My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 639-647
ตอนที่ 639 คนเลวเต็มไปหมด (1+2)
“เสียงกรีดร้องจากโรงพยาบาล? แต่ประตูเหล็กล็อกเอาไว้ และหน้าต่างรอบ ๆ ยังติดเหล็กดัดกันขโมยเอาไว้ คนที่ด้านนอกเข้าไปไม่ได้หรอก” หมอนั้นกลัวว่าเฉินเกอจะตัดสินใจอะไรบ้า ๆ ลงไป ดังนั้นจึงก้าวเท้าออกไปแล้วพูด “พลังหยินมักจะรวมตัวกันในสถานที่อย่างโรงพยาบาล อย่างไรเสีย มันก็เป็นสถานที่ที่เกิดการตายอยู่ทุกวัน ผมแนะนำให้พวกเราอยู่ให้ไกลจากที่นี่”
“คุณมีเหตุผล” มองโรงพยาบาลแล้ว เฉินเกอก็นึกถึงฉากโรงพยาบาลระดับสี่ดาวในจิ่วเจียงตะวันออก และจากประสบการณ์ก่อนหน้าของเขาแล้ว โรงพยาบาลนั้นไม่ใช่สถานที่ที่มีชีวิตชีวาเลยจริง ๆ “งั้น พวกเราค่อยกลับมาทีหลัง พวกเราไปที่อื่นกันก่อน อันที่จริง ผมค่อนข้างสนใจหมาหน้ายิ้มนั่นนะ”
“นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเราควรไปที่นั่น! คุณไม่ได้ยินที่ผมพูดก่อนหน้านี้เหรอ? คุณคิดว่าผมพูดเล่นหรือไง? คุณไม่รู้หรอกว่าผมผ่านอะไรมาบ้าง!” ชายขี้เมาดิ้น และผลักเฉินเกอออกไป “ฟังผมนะ อย่าไปที่นั่น ถ้าไปเจอกับหมาหน้าคนนั่นมันก็สายเกินกว่าจะเสียใจแล้ว!”
“มันเป็นหมาที่มีใบหน้าแบบหน้าคนหรือว่าเป็นคนกันแน่? คุณอธิบายละเอียดกว่านี้ได้ไหมว่าเขาดูเป็นยังไง?”
เห็นได้ชัดเจนว่าเฉินเกอนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่ชายขี้เมาพยายามจะสื่อ และนี่ก็ทำให้ชายขี้เมากระทืบเท้ากับพื้นอย่างโกรธเกรี้ยว “แค่กลับไปที่รถเมล์ก็พอไหม ที่นี่ไม่ปลอดภัย ทุก ๆ ตึกที่นี่มีผีซ่อนอยู่ ผมไม่ได้โกหกคุณ!”
“ผมรู้ว่าคุณไม่ได้โกหก” เฉินเกอกำลังจะพูดบางอย่างตอนที่มีเสียงลั่นขึ้นขัดจังหวะเขา มันเหมือนมีคนทำของบางอย่างตกพื้นใกล้ ๆ กับพวกเขา
“คนที่ในโรงพยาบาลเจอพวกเราแล้ว!” ชายขี้เมาสะดุ้งตัวโยนทันทีและหน้าอกของเขาก็กระเพื่อมอย่างรุนแรง– ปฏิกริยาของเขานั้นเทียบได้กับแมวบ้านที่ตกใจกลัว “พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ทันที!”
“ใจเย็น ยิ่งพวกเราอยู่ใกล้กับอันตรายเท่าไหร่ พวกเราก็ยิ่งต้องไม่ตื่นตระหนก” เฉินเกอเดินตรงไปยังแหล่งที่มาของเสียง หมอตามหลังเขาไปติด ๆ ชายขี้เมานั้นไม่กล้าพอที่จะอยู่ที่นั่นคนเดียว ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงตามไปพร้อมกับสีหน้าไม่ยินยอมนัก เดินฝ่าหมอกไป เฉินเกอก็ไปหยุดที่อีกฟากของโรงพยาบาล และเขาก็เห็นกรรไกรชุ่มเลือดเล่มหนึ่งนอนอยู่บนพื้น
“นี่ไม่ใช่อาวุธของชายคนนั้นเหรอ? ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” เฉินเกอมองขึ้นไปบนตึกด้วยดวงตาหยินหยาง แผ่นไม้กระดานของหน้าต่างบานหนึ่งที่ชั้นสามนั้นกำลังสั่น “เขาหลบอยู่ในโรงพยาบาลเหรอ? แต่ทำไมเขาถึงโยนกรรไกรทิ้งออกมาล่ะ? ไม่ใช่ว่านี่เป็นอาวุธของเขาเหรอ? ต่อให้จะขอความช่วยเหลือ มันก็ควรจะโยนอย่างอื่นออกมามากกว่าหรือเปล่า?”
เฉินเกองุนงงกับการกระทำของมือกรรไกร เขาเก็บกรรไกรเอาไว้ให้ตัวเองและกลับไปที่ประตูหน้าของโรงพยาบาล
“รีบไปก่อนที่มันจะสายเกินไปเถอะ ผมไม่อยากติดอยู่ที่นี่” ชายขี้เมาเบียดตัวเข้าไปที่หน้าประตู “ก่อนหน้านี้ ผมลืมบอกพวกคุณเกี่ยวกับผีอีกตนที่ผมเจอ กระทั่งบนถนนที่นี่ก็ไม่ปลอดภัย ตอนที่คุณข้ามแยก จะมีผีตนหนึ่งโบกมือให้คุณ มันจะตามคุณไป แล้วยังเลียนแบบใบหน้าของคุณ พอมันปรากฏตัวขึ้น คุณก็จะเห็นว่าคุณดูเป็นอย่างไรตอนที่ตายแล้ว”
ชายขี้เมาพยายามเกลี้ยกล่อมให้เฉินเกอเปลี่ยนใจ แต่มันก็ไม่ได้ผลเลยแถมเฉินเกอยังพยายามเขย่าประตูเหล็กของโรงพยาบาลด้วย
“เขากำลังทำอะไรน่ะ?” ชายขี้เมาแตะแขนหมอ
“บางที เขาอาจจะอยากดูว่าประตูเหล็กน่ะมั่นคงพอให้กักพวกผีเอาไว้ในโรงพยาบาลไหม” หมอเดาพร้อมกับยิ้มแหย เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เฉินเกอกำลังทำ
“เดี๋ยวนะ พวกคุณยังคิดว่าผมยังเมาอยู่ใช่ไหม? คุณคิดว่าสิ่งที่ผมเห็นก่อนหน้านั้นเป็นส่วนหนึ่งของจินตนาการจากความเมาของผมใช่ไหม?” ชายขี้เมาคว้าไหล่หมอเอาไว้ด้วยสองมือ “ผมไม่ได้โกหกคุณ ผมสาบาน! เชื่อผมนะ! ผมพยายามช่วยคุณ! ทุกตึกที่นี่มันเป็นที่อยู่ของผีอย่างน้อยก็หนึ่งตนนะ!”
อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน เขาหันไปหาเฉินเกอและพยายามดึงเฉินเกอออกมา “อยู่ให้ห่างจากประตูนั่น! คุณจะถูกดึงเข้าไปถ้าอยู่ใกล้เกินไป!”
ชายขี้เมาเพิ่งพูดจบตอนที่เขาเห็นชายหนุ่มที่ดูราวกับพระอาทิตย์ดึงค้อนอันใหญ่หน้าตาน่ากลัวออกมาจากกระเป๋าสะพายหลัง ดวงตาสี่ข้างสบกัน และเปลือกตาของชายขี้เมาก็กระตุก
“คุณเล่าที่เหลือให้ผมฟังได้หลังจากที่พวกเราเข้าไปในนี้แล้ว” เฉินเกอยกค้อนขึ้นสูงแล้วกระแทกมันเข้ากับแม่กุญแจที่ล็อกเอาไว้
ปัง!
เพราะความหนาหนักของหมอกสีเลือด เสียงจึงไม่ก้องไปไกลนัก ทุบที่เดิมอีกสามครั้ง ในที่สุดเฉินเกอก็ทำลายล็อกได้ “อยู่ใกล้ ๆ ผมเอาไว้ ถ้าคุณอยู่ห่างเกินไป ผมก็ไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของคุณได้”
ตอนที่หมอได้ยินเฉินเกอพูดอย่างนั้น เขาก็เริ่มตามไปอย่างไม่ลังเล
“เฮ้! เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ทำไมคุณถึงแบกค้อนนั่นมาด้วยในเมื่อแค่จะขึ้นรถเมล์?” ชายขี้เมามือจับอยู่ที่ไหล่หมอ ”พวกคุณสองคนเคยมาที่นี่มาก่อนเหรอ?”
“เขาเคยสร้างเครื่องประกอบฉากให้กับสวนสนุก ดังนั้นมันก็ปกติแล้วที่เขาจะมีค้อนอยู่กับตัวไหม?” หมอพูดข้ออ้างที่เฉินเกอบอกเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้ให้ชายขี้เมาฟังเร็ว ๆ
“คนทำอุปกรณ์ประกอบฉาก?” ตอนที่ชายขี้เมาพยายามเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างค้อนกับสวนสนุก เฉินเกอและหมอก็เข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว “เฮ้ รอผมด้วย!”
