทำตัวไร้เหตุผล “ปล่อยฉัน!”
“ถ้าพวกเราต้องการเข้าชมฉากใหม่ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเข้าไปพร้อมพวกเขาไม่ใช่ความคิดที่ดี ฉันคิดว่าจะกลับออกไป” เหตุผลที่หวังตั้นมาที่บ้านผีสิงนั้นก็เพื่อระบายความไม่พอใจและเพื่อทำให้เพื่อนมัธยมของแฟนสาวรู้สึกอับอาย แต่ตอนนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เขากำลังจะเดินลงนรกไร้ก้น ที่เมื่อตกลงไปแล้วก็ไม่มีทางกลับขึ้นมาได้
“นักเรียนแพทย์ขี้ขลาดอย่างนี้หมดเลยเหรอไง?” นักศึกษาชายคนนั้นพูดเยาะ “และฉันก็คิดว่าพวกนายน่าจะกล้าหาญกว่านี้พอคิดถึงว่านายต้องเจอกับศพอยู่บ่อย ๆ ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจผิดสินะ”
ได้ยินอย่างนี้หวังตั้นก็โมโหจนหน้าเขียว แต่ว่าเขาก็ไม่รู้ว่าจะไประบายความโกรธแค้นนี้ที่ไหน เขากัดฟันอย่างฉุนเฉียวแล้วปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำ เขาเดินกลับไปและพูด “เอาละ อย่างนั้นพวกเราก็เริ่มได้เลย”
“อย่ากดดันตัวเองเลย ฉันได้ยินมาว่าบางคนทำกางเกงตัวเองเปียกตอนเข้าบ้านผีสิงด้วยนะ” นักเรียนกีฬาหัวเราะขำ คิดว่าหวังตั้นกำลังจะต้องกลายเป็นตัวตลก
“ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก” หวังตั้นถอนหายใจเบา ๆ เขารู้ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรที่นี่ เขาจะหมดสติไปก่อนที่กระเพาะปัสสาวะจะมีโอกาสทำงาน
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจเขา” แฟนสาวของหวังตั้นพูดปลอบและในที่สุดเขาก็เงียบลง เขาพยายามเก็บอารมณ์ แต่เมื่อเขากวาดตามองเพื่อนร่วมทีม ในหัวใจของเขาก็ราวกับมีโพรงเย็น ๆ โพรงหนึ่งเปิดอ้าออก ไม่มีใครที่เขาจะเชื่อถือได้เลย
“มีเวลาเดินดูแค่สี่สิบนาที พวกเราควรจะสนุกไปกับมัน” เว่ยจินหยวนเดินไปข้าง ๆ โฮสต์หนุ่ม “ถ้านายกลัว นายมากับพวกเราก็ได้ แต่มันอาจจะน่าเบื่อ ฉันคุ้นเคยกับการวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ ในสายตาของพวกเรา ที่เป็นผู้สร้างสรรค์บ้านผีสิงที่แท้จริง ความลับและกับดักทั้งหมดล้วนเผยตัวออกมาอย่างไร้ร่องรอย ตัวอย่างเช่น หน้าต่างตรงนี้…”
เว่ยจินหยวนชี้ไปที่กระจกหน้าต่างที่อยู่ห่างไปข้างหน้าสองสามเมตร “หน้าต่างนี่ถูกทิ้งเอาไว้โดยไม่ล็อกและกระจกยังถูกทำให้แตกเอาไว้อย่างจงใจ พอพวกเราเดินผ่าน ก็จะมีของน่ากลัวกระเด้งออกมาจากข้างใน ถ้านายไม่เชื่อฉัน นายก็รอดู”
เว่ยจินหยวนเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ หน้าต่างเงียบ ๆ เขาชี้ไปที่หน้าต่างข้างตัวและจากนั้นก็กระโจนเข้าไปและชะโงกหน้าเข้าไปในหน้าต่าง ถ้านักแสดงซ่อนตัวอยู่ข้างในหน้าต่าง พวกเขาก็คงถูกเว่ยจินหยวนทำให้ตกใจไปแล้ว
“จินหยวน เลิกเล่น! ถ้านายบังเอิญทำให้พนักงานของพวกเขาตกใจ พวกเขาก็จะโทษพวกเรา” หลีจิ่วพยายามรั้งเขาเอาไว้ แต่เว่ยจินหยวนไม่ตอบ เขาเอนตัวอยู่บนหน้าต่าง ร่างกายท่อนบนยื่นเข้าไปในห้อง เขาไม่ขยับเหมือนร่างกายถูกบางอย่างหรือบางคนจับเอาไว้
“เว่ยจินหยวน?” หลีจิ่ววิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปพร้อมขมวดคิ้ว เขาตบหลังเว่ยจินหยวนเบา ๆ “นายกำลังมองอะไรอยู่?”
“ชู่ เงียบหน่อย ฉันเห็นนักแสดงคนหนึ่งวิ่งหนีไปซ่อนเมื่อกี้นี้ ฉันคงจะทำให้เธอตกใจไปแล้ว” เว่ยจินหยวนตะโกนเข้าไปในห้องด้วยเสียงกระตือรือร้น “เธอออกมาได้แล้ว ฉันเห็นเธอแล้ว”
ตอนที่ชิโนซากิและผู้ช่วยสาวได้ยินอย่างนั้น พวกเขาก็วิ่งเข้าไปดูด้วย แต่ว่า ห้องนั้นว่างเหล่า ไม่มีใครอยู่ในนั้น
“แต่ว่านี่เป็นห้องเปล่านี่?” แขนของผู้ช่วยสาวมีขนลุกเป็นตุ่ม “คุณแน่ใจเหรอว่าไม่ได้ดูผิดไป?”
“มันแค่ดูเหมือนห้องเปล่า มีทางเดินลับซ่อนอยู่ในนี้– พวกมันเป็นเส้นทางให้พวกนักแสดงใช้ คนที่ฉันเห็นเมื่อกี้นี้ตอนนี้น่าจะหนีเข้าไปในทางเดินนั่นแล้ว กลัวเกินกว่าที่จะออกมา” เว่ยจินหยวนเกาคอและเดินหน้าต่อไป “มีวิธีการหลอกคนตั้งมากมาย มันง่ายมากถ้าคุณต้องการผ่านฉากนี้ ก็แค่อยู่ใกล้ ๆ พวกเราเอาไว้!”
เว่ยจินหยวนและหลีจิ่วเดินไปตามถนนแคบ ๆ และพวกเขาก็เอาแต่เกาคอ
“คุณชิโนซากิ ตามพวกเขาไปไหมคะ?” ผู้ช่วยสาวแนะนำ “มีคนอยู่เยอะ ๆ มันรู้สึกปลอดภัยกว่า”
ชิโนซากินพยักหน้าอย่างใจลอย และเขาก็เอาแต่มองไปที่คอของเว่ยจินหยวน “เสี่ยวเซี่ย ดูที่คอเขาสิ เธอเห็นปานนั่นไหม? มันดูเหมือนฝ่ามือคนเลย…”
“ปาน?” ผู้ช่วยสาวนั้นไม่ได้มีสายตาเฉียบคมนัก และเธอก็น้อยนักที่จะให้ความสนใจเรื่องแบบนั้น ”ฉันไม่แน่ใจค่ะ แต่ว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ดังนั้นคุณไม่ควรไปถามเขาเรื่องนี้นะคะ!”
“แน่นอนสิ เธอคิดว่าฉันดื้อเป็นเด็ก ๆ หรือไง?”
“ผู้ใหญ่ที่ไหนจะใช้นามปากกาแบบของคุณกัน*?” เธอพึมพำเบา ๆ ก่อนที่จะวิ่งตามเว่ยจินหยวนไป ทั้งกลุ่มเริ่มห่างออกจากกัน สามคนจากสถาบันฝันร้ายและโฮสต์เดินอยู่ข้างหน้า ชิโนซากิและผู้ช่วยสาวอยู่ตรงกลาง ขณะที่กลุ่มของหวังตั้นอยู่ด้านหลัง ผู้ชายในชุดคลุมยาวยืนอยู่คนเดียวตรงหน้าต่างเมื่อครู่นี้ เหมือนกำลังมองหาบางอย่าง
“ไปได้แล้ว” หวังตั้นเตือนเขาอย่างมีน้ำใจ ผู้ชายคนนั้นผลักเขาออกไปเหมือนคิดว่าหวังตั้นขวางทางอยู่
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าคนพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่” หวังตั้นสูดลมหายใจลึก ตอนที่เขามองผู้เข้าชมคนอื่นเดินห่างออกไป เขาก็กดความกระวนกระวายในใจแล้วเดินตามหลังพวกเขาไป
หลังจากกลุ่มของหวังตั้นไปรวมกับคนที่เหลือ เว่ยจินหยวนก็หยุด “บอสบอกคำใบ้สี่จุดให้พวกเราตามหาก่อนที่จะเข้ามาในฉาก คำใบ้แต่ละชิ้นนั้นบอกวิธีการหนีออกจากที่นี่ พวกเรามีกันสิบคน ไปกันเป็นกลุ่มน่ะเสียเวลาเปล่าและก็ไร้ประสิทธิภาพ ดังนั้นฉันแนะนำให้พวกเราแยกกันเป็นสองกลุ่มเพื่อสำรวจ พวกนายที่เหลือคิดว่ายังไง?”
TL note: *นามปากกาของชิโนซากิคือ ชิโนซากิไต้เสิน ไต้เสินมีความหมายประมาณเก่งเทพ ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ นามปากกานี้จึงหมายถึง ท่านเทพชิโนซากิ นั่นเอง
ตอนที่ 686
“ทางแยกอยู่ข้างหน้าพวกเรานี่แล้ว และคำใบ้สี่อย่างก็น่าจะอยู่คนละทาง หลังจากแยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปทางซ้ายและอีกกลุ่มไปทางขวา พวกเราจะติดต่อกันผ่านโทรศัพท์และคอยอัพเดทอีกฝ่ายเรื่อย ๆ” เว่ยจินหยวนรีบสวมบทบาทหัวหน้ากลุ่ม– เขามีประสบการณ์ในการออกแบบบ้านผีสิงเป็นสิ่งสนับสนุนความมั่นใจของเขา “การตกแต่งภายในบ้านผีสิงนั้นไม่ได้สร้างเอาไว้โดยไร้จุดหมาย ทุก ๆ ตึกที่นี่นั้นมีนักแสดงหรือว่ากับดับซ่อนอยู่ อยู่ข้างหลังฉันให้ใกล้ ๆ และอย่าได้แตะต้องอะไรในตึกพวกนี้”
“นายกับเย็นชานำกลุ่มหนึ่งไปกับโฮสต์ และฉันจะไปอีกทางดีไหม?” หลีจิ่วมองเว่ยจินหยวน เพราะอะไรสักอย่าง เขารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีบางอย่างแปลกไปไป
“ไม่มีปัญหา งั้นก็เอาตามนี้” เว่ยจินหยวนนั้นไม่ถามความเห็นผู้เข้าชมคนอื่นด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าเมื่ออยู่ในบ้านผีสิงแล้วคำพูดของเขานั้นเป็นกฎ “พวกนายโชคดีที่ได้เข้ามาที่นี่กับพวกเรา”
“ได้” ผู้ช่วยสาวนำชิโนซากิเดินไปทางเว่ยจินหยวน “พวกเรามาเข้าชมบ้านผีสิงในประเทศเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงมีหลายอย่างที่พวกเราไม่เข้าใจนัก ต้องขอโทษที่รบกวนแล้ว”
ชิโนซากิไม่พูดอะไร แต่ว่า มันดูเหมือนเขามีบางอย่างอยู่ในใจ ผู้ช่วยสาวรู้ว่าเขามีนิสัยประหลาด และในเมื่อเขาทะเลาะกับเว่ยจินหยวนมาก่อน เธอจึงเชื่อว่านี่เป็นเพราะเขารู้สึกกระอักกระอ่วนที่ต้องมาอยู่กลุ่มเดียวกับผู้ชายคนนี้ แต่อย่างไรเธอก็ไม่ได้ถามชิโนซากิออกไป
“เอาละ พวกเราสี่คนจะไปก่อนแล้ว” เว่ยจินหยวนยกโทรศัพท์ขึ้น “เจอกันที่ทางออก”