ยืนอยู่ที่ประตูชั้นล่าง เฉินเกอก็เปิดเครื่องเล่นเทป ถือกระเป๋าทั้งสองใบไว้ในมือข้างหนึ่ง และถือค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกเอาไว้ในมืออีกข้าง ขอบคมของค้อนทำให้เกิดเสียงน่าขนลุกเมื่อมันถูกลากไปตามพื้นโรงพยาบาล เฉินเกอหรี่ตาเพื่อมองให้ชัดขณะจ้องไปตามทางเดินด้านซ้าย
“คุณเจออะไรไหม?” หมอดูเหมือนจะรู้ว่าที่นั่นอันตรายมากและพยายามติดหนึบกับเฉินเกอเอาไว้
“ไม่นานนี้มีคนเข้ามาในโรงพยาบาลนี่” เฉินเกอชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น “เพราะฝนตกหนักก่อนหน้านี้ ผู้โดยสารส่วนใหญ่บนรถเมล์ของเราล้วนตัวเปียก ดังนั้น รอยเท้าเหล่านี้น่าจะเป็นพวกเขาทิ้งเอาไว้ แล้วคุณดูที่ขนาดกับรูปร่างของรอยเท้าเหล่านี้สิ รอยใหญ่สี่รอยเล็กหนึ่ง ดังนั้น พวกเขาน่าจะเป็นครอบครัวสามคนกับคนบ้าที่เรียกตัวเองว่ามือกรรไกร”
การสังเกตของเฉินเกอนั้นถูกต้องและแม่นยำ “รอยเท้าทั้งหมดชี้ไปทางด้านซ้าย ดังนั้นพวกเขาก็น่าจะเข้าไปในทางเดินด้านซ้าย”
“พระเจ้า! คุณนี่สายตาดีสุดยอดไปเลย! คุณมองเห็นมันชัดเจนขนาดนั้นทั้งที่ในนี้มันมืดสนิทเลยนะ?” ชายขี้เมาตอนนี้ประทับใจในตัวเฉินเกอมาก
“ตามผมมา” เฉินเกอเข้าไปในทางเดินด้านซ้าย เขาวางเจ้าแมวขาวเอาไว้บนไหล่ และดึงเอาโทรศัพท์ของเขาออกมาเปิดใช้ไฟฉาย “มีห้องพักผู้ป่วยเรียงรายอยู่สองด้านของทางเดิน ประตูถูกแง้มเปิดเอาไว้ ดังนั้นผมสงสัยว่ามีบางอย่างออกมาจากในนั้นตอนไหนก็ได้ ระวังทุกอย่างเอาไว้นะ”
“พี่ชาย อย่าทำให้ผมกลัวสิ”
“ผมไม่ได้พยายามหลอกให้คุณกลัวผมแค่กำลังบอกความจริงคุณ” เฉินเกอก้มตัวลงไปอีก “มาดูรอยเท้าพวกนี้สิ ตอนต้นทางเดิน รอยเท้าพวกนี้มีระยะห่างสม่ำเสมอ แต่หลังจากผ่านห้องพักผู้ป่วยสามและสี่ รอยเท้าก็เริ่มทับซ้อนกันและยังดูวุ่นวาย นี่หมายความมีบางอย่างที่ไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้นกับพวกเขาตอนที่พวกเขาผ่านห้องพักผู้ป่วยที่สามและสี่ พวกเขาน่าจะหยุดอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่ง”
“พูดอีกอย่างหนึ่ง คุณพยายามจะบอกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในห้องพักผู้ป่วยที่สามหรือสี่?” หมอจับความตั้งใจของเฉินเกอได้ในทันที
“มีความเป็นได้สูงมาก แต่นั่นก็ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้อื่นออกไป แค่ต้องระวังมากขึ้นตอนที่พวกคุณเดินผ่านห้องพักผู้ป่วยสองห้องนั้น” เฉินเกอมองไปยังประตูสองบานที่เปิดแง้มเอาไว้ ผ่านช่องว่างมืด ๆ นั่นให้ความรู้สึกเหมือนมีปิศาจน่ากลัวจะโผล่หัวออกมาเมื่อไหร่ก็ได้
“พยายามรักษาระยะให้แน่ใจว่าไม่ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง” เฉินเกอลากค้อนเดินไปตามทางเดิน ที่นี่นั้นเงียบอย่างน่ากลัว เมื่อพวกเขาผ่านห้องพักผู้ป่วยห้องแรกและห้องที่สอง เฉินเกอก็ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรที่ผิดปกติ แต่ว่า ตอนที่พวกเขาเข้าใกล้ห้องพักผู้ป่วยห้องที่สาม เจ้าแมวขาวบนไหล่ของเขาร้องเหมียวและขดตัวหลบที่ด้านหลังคอเขา
แทบจะในเวลาเดียวกับที่เจ้าแมวขาวเตือนเขา เฉินเกอก็ยกค้อนในมือขึ้นและเหวี่ยงไปที่ประตูที่แง้มอยู่ของห้องพักผู้ป่วยสามอย่างไม่ลังเล ประตูเหวี่ยงอย่างแรงจากแรงกระแทกและกระแทกเข้ากับผนัง
ปัง!
มันเผยให้เห็นเงาร่างหนึ่งซึ่งเดิมซ่อนอยู่ด้านหลังประตู เงานั่นสวมชุดผู้ป่วยอยู่ เขามีผิวซีดเป็นสีเทา และภายใต้ผมด้านหน้าที่ยุ่งเหยิงนั้นเป็นดวงตานิ่งงันคู่หนึ่ง เขาตัวแข็งอยู่กับที่ถือประวัติผู้ป่วยของใครสักคนเอาไว้ในมือ ลายมือไก่เขี่ยบนนั้นอ่านได้ว่า ‘หาฉันให้เจอสิ’
“ทำไมถึงมาซ่อนอยู่ตรงนี้? พยายามจะเล่นเกมกับฉันใช่ไหม?” เฉินเกอเผยรอยยิ้มสนใจ เขากำลังต้องการเกมต่าง ๆ มาเพิ่มความสนุกของบ้านผีสิงของเขาเพื่อดึงดูดผู้เข้าชมมากขึ้น
ผู้ป่วยที่ด้านหลังประตูดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่าง เขาต้องการโยนประวัติผู้ป่วยที่ในมือทิ้ง แต่ว่าเฉินเกอไม่ให้โอกาสเขา เขาพุ่งเข้าไปในห้องและเพื่อป้องกันไม่ให้หมอและชายขี้เมาเห็นว่าเขากำลังจะทำอะไร เขายังปิดประตูลงหลังจากผ่านประตูเข้าไป
หมอและชายขี้เมาตัวแข็งทื่ออยู่ในทางเดินและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ความสนใจของพวกเขานั้นถูกเสียงดังลั่นตอนที่ค้อนกระแทกเข้ากับประตูดึงไป
“เขาไปไหนแล้ว?”
“ผมไม่รู้ ผมคิดว่าเขาถูกลากเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย?”
“คุณแน่ใจไหม? ทำไมมันดูเหมือนเขาพุ่งเข้าไปในนั้นด้วยตัวเองล่ะ?”
เสียงแทรกดังมาจากในห้องพักผู้ป่วย และสิบวินาทีให้หลัง เฉินเกอก็เดินออกมาจากห้องพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจ ถือหนังสือการ์ตูนเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ
“โรงพยาบาลนี่อันตรายทีเดียว พวกคุณต้องระวังนะ” เฉินเกอเก็บหนังสือการ์ตูนลงไปและเดินลึกเข้าไปในทางเดินคนเดียว พึมพำบางอย่างที่ทั้งหมอและชายขี้เมาไม่เข้าใจ “งั้น ก็เกมเล่นซ่อนหา? น่าสนใจทีเดียว เอาละ ฉันรับการท้าทายของพวกแก ฉันจะหาพวกแกทั้งหมดให้เจอ!”
ทั้งกลุ่มหยุดเดินเมื่อมาถึงชั้นสอง พื้นที่ตรงหน้าห้องพักผู้ป่วยห้องแรกตรงที่พวกเขาเลี้ยวออกมาจากช่องบันไดนั้นมีเลือดสด ๆ สาดกระจายอยู่ กระทั่งสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมยังดูไม่นองเลือดขนาดนี้
หมอขมวดคิ้ว เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง และเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเมื่อมอง ชายขี้เมานั้นตรงกันข้าม เขายกมือปิดปากเพราะว่าเขาเริ่มขย้อนอากาศออกมา
“ผีที่ในโรงพยาบาลนี่แค่ชอบเล่นเกมเท่านั้น และพวกเขาปกติก็ไม่ทำร้ายผู้คน แล้วทำไมถึงมีเลือดอยู่ในทางเดินเยอะขนาดนี้?” เฉินเกอย่อตัวลงมองรอยเลือด เขาดูเหมือนกับหมอนิติเวชที่เปี่ยมประสบการณ์สักคนทีเดียว “รอยเลือดสาดดูไม่เป็นรูปแบบเดียวกัน และยังมีเลือดมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่มีทางสร้างสถานที่เกิดเหตุเช่นนี้ได้”
เฉินเกอใช้นิ้วก้อยแตะเลือด และเขาก็ยกขึ้นมาดมหลังจากถูปลายนิ้วดูแล้ว “นี่ไม่เหมือนกลิ่นเลือดคน”
ตอนที่เขาพูดอย่างนั้น หมอและชายขี้เมาที่ด้านหลังเขาผงะจากความกลัว ความคุ้นเคยกับเลือดคนแบบไหนกันที่ทำให้คนผู้หนึ่งสามารถแยกแยะได้ทันทีแบบนี้?
เฉินเกอลากค้อนเดินผ่านแอ่งเลือดไปอย่างเป็นธรรมชาติมาก ๆ “ไม่ต้องกลัว นี่น่าจะเป็นใครสักคนทำขึ้น ผมมักจะทำอะไรแบบนี้ในบ้านผีสิงเหมือนกัน”
มองแผ่นหลังของเขาแล้ว ชายขี้เมาและหมอก็เริ่มลังเลที่จะตามเขาไป
“มีรอยเท้าปะปนอยู่ในแอ่งเลือด และพวกมันก็ดูคล้ายกับรอยเท้าหนึ่งที่ทางเข้าโรงพยาบาล นี่หมายความว่าหนึ่งในผู้โดยสารจากรถเมล์เคยมาที่นี่มาก่อน” เฉินเกอมองไปยังรอยเท้าเลือดที่บนบันได และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสงสัย “มันเหมือนว่าเขาจงใจทิ้งรอยนี่เอาไว้ รอให้พวกเราตามรอยไปเจอเขา นี่จะมีกับดักรอพวกเราอยู่หรือเปล่าเพราะว่ารอยมันชัดขนาดนี้ หรืออาจจะเป็นบางคนสละรองเท้ามาวางกับดักพวกเรา?”
เฉินเกอนั้นใจเย็นมาก หลังจากให้ความเห็นแล้วเขาก็ตัดสินใจตามรอยเท้าขึ้นไปที่ชั้นสาม หลังจากรอยเท้าขึ้นไปที่ชั้นสาม พวกมันก็มุ่งหน้ายังห้องน้ำ รอยเท้านั้นมีแนวเดียว– เข้าไปแต่ไม่ได้กลับออกมา หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง คนโง่แค่ไหนก็บอกได้ว่าเจ้าของรอยเท้าน่าจะยังแอบอยู่ในห้องน้ำ
“นี่มันชัดเจนเกินไป ผมสงสัยว่านี่จะเป็นกับดักจริง ๆ พวกคุณสองคนควรจะรออยู่ที่ด้านนอกนี่” เฉินเกอกำค้อนแล้วเข้าไปในห้องน้ำชั้นสามคนเดียว เขากระแทกประตูห้องส้วมสองสามห้องแรกเปิด แต่ว่าในนั้นไม่มีอะไร
“รอยเท้าหายเข้าไปในห้องส้วมสุดท้าย และกรรไกรก็ร่วงลงไปจากห้องน้ำชั้นสาม” เฉินเกอนั้นตื่นตัวอย่างมาก เขาไม่ได้พังประตูห้องส้วมสุดท้ายเข้าไปแต่ว่าปีนขึ้นกำแพงห้องส้วมข้าง ๆ และแอบมองเข้าไปข้างใน
มือกรรไกร ที่เต็มไปด้วยเลือด กำกระเป๋าเก่า ๆ เอาไว้แน่น เขาล้มอยู่ในห้องส้วมสุดท้าย มือของเขากดแน่นอยู่กับปากและจมูก กลัวว่าจะส่งเสียงอะไรออกไป ชายตรงหน้าเฉินเกอนั้นต่างไปจากมือกรรไกรที่เขาพบบนรถเมล์
“ความกล้าหาญของชายคนนี้น้อยกว่าที่คิดเอาไว้ แต่เขากลับกล้ามาที่เมืองหลี่ว่านเพื่อพี่ชายของเขา ถ้าได้รับการฝึกฝนเพียงพอ เขาน่าจะใช้การได้ดีทีเดียว” ดวงตาเฉินเกอมีแววชื่นชมพาดผ่าน เขาถอยออกมาจากกำแพงช้า ๆ และออกจากห้องส้วมมา เขาไม่ได้รุกเข้าหามือกรรไกร แต่ว่าเคาะบนประตูห้องส้วมห้องสุดท้ายเบา ๆ “มีใครอยู่ในนี้ไหม? ผมเป็นผู้โดยสารจากรถเมล์ และผมเห็นกรรไกรเล่มหนึ่งหล่นลงไปจากหน้าต่างเมื่อกี้นี้ ดังนั้นจึงมาดูว่ามีใครอยู่ที่นี่ไหม”
ตอนที่เสียงคุ้น ๆ ดังเข้าไปในห้องส้วม สำหรับมือกรรไกรที่คิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว เสียงนั่นก็ราวกับแสงแรกแห่งฤดูใบไม้ผลิ ขับไล่หมอกและละลายแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็ง
มีเสียงประหลาดดังมาจากในห้องส้วม และเฉินเกอก็รู้ว่ามือกรรไกรนั้นกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองและปรับ ‘ท่าทาง’ เขาไม่ขัดชายคนนั้น “คุณเป็นผู้โดยสารเหมือนกันใช่ไหม ผมขอโทษที่รบกวนคุณในเวลาแบบนี้”
เฉินเกอเดินถอยหลังไป ตั้งใจให้มือกรรไกรได้ยินว่าเขาถอยออกไปแล้ว ครู่ต่อมา ประตูก็ถูกผลักเปิด และน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ก็ดังมาจากข้างใน “แกหาฉันเจอแล้วเหรอ?”
มือกรรไกรชุ่มเลือดเดินออกมาจากห้องส้วม เขาสวมรอยยิ้มบ้าคลั่งเอาไว้บนใบหน้าไร้อารมณ์ เขายังคงพฤติกรรมแลบลิ้นเลียแผลที่บนแก้มถึงแม้ว่าแทบจะกดความเจ็บปวดที่มาจากแผลไว้ไม่ไหวแล้ว “พวกเราออกไปจากที่นี่กันดีกว่า มีสิ่งประหลาดมากมายอยู่ในโรงพยาบาลนี่ แกน่าจะเห็นเลือดที่สาดอยู่บนพื้นชั้นสองแล้วใช่ไหม? นั่นเป็นผลงานฉันเองตอนที่ฝ่าฝูงพวกผีที่ล้อมฉันเอาไว้เปิดทางโลหิตสายหนึ่ง”
ดวงตาของเขากลอกไปมาอย่างโกรธจัด สีหน้าของเขาน่ากลัว เฉินเกอมองมือกรรไกรตรงหน้า และเขาก็แทบจะโยงชายคนนี้เข้ากับดวงวิญญาณน้อย ๆ ที่อ่อนแอและสิ้นหวังที่เขาเห็นในห้องส้วมก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย
“หยุดจ้องตาฉันได้แล้ว มันอันตรายมาก” มือกรรไกรคว้ากระเป๋าด้วยมือหนึ่งแล้วหัวเราะเหี้ยมออกมา บางทีคงเพราะว่าเขานั่งยอง ๆ อยู่นานเกินไปที่ในห้องส้วมนั่น ขาของเขาอ่อนยวบราวกับเส้นหมี่ และมันก็ทำให้เขาเดินกะเผลก
“ผมเข้าใจ พวกเราออกไปจากที่นี่ดีกว่า” เฉินเกอไม่ได้เดินเข้าไปช่วยพยุงมือกรรไกร ‘ฆาตกร’ ล้วนเป็นหมาป่าเดียวดาย และหมาป่าเดียวดายย่อมไม่ต้องการความช่วยเหลือ “นี่ กรรไกรของคุณ ผมเจอมันอยู่ด้านนอกโรงพยาบาล”
รับอาวุธของตัวเองกลับไปแล้วสายตาของมือกรรไกรก็คมกริบยิ่งกว่าเดิม “ดีมาก หากไม่เพราะผีร้ายพวกนั้นทำให้ฉันเสียกรรไกรของฉันไประหว่างการต่อสู้สุดท้าย พวกมันก็คงได้เสียใจไปแล้วที่มาเจอฉันเข้า”
“เข้าใจแล้ว ผมเชื่อคุณ” เฉินเกอลากค้อนเดินออกไปจากห้องน้ำ มันเสียดสีกับพื้นเกิดเสียงที่ทำให้สันหลังเย็นวาบ “อันที่จริง พวกเราก็ไม่ได้ต่างกันนัก พวกเราทั้งคู่ล้วนมีอดีตที่ไม่ต้องการพูดถึง และผมเองก็มาที่นี่เพื่อตามหาคนสองคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม”
ตอนที่ 640 ความลับของโรงพยาบาล
คำพูดของเฉินเกอนั้นสะเทือนถึงมือกรรไกรอย่างรุนแรง เขาเติบโตขึ้นมาในบ้านเด็กกำพร้า เขาเป็นคนโดดเดี่ยวที่ชอบอยู่กับตัวเอง และเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขาเคยมีก็คือพี่ชายของเขา ตอนที่เขาถูกรังแก ตอนที่เขาได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ตอนที่เขาไม่สามารถค้นหาความหมายของการมีชีวิต ติดอยู่ในวังวนอันเจ็บปวดและสิ้นหวัง ก็เป็นพี่ชายของเขาที่ก้าวเข้ามาส่งมือให้กับเขา ปกป้องเขาจากความโหดร้ายของชีวิต
สำหรับมือกรรไกรแล้ว พี่ชายของเขานั้นเป็นคนพิเศษที่สุดในชีวิตของเขา และมันก็เพราะข้อมูลที่พวกเขาแบ่งปันกัน ที่หลังจากพี่ชายของเขาหายตัวไป มือกรรไกรถึงไม่หยุดตามหา
มองเฉินเกอที่เดินไปไกลแล้ว มือกรรไกรก็นึกถึงที่เฉินเกอปรากฏตัวขึ้นมาตอนที่เขาถูกบีบให้จนมุมโดยสิ่งเหล่านั้นที่ในโรงพยาบาล ตอนที่เขากำลังจะยอมแพ้แล้ว น้ำเสียงอบอุ่นและเมตตานั่นดึงเขากลับจากนรกสู่สรวงสวรรค์ อารมณ์เหวี่ยงขึ้นลงราวกับเล่นรถไฟเหาะ ถึงแม้ว่ามือกรรไกรจะไม่ได้พูดมันออกมา ข้างในนั้น หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
เพราะรูปลักษณ์ท่าทีภายนอกที่เขาต้องรักษาเอาไว้ เขาจึงไม่สามารถขอบคุณเฉินเกอได้อย่างเปิดเผย แต่เขาสัญญากับตัวเองว่าหากเขารอดไปจากเรื่องนี้ได้ เขาจะทำอะไรก็ได้เพื่อทดแทนน้ำใจนี้
คนที่ภายนอกดูเมินเฉยมักจะมีหัวใจเร่าร้อน แต่ความอบอุ่นของพวกเขานั้นปกติแล้วจะเก็บเอาไว้ใต้ชั้นน้ำแข็งหนา มีเพียงเมื่อน้ำแข็งพวกนั้นแตกออก พวกเขาถึงได้เผยอารมณ์ที่แท้จริงออกมา
เลียแผลบนใบหน้าตัวเองเบา ๆ มือกรรไกรหันไปถุยเลือดสุนัขดำที่อยู่บนริมฝีปากของตัวเองทิ้ง เขาหลังเฉินเกอไป และครู่หนึ่งเขาเหมือนเห็นเงาของพี่ชายของเขาทับซ้อนกับผู้ช่วยชีวิตเขาคนนี้
ฉันต้องใจเย็นเข้าไว้ เขาอาจจะเป็นฆาตกรตัวจริง มันจะดีกว่าถ้าฉันไม่อยู่ใกล้เขาให้เกินไปนัก แต่ฉันต้องอยู่ใกล้พอที่จะยื่นมือเข้าช่วยเวลาเขาลำบาก
ความประทับใจในตัวเฉินเกอของมือกรรไกรนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาเดินตามหลังเฉินเกอไปเงียบ ๆ
เมื่อพบว่ามือกรรไกรกลายเป็นจริงใจกว่าเดิม ริมฝีปากของเฉินเกอก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม จากมุมมองของเขา มือกรรไกรนั้นมีความสามารถอันยากจะพานพบ ถึงแม้ว่าความจริงแล้วเขาจะค่อนข้างตาขาวแต่นั่นก็ไม่เป็นไร– สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขามีความกล้าและมุ่งมั่นในการทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรเป็น
เฉินเกอหันหน้าไปถามมือกรรไกร “แล้วก็ ผมเห็นรอยเท้าหลายแบบที่ชั้นล่าง นอกจากคุณแล้ว มีผู้โดยสารคนอื่นถูกกักเอาไว้ในโรงพยาบาลนี้ด้วย คุณเห็นพวกเขาบ้างไหม?”
“ฉันมาที่นี่คนเดียว” มือกรรไกรงึมงำในใจ รอยเท้านั่นมันอะไรกัน?