“ได้” หลีจิ่วมองอีกกลุ่มเดินไปทางถนนทางซ้าย เขาหันไปทางขวา “พวกเราเองก็มีเรื่องของพวกเราให้ต้องมาที่บ้านผีสิงนี่ ถ้าพวกคุณเต็มใจ อย่างนั้นก็ตามพวกเรามา ถ้าคิดว่าพวกเราไม่น่าเชื่อถือ ก็แยกไปได้เลยตามสบาย”
หลีจิ่วนั้นมีท่าทีไม่ดีกับหวังตั้น เขาไม่ชอบชายหนุ่มคนนี้
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะให้พวกเขามากับผม และพวกเราจะแยกไปกันเอง” หวังตั้นวางแผนจะแยกตัวออกไปกับแฟนสาว แต่ว่าแฟนสาวของเขาคิดว่ามันจะปลอดภัยกว่าถ้าจะเกาะกลุ่มไปกับหลีจิ่ว ทั้งสองคนมีปากเสียงกัน และก็เป็นหวังตั้นที่ไม่เข้าพวก ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ถึงหวังตั้นจะไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เขาก็ยังไม่กล้าเดินไปมาในฉากระดับ 3.5 ดาวคนเดียว
“ดูสิ แบบนี้ดีกว่าไม่ใช่เหรอ? บางคนพูดอะไรประหลาด ๆ เพื่ออวดโอ่ เขาไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าเขาดูเป็นเด็กน้อยแค่ไหน?” นักศึกษาชายอีกคนไม่ได้เอ่ยชื่อใคร และก็ทำเหมือนกำลังพูดกับตัวเอง แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขาพูดถึงใครอยู่
“เด็กน้อย?” หวังตั้นเงยหน้ามองเขา และปฏิกริยาแรกของเขาก็คือเถียง คำพูดมารออยู่ที่ริมฝีปากเขาแล้ว แต่ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าทุกคนรวมถึงแฟนสาวของเขานั้นอยู่คนละฝ่ายกับเขา และพวกเขาก็คิดว่าหวังตั้นกำลังทำตัวเป็นเด็ก ๆ
เพราะอย่างนั้น การโต้เถียงก็มีแต่จะทำให้เขาดูแย่ลง หวังตั้นฉลาดพอที่จะปิดปากเงียบ เขาอาจจะดูเป็นเด็กก่อนหน้านี้ แต่ว่าด้วยการฝึกฝนจากบ้านผีสิงของเฉินเกอ เขาไม่ได้เป็นชายหนุ่มวู่วามอย่างที่เคยเป็นแล้ว และหากต้องตัดสินใจ หวังตั้นก็ตัดสินใจตามหลังหลีจิ่วไปอย่างเชื่อฟัง ทำเหมือนในที่สุดเขาก็ยอมแพ้แล้ว
“พวกเราควรจะทำอย่างนี้ตั้งนานแล้ว ทำไมถึงต้องทำให้การมาบ้านผีสิงดูยุ่งยากนักด้วย?” นักศึกษาชายคนนั้นก็ยังคงอยู่ด้านหลังกลุ่มกับแฟนสาวของหวังตั้น และทั้งห้าคนก็เดินไปตามถนนทางขวา
หลังจากสองกลุ่มแยกกันเดินแล้ว หมอกจาง ๆ ก็พลิ้วไปตามถนน และเงาร่างหนึ่งก็เดินผ่านมันไป
…
ตอนที่อยู่กันสิบคน ถนนดูแออัด แต่เมื่อคนหายไปครึ่งหนึ่ง พื้นที่จู่ ๆ ก็เปิดกว้างขึ้น
“ไม่มีการแนะนำเรื่องราว ไม่มีโครงเรื่อง ไม่มีกระทั่งป้ายบอกทาง– ช่างมหัศจรรย์ที่บ้านผีสิงแห่งนี้ยังอยู่รอดมาจนตอนนี้” เว่ยจินหยวนนั้นไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าบ้านผีสิงแย่ ๆ อย่างของเฉินเกอเป็นที่นิยมขนาดนี้ได้อย่างไร
“บางทีผู้เข้าชมอาจจะชอบความสดใหม่ อย่างไรเสีย ก็มีบ้านผีสิงในท้องตลาดไม่มากนักที่มอบอิสระให้ขนาดนี้” หลี่ซางอิ๋นแตะกำแพงตึกที่ริมถนน “แต่ว่า ที่นี่ก็มีอะไรแปลก ๆ อยู่เหมือนกันนะ ฉันลองดูคร่าว ๆ และพบว่าตึกทั้งหมดที่นี่น่ะลอกแบบมาจากที่ข้างนอกได้อย่างสมบูรณ์ วัสดุเป็นอิฐกับปูน และมันก็ทำให้ที่นี่มีบรรยากาศที่สมจริง”
“ไม่ใช่ว่ามันก็จะยุ่งยากถ้าเขาต้องย้ายเครื่องตกแต่งเหรอถ้าไม่ใช้พลาสติกกับไม้? หรือว่าเขาคิดว่าจะเก็บฉากนี้เอาไว้ไปตลอดชีวิตกัน? ผู้เข้าชมบ้านผีสิงน่ะชอบของใหม่มากกว่าของเก่า และพวกเขาก็จะเบื่อถ้าต้องเล่นฉากเดิม ๆ มากกว่าหนึ่งครั้ง มันเป็นการเสียเงินเปล่าที่จะสร้างฉากด้วยปูน”
เว่ยจินหยวนส่ายหน้า “ไม่มีอะไรให้เทียบ เขามีสวนสนุกนิวเซนจูรี่คอยสนับสนุนและมอบเงินทุนให้ พวกเราน่ะตรงกันข้าม ยืนอยู่ด้วยตัวเอง”
เขาดูเหมือนจะซ่อนความนัยอะไรเอาไว้ในคำพูดของเขา เขาดูเหมือนกำลังทดสอบหลี่ซางอิ๋นเมื่อพูดเสริม “ไม่ใช่ว่าคนจากสวนสนุกแห่งอนาคตติดต่อกับบอสของพวกเราเมื่อเร็ว ๆ นี้ไม่ใช่เหรอ? พวกเขาต่อรองกันเป็นยังไงบ้างล่ะ? นายคิดว่าต่อไปพวกเราจะมีโอกาสที่จะเปิดสาขาที่สวนสนุกแห่งอนาคตไหม?”
“พวกเขามีความคิดต่างจากพวกเรา พวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะเปิดบ้านผีสิงของจริง ที่ติดต่อกับบอสของพวกเราก็แค่ให้พวกเรามอบประสบการณ์กับเนื้อหาของพวกเราให้เขา อย่างไรเสีย พวกเขาก็ไม่มีใครที่ทำเกี่ยวกับบ้านผีสิงโดยตรง” หลังจากหลี่ซางอิ๋นพูดอย่างนั้น สมองของเว่ยจินหยวนก็เริ่มทำงาน
จำนวนของผู้เข้าชมที่สถาบันฝันร้ายนั้นลดลงทุกวัน และยังมีรีวิวด้านลบมากมายอยู่บนอินเตอร์เนต รายได้ของพนักงานนั้นมาจากส่วนแบ่งค่าตั๋ว ดังนั้นเมื่อไม่มีผู้เข้าชม พวกเขาก็ไม่มีรายได้ จากที่เว่ยจินหยวนเห็น แทนที่จะอยู่ที่สถาบันฝันร้ายต่อ ทำไมถึงไม่ไปหาสวนสนุกแห่งอนาคตเล่า? พวกเขาต้องการคนที่มีประสบการณ์ในการออกแบบบ้านผีสิง และเขาก็สามารถตอบสนองความต้องการนั้นได้
“ดูเหมือนว่าพวกเราต้องทำงานหนักแล้ววันนี้” มีแค่ทำให้ตัวเองมีคุณค่าที่เขาจะสามารถได้เปรียบตอนที่ต่อรองกับคนพวกนั้น
เห็นเพื่อนร่วมงานจู่ ๆ ก็เต็มใจร่วมมือมากขึ้น หลี่ซานอิ๋นก็เกือบจะเบะปาก บางทีอาจจะเพราะว่าเขาเป็นนักแสดงที่ในบ้านผีสิงมานานเกินไป ทุกการเคลื่อนไหวของเขาจึงแปลกและดูมีลับลมคมใน เขาถึงได้ดูต่างไปจากคนอื่น แต่ว่าก็ยากที่จะบอกว่าต่างไปตรงไหน
ผู้ช่วยสาวเดินอยู่ถัดจากหลี่ซางอิ๋น เธอบังเอิญเหลือบไปเห็นสีหน้าของเขาเมื่อครู่นี้ และเธอก็ชะลอฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัวเหมือนหวาดกลัวขึ้นมา
เว่ยจินหยวนสังเกตเห็น และเขาก็พูดขึ้นเพื่อปลอบเธอ “พ่อคนเย็นชานี่เป็นนักแสดงที่มืออาชีพที่สุดในบ้านผีสิงของพวกเรา ถ้าคุณมีโอกาส คุณลองไปเยี่ยมชมพวกเราได้ เขาจะแสดงให้คุณเห็นถึงความหมายแท้จริงของคำว่าสยอง”
“ขอบคุณนะคะ” ผู้ช่วยสาวยิ้มแหย เธอชะลอฝีเท้าลงไปอีกและไปเดินกับชิโนซากิที่ด้านหลัง
“ไม่ใช่ว่าผมจะอวดโอ่อะไรนะ มีครั้งหนึ่งที่เย็นชาไปบ้านผีสิงอื่น เขาไม่ได้แต่งหน้าอะไรเลยนะ แต่ว่าทำให้นักแสดงจากบ้านผีสิงอื่นกลัว ไม่ว่าจะเป็นผีหรือว่าฆาตกรเลือดเย็น เขาก็สามารถเข้าถึงบทบาทได้ และทุก ๆ สีหน้าก็เหมือนจริงมาก”
เว่ยจินหยวนดูผ่อนคลายมาก แต่ว่า ตอนที่เขาหันกลับไป ดวงตาของชิโนซากิก็กระตุกและถาม “นี่คุณแต่งหน้าก่อนเข้ามาที่นี่ด้วยเหรอ? ผมไม่สนใจเรื่องในอดีตของพวกคุณกับบอสที่นี่หรอกนะ และผมก็ไม่สนใจด้วยว่าอันที่จริงแล้วคุณมาที่นี่ทำไม ผมแค่อยากรู้เฉย ๆ”
“คุณคิดว่าพวกเรามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาเหรอไง? แต่งหน้ามาหลอกนักแสดงที่นี่?” เว่ยจินหยวนแค่นเสียงเยาะเย้ย “คุณให้เครดิตที่นี่มากไปแล้ว…”
“นั่นก็หมายความว่าคุณไม่ได้แต่งหน้ามา” ชิโนซากิเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก “โอเค ขอบคุณที่ตอบคำถามผม”
หลังจากเว่ยจินหยวนเดินนำไปข้างหน้า ผู้ช่วยสามก็ดึงทิชชูเปียกออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ชิโนซากิ “ในนี้ก็มีเครื่องปรับอากาศอยู่นะคะ แล้วอุณหภูมิก็ต่ำมากด้วย– ทำไมคุณถึงเหงื่อออกเยอะอยู่เลย? คุณรู้สึกไม่ค่อยสบายหรือเปล่า?”
“จำทางที่พวกเราเดินมาเอาไว้ ถ้ามีโอกาส พวกเราต้องไปรวมกับอีกกลุ่ม” หลังจากเช็ดเหงื่อแล้ว ชิโนซากิก็กำกระดาษทิชชูเอาไว้แน่น และเขาก็ดูค่อนข้างผวา “พวกเราต้องอยู่ให้ห่างจากสองคนนี้”
“ทำไมล่ะคะ? พวกเขาก็เป็นมืออาชีพนี่นา?” ผู้ช่วยสาวงุนงงกับคำสั่งของชิโนซากิ
“ผู้ชายคนที่ชะโงกหน้าออกไปทางหน้าต่างเมื่อกี้นี้ มีรอยเบื้องสีม่วงดำอยู่ที่หลังคอ มันดูเหมือนมีใครบางคนจับตรงนั้นของเขา แล้วเธอก็ได้ยินที่เขาตอบเมื่อกี้นี้นี่– เขาไม่ได้แต่งหน้าอะไร”
“บางทีนั่นอาจจะเป็นปาน?” เธอรู้สึกว่าชิโนซากินั้นตีตนไปก่อนไข้ “แล้วก็ พวกเราก็เห็นตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วนี่คะ? พวกเราไม่ควรละเมิดเรื่องส่วนตัวคนอื่น”
“ไม่ใช่ปานแน่นอน” ชิโนซากิมองไปทางเว่ยจินหยวน “ฉันจำได้ชัดเจนว่ารอยที่หลังคอของเขานั้นเดิมทีเป็นรอยฝ่ารอยมือเดียว แต่ว่าตอนที่พวกเราเดินไปตามถนน มันก็เพิ่มขึ้น และตอนนี้รอยฝ่ามืออีกรอยก็ปรากฏขึ้นแล้ว!”
ชิโนซากิยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาลองกำรอบคอตัวเอง “รอยฝ่ามือทั้งสองปรากฏขึ้นที่สองข้างลำคอ มันเหมือนมีบางอย่างขี่อยู่บนคอของเขาและยกแขนกอดเขาเอาไว้…”
ตอนที่ 687
หมอกจาง ๆ เริ่มพลิ้วไปตามเมืองร้าง และตึกที่สองข้างก็มีเงาวูบผ่านไป อุณหภูมิลดลงอีก และเสียงกระซิบของผู้หญิงและเด็กก็ดังมาให้ได้ยิน แต่ว่า แม้ผู้ช่วยสาวจะพยายามตั้งใจฟังเสียงนั่น เธอก็พบว่าไม่มีอะไรนอกจากความเงียบ และทั้งหมดที่เธอได้ยินก็คือเสียงหัวใจของเธอเองเต้นอย่างบ้าคลั่ง
“คุณไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหมคะ?” ในฉากนั้นมืดสลัว และเมื่อผสานเข้ากับหมอกจาง ๆ ก็หมายความว่าผู้ช่วยสาวนั้นยากที่จะบอกได้ว่ามีรอยฝ่ามืออยู่ที่หลังคอของเว่ยจินหยวนจริงหรือไม่ “บางทีมันอาจจะเป็นพนักงานในบ้านผีสิงลงมือทำไหมคะ? ตอนที่เว่ยจินหยวนชะโงกหน้าเข้าไปในหน้าต่างก่อนหน้านี้ เป็นไปได้ไหมว่านักแสดงจะใช้สีพิเศษทาหลังคอเขา? พวกเราก็เคยเห็นสีแบบนั้นมาก่อนที่ต่างประเทศ สีเดิมนั้นจาง แต่เมื่อผสมเข้ากับเหงื่อคนหรือว่าน้ำ สีก็จะเข้มขึ้นทันที”
“พูดกันตามตรงนะ ฉันไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น แต่ฉันรู้สึกว่าบ้านผีสิงนี่ต่างไปจากที่เราเคยไปที่ต่างประเทศ ตอนที่ฉันเข้าไปในบ้านผีสิงก่อนหน้านี้ ไม่มีความรู้สึกกระวนกระวายแบบนี้” ชิโนซากิวางมือเอาไว้ตรงหัวใจ “ที่นี่ไม่มีอะไรที่น่าสยดสยองอย่างเลือดหรือว่าแขนขาปลอม แต่ว่ายิ่งเดินไปตามทาง ก็ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างประหลาด มันเหมือนกับว่าตอนนี้ มีดวงตานับไม่ถ้วนกำลังจับตามองพวกเราอยู่ทุกฝีก้าว”
“ไม่ว่ายังไง ฉันไม่เชื่อว่าจะมีอะไรน่ากลัวอย่างคนล่องหนขี่อยู่บนคอผู้ชายคนนั้น แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นหนึ่งแรงบันดาลใจที่ดีมาก คุณสามารถวาดมันลงไปในงานของคุณได้” ผู้ช่วยสาวเชื่อว่าชิโนซากินั้นกดดันมากในช่วงหลังมานี้ และเขาก็อยู่ในธุรกิจศิลปะมานานเกินไป ดังนั้นมันจึงง่ายที่เขาจะคิดถึงการเชื่อมโยงน่ากลัวอย่างนี้
เมื่อพูดถึงการ์ตูนของเขาเอง ดวงตาของชิโนซากิก็เป็นประกายสว่าง “เรื่องนั้นเธอพูดถูก ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ นี่ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับโครงการใหม่ของฉัน ตอนนี้ ตามพวกเขาสองคนไปก่อน มีพวกเขานำหน้าไป พวกเราก็ปลอดภัยมากขึ้น”
นั่นคือนิสัยของชิโนซากิ ที่ให้ความสนใจกับสิ่งต่าง ๆ ได้เพียงอย่างเดียว เขาจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ในใจ และนี่ก็ทำให้เขาเปลี่ยนตัวเองจากชายไร้บ้าน หลี่เป้าฝู ไปเป็นหนึ่งในดวงดาวที่ส่องสว่างที่สุดในธุรกิจการ์ตูน ชิโนซากิไต้เสิน
ที่ตึกใกล้ ๆ นั้นมีฉากหลังที่มืดมากกับแสงสว่างสลัวส่องออกมา แต่เมื่อเข้าไปใกล้ แสงก็ดับไปด้วยตัวเอง แต่พอเดินห่างออกมา แสงนั่นก็กลับมาสว่างอีกครั้ง
“นี่ค่อนข้างน่าสนใจ ดูเหมือนว่าบ้านผีสิงนี่จะใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ หลายอย่าง ทั้งเซนเซอร์แสง เครื่องสร้างหมอก…” เว่ยจินหยวนพยายามใช้ความรู้ของตัวเองชำแหละบ้านผีสิงนี่ และการวิเคราะห์ของเขาก็ดูมีเหตุมีผลดี
ตอนที่เขาคิดจะเดินหน้าต่อ โทรศัพท์ของเขาจู่ ๆ ก็ดังขึ้น เขาก้มหน้าลงและเห็นว่าเป็นหลีจิ่วโทรมา เขารับสายเพราะว่าอยากรู้ว่าอีกกลุ่มนั้นเป็นอย่างไรบ้าง “ที่นั่นเป็นไงมั่ง? นายเจอคำใบ้ที่มีประโยขน์อะไรไหม?”
เสียงของหลีจิ่วดังมาจากอีกปลายสาย “บ้านผีสิงนี่น่าเบื่อกว่าที่เราคิดเอาไว้ พวกเราตรวจดูหลายห้องแล้ว แต่ทั้งหมดล้วนว่างเปล่า ไม่มีทางเดินลับหรือว่านักแสดงด้วยซ้ำ”
“ฉันลองถาม ๆ ดูก่อนที่จะเข้ามาแล้ว บ้านผีสิงนี่ปลดล็อกฉากใหม่ ๆ หลายฉากในช่วงเวลาสั้น ๆ ดังนั้นมันก็เป็นไปได้ที่ไม่ใช่ทุกฉากจะสมบูรณ์ นอกจากนี้ ฉันไม่แน่ใจว่านายสังเกตเห็นไหม แต่ว่าฉากนี้ดูเหมือนจะมีความยาก 3.5 ดาว มันฟังดูเหมือนว่าฉากนี้ยังไม่เสร็จเรียบร้อย เจ้าคนแซ่เฉินนั่นน่าจะถูกบังคับให้เปิดใช้ฉากที่ไม่สมบูรณ์นี่เพราะความกดดันจากสวนสนุกแห่งอนาคต” เว่ยจินหยวนเดินไปตามถนน และจำนวนห้องที่สองข้างทางก็เพิ่มมากขึ้น
“เอาละ ฉันจะวางสายก่อนละ ฉันจะโทรหานายอีกทีในสิบนาที พวกเราควรจะตั้งใจหาคำใบ้แล้ว” หลีจิ่วพูดและวางสายทันที
“เขาเป็นอะไรไปน่ะ? โทรมาแค่นาทีเดียว ถ้างั้นจะเสียเวลาโทรตั้งแต่แรกทำไม?” เว่ยจินหยวนเก็บโทรศัพท์และเกาหลังคอ เขาคอยแต่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างจั๊กจี้อยู่ที่หลังคอของเขาเหมือนถูกยุงกัดตรงนั้น
ถนนข้างหน้าแคบลงอีก และพวกเขาก็เดินไปอีกประมาณสิบเมตรก่อนที่หลี่ซางอิ๋นจะเห็นป้ายไม้แผ่นหนึ่งแขนอยู่บนกำแพงข้าง ๆ พวกเขา ประโยคนั้นเขียนไว้ด้วยเลือด “ฉันเป็นหนึ่งในพวกแก”
“ตอนนี้เขาก็เริ่มเล่นเกมจิตวิทยาแล้วใช่ไหมฮึ? น่าเบื่อจัง” เว่ยจินหยวนเล็งกล้องโทรศัพท์ไปที่ป้ายไม้และถ่ายรูปไว้ เขากดบันทึกรูป “นี่เป็นสิ่งแรกที่ค่อนข้างน่ากลัวที่ฉันเจอตั้งแต่เข้ามาในบ้านผีสิงนี่ มันไม่น่าเชื่อเลยว่าบ้านผีสิงที่วางจังหวะไม่สมเหตุสมผลอะไรเลยอย่างนี้กลับเป็นที่นิยมมาก”
“อย่าได้ดูเบาที่นี่ คำเตือนบนแผ่นป้ายนั่นอาจจะเป็นความจริง” หลี่ซางอิ๋นยังคงสีหน้านิ่งเฉย “ตามการวิเคราะห์ที่ฉันอ่านบนออนไลน์ หลายคนเชื่อว่าบอสบ้านผีสิงนี่มีครั้งหนึ่งเคยให้นักแสดงของเขาปะปนเข้ามาในกลุ่มผู้เข้าชมเพื่อรบกวนการตัดสินใจของพวกเขา แน่นอนว่า นี่เป็นแค่การสันนิษฐานเท่านั้น ไม่มีใครมีหลักฐานยืนยัน”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่สำคัญเหมือนกันแหละ” เว่ยจินหยวนหมุนป้ายกลับและคำว่า ‘เขตที่พักอาศัยตงจื่อ’ ก็ถูกเขียนได้ที่ด้านหลังป้าย “ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นเขตที่พักอาศัย บอสบอกว่าคำใบ้ที่สองซ่อนอยู่ในเขตที่พักอาศัย งั้นในที่สุดก็จะมีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นตอนที่เราเข้าไปในนี้สินะ”
หลี่ซางอิ๋นพยักหน้า และทั้งสองคนก็มุ่งหน้าเข้าไปในสวนเล็ก ๆ ทันที
“คุณคะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวเหม่อนะคะ พวกเราต้องรีบตามพวกเขาให้ทัน” ผู้ช่วยสาวกระตุ้น แต่ว่าชิโนซากิกลับยืนอยู่ในสวนและพิจารณาแผ่นป้ายไม้บนกำแพงเหมือนเขาจริงจังกับคำเตือนที่บนป้าย
“ถ้าอย่างนั้น… เธอคิดว่าจะมีใครปะปนเข้ามาในกลุ่มพวกเราจริง ๆ งั้นเหรอ?” ชิโนซากิพูดด้วยเสียงต่ำ ๆ ขณะมองไปรอบ ๆ “บ้านผีสิงนี่สร้างบรรยากาศได้ยอดเยี่ยมมากจนฉันไม่สามารถสลัดความรู้สึกว่ามีเรื่องเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้นออกไปได้เลย”
ชิโนซากิและผู้ช่วยสาวนั้นเข้าไปในเขตที่พักอาศัยทีหลัง เกือบจะทันทีที่พวกเขาเข้าไปในพื้นที่ เงาดำหลายเงาก็กะพริบวูบวาบอยู่ที่ด้านหลังพวกเขา มีตึกเตี้ย ๆ สามตึกเรียงรายกันอยู่ที่ด้านในเขตที่พักอาศัย พวกมันมีหมายเลขหนึ่งถึงสาม และมีเสียงแปลก ๆ ดังมาจากในตึก มันเหมือนเด็ก ๆ กำลังใช้ของชิ้นเล็ก ๆ ทุบกระจกอยู่
“นอกจากตึกหน้าตาโทรม ๆ แล้ว ที่นี่ก็ดูไม่ต่างไปจากเขตเมืองเก่าของพวกเราเลยนะ” เว่ยจินหยวนมองไปที่กำแพงที่สีลอกแลเขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าตึกแรก “พวกเราควรจะเข้าไปด้วยกันหรือว่าแยกกันไป? ฉันสงสัยว่าแต่ละตึกจะซ่อนสิ่งที่ต่างกันเอาไว้”
“ฉันจะไปคนเดียว และนายก็พาสองคนนั้นไป” หลี่ซางอิ๋นเดินเข้าไปในตึกที่สามคนเดียว และไม่ช้าเขาก็หายลับไปจากสายตา เหลือแต่เสียงฝีเท้าของเขาเท่านั้น
“เลือดร้อนเสียจริง ฉันหวังว่าเขาจะไม่ไปทำให้นักแสดงที่ทำงานในบ้านผีสิงนี่ตกใจกลัวนะ” เว่ยจินหยวนเอี้ยวคอไปมองและพบว่าชิโนซากิกับผู้ช่วยสาวนั้นยังยืนอยู่ที่กลางสวน “พวกคุณสองคนทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ? เลิกเสียเวลาได้แล้ว!”
“ขอโทษด้วยค่ะ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้” ผู้ช่วยสาวดึงชายเสื้อชิโนซากิ “คุณคะ ไปได้แล้ว”
“ได้” ชิโนซากิจ้องพุ่มไม้ที่สูงประมาณเอวที่เรียงรายอยู่ริมสวน ไม่มีลมเลยสักนิด แต่ว่าพุ่มไม้กลับขยับไปมาเหมือนมีบางคนหรือบางอย่างแอบอยู่ด้านในนั้น
ชิโนซากิ ผู้ช่วยสาว และเว่ยจินหยวนเข้าไปในตึกแรกโดยไม่ได้เข้าไปใกล้กับพุ่มไม้ มีคราบน้ำเหลืออยู่บนพื้น และกำแพงก็มีรอยแตกเป็นทางยาว ในความมืด พวกมันดูราวกับริมฝีปากที่กำลังยิ้ม บันไดนำลงไปข้างล่างและมันก็มืดสลัวมาก สิ่งเดียวที่พวกเขามองเห็นก็คือประตูบานหนึ่งที่แง้มเปิดไว้
“ลงไปได้ลึกแค่ไหนกันเนี่ย?” เว่ยจินหยวนดึงโทรศัพท์ออกมาเปิดไฟฉาย แสงไฟส่องผ่านความมืด แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาเลย กลับกัน ยิ่งพวกเขาเห็น ก็ยิ่งรู้สึกไม่ค่อยดี
ผงสีขาวร่วงลงมาบนศีรษะของพวกเขาเรื่อย ๆ รอยฝ่ามือถูกทิ้งเอาไว้บนราวบันไดขึ้นสนิม และความรู้สึกหายใจไม่ออกก็รุนแรงขึ้น มันเหมือนว่ามีภูเขาสักลูกกดลงมาบนหัวใจของพวกเขา เว่ยจินหยวนเกาคอแล้วก็ผลักประตูห้องแรกเปิดออก มีเครื่อนเรือนเก่า ๆ กระจัดกระจายอยู่ในห้อง และมันก็ดูธรรมดาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะอ้างว่าเขาไม่กลัวอยู่หลายครั้ง ตอนที่เข้าไปในห้อง เขาก็ยังสังเกตสิ่งต่าง ๆ อย่างระมัดระวังมากขึ้น เขาตรวจดูทุกมุมที่อาจจะซ่อนกับดักเอาไว้ได้ แต่ว่าเขาดูอยู่นานแต่กลับไม่พบอะไรเลย นี่เป็นห้องธรรมดา ๆ ห้องหนึ่ง
“บอสบ้านผีสิงตั้งใจจะใช้วิธีนี้แยกพวกเราออกจากกัน?” เว่ยจินหยวนตรวจดูอีกหลายห้องบนชั้นเดียวกัน ไม่มีอะไรน่ากลัวและไม่มีนักแสดงของบ้างผีสิงซ่อนตัวอยู่ที่ตรงมุมไหนคอยหลอกพวกเขา
“มีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับบอสคนนั้นหรือเปล่า? เขาสร้างห้องว่าง ๆ เหล่านี้เพื่อเป็นแค่ของตกแต่งเหรอ?” หากนี่ไม่ได้สร้างอยู่ในบ้านผีสิง เว่ยจินหยวนเชื่อว่าห้องพวกนี้นั้นอันที่จริงสามารถใช้เป็นบ้านเช่าราคาถูกได้เลย
เขาเดินลงไปตามบันไดและไปถึงที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สอง แผนผังของที่นี่นั้นเกือบจะเหมือนกันต่างกันแค่เพียงอย่างเดียว มีทางเดินมืดสนิทที่เชื่อมชั้นใต้ดินของทั้งสามตึกเข้าหากัน เว่ยจินหยวนเดินไปที่สุดทางเดินและตะโกน “เย็นชา นายได้ยินฉันไหม?”