ตอนที่เขาเข้ามาในโรงพยาบาล เขาไม่ได้สังเกตอะไรทั้งนั้น แต่ในเมื่อเฉินเกอพูดถึง เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง เขาก็ทำได้แค่ไหลตามบทสนทนาไป “ฉันก็เห็นรอยเท้าที่แกพูดถึงอยู่เหมือนกัน… ใช่ ถ้าฉันจำไม่ผิด ตอนที่ฉันสู้กับพวกผีติดพันอยู่ที่ชั้นสาม ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าก้องมาจากทางเดินหนีไฟชั้นสอง ดังนั้น พวกเขาก็น่าจะวิ่งไปทางนั้นก่อนหน้านี้”
เฉินเกอพยักหน้าขณะมองไปยังมือกรรไกร มองสำรวจเขาเร็ว ๆ
“แกมองอะไร?” มือกรรไกรตัวสั่นเมื่อถูกเฉินเกอจ้องอย่างจริงจัง
“รองเท้าส้นสูงคู่นั้นที่บนรถเมล์หายไปแล้ว ผมจำได้ชัดเจนว่าเวลาคุณเดินจะมีเสียงก้องของฝีเท้าสองคู่ ดังนั้นเจ้าสิ่งนั้นน่าจะตามคุณอยู่” อีกเหตุผลที่เฉินเกอประเมินมือกรรไกรไว้สูงก็เพราะรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้น กระทั่งชายหน้ายิ้มยังระแวดระวังรองเท้าคู่นั้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่ามันอย่างน้อยที่สุดก็เป็นวิญญาณสีเลือด
“ตอนที่ฉันเข้าไปในทางเดินด้านซ้าย เสียงนั่นก็หายไป เธอน่าจะสัมผัสได้ถึงอันตรายและหนีไป” มือกรรไกรยกกรรไกรในมือขึ้นมา มองไปยังด้านคมของมัน “เห็นได้ชัดว่าเธอกลัว เธอขี้ขลาด หวาดกลัวตัวตนอย่างฉัน”
เฉินเกออยากจะพุ่งเข้าไปเอามือปิดปากมือกรรไกร การสวมบทบาทของคนผู้นี้น่าจะมีขีดจำกัดบ้างนะ ถ้าคำพูดของเขานั้นได้ยินไปถึงหูรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้น เขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่าตัวเองตายยังไง
“เอาละ ถ้าอย่างนั้นก็คิดเสียว่าผมไม่ได้ถามคำถามนั้นแล้วกัน ไปหาผู้โดยสารคนอื่น ๆ กันก่อน” เฉินเกอนำมือกรรไกรออกจากห้องน้ำ ชายขี้เมาและหมอกำลังรอพวกเขาอยู่ที่ในทางเดิน ตอนที่พวกเขาสองคนเห็นมือกรรไกรที่เต็มไปด้วยเลือด พวกเขาก็กลัวมากจนไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้คนที่ถูกสงสัยว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องคนนี้แม้แต่ก้าวเดียว ในสายตาพวกเขา ทั้งตัวของมือกรรไกรนั้นเข้ากันได้พอดีกับสิ่งที่ฆาตกรน่าจะเป็นในความคิดของพวกเขาเป๊ะ เขาเต็มไปด้วยเลือด และยังมีรอยยิ้มบ้าคลั่งอยู่บนใบหน้า เขายังชื่นชมในความเจ็บปวดเหมือนว่ามีเพียงแค่ความเจ็บปวดและการฆ่าเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความสุขในชีวิต
“บางครั้งมันก็รู้สึกเหมือนว่าผมตกลงมาในฝูงหมาป่า” ชายขี้เมายืนอยู่ที่รอบนอกของกลุ่มคนเดียว ใบหน้าของเขาซีดขาวและจ้องมองไปยังรอยเลือดใต้เท้าตัวเอง เขารู้สึกอยากจะอาเจียน ท่ามกลางทุกคนที่เขาพบเจอ ตัวเขาเองเป็นเพียงคนเดียวที่ดูเป็นคนธรรมดา
“คุณสู้กับปิศาจพวกนั้นคนเดียวมานาน– คุณน่าจะเปลืองแรงไปมาก ปล่อยงานเก็บกวาดให้ผมทำแล้วกัน” เฉินเกอนั้นช่วยหาข้ออ้างให้กับมือกรรไกรอย่างใจดีก่อนที่เขาจะเริ่มสำรวจห้องทีละห้อง
โรงพยาบาลนี้มีแค่สามชั้น มันไม่ใหญ่ แต่ในเมื่อเฉินเกอสำรวจอย่างละเอียด พวกเขาจึงใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมงกว่าจะดูทั่ว พวกเขาพบรอยเท้าของครอบครัวสามคนกับรองเท้าของเด็กชายคู่หนึ่งที่ทางเดินหนีไฟชั้นสอง รอยเท้านั้นมุ่งลงไปตามทางเดินหนีไฟ มุ่งหน้าไปยังอีกด้านของโรงพยาบาล
ครอบครัวสามคนก็มาเจอเข้ากับกลุ่มของเฉินเกอ ตอนที่เฉินเกอพังประตูเข้าไป พวกเขาก็ลงจากบันไดที่อีกด้านของโรงพยาบาลแล้วหนีออกไป
“คนพวกนี้นี่มันอะไรกัน พวกเรามาช่วยพวกเขา แต่พวกเขากลับวิ่งหนีไปโดยไม่ทิ้งข้อความให้พวกเราด้วยซ้ำ พวกเขาสนใจแต่ตัวเอง ทำไมถึงเห็นแก่ตัวแบบนี้เนี่ย?” ชายขี้เมาเอาตัวเองไปแทนที่เฉินเกอ เขารู้สึกว่าถ้าเขาเป็นเฉินเกอ เขาคงไม่วุ่นวายกับคนแบบนี้
“มันก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เลือกหนีเมื่อเผชิญหน้ากับความกลัว”
“คุณใจกว้างกับเรื่องพวกนี้เนาะ” ชายขี้เมาคิดว่าเฉินเกอนั้นเป็นพวกมองโลกในแง่ดี จากที่พวกเขาได้พูดคุยกันมาเขาพบว่าเฉินเกอนั้นเป็นชายหนุ่มที่ดีงามไม่มีความโหดร้ายในจิตใจ “ในเมื่อคนที่พวกเราจะมาช่วยก็กลับออกไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะออกไปจากที่นี่บ้างแล้วเหมือนกันไหม?”
“ไม่ต้องรีบ พวกเราเดินรอบโรงพยาบาลไปรอบหนึ่งแล้ว และมีสามที่ที่พวกเราต้องให้ความสนใจ” เฉินเกอยืนอยู่กับที่แล้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในห้องแรกทางซ้ายหลังจากเลี้ยวขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง มีบันทึกเล่มหนึ่ง มันบันทึกไว้ว่าคนไข้คนหนึ่งถูกผีที่ในโรงพยาบาลนี้บีบคั้นจนแทบจะวิกลจริตไปก่อนที่จะกลายเป็นผีไปเอง นั่นน่าจะไม่ใช่แค่กรณีเดียว”
แน่นอนว่าเฉินเกอย่อมรู้ว่านั่นไม่ใช่แค่เคสเดียว วิญญาณน่าสงสารดวงนั้นที่ขาถูกเข้าเฝือกไว้ และดวงตายังถูกแทงบอดตอนนี้นั้นอยู่ในหนังสือการ์ตูนของเอี๋ยนต้าเหนียนแล้ว ด้วยการนำทางของมือกรรไกร เขาพุ่งไปยังตู้เสื้อผ้าทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย และมันก็ไม่ได้ใช้เวลานานที่เฉินเกอจะพบดวงวิญญาณนั้นสิงอยู่ในสมุดบันทึก
“แต่นั่นมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราล่ะ?” ชายขี้เมานั้นมีความรู้สึกไม่ดีกับโรงพยาบาลนี้ มันเหมือนกับว่ามีอันตรายมากกว่าที่ ‘บ้านสุนัข’ ที่เขาเคยเข้าไปก่อนหน้านี้
“ถ้าผู้ป่วยตัดสินใจเล่นเกมซ่อนหา พวกเขาก็จะถูกกักเอาไว้ในโรงพยาบาล กลายเป็นส่วนหนึ่งของเกมไปหลังจากที่ตายลง แต่ว่า คุณเคยคิดถึงคำถามนี้ไหม– ใครเป็นคนแรกที่เริ่มต้นเกมซ่อนหานี่?” เฉินเกอหันกลับไปมองผู้โดยสารคนอื่น ๆ “มีคนคนหนึ่งคิดเกมนี้ขึ้นมา จากนั้นก็ลากเอาผีผู้ป่วยตามไปเป็นพรวน”
ผู้โดยสารคนอื่น ๆ มองหน้ากัน คำถามนี้ย่อมไม่เคยผ่านเข้ามาในใจพวกเขามาก่อน เฉินเกอนั้นเลิกถามความเห็นพวกเขาไปแล้ว ทัศนคติของพวกเขานั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง วิธีการมองโลกของพวกเขานั้นต่างกันอย่างไม่สามารถปรับเข้าหากันได้
“อย่างที่ผมพูดก่อนหน้านี้ มีสามที่ในโรงพยาบาลนี้ที่น่าสนใจ ที่แรกก็คือห้องที่เจอสมุดบันทึก และห้องที่สองก็คือห้องเก็บเอกสาร เมื่อครู่ ผมได้เข้าไปดูข้อมูลเกี่ยวกับห้องผู้ป่วยที่มีปัญหาคร่าว ๆ และผมก็พบว่ามีบางอย่างแปลก ๆ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยคนใดก็ตามที่พักในห้องนั้นมักจะพบจุดจบที่ไม่ค่อยสงบนัก และเพราะอย่างนั้น ห้องพักผู้ป่วยห้องนั้น– ห้อง 201– ก็กลายเป็นห้องที่หมอและพยาบาลหลีกเลี่ยง”
เฉินเกอวิเคราะห์ต่อโดยไม่สนใจการตอบสนองของคนอื่น “ในเอกสารบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าเคสแรกในห้อง 201 นั้นเกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน และบังเอิญอีกว่า มันอยู่ภายในปีเดียวกับที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้รับผู้ป่วยส่งต่อจากโรงพยาบาลอื่น”
เขาดึงเอกสารออกมาจากในกระเป๋าและมันก็มีรอยเปื้อน เนื้อหาส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถอ่านได้ และชื่อของโรงพยาบาลเดิมของผู้ป่วยก็มีรอยเปื้อนทับไป มีเพียงแค่คำว่า ‘ไห่’ ที่สามารถอ่านได้
“พวกคุณรู้จักโรงพยาบาลไหนที่มีตัวอักษรนี้ในชื่อไหม?” เฉินเกอหันไปมองหมอประจำหน่วยไฟไหม้
หมอคนดีส่ายหน้า “มันยากที่จะบอกด้วยตัวอักษรตัวเดียว น่าจะมีเยอะเลย”
“ครั้งก่อนที่พวกเราขึ้นรถเมล์ มีผู้ป่วยผู้หญิงในชุดผู้ป่วยหลายคน คุณจำได้ไหม?” เฉินเกอมองหมอ
“จำได้” เมื่อเฉินเกอพูดถึง ก็ทำให้ฟันเฟืองในสมองของหมอหมุนขึ้นมา “ดูเหมือนจะมีตัว ไห่ อยู่บนเสื้อผ้าของผู้ป่วยพวกนั้นด้วยเหมือนกัน”
“ใช่แล้ว” ตอนที่เฉินเกอเห็นผู้ป่วยหญิงพวกนั้นตอนแรก เขาก็สงสัยขึ้นมาทันทีว่าพวกเธอน่าจะเกี่ยวข้องกับภารกิจของฉากระดับสี่ดาวในจิ่วเจียงตะวันออก– โรงพยาบาลต้องสาป ตอนนี้ ที่เรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลนี้ มันก็น่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยที่สงสัยว่าถูกส่งมาจากโรงพยาบาลต้องสาป หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เกมซ่อนหานั้นเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องมาจากคำสาปบางอย่างของฉากระดับสี่ดาว
การค้นพบครั้งนี้อาจจะไม่มีความหมายกับคนอื่น แต่มันเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับเฉินเกอ ฉากระดับสามดาวและฉากระดับสี่ดาวนั้นต่างกันมาก และเงื่อนงำใด ๆ ก็ล้วนสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
“แต่ต่อให้พวกเรารู้ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลนั้น มันก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเราออกจากเมืองหลี่ว่านได้” ชายขี้เมานั้นเป็นพวกอยู่กับความจริงที่สุดแล้ว เขาแค่ต้องการออกไปจากที่นี่ทั้งยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
“ผมคิดว่าคุณจะเปลี่ยนใจหลังจากได้อ่านนี่” เฉินเกอพลิกกระดาษไปที่หน้าสุดท้าย มันเต็มไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการส่งตัวผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มาจากโรงพยาบาลอื่นนั้นเป็นเด็กคนหนึ่งอายุหกขวบครึ่ง หมอวินิจฉัยว่าเขาติดเชื้อโรคเรบีส์* เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาอาการกำเริบ เขาต้องถูกมัดเอาไว้กับเตียง เขามักจะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่งและบิดตัวไปในมุมที่ไม่น่าเป็นไปได้
แต่ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาไม่ได้ถูกความเจ็บป่วยเคี่ยวกรำ อาการของเด็กชายก็ไม่ได้ปกตินัก เขามักจะพูดเรื่องประหลาดมาก ๆ และบอกคนรอบ ๆ ตัวเขาว่าเขากำลังถูกบางอย่างที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อตามล่า เขามักจะบอกว่าเขาต้องไม่ถูกสิ่งนั้นเจอตัว และเพื่อการนั้น เขาก็มักทำให้แน่ใจว่าได้แอบซ่อนตัวเองอย่างมิดชิด
แน่นอนว่า ถ้านั่นเป็นจุดจบของเรื่อง หมอก็คงไม่แยกประวัติของเขาออกมาจากคนอื่น ๆ หลังจากเด็กชายเสียชีวิต เรื่องประหลาดก็เริ่มต้นขึ้น
อย่างแรกเลย ศพของเด็กชายหายตัวไปจากห้องเก็บศพ จนถึงตอนนี้ ก็ยังหาไม่พบ จากนั้นก็เป็นพยาบาลกะกลางคืนอ้างว่าพวกเธอมักจะเห็นเด็กชายวิ่งผ่านทางเดินไปในตอนกลางคืน จากนั้นก็มีคำแปลก ๆ เริ่มปรากฏขึ้นในเอกสารที่พิมพ์ออกมา คำอย่าง– หาผมให้เจอสิ
เดิมที เรื่องเหล่านี้นั้นทางโรงพยาบาลก็ไม่ได้ให้ความสนใจนัก จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเสียชีวิตอยู่ในห้องเก็บศพ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงเข้าไปในห้องเก็บศพตอนเที่ยงคืน แต่ว่า ตำรวจพบประวัติการรักษาแผ่นหนึ่งติดเอาไว้ที่ด้านหลังศพ และที่เขียนเอาไว้ที่ด้านหลังกระดาษแผ่นนั้นก็คือคำอย่าง ‘หาผมให้เจอสิ’ พวกมันเขียนไว้ด้วยลายมือเหมือนลายมือเด็ก
หลังจากการตายของเจ้าหน้าที่ ก็เริ่มมีเรื่องเล่าแพร่ไปในโรงพยาบาล ใครก็ตามที่ถูกแปะกระดาษไว้บนหลังจะต้องเล่นเกมซ่อนหามรณะกับเด็กคนนั้น เอกสารนี้ถูกผนึกเก็บตอนช่วงเวลานั้น จึงไม่ได้พูดถึงการตัดสินใจของโรงพยาบาล และนั่นคือข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเด็กคนนั้น
ปิดเอกสารลงแล้วสายตาของเฉินเกอก็กวาดมองไปยังคนที่เหลือ “พวกคุณบางคนเคยถูกติดกระดาษเอาไว้บนหลังมาก่อน ถ้าพวกเราไม่แก้คำสาปนี้ คุณก็จะตกอยู่ในอันตรายต่อให้ออกไปจากเมืองหลี่ว่านก็ตาม”
“งั้นแกคิดว่าพวกเราควรจะทำยังไงตอนนี้?” มือกรรไกรเริ่มตระหนก เขาจำได้ชัดเจนว่าเห็นของอย่างนั้นติดอยู่บนหลังของตัวเอง
“ผมกำลังจะบอกว่าพวกเราจะไปดูสถานที่น่าสนใจแห่งที่สาม– ห้องเก็บศพ นั่นเป็นที่ที่เจ้าหน้าที่ถูกพบเป็นศพและเป็นที่ที่ศพของเด็กชายหายไป พวกเราน่าจะพบข้อมูลที่มีประโยชน์ที่นั่น” เฉินเกอตบเบา ๆ บนหัวเจ้าแมวขาวและนำทางไปพร้อมกับถือค้อนเอาไว้ เขาเพิ่งเก็บวิญญาณสัมภเวสีในโรงพยาบาลได้แค่สองตนเท่านั้น ซึ่งทำให้เขาค่อนข้างผิดหวัง
“แต่ถ้าพวกเรายังไม่เจอวิธีแก้คำสาปที่ห้องเก็บศพ…” สีหน้าของมือกรรไกรเปลี่ยนไป– เขารักษาการแสดงของตัวเองเอาไว้ได้อย่างยากลำบากแล้ว
“ในเมื่อมันอาจจะอันตราย ผมแนะนำให้พวกเราติดต่อกันเข้าไว้และดูว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป” เฉินเกอบอกมือกรรไกร “ตอนนี้ผมอาศัยอยู่ที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ จิ่วเจียงตะวันตก ถ้าคุณมีปัญหาอะไร คุณก็ไปหาผมได้ พวกเราจะช่วยดูแลกันและกัน”
มือกรรไกรพยักหน้านิด ๆ เขาทวนที่อยู่ของเฉินเกอในใจ ฝังมันเอาไว้ในความทรงจำ
“เอาละ ไปดูกันตอนนี้แหละ” ทั้งกลุ่มกลับไปที่ชั้นแรกและเข้าไปในทางเดินหนีไฟซึ่งอยู่ทางปีกขวาของโรงพยาบาล ห้องเก็บศพนั้นอยู่ที่ชั้นใต้ดิน ตอนที่เฉินเกอนำทั้งกลุ่มไปที่ทางเข้า จู่ ๆ เขาก็หยุด ล็อกที่น่าจะอยู่บนประตูนั้นหล่นอยู่บนพื้นแล้ว ประตูเหล็กก็ถูกเปิดแง้มเอาไว้ เหมือนมีบางอย่างเพิ่งเข้าไปในนั้นก่อนหน้านี้
“ประตูห้องเก็บศพมักจะปิดเอาไว้” หมอกระซิบกับเฉินเกอ “น่าจะมีบางอย่างอยู่ข้างใน ระวังด้วย”
“ได้ อยู่ใกล้ ๆ ผมเอาไว้” ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยหมอกสีเลือด เฉินเกอไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับผู้โดยสารของเขา ดังนั้นจึงให้พวกเขาตามมาใกล้ ๆ
ผลักเปิดประตูแล้วความเย็นก็ทะลักเข้าใส่พวกเขาจากทุกทิศทาง เฉินเกอมองและจดจำแผนผังของห้องเก็บศพเอาไว้ในใจ เขาพบว่าเขาอาจจะต้องปรับปรุงห้องเก็บศพของเขาในบ้านผีสิงในอนาคต
“พี่ชาย พวกเราต้องทำอะไรแบบนี้จริง ๆ น่ะเหรอ?” นี่เป็นครั้งแรกที่ชายขี้เมาได้เข้ามาในห้องเก็บศพของโรงพยาบาล เขาจับแขนของหมอเอาไว้แน่น
“พวกเราต้องไม่กลัวถ้าต้องการทำลายคำสาป” เฉินเกอครั้งหนึ่งเคยใช้เวลาทั้งคืนอยู่ในห้องเก็บศพใต้ดิน ดังนั้นนี่จึงไม่นับเป็นอะไรเลยสำหรับเขา เดินลึกเข้าไปในห้องเก็บศพคนเดียว เฉินเกอก็สังเกตเห็นร่อยรอยการต่อสู้เมื่อไม่นานมานี้ ชั้นเหล็กหลายชั้นที่น่าจะเป็นที่บรรจุศพนั้นถูกพลิกเปิดและผ้าขาวหลายผืนก็หล่นอยู่เกลื่อนพื้น
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน?” เฉินเกอพบว่าผ้าสีขาวหลายผืนนั้นมีรอยเลือดเปื้อนอยู่บนนั้น เขาวางผ้าหลายผืนนั้นตามแนวที่มันน่าจะเป็นและในที่สุดพวกเขาก็พบว่ารอยเลือดสีแดงนั้นเปื้อนเป็นแนวร่างของคนผู้หนึ่ง
“ดูเหมือนรูปร่างของเด็กอายุสักหกหรือเจ็ดขวบ” เฉินเกอมองรูปร่างนั่น “มันดูเหมือนว่าจะมีคนอุ้มเด็กขึ้นแล้วก็ทุ่มเขาใส่ผ้าขาวพวกนี้ และนั่นก็ทำให้เกิดรอยเลือดพวกนี้ทิ้งไว้ แต่ใครจะทำเรื่องแบบนั้นกัน? เด็กชายที่ฉันสงสัยว่าจะหนีมาจากโรงพยาบาลต้องสาปน่าจะเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุดในโรงพยาบาลเอกชนนี่แล้ว ต้นกำเนิดของเกมซ่อนหา แล้ว ใครจะมีพลังมากพอที่จะทำร้ายเขาแบบนี้?”
หลังจากมองหารายละเอียดมากขึ้น เฉินเกอก็พบรอยเท้าปริศนาเปื้อนเลือดบนผ้าสีขาวผืนอื่น มันเหมือนจะถูกทิ้งเอาไว้จากรองเท้าส้นสูงของผู้หญิงสักคู่หนึ่ง
“รองเท้าส้นสูงสีแดงเลิกตามมือกรรไกรเพราะว่าเธอเลี้ยวมาทางห้องเก็บศพแทน? เธอจัดการกับเด็กชายที่สิงอยู่ในโรงพยาบาลนี้ด้วยตัวเอง?” เฉินเกอสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบานหนึ่งที่ด้านหลังห้องเก็บศพนั้นแตกอยู่ และมีหลอดเลือดเหนียว ๆ พันอยู่รอบ ๆ กระจกที่แตก “พวกเขาออกไปทางนี้เหรอ?”