มีเสียงตอบกลับมาเป็นเสียงฝีเท้า แต่ไม่มีใครให้เห็น
“หรือว่าพ่อคนเย็นชานั่นลงไปที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สามแล้ว? นั่นเป็นไปไม่ได้! พวกเราตามกันมาติด ๆ ดังนั้นถ้าเขาได้ยินฉัน เขาก็ควรต้องตอบกลับมา” หน้าผากของเว่ยจินหยวนนั้นมีเหงื่อผุดพราว ตึกทั้งหมดที่ด้านบนนั้นน่าจะเป็นแค่ตัวหลอก– ความสยองขวัญที่แท้จริงนั้นซ่อนอยู่ใต้ดินทั้งหมดเลย “ตึกทั้งหมดล้วนเชื่อมต่อกันที่ใต้ดิน ที่นี่มันเหมือนเขาวงกตใต้ดิน”
เขามองไปตามทางเดิน และอากาศเย็นเยือกก็ถาโถมใส่เขา นี่เป็นความรู้สึกที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงกับตอนที่พวกเขาอยู่ด้านนอก เขาเปิดประตูที่ใกล้ตัวเขาที่สุด และเว่ยจินหยวนก็มองเข้าไปในห้องพร้อมกับแสงจากโทรศัพท์ขณะที่ยังยืนอยู่ด้านนอก “แผนผังของทุกห้องบนชั้นใต้ดินชั้นที่สองนั้นก็เป็นเหมือนกับที่ชั้นแรก การออกแบบอย่างนี้นั้นมีจุดประสงค์อะไรกัน? ฉันไม่เข้าใจความตั้งใจของเขาเลย!”
เว่ยจินหยวนพยายามค้นหาความลับเบื้องหลังความนิยมของบ้านผีสิงของเฉินเกอ ทำไมเขาถึงดึงดูดผู้เข้าชมได้มากมาย แต่ว่าจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังหาอะไรไม่เจอเลย เขาเปิดประตูบานแล้วบานเล่า และตอนที่เว่ยจินหยวนกำลังจะยอมแพ้ เขาก็พบว่าประตูบานหนึ่งต่างไปจากบานอื่น ๆ ที่ขอบประตูนั้นมีเทปกาวแปะติดเอาไว้ และยังมีช่องตาแมวที่ปิดเอาไว้ด้วยเทปกาว
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง” เว่ยจินหยวนดึงเทปบนประตูออกและผลักเปิดประตูช้า ๆ ห้องที่ด้านหลังประตูบานนี้นั้นต่างไปจากห้องอื่นจริง ๆ เครื่องเรือนทั้งหมดล้วนมีเทปกาวพันเอาไว้
“ดูเหมือนว่าคำใบ้น่าจะซ่อนอยู่ในห้องนี้” เว่ยจินหยวนดึงเทปที่รอบ ๆ ที่วางรองเท้าออก เขามองเข้าไป และเห็นรองเท้าห้าคู่ถูกวางเอาไว้ในนั้น มีรองเท้าแตะเปิดส้นของผู้หญิงคู่หนึ่ง รองเท้าผ้าของหญิงชราคู่หนึ่ง และรองเท้าผ้าใบต่างขนาดของผู้ชายสามคู่
“รองเท้าพวกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของปริศนาเหรอ?” เว่ยจินหยวนหยิบรองเท้าขึ้นมาดูทีละคู่ แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ยอมแพ้ “สมองของบอสมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าเนี่ย? ทำไมเขาถึงได้สิ้นเปลืองทรัพยากรออกแบบสิ่งเหล่านี้ที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงกัน! เขาไม่รู้กระทั่งวิธีการออกแบบบ้านผีสิงหรือไง?”
ยิ่งเขามอง เขาก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวาย เว่ยจินหยวนสังเกตเห็นว่าเครื่องเรือนส่วนมากนั้นถูกพันเทปเอาไว้ และเขาก็ไม่คิดจะเข้าไปดูคนเดียว “เฮ้! มาช่วยกันทางนี้หน่อย!”
“คุณเจออะไรเหรอคะ?” ผู้ช่วยสาวและชิโนซากิวิ่งมาทางเขา ตอนที่พวกเขาเห็นห้องที่เต็มไปด้วยเทปกาว พวกเขาก็ค่อนข้างตกใจ
“ช่วยฉันแกะเทปพวกนี้ออกให้หมด คำใบ้น่าจะซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งที่นี่” เมื่อเว่ยจินหยวนสั่ง ทั้งกลุ่มก็เริ่มแกะเทปที่ติดอยู่ตามลิ้นชัก ตู้ ใต้เตียง และบนประตู พวกเขาค้นที่นี่จนทั่วแต่กลับไม่เจออะไรที่มีประโยชน์เลย
“หรือว่าบอสแค่ล้อเล่นกับพวกเรา?” เว่ยจินหยวนรำคาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ความถี่ที่เขาเอื้อมมือไปเกาด้านหลังคอก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเหมือนกัน ความคันนั้นยิ่งมายิ่งชัดเจนมากขึ้น “คุณสองคนอยู่ตรงนี้แกะเทปพวกนี้ต่อ ตรวจดูให้ครบทุกตารางนิ้ว ฉันจะไปที่ชั้นล่างต่อ”
เว่ยจินหยวนทิ้งชิโนซากิกับผู้ช่วยสามเอาไว้ข้างหลัง และเขาก็แยกไปคนเดียว ชั้นล่างสุดนั้นมืดสลัวยิ่งกว่าเดิม ไม่มีไฟฉายก็แทบจะมองไม่เห็น ชั้นนี้ต่างไปจากชั้นด้านบน มีทางเดินสองทาง นำไปซ้ายและขวา
ทางหนึ่งนั้นเชื่อมกับอีกสองตึก แต่ไม่มีใครรู้ว่าอีกทางนั้นนำไปที่ไหน เว่ยจินหยวนสูดลมหายใจลึก เขากำมือตัวเองแน่น และเขาก็ไม่รู้ตัวเลยว่าฝ่ามือของเขานั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขามองไปตามทางเดินทางซ้าย และเขาก็เห็นเงาราง ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งยืนพิงกำแพงอยู่
“หลี่ซางอิ๋น?” เว่ยจินหยวนเรียกชื่อเต็มของหลี่ซางอิ๋นแทนที่จะเป็นฉายา เขายกไฟฉายขึ้นส่องไปยังจุดที่เงานั่นยืนอยู่ ไม่มีการตอบรับอะไร– เห็นได้ชัดเจนว่าเงานั่นไม่ใช่หลี่ซางอิ๋น
“ทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนกับพ่อคนเย็นชานั่นหายตัวไปหลังจากที่เข้าไปในตึกนั้น? แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง? พวกเราอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เมตรเอง” หากไม่ใช่เย็นชาก็ต้องเป็นพนักงานสักคน เว่ยจินหยวนยกโทรศัพท์ขึ้นและวิ่งไปต่อ “พูดกันโดยทั่วไปแล้ว นักแสดงที่บ้านผีสิงจะซ่อนอยู่ใกล้ ๆ กับมุมหรือสิ่งของบางอย่างเพื่อที่จะกระโจนออกมาหลอกผู้เข้าชมตอนที่พวกเขาเดินผ่าน แต่ไอ้คนนี้มันยังไง? เขาแค่ยืนอยู่ที่ทางเดิน เขาไม่กลัวว่าจะถูกผู้เข้าชมเจอตัวเข้าหรือไง?”
ไม่ว่าเว่ยจินหยวนจะทำเสียงดังเอะอะแค่ไหน เงานั่นก็ไม่ขยับ หลังจากที่เขาเข้าไปใกล้ ๆ เขาก็พบว่าเงานั่นมีอะไรแปลก ๆ ร่างกายของเงานั่นเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จนเหมือนกับตัวเขาเอง นี่เป็นประสบการณ์ประหลาด มันเหมือนเขาำลังมองตัวเองจากด้านหลัง ลูกกระเดือกของเว่ยจินหยวนสั่นระริก และในที่สุดเขาก็อยู่ห่างจาก ‘ผู้ชาย’ คนนั้นแค่สามเมตร
หลังจากปรับลมหายใจแล้ว เว่ยจินหยวนก็กำลังจะพูดตอนที่โทรศัพท์ที่เขาถือไว้ตรงอกจู่ ๆ ก็สั่น!
“เชี่ย!” หลังจากสบถออกไปดังลั่น เว่ยจินหยวนก็ก้มหน้าลงไปกดปุ่มรับสาย ก่อนที่เขาจะทันมองชื่อคนโทรเข้า ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เงาตรงหน้าเขาก็หายไปแล้ว “เขาวิ่งหนีไปที่ไหนน่ะ?”
“เฮ้ จินหยวน ฉันเจอแผนที่ของเมืองนี้ มีพื้นที่ที่ถูกกากบาทด้วยสีแดงอยู่แถว ๆ นายแน่ะ…”
“ฉันค่อยคุยกับนายทีหลัง!” เว่ยจินหยวนตัดสายทิ้งทันทีและเขาก็ใช้ไฟฉายส่องไปทั่ว ๆ อย่างรวดเร็ว “เขาเพิ่งโทรหาฉันเมื่อแล้วก็โทรมาอีกแล้ว? เกิดบ้าอะไรขึ้นกับเขาเนี่ย?”
“ผู้ชายคนนั้นหายไปไหนกัน?” มันใช้เวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งวินาทีที่เขาก้มหน้าลงไปแล้วก็เงยหน้าขึ้นมา และเงานั่นก็หายตัวไปแล้ว นอกจากนี้ เว่ยจินหยวนยังไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย– มันเหมือนกับชายคนนั้นระเหยกลายเป็นอากาศไป
“ฉันไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเลย และประตูที่สองข้างทางก็ยังเปิดอยู่ งั้นเขาก็คงแอบเข้าไปในห้องสักห้องแหละ” เว่ยจินหยวนเดินไปตรงที่ที่เงานั่นยืนอยู่ก่อนหน้านี้ “ห้องที่ใกล้เขาที่สุดอยู่ห่างไปแค่เมตรเดียว เขาฝึกซ้อมกี่ครั้งกันถึงสามารถหายวับไปในพริบตา”
เว่ยจินหยวนมองเข้าไปในห้อง โครงสร้างในห้องนั้นไม่ได้ต่างไปจากห้องอื่น ๆ แต่มีรอยเลือดเป็นทางมากมายทิ้งไว้ที่บนพื้น
เพื่อผลทางสายตา เลือดปลอมส่วนใหญ่ที่ใช้ในบ้านผีสิงนั้นเป็นสีแดงสด แต่ว่าเลือดที่ในห้องนี้นั้นเป็นสีออกน้ำตาล มันเหมือนกับมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นที่นี่จริง ๆ และเลือดนี่ก็ถูกทิ้งเอาไว้หลายปีแล้ว มันซึมเข้าไปในตัวตึกและไม่สามารถเช็ดทำความสะอาดออกไปได้แล้ว
“เขาวิ่งเข้าไปในห้องนี้เหรอ?” ในบางห้องที่นี่นั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและอบอุ่นที่ห่มคลุมลงมาทันทีที่เข้าไป แต่ว่าก็มีบางห้องที่ทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมากเพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไป ขนลุกชัน และยังไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์เช่นนี้ได้อย่างมีเหตุผล นั่นคือสิ่งที่เว่ยจินหยวนรู้สึกได้จริง ๆ ในห้องนี้ไม่มีความรู้สึกมีชีวิตชีวา มันไม่ต่างไปจากห้องเก็บศพที่ใช้เก็บศพคนตาย
“ออกมาเดี๋ยวนี้! ฉันเห็นแกแล้ว!” เว่ยจินหยวนร้องอยู่ในห้อง แต่ว่าเขาก็ได้ยินแค่เสียงของตัวเองก้องตอบกลับมา เขาขยับเดินหน้าเข้าไปในห้อง และเขาก็เห็นรอยเลือดมากขึ้น “เลือดทั้งหมดแห้งซึมเข้าไปในพื้น ไม่ใช่แค่ละเลงเอาไว้บนพื้นผิวเท่านั้น เขาทำอย่างนี้ได้ยังไง?”