มองไปยังหน้าต่างที่แตกแล้ว เฉินเกอก็พบว่าเขาประมาทระดับพลังของรองเท้าส้นสูงสีแดงเกินไป การที่เธอสามารถจัดการกับเด็กชายได้อย่างง่ายดายหมายความว่าเธอน่าจะเป็นวิญญาณสีเลือดที่ทรงพลังท่ามกลางวิญญาณสีเลือดด้วยกัน
“โชคร้ายที่ฉันมาช้าเกินไป ฉันถึงได้พบแค่วิญญาณสัมภเวสีสองตนเท่านั้น หวังว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงจะไว้ชีวิตเด็กชาย ฉันยังหวังว่าจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับฉากระดับสี่ดาวจากปากของเขา”
TL note: โรคเรบีส์* เดิมก็คือโรคพิษสุนัขบ้า แต่เพราะว่าเป็นโรคที่ติดต่อระหว่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ไม่ใช่เพียงแค่สุนัข จึงมีการเปลี่ยนชื่อเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดนี้
ตอนที่ 641 สุนัขดำ (1+2)
มองหลอดเลือดสั่น ๆ ที่รอบ ๆ กรอบหน้าต่างและยังผ้าสีขาวที่เปื้อนเลือดที่ใกล้ ๆ แล้ว เฉินเกอก็รู้สึกว่านี่เป็นการลงมือเข่นฆ่าฝ่ายเดียว การกลายเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุดที่โรงพยาบาลเมืองหลี่ว่านนี่หมายความว่าเด็กชายอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ารองเท้าส้นสูงสีแดง เขากลับทั้งบอบบางและอ่อนแอ เลือดที่บนขอบหน้าต่างและที่บนผ้าสีขาวนั้นเป็นเลือดของเด็กชาย
“ผมสงสัยอยู่ทีเดียวว่าทำไมโรงพยาบาลถึงเงียบขนาดนี้ เป็นเพราะมีคนจัดการกับสิ่งคุกคามใหญ่หลวงที่สุดก่อนพวกเรามาถึง” ใบหน้าของเฉินเกอเต็มไปด้วยความเสียดาย และนี่ก็ทำให้อีกสามคนที่ตามเขามาขมวดคิ้ว
“มันก็ดีแล้วที่พวกเขาสู้กันเอง! ก่อนหน้านี้ ตอนที่พวกเราเจอผีเข้า คุณไม่กระทั่งถอนหายใจ แต่หลังจากพบว่าพวกเขาสู้กันเองไปแล้ว คุณที่เป็นคนนอกกลับดูไม่พอใจ” ชายขี้เมานั้นไม่เข้าใจความคิดของเฉินเกอเลย เขาไม่รู้เลยว่าเฉินเกอนั้นมองที่นี่เป็นทรัพย์สมบัติของเขาไปแล้ว อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่หน้าหนังสือการ์ตูนของเอี๋ยนต้าเหนียนจะเต็ม เขาจะไม่ยอมให้ผีตนไหนหนีรอดไปได้
“ผีที่นี่ไม่ได้ชั่วร้ายโดยธรรมชาติ โชคร้าย พวกเขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้บงการชั่วร้าย มันก็แค่ผมรู้สึกว่าพวกเขาควรจะได้มีบ้านที่ดีกว่านี้” เฉินเกอมองไปรอบ ๆ อีกครั้งและแน่ใจแล้วว่าไม่มีดวงวิญญาณอื่นเหลืออยู่ในโรงพยาบาลแล้ว ดังนั้นเขาจึงกลับออกมากับคนทั้งกลุ่ม
“ตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหนกัน?” ชายขี้เมา หมอ และมือกรรไกรตามหลังเฉินเกออยู่ติด ๆ พวกเขารู้แล้วว่าการแยกกันไปนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มไปก่อน
“ชายหน้ายิ้มนั้นครั้งหนึ่งเคยสังหารคนทั้งรถ และนั่นเป็นการทำลายแผนการของผู้บงการเบื้องหลัง ดังนั้นเขาน่าจะมีความสัมพันธ์กับผู้ควบคุมเมืองหลี่ว่านไม่ดีนัก รองเท้าส้นสูงสีแดงน่าจะแข็งแกร่งมาก อาจจะแข็งแกร่งกว่าชายหน้ายิ้ม ในเมื่อเธอทำร้ายคนที่เมืองหลี่ว่านนี่ไป ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเธอไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับผู้บงการนั่นเช่นกัน ทั้งสองคนนี้เป็นตัวตนที่น่าระคายเคืองที่เมืองจิ่วเจียงตะวันออกนี่ ในเมื่อพวกเขากำลังลงมือ พวกเขาก็น่าจะสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บงการไปจากพวกเราได้” เฉินเกอวิเคราะห์อย่างใจเย็น
ไม่สำคัญว่าสถานการณ์แท้จริงของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เขายังสามารถเปลี่ยนมันเป็นด้านดี ๆ ให้เหมือนกับตอนนี้พวกเขานั้นได้เปรียบอยู่ “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ทำไมพวกเราไม่ไปดูที่บ้านสุนัขที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ล่ะ? ผมอยากจะเห็นเองกับตา สิ่งที่เรียกว่าหมาหน้ายิ้มน่ะ”
“คุณยังอยากไปเหรอ? ถ้าผมรู้อย่างนี้ ผมจะไม่เล่าเรื่องนั้นให้คุณฟัง” ชายขี้เมานำทางทั้งกลุ่มไปอย่างไม่เต็มใจนัก ‘บ้านสุนัข’ นั้นอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลมาก เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้กับตึกหลังนั้น สีหน้าของผู้โดยสารแต่ละคนก็ต่างกันไปโดยสิ้นเชิง ชายขี้เมานั้นกระวนกระวาย หมอระแวดระวัง และมือกรรไกรแสร้งเป็นใจเย็น เฉินเกอแกว่งค้อนในมือและเดินนำหน้าไป ดูเหมือนเด็กที่กำลังตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นเครื่องเล่นที่สวนสนุก
“ที่นี่หรือ?” เฉินเกอผลักเปิดประตูเข้าไป ก่อนที่เขาจะได้ก้าวเท้าเข้าไป เจ้าแมวขาวก็ร้องออกมา มันทำท่ากระสับกระส่ายเหมือนมีบางอย่างที่มันเกลียดมาก ๆ อยู่ในตึกนั้น
“แมวกลัวหมางั้นเหรอ? แต่น่าจะไม่ใช่อย่างนั้นนะ” เฉินเกอตบหัวเจ้าแมวเบา ๆ ปลอบให้มันสงบลง
“พี่ชาย คุณต้องระวังให้มาก ปิศาจนี่ดุร้ายมาก ผมเจอมันครั้งหนึ่ง มันเคลื่อนที่ด้วยขาทั้งสี่ข้างเหมือนสุนัขล่าเนื้อ” ชายขี้เมายังมีอย่างอื่นอยากพูดอีก แต่ว่าเมื่อเห็นเฉินเกอเดินเข้าไปในสวนแล้ว เขาก็หุบปากลงทันที ”เขากล้าเกินไปแล้ว”
อันที่จริงแล้วเฉินเกอนั้นระมัดระวังยิ่งกว่าที่คนทั้งกลุ่มคิด พวกเขาก็แค่ไม่เห็นวิธีการป้องกันตัวของเขาเท่านั้น มีการปกป้องจากซู่อินและการเตือนจากเจ้าแมวขาว เฉินเกอนั้นปลอดภัยเท่าที่เขาทำได้แล้ว
“มีบ้านสุนัขอยู่ที่นี่จริง ๆ และมันยังสร้างไว้อย่างดีด้วย แต่…” เฉินเกอสะพายกระเป๋าและยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของสวน เขามองบ้านสุนัขที่มีกลิ่นเหม็นเน่ากำจายออกมา “ขนาดของมันใหญ่พอสำหรับคนคนหนึ่งเลย งั้นก็มีโอกาสที่มันจะไม่ได้สร้างมาเพื่อสุนัข”
“ฉันยังรู้สึกอย่างนั้นนะตอนที่เข้ามาที่นี่ครั้งแรก บ้านทั้งหลังนี้เต็มไปด้วยน้ำหอมปรับอากาศ มันเป็นที่สำหรับคน แต่ว่ามันตกแต่งเหมือนไว้ให้หมาสักตัว แต่ที่ที่น่าจะไว้ให้หมาอยู่น่ะ กลับสร้างซะใหญ่เท่าให้คนอยู่” ชายขี้เมาพูดเรื่อยเปื่อย แค่คิดถึงสิ่งที่เกิดกับเขาก่อนหน้านี้ทำให้เขาต้องตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว จิตใจของเขาเหมือนจะพังทลายลงไปเมื่อไหร่ก็ได้
สำหรับคนธรรมดาคนหนึ่ง ปฏิกริยาเช่นนี้นั้นถือว่ายอมรับได้ เห็นปฏิกริยานี้จากชายขี้เมาแล้วเฉินเกอก็พยักหน้านิด ๆ เขาไม่ได้เห็นด้วยกับชายขี้เมา แต่ว่าเขายืนยันแน่ใจแล้วว่าชายขี้เมาน่าจะเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
เฉินเกอจับสังเกตผู้โดยสารจากบนรถเมล์อยู่เงียบ ๆ และตัดคนออกจากรายชื่อผู้ต้องสงสัยของเขา คนที่เขาแน่ใจว่าไม่มีปัญหาก็มีเพียงแค่ชายขี้เมาและมือกรรไกรเท่านั้น
“ไม่เป็นไร ถ้าคุณกลัว ก็อยู่กับพวกเขาไว้” เฉินเกอเดินผ่านสวนไปและรู้สึกเหมือนมีบางอย่างทำให้เขาคันที่หลังคอ เขาเอื้อมมือไปเกาและพบว่าเขาดึงมือกลับมาพร้อมกับขนสุนัขสีดำอยู่ที่กลางฝ่ามือ มันทั้งแข็งและหยาบ
“มันมาจากไหนเนี่ย?” เขาเงยหน้าขึ้น เฉินเกอหรี่ตาและเห็นใบหน้าของชายคนหนึ่งที่หน้าต่างชั้นสอง ชายคนนั้นสวมหนังสุนัขและยังมีรอยยิ้มประหลาดบนหน้า
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอเห็นรอยยิ้มแบบนั้นเหมือนกัน มันดูไม่เหมือนมนุษย์เลย กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการยิ้มนั้นมีการดึงที่ต่างไปจากเวลาที่มนุษย์ทั่วไปยิ้ม มันทำให้ใบหน้ายื่นออกมาข้างหน้า ดูประหลาดเป็นที่สุด
มองใบหน้ามนุษย์ที่บนชั้นสอง ตอนที่มันปรากฏขึ้นครั้งแรก หัวใจของเฉินเกอนั้นเต้นรัวเร็วขึ้นครู่หนึ่ง แต่สองหรือสามวินาทีให้หลัง เขาก็กลับเป็นปกติ เขายกแขนขึ้น โบกมือให้หน้ายิ้มและยิ้มตอบกลับไป “อยู่ตรงนั้นอย่าขยับ ผมจะขึ้นไปหาคุณเดี๋ยวนี้แหละ”
ที่ยืนอยู่ที่ชั้นสองน่าจะเป็นคน แต่เฉินเกอกลับไม่รู้สึกถึงความเป็นมนุษย์เป็น ๆ จากคนผู้นั้นเลย
“เมืองหลี่ว่านใหญ่ขนาดนี้ และฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะมีเวลาดูทุก ๆ อาคารทีละหลัง” เฉินเกอเข้าไปในตึกสองชั้น ตอนที่คนที่เหลือตามหลังเขามา เขาก็ยกมือขึ้นพูด “ทำไมพวกคุณที่เหลือไม่รอผมอยู่ที่ข้างนอกล่ะ?”