เดินไปทั่วห้องนั่งเล่น เว่ยจินหยวนก็ไปหยุดอยู่ที่ประตูห้องนอน
“รอยเลือดเป็นทางนำมาที่นี่ ดังนั้นความลับก็น่าจะซ่อนอยู่ในห้องนอนนี่” เว่ยจินหยวนผลักประตูเปิดแล้วก็กำโทรศัพท์เอาไว้แน่น เหงื่อเย็น ๆ ซึมออกมา
รอยเลือดสะดุดตากระจายอยู่ทั่วทั้งห้อง ที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องที่ราวกับงานศิลปะโชกเลือดคือผู้หญิงในชุดสีแดงคนหนึ่ง เธอยืนอยู่ หันหลังให้เว่ยจินหยวน และโขกหัวกับกำแพงเบา ๆ ซ้ำ ๆ ก่อให้เกิดเสียงประหลาดสะท้อนก้อง
ตอนที่ 688
วิ่งอยู่คนเดียวที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สาม ยืนอยู่ในห้องที่ดูเหมือนสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม มีผู้หญิงประหลาดที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่เป็นเพื่อน– ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกกลัวเมื่อถูกพามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เว่ยจินหยวนเกาหลังคอเหมือนมันเป็นนิสัยที่ต้องทำไปแล้ว แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่ม และลูกกระเดือกของเขาก็ขยับขึ้นลงขณะที่เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาตามใบหน้า
เขากำลังตามหานักแสดงลูกจ้างที่บ้านผีสิงของเฉินเกอเพื่อตามหาว่าอะไรคือความลับเบื้องหลังความนิยมของที่นี่ แต่ตอนนี้ที่เขาเจอนักแสดงตัวจริงเข้าแล้ว เขากลับรู้สึกไม่สบายใจและอยู่ไม่สุขอย่างประหลาด เพราะเหตุผลสักอย่างที่เขาอธิบายไม่ได้ ผู้หญิงที่อยู่ห่างจากเขาไปหลายเมตรนี้ทำให้เขาใจของเขาสั่นราวกับกับเป็นใบไม้ต้องลม
“นี่เป็นอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมแล้วก็การแต่งหน้าใช่ไหม?” หัวใจของเขาเต้นรัวไม่หยุดราวกับเป็นกระต่ายตื่นตูม เขาต้องการเวลาหนึ่งนาทีเต็มกว่าที่เว่ยจินหยวนจะรู้สึกเป็นตัวเองได้อีกครั้ง ตลอดกระบวนการนี้ ผู้หญิงที่ในชุดสีแดงก็แค่นิ่งอยู่ที่มุมกำแพง ไม่ได้แสดงท่าทีต้องการเข้ามาใกล้เขาแต่อย่างใด
“นี่ก็คล้ายกับเงาดำที่ฉันเจอที่ทางเดิน– พวกเขาไม่ได้คิดจะเข้ามาหลอกผู้เข้าชม และพวกเขายังไม่คิดที่จะแอบซ่อน นี่เป็นเพราะความมั่นใจเกินเหตุของนักแสดง หรือเพราะพวกเขาเองก็กังวลบางอย่างอยู่เหมือนกัน? นี่เป็นเพระว่าพวกเขากลัวว่าจะน่าหวาดกลัวเกินไปสำหรับผู้เข้าชมทั่วไป ดังนั้นจึงใช้วิธีการนี้ทำให้ผู้เข้าชม ‘ตกใจและหวาดกลัว’?” สมองของเว่ยจินหยวนวิ่งวนเป็นวงขณะที่เขาค่อย ๆ ขยับเท้าไปข้างหน้าช้า ๆ เส้นขนบนร่างลุกชันและทุก ๆ เซลล์ในร่างกายของเขาก็กรีดร้องให้เขากลับออกไป ทุก ๆ ก้าวที่เขาย่างนั้นต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก
“เฮ้ คุณเป็นหนึ่งในนักแสดงในบ้านผีสิงนี่หรือเปล่า?” เสียงของเขาสั่นอย่างไม่รู้ตัว เว่ยจินหยวนคอยให้กำลังใจตัวเองอยู่ข้างใน เตือนตัวเองเอาไว้ว่าไม่มีเหตุผลให้เขาต้องหวาดกลัว นี่ก็แค่นักแสดงสาวที่เฉินเกอจ้างมา บางทีหลังจากเธอล้างเครื่องสำอางออก เธออาจจะเป็นเด็กสาวน่ารักคนหนึ่งก็ได้
ผู้หญิงในชุดแดงไม่ตอบ เธอไขว้มือไว้ที่หน้าอกและหันหลังให้เว่ยจินหยวน เธอพิงศีรษะไว้กับผนังอย่างอ่อนแรง และเธอก็อยู่ในท่าประหลาดนั่น
“คุณจะไม่ตอบเหรอ ฮึ? ได้ ผมจะดูซิว่าคุณจะดื้อดึงได้แค่ไหน!” เดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยเลือด พรมใต้เท้าเขาส่งเสียงแกรกกรากทุกย่างก้าว ระยะห่างแค่ไม่กี่เมตร แต่ว่าเว่ยจินหยวนใช้เวลามากกว่าสิบวินาทีเพื่อข้ามระยะห่างนั่น เขาไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ผู้หญิงคนนั้นแล้วชะโงกหน้าเข้าไปมองเธอ
ชุดของเธอนั้นชุ่มเลือด ความอาฆาตแค้นหนาหนัก แค่มองแวบเดียว ผีผู้หญิงก็ส่งความสั่นเทิ้มลงไปตามสันหลังของเขา เขาพบว่ามือของเธอที่วางอยู่บนหน้าอกนั้นเหมือนจะกอดบางอย่างเอาไว้…
“คำใบ้คงไม่ได้อยู่ในมือคุณหรอกใช่ไหม?” ดวงตาของเว่ยจินหยวนเบิกกว้าง “บอสช่างชั่วร้ายเสียจริง ถึงกับวางคำใบ้เอาไว้ในที่อย่างนี้”
ถ้าคำใบ้นั้นอยู่ในมือของเธอจริง ๆ อย่างนั้นผู้เข้าชมก็ต้องเข้ามาใกล้ ๆ เธอเพื่อที่จะรับคำใบ้นั่น หากผู้เข้าชมหวาดกลัวเกินกว่าจะเข้าใกล้ อย่างนั้นก็จะติดอยู่ในฉากนี้ไปตลอดกาล หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องยอมแพ้แล้วไปหาคำใบ้อื่น ๆ
“ขอบคุณที่เป็นผมที่มาเจอคุณเข้า ผมกล้าหาญที่สุดในกลุ่มแล้ว และนี่ก็ไม่ทำให้ผมกลัวได้หรอก” เว่ยจินหยวนเรียกความกล้าหาญของตัวเองออกมาเอื้อมมือไปดึงกระดาษสองสามแผ่นที่เธอกอดเอาไว้ในอ้อมแขน ตอนที่เขากำลังจะดึงมือกลับมา ศีรษะของผู้หญิงคนนั้นที่พิงอยู่กับกำแพงก็หันมาช้า ๆ ร่างของเธอยังอยู่ในท่าเดิม อันที่จริง คอของเธอก็ไม่ได้ขยับด้วยซ้ำ มีแค่ศีรษะของเธอที่หันมา หันมา…
ใบหน้าซีดขาวราวกับไร้เลือด เครื่องหน้าเรียกได้ว่างดงามแต่ว่าดวงตาดำสนิทไร้ประกายคู่นั้นดูน่ากลัวมาก ผีผู้หญิงดูจะไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเว่ยจินหยวนกำลังทำอะไร ความอาฆาตแค้นในดวงตาของเธอนั้นกำลังเลือดพล่าน แต่สายตาของเธอก็ไปตกอยู่บนเส้นผมสีดำที่รอบข้อมือของตน เธอสงบลงอีกครั้งหนึ่ง
“คุณสวมคอนแท็คเลนส์สีดำสนิทด้วย? ถ้าผมไม่ได้ทำงานที่บ้านผีสิงและยังมีเชี่ยวชาญการแต่งหน้าอย่างนี้ ผมก็คงถูกคุณทำให้กลัวไปแล้ว” เว่ยจินหยวนดึงกระดาษออกจากเธอ เขาส่องไฟฉายไปยังกระดาษ “กฎพื้นฐานสำหรับพนักงานบ้านผีสิง? ห้ามมีสัมผัสทางกายภาพกับผู้เข้าชม? ห้ามทำร้ายผู้เข้าชม? ถ้าพบเจอผู้เข้าชมที่หมดสติให้ส่งพวกเขาไปยังห้องเก็บศพใต้ดินทันที?”
เว่ยจินหยวนอ่านกระดาษนั่นซ้ำแล้วซ้ำอีก เครื่องหมายคำถามในหัวเขาขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ “นี่มันอะไร? คำใบ้อยู่ที่ไหน?”
เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงในชุดสีแดง เธอยังคงอยู่ในท่าประหลาด ร่างกายของเธออยู่ห่างจากผนังราวครึ่งเมตร และมีแค่ศีรษะของเธอที่พิงผนังอยู่ ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่ที่กระดาษที่เขาถือเอาไว้ราวกับกำลังรอให้เว่ยจินหยวนคืนมันให้เธอ
“มีแค่นี้?” เว่ยจินหยวนถือกระดาษเอาไว้ “คุณเป็นหนึ่งในนักแสดงที่นี่ใช่ไหม? มีความลับอะไรที่ผมควรจะเข้าใจจากคำพวกนี้หรือเปล่า?”
เธอไม่รู้ว่าเว่ยจินหยวนกำลังพูดถึงอะไรอยู่ แต่มีอย่างหนึ่งที่แน่ใจได้– ความอดทนของเธอกำลังจะหมดไปอย่างช้า ๆ เพราะผู้ชายคนนี้ ชุดสีแดงเริ่มมีเลือดซึม และกลิ่นเลือดจาง ๆ ก็เริ่มกำจายไปทั่วห้องนอน
“โอ้โห! มีการเปลี่ยนร่างที่สองด้วย?” เว่ยจินหยวนมองเลือดที่หยดลงมาจากชุดของเธอ และเขาก็สังเกตอย่างใจเย็น “มีถุงเลือดซ่อนเอาไว้ในชุดใช่ไหม? แต่คุณไม่เป็นมืออาชีพเกินไปแล้ว สิ่งที่นักแสดงบ้านผีสิงต้องมีก็คือความเร็ว ความคล่อง และความแม่นยำ คุณลงมือช้าอย่างนี้ ผู้เข้าชมก็จะมีเวลาเตรียมตัวกับการเปลี่ยนร่างที่ไม่ได้ฉับพลันแบบนี้”
เว่ยจินหยวนอันที่จริงนั้นไม่ได้มีความคิดเลยว่าเธอจะทำอะไรอย่างนี้ การพูดเรื่อยเจื้อยของเขานั้นก็เพื่อปิดบังความไม่แน่ใจที่คืบคลานผ่านหัวใจของเขา
“ดูเหมือนว่าการตามหาคำใบ้อย่างเดียวจะไม่เพียงพอ– พวกเราคงต้องไขปริศนาในนี้ด้วย” หลังคอของเว่ยจินหยวนนั้นคันมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีบางอย่างบนหลังคอของเขากำลังสั่น เขารู้สึกได้เลยว่ามีแรงเล็ก ๆ จากด้านหลังของเขาพยายามดึงเขาออกไป เหมือนมีแรงลึกลับบางอย่างกระตุ้นให้เขาออกไปจากที่นี่ทันที
“นี่เป็นกลไกลทางจิตแบบนึงเหรอ? แต่ว่าทฤษฎีเบื้องหลังล่ะ? ก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่ ฉันได้ดูบนอินเตอร์เนตแล้วว่าผู้เข้าชมหลายคนอ้างว่าเจ้าของที่นี่เชี่ยวชาญจิตวิทยา ดูเหมือนว่าฉันจะติดกับเขาโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ” เว่ยจินหยวนถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือหนึ่ง แสงจากโทรศัพท์ส่องมาที่เขาและผู้หญิงที่ข้างตัวเขา ขณะที่มืออีกข้างของเขานั้นถือกระดาษสองสามแผ่นนั่นเอาไว้ “ฉันพลาดไปตรงไหน? ที่นี่ไม่ได้น่ากลัวด้วยซ้ำ แต่ว่าหัวใจของฉันกลับเต้นเร็วจี๋?”
ถูกแสงส่อง เอกสารกฎของพนักงานของเธอยังถูกแย่งไป และหลอดเลือดเริ่มก่อตัวอยู่บนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้– เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกรังแก กลิ่นเลือดในอากาศหนาหนักขึ้น และเลือดเหนียวข้นก็ไหลลงมาตามชุดของเธอ ทำให้เกิดเสียงหยดลงบนพื้น
เว่ยจินหยวนยังคงเหม่อคิด เขารู้สึกเหมือนตัวเองเดินเข้ามาในกับดัก “ตั้งแต่เข้ามาในบ้านผีสิง ก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากห้องว่างเปล่า ไม่มีการจัดฉากและไม่มีความน่ากลัวเลยสักนิด ไม่มีกระทั่งเลือด แล้วบ้านผีสิงอย่างนี้กลับทำให้ฉันรู้สึกกลัว? สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างอธิบายไม่ได้นี่คืออะไรกัน? ฉันเหมือนจะได้กลิ่นเลือดในอากาศ แต่ว่านี่น่าจะเป็นแค่อาการหลอนสักอย่าง หรือว่าเขายังเล่นเล่ห์กลทางจิตกับฉันตอนที่ฉันไม่ทันระวัง?”
ไม่มีคำตอบของคำถามไหนเลย ทุกอย่างเต็มไปด้วยความลึกลับ เว่ยจินหยวนเกาหลังคอ และคิ้วของเขาก็ขมวด “สภาพแวดล้อมซับซ้อนเกินไป และมันก็น่ากลัวอย่างพูดไม่ถูก คำใบ้ที่ให้นั้นก็ไม่สามารถเข้าใจได้”
ตอนที่เขายังคิดอยู่ มือซีดเผือดข้างหนึ่งก็เอื้อมออกมาดึงกระดาษไปจากเขา
“คุณกำลังทำอะไร?” เว่ยจินหยวนหันไปมอง ริมฝีปากของเขาอ้าค้าง และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ ผู้หญิงที่อยู่ข้างผนังนั้นขยับเข้ามาในห้องมากขึ้น แต่ศีรษะของเธอหายไปแล้ว!
มีรอยตัดหยาบ ๆ อยู่รอบคอ และแผลที่เปิดอยู่ก็มีเลือดไหล ภาพนี้กระแทกเข้าสมองของเว่ยจินหยวนราวกับถูกค้อนทุบ เขารู้สึกราวกับว่าเขาถูกฟ้าผ่า และกระแสไฟฟ้าก็วิ่งผ่านเส้นเลือดทั้งหมดไป!
“หัวหายไปไหน?” เขายืนยันได้ว่านักแสดงที่อยู่ในห้องกับเขานั้นเป็นผู้หญิงเป็น ๆ คนหนึ่ง ใบหน้างดงาม สีหน้าเหมือนจริง กระทั่งสายตาเหนือกว่าเหมือนเธอกำลังมองขยะชิ้นหนึ่งก็ยังเป็นสิ่งที่หุ่นไม่สามารถลอกแบบมาได้ แต่ว่า หัวของคนเป็น ๆ จะหายไปในพริบตาได้อย่างไรเล่า!
“คืนของของฉันให้ฉัน!” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังไหล่ของเขา คอของเว่ยจินหยวนเอี้ยวกลับไปมองอย่างแข็งทื่อ และทันใดนั้น เขาก็มองเห็นภาพที่เป็นไปไม่ได้ หัวของผู้หญิงคนนั้นเชื่อมโยงอยู่กับหลอดเลือด และมันก็ลอยอยู่เหนือไหล่ของเขา และเลือดทั้งหมดในร่างของเขาก็พุ่งขึ้นสมองของเขาพร้อมกัน
“ช่วยด้วย!” เขากรีดร้องสุดเสียง มือหนึ่งถือโทรศัพท์และอีกมือถือเอกสารกฎของพนักงานเอาไว้ เขาพุ่งออกไปจากห้องนอนด้วยความเร็วสูงสุดในชีวิต!
“คืนให้ฉัน คืนให้ฉัน!” ความแค้นหมุนเวียนอยู่รอบตัวเธอ และวิญญาณก็กระหายเลือด เลือดหยดลงบนพื้น และผู้หญิงในชุดสีแดงก็ตามเว่ยจินหยวนออกจากห้อง เลือดผสมเข้ากับเส้นผมสีดำ เธอกอดศีรษะของตนเองเอาไว้แล้วไล่ตามมาด้านหลังเว่ยจินหยวน
วิ่งไปตามทางเดินมืดสลัว เว่ยจินหยวนไม่มีเวลามาวิเคราะห์อะไรอีกแล้ว มีสิ่งเรียบง่ายอย่างเดียวที่อยู่ในใจของเขา
วิ่ง!
เขาไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังวิ่งไปไหน เขาแค่วิ่งไปตามทางเดินที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเท่านั้น!
หลังจากเวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เขาก็หยุดหอบหายใจ โทรศัพท์ในมือสั่นขึ้นมาให้หันไปสนใจมัน หัวใจของเขาแทบจะกระโจนออกจากอกก่อนที่เว่ยจินหยวนจะมองโทรศัพท์ในมือ คนที่โทรมาก็คือหลีจิ่ว เหมือนกับคนจมน้ำพบเจอเรือยางกู้ชีพ เขาคว้ามันเอาไว้แล้วกดปุ่มรับสายอย่างบ้าคลั่ง!
“จินหยวน ฉันคงต้องพูดแบบเดิมอีกแล้วแหละ พวกเราเจอแผนที่อีกชิ้น และหลังจากพวกเราประกอบมันเข้าด้วยกัน พวกเราก็พบว่านายกับเย็นชากำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่อันตรายที่สุด…”
ก่อนที่หลีจิ่วจะพูดจบ เขาก็ถูกเว่ยจินหยวนตัดบท “จิ่ว! มาช่วยฉัน! มาช่วยฉันที!”
“พูดช้า ๆ เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เว่ยจินหยวนเองก็อยากจะพูดช้า ๆ แต่ว่าพอเขาหันกลับไป เขาก็เห็นผู้หญิงชุดแดงวิ่งมาทางเขา หัวซุกอยู่ในอ้อมแขนของเธอและก็นำร่างของเธอพุ่งไปตามทางเดินเพื่อจับตัวเหยื่อของเธอ!
“มาที่นี่เดี๋ยวนี้! มีผู้หญิงบ้าอยู่ที่นี่! เธอไม่มีหัว! นายเข้าใจไหม!” เว่ยจินหยวนกรีดร้องเข้าไปในโทรศัพท์ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจากความหวาดกลัว
“เธอไม่มีหัว? เป็นเทคนิคพิเศษอะไรหรือเปล่า? อธิบายให้ตัวเองฟังสิ มีเหตุผลหน่อย อย่าทำเหมือนทำหัวหล่นหายไปสิ สงบใจหน่อย”
“ฉันไม่ได้ทำหัวหาย! เป็นเธอ! ใช่ เธอทำหัวเธอหาย!”
เสียงของเว่ยจินหยวนก้องไปตามทางเดินมืด ๆ
และจากนั้นสายก็ถูกตัด
…
“แปลก” ที่อีกปลายสาย หลีจิ่วยืนอยู่ที่เดิมถือโทรศัพท์เอาไว้ เสียงกรีดร้องแสบหูของเว่ยจินหยวนจากก่อนหน้านี้นั้นหลีจิ่วและทุกคนได้ยินผ่านโทรศัพท์แล้ว
“เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวจินน่ะ?” ด้วยคำที่เขาใช้ เห็นได้ชัดเจนว่านักไลฟ์สตรีมนั้นสนิทกับพนักงานของสถาบันฝันร้าย แต่ว่า ก็ไม่ได้มีความเป็นห่วงมากมายในคำถามของเขา ดูเป็นการสงสัยออกมาเฉย ๆ “เสี่ยวจินน่าจะไม่ได้ถูกหลอกง่ายขนาดนั้น สามารถทำให้เขากลัวจนร้องออกมาอย่างนี้ได้ ดูเหมือนว่าจะมีอะไรแอบแฝงอยู่ในบ้านผีสิงนี่”
“พวกเราควรจะระวังให้มากขึ้น ผมไม่คิดว่าผมได้ยินที่จินหยวนพูดก่อนหน้านี้อย่างถูกต้องนัก แต่ผมเชื่อว่าเขาพูดถึงผีผู้หญิงไร้หัว” หลีจิ่วรู้สึกอายนิด ๆ ที่เพื่อนร่วมงานของเขาถูกหลอกจนมีสภาพอย่างนี้ “ยังไง พวกเราก็ไม่ควรให้ความสำคัญกับเขามากเกินไป เว่ยจินหยวนอยู่ในทีมออกแบบ และเขาก็ไม่ได้เข้าบ้านผีสิงบ่อยนัก ดังนั้นเขาจึงถูกหลอกง่ายที่สุดในหมู่พวกเรา
“การสำคัญตัวผิดนี่จะเป็นหายนะของพวกคุณ” หวังตั้นเองก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเว่ยจินหยวนเมื่อกี้นี้ ถ้อยคำของเขานั้นตรงยิ่งกว่าที่เขาตั้งใจ “ผมขอแนะนำให้คุณฟังผมแล้วเลิกใช้โทรศัพท์ในบ้านผีสิง จากนั้นพวกเราก็หาทางกลับไป ไม่มีทางที่พวกเราจะผ่านฉากนี้ไปได้ด้วยกลุ่มคนที่แหกกฎเกณฑ์อย่างนี้”
“ถ้าพูดใหญ่โตขนาดนี้ ทำไมถึงไปแยกไปเองแล้วเลิกตามหลังพวกเราอย่างน่าละอายเสียที?” คำแนะนำของหวังตั้งนั้นเหมือนพูดให้คนหูหนวกฟัง และนักไลฟ์สตรีมยังท้าทายเขาอย่างหยาบคาย หลังจากเกิดเรื่องกับเว่ยจินหยวน เขาก็รู้สึกไม่ดีอย่างประหลาด
หวังตั้นไม่ได้ปะทะคารมด้วย เขายักไหล่และพูดให้ตัวเองได้ยินคนเดียว “ถ้าฉันไป แล้วใครจะช่วยเก็บพวกนายตอนหมดสติล่ะ?”
“เลิกเถียงกัน ฉันยอมรับว่ามีบางอย่างในบ้านผีสิงนี่ที่สมควรกับคำชื่นชมที่สามารถทำให้จินหยวนกลัวขนาดนั้นได้ ตอนนี้พวกเราเจอแผนที่สองส่วนแล้ว ฉันเชื่อว่าพวกเราจะสามารถหนีออกไปได้ในไม่ช้าแล้ว” หลีจิ่วนั้นรับผิดชอบเรื่องอุปกรณ์ประกอบฉากและของตกแต่งในสถาบันฝันร้าย เขาอยู่ในธุรกิจนี้มาห้าปีแล้ว และด้วยประสบการณ์ของเขา เขาสามารถมองกลไกต่าง ๆ ที่ติดตั้งเอาไว้ในบ้านผีสิงได้เมื่อมองแค่แวบเดียว เป็นเพราะประสบการณ์ของเขาทำให้เขาสามารถหาคำใบ้ที่เฉินเกอซ่อนเอาไว้ในเมืองหลี่ว่านได้อย่างง่ายดาย
ฉากนี้นั้นถึงจะยากมากแต่ก็มีโอกาสที่ผู้เข้าชมจะชนะ นั่นเป็นวิธีการเดียวที่ผู้เข้าชมจะรู้สึกว่าการสัมผัสประสบการณ์ครั้งนี้นั้นสนุก และคำใบ้ก็เป็นโอกาสที่เฉินเกอเตรียมไว้ให้เหล่าผู้เข้าชม เมื่อมีแผนที่ พวกเขาก็สามารถหลีกเลี่ยงสถานที่ที่อันตรายมาก ๆ อย่างผู้หญิงในชุดแดงที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สามได้
เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถเปลี่ยนผู้ชายคนที่มั่นใจอย่างสุด ๆ ก่อนหน้านี้ไปเป็นเด็กน้อยร้องไห้ขี้มูกโป่ง นั่นทำให้ผู้เข้าชมคนอื่น ๆ รู้สึกถึงความกดดันที่มองไม่เห็น
“มาเถอะ เดินต่อไป ดูซิว่าพวกเราจะเจออะไรอื่นอีกไหม” หลีจิ่วเก็บโทรศัพท์และมองแผนที่ทั้งสองชิ้น
“มันเหมือนกับว่าที่นี่นั้นเป็นสถานที่ทดสอบความอดทน นักแสดงจะรอจนกระทั่งพวกเราประมาทและเริ่มกระวนกระวาย จากนั้นพวกเขาก็จะกระโดดออกมาหลอกพวกเราให้กลัว นั่นน่าจะเป็นวิธีการที่พวกเขาจัดการกับเสี่ยวจิน” นักไลฟ์สตรีมมองนาฬิกาและสบตากับหลีจิ่ว หลีจิ่วเข้าใจความหมายและพยักหน้า จากนั้นเขาก็พูด “หลังจากเข้าไปในตึกต่อไป พวกเราจะแยกกันชั่วคราว พวกเราจะค่อย ๆ เคลื่อนที่ไปช้า ๆ หลังจากค้นทัวตึกแล้ว พวกเราจะมาเจอกันอีกทีที่ทางเข้า”
โดยไม่รอให้คนอื่นตอบสนอง หลีจิ่วกับนักไลฟ์สตรีมก็ก้าวยาว ๆ เข้าไปในตึกตรงหน้าพวกเขา
“เดี๋ยวนะ ผมคิดว่าพวกเราควรจะเกาะกลุ่มกันเอาไว้” นักศึกษาจางเฟิงแนะนำ แต่ว่าหลีจิ่วและนักไลฟ์สตรีมนั้นเดินห่างจากพวกเขาไปเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด
“พวกเราควรจะไปกับพวกเขา” หวังตั้นพูดเบา ๆ เขารู้สึกได้ว่าหลีจิ่วและโฮสต์คนนั้นมีแรงจูงใจแอบแฝงในการมาเยือนบ้านผีสิง
“นายแน่ใจ?” จางเฟิงนั้นตอนแรกไม่ได้กลัวอะไรนัก แต่หลังจากได้ยินเสียงของเว่ยจินหยวนจากสายโทรศัพท์เมื่อครู่นี้ เขาก็รู้สึกตื่นตระหนกอยู่พอสมควร “ตึกตรงหน้าพวกเราดูเหมือนโรงพยาบาลเล็ก ๆ พวกเขามักจะใส่อะไรน่ากลัว ๆ เอาไว้ในโรงพยาบาลในบ้านผีสิงไม่ใช่เหรอ?”