“พวกเราควรจะอยู่ติดกันเอาไว้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำตัวเป็นวีรบุรุษนะ!” ชายขี้เมารู้ว่าปิศาจนี่มีพลังหรือว่ามีความน่ากลัวแค่ไหน และเขาก็เป็นห่วงเฉินเกอ
“ผมคิดว่าคุณพูดถูก แต่ว่าที่ในบ้านมันดูคับแคบ ถ้าอยู่ใกล้กับผมเกินไป– ผมเกรงว่าจะบังเอิญทำอันตรายคุณเข้า” คำเตือนอันไม่คาดคิดจากชายขี้เมาทำให้เฉินเกอสบายใจขึ้น เขาดีใจที่ชายคนนี้พัฒนาขึ้นอย่างมาก และแอบสัญญาว่าจะพยายามช่วยให้ชายคนนี้มีชีวิตอยู่รอดไปได้
“เข้าใจแล้ว พวกเราจะไม่ก่อปัญหาให้คุณ” ชายขี้เมามองไปยังค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกที่เฉินเกอถือเอาไว้ และเขาก็ถอนหายใจ– ผู้ชายตรงหน้าเขาคนนี้นั้นเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับชีวิตของตนเองน้อยกว่าที่ควรแล้ว ทั้งกลุ่มเข้าไปในห้อง พวกเขาเดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ และกำลังจะมุ่งหน้าขึ้นบันไดตอนที่ได้ยินเสียงกระดิ่งลมดังเข้าหู และประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ก็กระแทกปิดด้วยตัวมันเอง
“บ้าชะมัด!” ชายขี้เมาและหมอมองกลับไปด้านหลังพวกเขาพร้อมกัน ทางออกของพวกเขาถูกปิดไปแล้ว พวกเขาชะงักอยู่กับที่
ใบหน้าของมือกรรไกรนั้นซีดขาวอย่างไม่เป็นธรรมชาติขณะที่เขากระซิบขึ้นมาอย่างมืดมน “นี่เป็นฉากปกติที่สุดในหนังสยองขวัญ ประตูปิดเองได้ และไม่นานหลังจากนั้น ผีก็จะออกมา อันที่จริง พวกมันซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งจับตามองพวกเราอย่างใกล้ชิดอยู่แต่แรกแล้ว”
“นี่คือเหตุผลที่ผมบอกว่าพวกเราไม่ควรเป็นฝ่ายเข้าไปหาสิ่งนั้น!” ชายขี้เมาตื่นตระหนก “พวกเราควรจะไปหลบอยู่ในห้องสักห้องก่อน ตราบใดที่พวกเราอยู่ด้วยกัน ผีก็น่าจะไม่โจมตีพวกเราสี่คน”
“คุณพูดมีเหตุผล” หมอพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากปรึกษากันแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็หันไปหาเฉินเกอ อยากให้เขาช่วยรับรอง
“พวกคุณกำลังพูดเรื่องอะไรกัน? ทำไมพวกเราต้องไปซ่อนด้วย? ถ้าประตูปิด อย่างนั้นทำไมพวกเราไม่เปิดมันออก?” เฉินเกอส่ายหน้านิด ๆ เขามีปัญหากับการไล่ตามความคิดของผู้โดยสารพวกนี้จริง ๆ
ได้ยินคำตอบของเฉินเกอ ชายขี้เมาก็อยากจะพูดอย่างอื่น แต่ว่าเฉินเกอนั้นไม่ให้โอกาสเขา เขาพุ่งไปที่ประตูและยกค้อนขึ้นทุบประตู นั่นก่อให้เกิดเสียงกระแทกดังก้องไปทั่วทั้งตึก หลังจากประตูถูกทุบเปิดแล้ว เฉินเกอก็ไม่หยุด เขาเล็งค้อนไปที่บานพับประตูจนกระทั่งเขาถอดประตูออกจากกรอบได้สำเร็จ
“ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถปิดประตูได้แล้วต่อให้อยากจะปิดก็ตาม” เขาเตะประตูที่บิดเบี้ยวผิดรูปไปที่ด้านข้าง เดินลากค้อนกลับมาที่กลุ่ม “อย่าเอาแต่หนีหรือซ่อน– คุณต้องเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์สถานการณ์”
เฉินเกอคิดว่ามือกรรไกรนั้นค่อนข้างมีศักยภาพทีเดียว ดังนั้นจึงตัดสินใจถ่ายทอดความรู้บางอย่างให้เขา “ผู้ชายที่ผมเห็นก่อนหน้านั้นอยู่ที่ชั้นสอง แต่ในเมื่อประตูชั้นหนึ่งปิดได้ด้วยตัวเอง มันก็น่าจะหมายความว่ามีผีอยู่ในบ้านนี้มากกว่าหนึ่งตน ฉากที่มักจะพบในหนังสยองขวัญฉากนี้นั้นให้ข้อมูลเกี่ยวกับผีที่เราต้องรับมือมากมาย พวกเราต้องเรียนรู้ที่จะใช้เรื่องพวกนั้นมาวิเคราะห์ นั่นจะเป็นประโยชน์กับพวกเรา”
ได้ยินเสียงกระดิ่งลมยังดังอยู่เหมือนมีบางคนเดินไปมาในทางเดิน เฉินเกอก็มองมันแล้วพูด “บางครั้ง ผีก็พยายามจะเพิ่มความกลัวในหัวใจของเราผ่านเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเรา ตัวอย่างเช่น กระดิ่งลมนั่น แต่ทางแก้ปัญหานั้นอันที่จริงก็ง่ายมาก ๆ
เฉินเกอเดินไปที่ประตูและถอดกระดิ่งลมออกและเก็บมันลงไปในกระเป๋าของเขา หลังจากกระดิ่งลมถูกถอดออก เสียงประหลาดก็หายไปหมด
“มันง่ายแบบนี้แหละ” พอเฉินเกอพูดอย่างนั้น ใบหน้าของทั้งหมดและชายขี้เมาก็แข็งทื่ออย่างหวาดกลัว พวกเขาทั้งคู่ชี้นิ้วไปที่ที่ว่างด้านหลังเฉินเกอ
“พี่ชาย! ด้านหลังคุณ! มันออกมาจากในกระดิ่งลม!”
“มีผี! มีผี!”
เฉินเกอหันกลับไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ น่าสนใจตรงที่ ใบหน้าของผู้ชายคนนี้นั้นคล้ายกับใบหน้าที่เขาเห็นบนชั้นสอง ตอนนี้ ร่างกายท่อนล่างของชายคนนี้นั้นติดอยู่ในกระเป๋าของเฉินเกอ ร่างกายท่อนบนพยายามคลานออกมา แต่มือจำนวนนับไม่ถ้วนก็เอื้อมออกมาจากในกระเป๋าของเฉินเกอ ตรึงเขาให้อยู่กับที่ก่อนที่จะดึงชายคนนั้นกลับเข้าไปในกระเป๋าของเฉินเกอด้วยกำลังแรง
หลังจากวิญญาณทุกข์ของชายคนนั้นหายไป เฉินเกอก็หันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม บอกผู้โดยสารที่เหลือว่า “นั่นก็เป็นแค่ภาพมายา นี่คือจุดที่สองที่ผมอยากจะบอกพวกคุณ ผีมักจะใช้การเล่นกลกับสายตาของพวกเราเพื่อทำให้พวกเราสงสัยตัวเอง”
ผู้โดยสารคนอื่น ๆ เงียบ พูดกันโดยสัตย์จริง ตอนที่ผีผู้ชายโผล่ออกมา พวกเขากลัว แต่เมื่อเขาเห็นผีตนนั้นดิ้นรนและกรีดร้องก่อนที่จะหายไปด้านหลังเฉินเกอ พวกเขาก็ขนลุกซู่ และกระทั่งเลือดในหลอดเลือดก็ยังแทบจะจับตัวเป็นก้อน
“ถ้าพวกคุณกลัวจริง ๆ อย่างนั้นก็อยู่ที่ชั้นแรกนี่” เห็นน้ำยาปรับอากาศที่เกลื่อนอยู่บนพื้น เฉินเกอก็ไม่ให้เวลาคนอื่นได้คิด เขามุ่งหน้าขึ้นบันไดไปคนเดียว ผู้ชายที่ด้านในกระดิ่งลมนั้นดูเหมือนกับผู้ชายที่ชั้นสองราวกับคนเดียวกัน เฉินเกอสงสัยว่าผีผู้ชายน่าจะเป็นเจ้าของเดิมของร่าง แต่เพราะเหตุผลประหลาดบางอย่าง วิญญาณของผู้ชายและสุนัขสลับกัน และตอนนี้ก็เป็นสุนัขที่ครอบครองร่างของผู้ชายคนนั้นอยู่
“นี่ต้องเป็นเรื่องผีที่น่าสนใจแน่ ๆ” ในฐานะประธานสมาคมเล่าเรื่องผี เฉินเกอรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่เขาต้องรวบรวมเรื่องผีที่เขาเคยได้ยิน หลังจากไปถึงชั้นสองแล้ว เขาก็เรียกซู่อินมาอยู่ข้างกาย เขาพร้อมสู้แล้ว แต่ว่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ากลับทำให้เขาประหลาดใจ
ชายประหลาดที่ยิ้มให้เขาจากชั้นสองก่อนหน้านี้นั้นตอนนี้ยืนอยู่กลางทางเดินชั้นที่สอง เขายังสวมหนังสุนัขและมีรอยยิ้มประหลาดบนหน้า น่าแปลก เฉินเกอไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรูจากเขา– มันเหมือนเฉินเกอเคยพบชายคนนี้มาก่อน และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นเพื่อนเก่ากัน
“เขาเลือกเผยตัวก่อนหน้านี้เพราะว่าเห็นฉันเดินมาจากข้างนอก?” ความตื่นตัวของเฉินเกอเพิ่มสูงขึ้นเพราะเรื่องมันผิดจากธรรมดาไป เฉินเกอให้ซู่อินทดสอบชายคนนั้น แต่ว่าชายคนนั้นไม่ขัดขืนเลยสักนิด อันที่จริง เขายังมองเฉินเกอด้วยสายตาสงสัยเหมือนกำลังถามว่า ‘ทำไมนายถึงโจมตีฉันล่ะ พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?’