“นายกลัวเหรอ?” หวังตั้นแทบจะไม่หันมามองจางเฟิงตอนที่มุ่งหน้าเข้าไปในโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน
“ใครกลัว? นายดูถูกฉันเหรอ? ให้ฉันบอกนายนะ บ้านผีสิงไม่มีทางน่ากลัวหรือว่าตื่นเต้นไปกว่าบันจี้จั๊มพ์หรอก”
จางเฟิงเหลือบมองป้ายไม้ที่บอกว่าตึกนี้คือโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน เขาเก็บความกระวนกระวายในใจเอาไว้และตามหวังตั้งกับแฟนสาวของเขาเข้าไปในตึก
ตอนที่ 689
สีหลักของโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่านคือสีขาว มันเป็นตึกที่สะดุดตาที่สุดและยังโดดเด่นที่สุดในเมืองเล็ก ๆ นี้ ตอนที่พวกเขาดึงประตูเหล็กสนิมกรังเปิดออก พวกเขาก็เห็นทางเดินมืด ๆ บันทึกผู้ป่วยสีเหลืองที่กระจัดกระจายอยู่ ถ้าพวกเขาหยิบแผ่นใดขึ้นมาดู ก็จะเห็นว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่นั้นเสียชีวิตจากโรคที่รักษาไม่ได้ และติดเชื้อจากโรคระบาด
หน้าต่างกระจกลั่นเอี๊ยดอยู่ในสายลมถึงแม้ว่าจะเป็นที่ชั้นใต้ดินไม่ควรจะมีลมพัดได้ก็ตาม ประตูห้องหลายห้องล้วนถูกเปิดทิ้งเอาไว้เหมือนผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปกลับมายังที่แห่งนี้และอาจจะออกมาตอนไหนก็ได้
มีรอยคล้ายรอยเล็บอยู่ที่บนประตู และยังมีพืชที่ไม่รู้จักเลื้อยอยู่ทั่วผนัง เพดานนั้นลอก เผยให้เห็นลายปูนที่ดูคล้ายหน้ามนุษย์อย่างน่าสงสัย
โรงพยาบาลนี้นั้นเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในเมืองเล็กนี้ และมันยังใช้เสน่ห์อันโดดเด่นของมันต้อนรับผู้เข้าชมกลุ่มใหม่ พื้นมีรอยแตกและเดินเหยียบไปบนพื้นก็ทำให้มันส่งเสียงลั่น ในความเงียบสนิท เสียงนี้แทบทำให้คนสะดุ้งโหยงได้
“ผู้ชายคนนั้น หลีจิ่ว อยู่ไหนกัน? เขาเข้ามาที่นี่ก่อนเราอย่างมากที่สุดก็แค่สิบวินาที เขาหายตัวไปในพริบตาได้ยังไง?” หวังตั้นมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาหนักใจ เขายืนอยู่ในห้องโถงและมองไปตามทางเดินสองทางที่นำไปทางซ้ายและขวาของเขา เขาอยากจะระบุทิศทางที่คนพวกนั้นไปจากรอยบนกระเบื้องแตกที่บนพื้น แต่ว่า เขาก็ยิ่งต้องตกตะลึง ทางเดินทั้งสองนั้นมีร่องรอยการใช้งาน และเขาก็สามารถมองเห็นรอยเท้าประมาณแปดรูปแบบได้ในความมืด
“มีคนอื่นมาที่ตึกนี้ก่อนพวกเรา” หวังตั้นมองรอยเท้าที่บนพื้นและเขาก็ลังเล เขารู้ดีว่านักแสดงในบ้านผีสิงนั้นเก่งกาจแค่ไหนในเรื่องหลอกคน การเจอพวกเขาคนใดคนหนึ่งเข้าก็สามารถผลักให้ผู้เข้าชมที่ไม่ทันระวังจนมุมได้ และตึกนี่ก็ดูเหมือนจะมีนักแสดงน่ากลัวเหล่านั้นอยู่หลายคนทีเดียว
“พวกเราควรจะไปทางไหนดี?” แฟนสาวของหวังตั้นถาม เธอสวมเสื้อผ้าทันสมัยที่ค่อนข้างบาง ร่างกายของเธอสั่นอย่างควบคุมไม่ได้แต่ก็ไม่ชัดนักว่าเป็นเพราะความหวาดกลัวหรือแค่หนาว
“ฉันจำได้ว่าทั้งหลีจิ่วและโฮสต์ไลฟ์สตรีมคนนั้นสวมรองเท้าผ้าใบ จากรอยเท้าบนพื้น พวกเขาน่าจะมุ่งหน้าไปทางเดินทางซ้าย แต่ว่า…” หวังตั้นก้มหน้าคิด
“แต่อะไร? นายจะพูดให้จบประโยคแทนที่จะพูดค้าง ๆ เอาไว้ไม่ได้หรือไง?” จางเฟิงบ่นอย่างรำคาญ เมื่อคนผู้หนึ่งต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่ไปอย่างสิ้นเชิงก็มักจะรู้สึกกระวนกระวายและไม่สบายใจ
“ทำไมนายถึงไม่มาดูด้วยตัวเองล่ะ?” หวังตั้นส่องไฟฉายจากโทรศัพท์ของตัวเองไปที่พื้น และทางเดินทางซ้ายนั้นก็มีรอยเท้าสองรอยที่ประทับขนานกันและกันอยู่
“รอยเท้าข้างหน้าดูเหมือนจะเป็นรอยรองเท้าผ้าใบ แต่ว่ารอยเท้าด้านหลังไม่มีลวดลาย ดังนั้น พวกเราสามารถสันนิษฐานได้ว่านี่เป็นหนึ่งในผู้เข้าชมที่เดินนำไปและคนที่สองที่ไม่ใช่ผู้เข้าชมแต่เป็นบางอย่างตามหลังเขาไป” หวังตั้นไม่ได้พยายามหลอกให้ใครกลัว– เขาก็แค่พูดความจริง “ระหว่างรอยเท้าทั้งสองรอยทิ้งระยะประมาณสามสิบเซนติเมตร นายมองไม่เห็นเหรอว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้อง?”
เห็นสีหน้างุนงงของจางเฟิง หวังตั้นก็ตัดสินใจสาธิตให้ดูด้วยตัวเอง เขาเดินไปยืนอยู่ด้านหลังแฟนสาวแล้วขยับไปอยู่ด้านหลังเธอประมาณสามสิบเซนติเมตร “ผู้เข้าชมเดินอยู่ด้านหน้า และมีบางอย่างที่ไม่รู้จักตามหลังเขาอยู่อย่างนี้ ทั้งสองคนเดินไปตามทางเดินด้วยกริยาอย่างนี้ ดูรอยเท้าที่เหลืออยู่บนพื้นสิ ลวดลายนั้นเหมือนกัน พูดอีกอย่างหนึ่ง นี่หมายความว่า จนถึงปลายทางเดิน คนที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ไม่รู้ตัวเลยว่ามีบางอย่างตามหลังเขาอยู่ในระยะสามสิบเซนติเมตรอย่างสม่ำเสมอ”
“นักแสดงที่นี่ช่างเก่งกาจเสียจริง” นี่เป็นครั้งแรกที่จางเฟิงเข้าชมบ้านผีสิงเช่นนี้ พอได้ยินคำอธิบายของหวังตั้น เขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา
“หลีจิ่วกับนักไลฟ์สตรีมคนนั้นน่าจะไปตามทางเดินด้านซ้ายและนักแสดงที่บ้านผีสิงก็ตามพวกเขาไป ดังนั้นเส้นทางนี้น่าจะปลอดภัยอยู่ตอนนี้” หวังตั้นเดินไปตามทางเดินด้านซ้ายคนเดียว
หลังจากหวังตั้นเดินจากไป ห้องโถงโรงพยาบาลก็ดูน่ากลัวกว่าเดิม กระดาษบนพื้นลอยขึ้นและมันก็ส่งเสียงแสกสากเมื่อปลิวไปบนพื้น ไม่มีสิ่งไหนที่ไม่นับเป็นความทรมานของผู้เข้าชมที่เข้าบ้านผีสิงเป็นครั้งแรก
“รอฉันด้วย” แฟนสาวของหวังตั้นและจางเฟิงรีบตามหวังตั้นไป ไม่มีใครแตะต้องพวกมัน แต่ว่าประตูที่สองข้างกำแพงกลับส่งเสียงลั่นเอี๊ยดได้ด้วยตัวเอง ทำให้รู้ว่าเหมือนว่ามีสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอยู่ในห้องมืด ๆ เพราะความระแวดระวังนี้ ทั้งสามคนจึงเดินไปตามทางเดินอย่างช้า ๆ พวกเขาแทบจะเบียดตัวเข้าหากัน
“นี่ดูเหมือนจะเป็นห้องพักผู้ป่วยธรรมดา ถึงแม้ว่าจะเก่าและร้างไปสักนิด มันก็ยังดูเหมือนไม่มีใครอยู่ที่นี่มานานแล้ว” การตกแต่งในห้องผู้ป่วยนั้นเหมือนจริงมาก เหมือนจริงจนลืมไปเลยว่ากำลังอยู่ในบ้านผีสิง
“ระวังด้วย นักแสดงที่นี่น่ะผ่านการฝึกฝนอย่างดีที่สุดมา– พวกเขาสามารถเดินตามหลังพวกนายได้โดยไม่ส่งเสียงอะไรเลย และพวกเขายังมีวิธีการต่าง ๆ นานามาหลอกให้นายกลัว พวกนายไม่อยากเจอหรอก”
อันตรายนั้นสามารถมาจากทิศทางใดก็ได้ กลุ่มของหวังตั้นไม่เพียงแค่ระแวงประตูที่ถูกเปิดทิ้งไว้ครึ่ง ๆ พวกเขายังจับตามองรอยแตกบนผนังและพื้นอย่างละเอียด พวกเขาไม่ลืมด้วยว่ายังมีเพดาน
ด้วยความตึงเครียดนี้ หากมีใครกรีดร้องออกมา วิญญาณของพวกเขาก็อาจจะกระเจิดกระเจิงออกจากร่างได้ พวกเขาใช้เวลาหนึ่งนาทีเต็มเดินไปตามทางเดินที่ยาวแค่สิบเมตร ตอนที่พวกเขาไปถึงที่มุมบันได ทั้งกลุ่มก็พบว่าแผ่นหลังของตัวเองนั้นชุ่มเหงื่อไปแล้ว
“อะไร? แค่นี้? ฉันคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะมีนักแสดงที่เล่นเป็นผีโผล่ออกมาจากห้องพวกนั้นหลอกพวกเรา” จางเฟิงถอนหายใจโล่งอก “อันที่จริง มันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเสียหน่อย ฉันคิดว่าการวิเคราะห์ของนายตอนแรกน่ากลัวไปสักหน่อย ฉันสงสัยว่านายจะจงใจทำอย่างนี้ ให้ประสบการณ์ครั้งนี้น่าสยองขวัญกว่าที่มันเป็นเพื่อที่จะหลอกพวกเราด้วยซ้ำ”
นักศึกษาชายนั้นกล้าหาญกว่าคนทั่วไป แต่เหตุผลสำคัญที่เขาต้องแสดงความกล้าหาญออกมาก็เพราะว่าไม่ต้องการดูอ่อนแอกว่าหวังตั้น
อันที่จริง เขาดูถูกหวังตั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกมาอย่างเปิดเผย หวังตั้นนั้นเป็นนักศึกษาแพทย์ที่รู้แค่วิธีการจัดการกับศพเท่านั้น เขาน่าเบื่อ หน้าตาพื้น ๆ และยังไม่ได้ตัวสูง ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ดี จางเฟิงไม่เคยเห็นข้อดีอะไรในตัวคนคนนี้เลย
ตอนที่ความคิดอย่างนั้นทำให้ความกลัวในหัวใจจางเฟิงจางไปบ้างแล้ว เขาก็ชำเลืองมองแฟนสาวของหวังตั้นครั้งหนึ่ง อย่างที่พูดถึงก่อนหน้านี้ แฟนสาวของหวังตั้นนั้นเป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนมัธยมของเขา แต่ว่าตอนนั้น เขาก็ไม่คิดว่าเพื่อนของตนคนนี้จะสวยขึ้นมาแบบนี้หลังจากที่เธอรู้จักดูแลรูปลักษณ์ของตัวเอง หลังจากที่เขาเห็นประวัติของเธอที่บนอินเตอร์เนต จางเฟิงก็ไม่อยากจะเชื่อว่าที่เขากำลังเห็นอยู่นั้นเป็นเธอ
หวังตั้นนั้นไม่สนใจคำพูดของจางเฟิง เขาใจดีมากพอแล้วที่วิเคราะห์ให้ฟัง แต่ทั้งหมดที่เขาได้กลับมาคือความสงสัย คนอย่างนี้นั้นไม่คู่ควรกับความช่วยเหลือของเขาเลย เขาพยายามอย่างหนักเพื่อกดความรำคาญเอาไว้ในใจ ถึงแม้ว่าหวังตั้นจะอารมณ์ร้อนเมื่อก่อนนี้ เมื่อได้มาบ้านผีสิงของเฉินเกอหลายครั้งเข้าก็ทำให้เขาลดนิสัยนั้นไปได้มาก
เขาบอกไม่ได้แน่ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มต้นตอนไหน บางทีอาจจะเพราะว่าเขาได้เห็นปิศาจที่แท้จริง เทียบกันแล้ว ทุกคนล้วนดูมีเมตตาและน่าใกล้ชิดสนิทสนม หรือบางทีตอนที่เขาหมดสติและถูกปลุกขึ้นมาซ้ำ ๆ ที่ห้องเก็บศพใต้ดิน การสั่งสอนของศาสตราจารย์ชราที่วิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียงนั้นส่งผลกระทบต่อชายหนุ่มผู้นี้จริง ๆ ไม่ว่าอย่างไร หวังตั้นก็ไม่ใช่คนเดิมในอดีตแล้ว เขาเติบโตขึ้นมาก
เผชิญหน้ากับการท้าทายหลายต่อหลายครั้งจากจางเฟิง หวังตั้นก็ยังไม่งับเหยื่อและทะเลาะด้วย เขาเข้าใจดีว่าการทะเลาะโต้เถียงกันนั้นไร้ความหมายขนาดไหน– เหตุผลหลักที่เขาเข้ามาบ้านผีสิงครั้งนี้ก็เพื่อแบ่งปัน ‘ความสนุก’ กับจางเฟิง และเพื่อบรรลุเป้าหมาย เขาจึงต้องกล้ำกลืนคำบ่นและความคับข้องใจเอาไว้
“ทำไมถึงไม่เถียงล่ะ? เพราะว่าฉันพูดถูกใช่ไหม?” จางเฟิงสันนิษฐานว่าตัวเองมองแผนการของหวังตั้นออกหมดแล้ว “มาบ้านผีสิงอย่างนี้เพื่อพิสูจน์ว่าใครใจกล้ากว่า นายไม่คิดเหรอว่านี่มันเป็นอะไรที่มีแต่เด็ก ๆ ทำ?”
หลังจากพยักหน้า หวังตั้นก็เดินห่างออกมาเงียบ ๆ
บรรยากาศในโรงพยาบาลเปลี่ยนเป็นประหลาดขึ้นกว่าเดิม หลีจิ่วและโฮสต์คนนั้นเดินอยู่ข้างหน้าเขา แต่พวกเขากลับไม่ได้ยินเสียงอะไรที่บ่งบอกถึงการมีตัวตนของพวกเขาเลย ไม่มีกระทั่งเสียงฝีเท้า มันเหมือนทั้งสองคนหายวับไปในอากาศ
ตึกทั้งหมดในเมืองนี้นั้นนำไปสู่ชั้นใต้ดิน และโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่านก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หวังตั้นมองบันใดที่นำไปยังชั้นใต้ดิน และความคิดประหลาดก็ปรากฏขึ้นในใจหวังตั้น เหตุผลเดียวที่พวกเขาไม่เจอนักแสดงคนไหนเลยอาจจะเป็นเพราะพวกเขาต้องการรอให้เหล่าผู้เข้าชมมุ่งหน้าลงไปยังชั้นใต้ดินก่อนที่จะเผยตัวออกมา ด้วยวิธีนี้ ผู้เข้าชมก็จะไม่สามารถหนีออกจากตึกได้โดยง่ายเมื่อถูกทำให้ตกใจกลัว
แสงสลัว และทั้งสามคนก็ระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม
บนบันไดระหว่างชั้นใต้ดินชั้นแรกและชั้นที่สอง แฟนสาวของหวังตั้นก็ร้องเสียงแหลมอย่างตกใจ “มีคนอยู่ตรงนั้น!”
“ไหน?” ทั้งหวังตั้นและจางเฟิงหันไปมองบันไดพร้อมกัน
“มันอยู่ตรงราวบันไดที่นำลงไปชั้นสอง! ฉันเห็นมัน! มันเป็นขาสีเทา ๆ คู่หนึ่ง!” หวังตั้นและจางเฟิงมองไปทางที่แฟนสาวของหวังตั้นชี้ แต่ว่าพวกเขาก็ไม่เห็นอะไรเลย
“ฉันสาบานว่าพวกมันอยู่ตรงนั้นเมื่อกี้นี้ แต่ว่าพวกมันหายตัวไปทันทีหลังจากนั้น!” แฟนสาวของหวังตั้นพูดอย่างกระวนกระวายและโซเซถอยหลังไป ขยับจากตรงกลางไปอยู่ด้านหลัง
“บางทีนักแสดงอาจจะได้ยินเสียงฝีเท้าและไปซ่อนตัวที่นั่น แต่เธอบังเอิญเห็นพวกเขาเข้า” จางเฟิงพูดปลอบเด็กสาว
“ได้… แต่เดี๋ยวนะ!” แฟนสาวของหวังตั้นจู่ ๆ ก็ชี้ไปที่หลังของหวังตั้น “มีบางอย่างติดอยู่ที่ไหล่ของนาย!”
“ฉัน?” หวังตั้นเอื้อมมือไปแตะแผ่นหลังตัวเอง และเขาก็พบว่ามีบันทึกผู้ป่วยแผ่นหนึ่งติดอยู่บนหลังเขา ด้านหน้าของบันทึกนั้นพิมพ์รูปขาวดำของผู้ป่วยเอาไว้ และที่ด้านหลังของกระดาษนั้นเขียนด้วยลายมือหวัด ๆ เอาไว้ “หาฉันให้เจอสิ”
“ใครติดนี่เอาไว้บนหลังฉันน่ะ?” หวังตั้นรู้สึกเหมือนเขากลายเป็นเป้าหมายไปในทันที เขารู้ว่านี่ไม่ใช่จางเฟิงและแฟนสาวของเขาทำ พวกเขาไม่มีใครมีปากกามาด้วย และมันก็ชัดเจนว่าคำที่เขียนไว้บนกระดาษนั้นเขียนเอาไว้นานแล้ว
“นายคิดว่าฉันจะทำเรื่องน่าเบื่อนี่เหมือนนายหรือไง?” จางเฟิงเป็นคนแรกที่ยักไหล่ แฟนสาวของหวังตั้นคิดว่านี่ค่อนข้างประหลาด พวกเขาเดินอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มและพวกเขาก็ไม่เห็นใครเดินผ่านไปเลย
“มีอะไรอยู่บนหลังของพวกนายหรือเปล่า?” หวังตั้นมองจางเฟิงและแฟนสาวอย่างตื่นตระหนก และเขาก็พบว่า มีแค่เขาเท่านั้นที่มีกระดาษติดอยู่ที่หลัง “นี่เป็นเพราะว่าฉันเป็นคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้ากลุ่มเหรอ?”
มองกระดาษที่ถืออยู่ ผู้ชายในรูปขาวดำดูเหมือนจะกำลังยิ้มให้เขา เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นที่หน้าผากหวังตั้น เขารู้ว่าความสยองที่แท้จริงของฉากนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้าแล้ว
“นายกำลังทำอะไรน่ะ บ่นตัวเองอยู่เหรอ?” จางเฟิงไม่ได้ซ่อนรอยยิ้มเยาะบนใบหน้า เห็นหวังตั้นมีท่าทีหวาดกลัวเป็นอย่างมาก “กลวิธีเดียวกันใช้กับฉันเป็นครั้งที่สองไม่ได้ผลหรอกนะ”
เหมือนกับเขาเพิ่งเผยความลับยิ่งใหญ่ออกมา เขาเอนตัวไปหาแฟนสาวของหวังตั้นแล้วพูด “คุณเพื่อน แฟนเธอดูเป็นคนน่าสนใจดีนะ พวกเรามาด้วยกันตลอดทาง แต่ไม่ได้เจอใครอื่นเลยสักคน ในเมื่อพวกเราไม่ใช่คนที่ติดกระดาษไว้บนหลังเขา เธอคิดว่าคนร้ายจะเป็นใครไปได้หืม?”
แฟนสาวของหวังตั้นค่อย ๆ ถูกเขาชักนำอย่างช้า ๆ “เขาทำเองเหรอ? นั่นเป็นไปไม่ได้ หวังตั้นเขา…”
“หากไม่ใช่เขา เธอกำลังจะบอกฉันเหรอว่าผีทำ? เขาต้องการใช้เรื่องนี้ทำให้พวกเรากลัวและทำเหมือนเขาไม่กลัว ฉันคงโกรธแล้วแหละถ้าไม่เห็นว่านี่มันน่าเศร้าขนาดไหน”
“ไม่มีทาง เขาไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก… ใช่ไหม?” ด้วยการโน้มน้าวจากจางเฟิง แฟนสาวของหวังตั้นก็เริ่มสงสัยตัวเอง
หวังตั้นถือบันทึกผู้ป่วยเอาไว้ในมือ สองตามองดูรอบ ๆ ตัวอย่างระแวดระวัง เขารู้ว่าอันตรายกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว– บันทึกผู้ป่วยนี่ อันที่จริงแล้วก็คือป้ายมรณะ!
“ในเมื่อพวกเราก็ตกเป็นเป้าหมายแล้ว โยนนี่ทิ้งไปก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรได้” หวังตั้นได้ยินบทสนทนาของสองคนนั้นชัดเจน เขาสูดลมหายใจลึก กัดริมฝีปาก และหันกลับไป เห็นร่องรอยความสงสัยและไม่พอใจในดวงตาของแฟนสาวแล้ว ความรู้สึกตึงเครียดของหวังตั้นก็ผ่อนคลายอย่างช้า ๆ เขาคลายมือที่กำแน่นออกอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักและจากนั้นก็หันไปหาจางเฟิงและพูดอย่างสบายใจ “ได้ ฉันยอมรับว่าเป็นฉันเองที่ติดไอ้นี่ไว้บนหลังตัวเอง”
“แล้วทำไมนายต้องทำอย่างนี้ด้วย? นายไม่ใช่คนแบบนี้ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก” แฟนสาวของหวังตั้นขึ้นเสียง
“ฉันแค่อยากจะพิสูจน์ว่าฉันยังมีด้านดี ๆ อยู่บ้าง ๆ” ม่านตาหวังตั้นสั่นไหว และหลังคอของเขาก็ค่อย ๆ ขนลุกชันลามขึ้นมา แต่เขาก็บังคับให้ตัวเองรักษากริยาเอาไว้ “มีตำนานที่บ้านผีสิงนี่ ถ้าเธอติดอะไรอย่าง ‘หาฉันให้เจอ’ เอาไว้ ก็มีโอกาสที่จะเจอผีจริง ๆ ฉันก็แค่อยากจะพิสูจน์ว่าฉันกล้ามากกว่าพวกเธอ”
“เด็กน้อยไปไหมนั่น ถ้านายอยากจะได้ฟังเรื่องเล่าพื้นบ้าน ฉันมีเล่าให้นายฟังเป็นร้อยเรื่อง” ความรู้สึกเหนือว่าที่จางเฟิงมีต่อหวังตั้นปรากฏชัดขึ้นและยังเพิ่มขึ้น
“ฉันยอมรับว่าฉันอิจฉานาย ฉันไม่หล่อเท่านาย ไม่ได้แต่งตัวดีเท่านาย ครอบครัวของฉันก็ไม่ได้รวยเท่านาย และยังเอาชนะนายไม่ได้ในเกมบาส เทียบกับนายแล้ว ฉันธรรมดาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ดังนั้นฉันก็เลยอยากจะพิสูจน์ว่ามีบางอย่างที่ฉันดีกว่านาย” เสียงของหวังตั้นเริ่มสั่น ในทางเดินที่พวกเขาผ่านมา เขามองเห็นขาสีเทาคู่หนึ่งเดินออกมาจากห้องห้องหนึ่ง
“ดังนั้นนายก็เลยใช้วิธีนี้?” ความรู้สึกภูมิใจในตัวเองของจางเฟิงเหมือนได้รับการเติมเต็ม และมันก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไปอีกเมื่อมันเกิดขึ้นต่อหน้าแฟนสาวของหวังตั้น “ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านักศึกษาแพทย์อย่างนายเชื่อตำนานพื้นบ้านอย่างนั้นด้วย นายไม่รู้หรือไงว่ามันก็แค่เรื่องไร้สาระที่คนไม่มีอะไรจะทำสร้างขึ้นมา?”
“อย่างนั้น นายกล้าลองไหมล่ะ?” หวังตั้นกำลังรอให้จางเฟิงพูดอย่างนี้อยู่ เขารีบขัดขึ้นโดยเร็ว เร็วจนจางเฟิงแทบจะตามไม่ทัน
“อะไรนะ?” จางเฟิงยังคงจมอยู่ในความยินดีของตนเอง ดังนั้นจึงไม่ได้คาดคิดว่าหวังตั้นจะเสนออะไรอย่างนี้ออกมา
“ในเมื่อนายเชื่อว่าตำนานพื้นบ้านพวกนี้นั้นเป็นเรื่องไร้สาระ อย่างนั้นฉันก็แน่ใจว่านายคงไม่ปฏิเสธที่จะลองดู” หวังตั้นพูดขณะย้ายบันทึกผู้ป่วยไปติดไว้ที่แผ่นหลังของจางเฟิง “อันที่จริง ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าบนโลกนี้มีคนที่ดีกว่าฉัน ถึงฉันจะพยายามแค่ไหน ฉันก็อาจจะไม่สามารถไล่ตามคนที่สมบูรณ์แบบอย่างนายได้ทัน”
ถ้อยคำของหวังตั้นทำให้จางเฟิงงุนงง ความหยิ่งทะนงของเขานั้นพึงพอใจ แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“ตอนนี้พอฉันได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฉันก็รู้สึกดีขึ้นมาก ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ฉันสาบานว่าในอนาคตฉันจะดำรงชีวิตอยู่อย่างซื่อสัตย์กว่านี้” หวังตั้นตบหลังจางเฟิงเพื่อให้แน่ใจว่ากระดาษแผ่นนั้นติดอยู่แน่นหนาและจะไม่ปลิวหลุดไป “มาสิ พวกเราสำรวจต่อ และฉันจะเลิกพูดเรื่องผีน่าเบื่อพวกนี้”
หวังตั้นผลักจางเฟิงไปที่ด้านหน้ากลุ่มและเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย “อันที่จริง บ้านผีสิงนี่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พวกเขาพูดกัน พวกเราบอกคนอื่น ๆ อย่างนั้นเพราะแค่ต้องการปิดบังว่าพวกเราขี้กลัวกันขนาดไหน”
จางเฟิงยังคงสับสนอยู่มาก แต่เมื่อหวังตั้นพูดอย่างนั้น เขาก็ไม่รู้สึกกลัวแล้ว “มันไม่น่ากลัวอย่างนั้นจริง ๆ?”
“จริง บ้านผีสิงนี่ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด ตอนที่ฉันมาที่นี่ครั้งสุดท้าย มันน่าเบื่อจนฉันเกือบจะหลับแน่ะ”
ดูเหมือนว่าหวังตั้นจะได้เรียนรู้การแสดงจากบอสของบ้านผีสิงบางแห่งมาบ้าง เพราะว่าความจริงใจบนใบหน้าของเขานั้นไร้ที่ติขณะที่เขาผลักจางเฟิงให้มุ่งหน้าลงบันไดไป