“ผู้ชายคนนี้เคยรู้จักฉัน? นั่นเป็นไปไม่ได้! นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันพบเขา หรือว่ามันเป็นผลจากฉายา ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ?” เฉินเกอเดินเข้าไปใกล้ชายคนนั้นมากขึ้น และฝ่ายหลังก็ไม่พยายามหลบ เขาดูเชื่อฟังมากเหมือนสัตว์เลี้ยงเชื่อง ๆ
“นี่น่าสงสัยจริง ๆ” เฉินเกอนั้นเป็นคนที่คล้อยตามการโน้มน้าวได้แต่ไม่ใช่การบังคับ การที่ชายคนนี้นั้นว่าง่ายและยังไม่ขัดขืนการโจมตีจากเฉินเกอทำให้เฉินเกอสับสนมาก เขาพยายามใช้หนังสือการ์ตูนกับผู้ชายคนนั้นแต่ว่าไม่ได้ผล ชายคนนั้นมีร่างของคนเป็น ดังนั้น เขาย่อมไม่สามารถถูกดึงเข้าไปในหนังสือการ์ตูนได้
หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ชายคนนี้อันที่จริงยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าเขามีชีวิตด้วยวิญญาณของสุนัข เฉินเกอพยายามสื่อสารกับเขา แต่โชคร้าย ไม่มีการสื่อสารใดได้ผล
“ผู้ชายคนนี้ต้องการอะไร?” เฉินเกอให้ซู่อินจับตาดูชายคนนี้เอาไว้ขณะที่เขาเดินเข้าไปในห้องข้าง ๆ เพื่อเริ่มการสำรวจ เขาพบบางอย่างในห้องที่ชายคนนี้เคยอยู่ก่อนหน้านี้ ผนังด้านหนึ่งของห้องนั้นเต็มไปด้วยรูปภาพ มันบันทึกเรื่องราวชีวิตของชายคนหนึ่ง หรืออาจจะเป็น สุนัขตัวหนึ่ง
รูปแรกนั้นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งทรมานสัตว์หลายชนิด เขาใช้วิธีการเหี้ยมโหดทุกวิธี และรูปภาพนั้นก็เป็นหลักฐานถึงบาปที่ลบล้างไม่ได้ของเขา มันดำเนินต่อเนื่องไปจนกระทั่งวันหนึ่ง เขากลับมาพร้อมกับลูกสุนัขสีดำตัวหนึ่ง ลูกสุนัขตัวนั้นทรหดมาก ไม่ว่าจะถูกทรมานแค่ไหน ลูกสุนัขก็ยังรอดชีวิตมาได้
ชายคนนั้นมองลูกสุนัขเป็นเครื่องระบายความเครียดถาวรของเขา ดังนั้นจึงเก็บมันเอาไว้กับตัว เมื่อทรมานลูกสุนัขตัวนั้น ชายหนุ่มก็ยังไม่ได้หยุดทำร้ายสัตว์อื่น ๆ
ลูกสุนัขเห็นเจ้านายของมันทรมานสัตว์อื่น ๆ ต่อเนื่องด้วยตาของมันเองจนกระทั่งมันเติบโตขึ้น ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ชายคนนั้นทรมานมันอย่างเหี้ยมโหดอีกครั้ง เขาก็คิดว่าในที่สุดเขาก็จัดการฆ่าสุนัขตัวนี้ได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ล่ามมันเอาไว้กับบ้านสุนัขของมันอีก
คืนนั้น สุนัขสีดำที่กำลังจะตายคลานสี่ขาลอบเข้าไปในห้องนอนของชายหนุ่มคนนั้นผ่านหน้าต่าง
เฉินเกอมองรูปสุดท้าย สุนัขสีดำนั้นใช้แรงที่เหลือแค่นิดเดียวฆ่าผู้ชายคนนั้น และในที่สุด ทั้งคนและหมาก็นอนจมกองเลือด จากนั้น สุนัขสีดำก็ล้มลงไปจริง ๆ แล้ว แต่ว่า ตอนที่ชายคนนั้นลุกขึ้นจากกองเลือด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นของสุนัขตัวนั้น
เห็นรูปพวกนี้แล้ว ในที่สุดเฉินเกอก็เข้าใจว่าทำไมชายคนนั้นถึงมีท่าทางเช่นนั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ ทำไมสุนัขถึงได้ดูเป็นมิตรกับเขา?
ดูรูปทั้งหมดอีกครั้ง เฉินเกอก็เชื่อว่าเขาพบคำตอบแล้ว ตอนที่ลูกสุนัขสีดำปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกนั้น นอกจากชายหนุ่มและลูกสุนัขแล้ว ยังมีเงาร่างหนึ่งที่ดูเหมือนตัวเขาอย่างน่าสงสัย เขาเริ่มตรวจดูรูปที่เหลือ และเกือบทุกรูปก็จะมีตัวตนของเงานั่นอยู่ตรงไหนสักที่
เหตุผลที่สุนัขสีดำนั้นรอดชีวิตมาได้จากการทรมานมากมายนั้นก็เป็นเพราะว่าเงานั่นปกป้องมันเอาไว้? เงานั่นดูคล้ายกับฉัน ดังนั้นนี่จึงสามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดสุนัขสีดำจึงไม่ได้ดูเป็นศัตรูกับฉัน– มันจำคนผิดแล้ว! มันจำฉันเป็นเงานั่น!
จากนั้นความสงสัยแรงกล้าหนึ่งก็เข้ามาในใจเฉินเกอ เงานั่นเป็นตัวฉันตอนอายุน้อยกว่านี้จริง ๆ น่ะหรือ? เขาเติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว ด้วยนิสัยที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง?
คนนอกเข้าใจผิดนั้นยังสามารถอธิบายได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่กระทั่งคนของเมืองหลี่ว่านเองยังเข้าใจผิด นี่ทำให้เฉินเกอตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา เงานั่นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน!
บางทีเขาอาจจะดูเหมือนฉันจริง ๆ แต่ก็แค่ในด้านรูปร่างหน้าตา
มองรูปที่บนกำแพงแล้วเฉินเกอก็เห็นความคล้ายคลึง ครั้งหนึ่งเขาเคยช่วยสัตว์ที่ถูกทรมานมาก่อน– เจ้าแมวขาวที่บนไหล่ของเขานั้นเป็นตัวอย่างอันดี จากมุมนี้ เขาก็คล้ายกับเงานั่นจริง ๆ แต่ที่นิสัยของพวกเขาต่างกันก็สามารถมองเห็นได้จากวิธีการที่พวกเขาจัดการกับปัญหาต่าง ๆ
หลังจากช่วยเจ้าแมวขาวแล้ว เฉินเกอก็ให้มันมีบ้านคือที่บ้านผีสิง แต่หลังจากช่วยลูกสุนัขสีดำแล้ว เงานั่นกลับไม่ได้แค่ไม่ช่วยมันให้พ้นไแต่กลับปล่อยให้มันถูกทรมานต่อเนื่องจนกระทั่งมันสังหารเจ้านายของมัน
ความเกลียดชัง ความเจ็บปวด ความสิ้นหวัง และความมุ่งร้าย จากวิธีที่เงานั่นช่วยลูกสุนัขสีดำ นั้นก็สามารถบอกนิสัยของเขาได้
เจ้าสิ่งนี้อันตรายเกินไป
เฉินเกอวางรูปทั้งหมดกลับไปและเดินออกมาจากห้อง ชายคนนั้นยังนั่งอยู่กับพื้น เขาเอียงหัวไปด้านหนึ่งเหมือนกำลังพิจารณาเฉินเกอ มันเหมือนกับว่าในที่สุดเขาก็รู้สึกแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“ฉันควรจะเก็บดวงวิญญาณอันน่าสงสารนี้ไว้กับตัวเอง เงานั่นสามารถเปลี่ยนไปอยู่ในร่างอื่น ๆ และปลอมแปลงตัวเองได้ บางทีฉันอาจจะสามารถใช้สุนัขสีดำนี่ช่วยฉันหาตัวตนแท้จริงของเงานั่นได้ ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากจะนั่งคุยกับเงานั่นอย่างจริงจังสักครั้ง”
เฉินเกอเดินไปหยุดตรงหน้าชายคนนั้น ใช้ดวงตาหยินหยาง เขามองเข้าไปในดวงตาของชายคนนั้น จับดวงวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในร่างมนุษย์เอาไว้
“ได้เวลาออกมาแล้ว แกต้องมีบ้านใหม่”
หลังจากการโน้มน้าวยืดยาวของเฉินเกอ สีหน้าของชายคนนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป หลายนาทีให้หลัง สุนัขสีดำที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็คืบคลานออกจากร่างของชายคนนั้น
เฉินเกอเก็บสุนัขสีดำเข้าไปด้วยหนังสือการ์ตูน ทันใดนั้น โทรศัพท์เครื่องดำในกระเป๋าของเขาก็สั่น เขาดึงโทรศัพท์ออกมาดู มีทั้งหมดห้าข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน
ตอนที่ 642 ภารกิจทดลองที่บังคับทำ
ตอนที่รถเมล์พุ่งเข้าไปในหมอกสีเลือด เฉินเกอก็รู้สึกแล้วว่าโทรศัพท์เครื่องดำสั่น แต่ว่าเขาไม่ได้เปิดดูเพราะสถานการณ์อันอ่อนไหวที่เป็นอยู่ตอนนั้น ตอนนี้ เขายืนอยู่คนเดียวบนทางเดินชั้นสอง ไม่มีใครอยู่รอบ ๆ ในที่สุดเขาก็สามารถเปิดโทรศัพท์เครื่องดำออกอ่านได้โดยไม่ต้องกังวล แตะเปิดหน้าจอแล้ว ดวงตาของเฉินเกอก็หรี่แคบลงเมื่ออ่านข้อความที่บนหน้าจอ
“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ ที่ได้รับผีระดับหายาก– แบล็กฮาวน์ มันเกิดจากวิญญาณของสุนัขเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ และวิญญาณมนุษย์สิบเปอร์เซ็นต์ มันคืออสุรกายที่ถือกำเนิดขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมอันพิเศษจากอิทธิพลของพลังอันไม่เป็นธรรมชาติ
“พลังพิเศษ: คลั่ง (สามารถเข้าไปในร่างของมนุษย์ที่ยังมีชีวิต ทำให้คนผู้นั้นขาดสติและเปลี่ยนไปเป็นสัตว์ร้ายบ้าคลั่งไร้เหตุผล พลังนี้สามารถใช้ได้หนึ่งครั้งในทุกเจ็ดวัน และทุก ๆ การใช้งานจะก่อให้เกิดบาดแผลที่รักษาไม่หายบนวิญญาณของแบล็กฮาวน์”
สองข้อความแรกนั้นเกี่ยวข้องกับสุนัขสีดำ เฉินเกอนั้นประหลาดใจที่ ‘สุนัขเลี้ยง’ ตัวนี้ที่ดูไม่ได้ทรงพลังกลับได้รับการประเมินจากโทรศัพท์เครื่องดำสูงมาก
“เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมโทรศัพท์เครื่องดำถึงได้นับหมาตัวนี้เป็นพนักงานบ้านผีสิงไปแล้วล่ะ? ฉันยังไม่ได้ทำให้มันเชื่องเลย ทั้งหมดที่ฉันทำก็คือพูดคุยกับมัน โทรศัพท์เครื่องดำเกิดอะไรผิดพลาดหรือเปล่า? หรือว่าตอนที่แบล็กฮาวน์เห็นฉัน มันก็นับว่าฉันเป็นเจ้านายคนใหม่ของมันทันที?”
เฉินเกอไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสุนัขสีดำและเงานั่นว่าเป็นอย่างไร แต่ด้วยปฏิกริยาตอนนี้ของสุนัขตัวนี้ เขาก็เดาอยู่ในใจ “ดูเหมือนว่าหมาตัวนี้อาจจะเป็น ‘เพื่อน’ แท้จริงเพียงไม่มากของเงานั่น”
ความหมายของคำว่าเพื่อนนั้นต้องเป็นไปในทั้งสองทาง “เงานั่นอาจจะเปลี่ยนตัวเองเป็นคนอื่นเพื่อเข้าหาฉัน ฉันสามารถปล่อยเจ้าหมาดำตัวนี้ออกไปเมื่อฉันไม่แน่ใจ บางทีมันอาจจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงก็ได้”
มีแบล็กฮาวน์เข้าร่วมกลุ่มกับเขานั้นเป็นข่าวดีของเฉินเกอ แต่เมื่อคิดถึงพลังอันร้ายกาจของแบล็กฮาวน์แล้ว เขาก็ไม่ได้วางแผนจะปลดปล่อยมันออกมาในตอนนี้ เขาแตะเลื่อนหน้าจอแล้วก็แตะเปิดข้อความที่เหลือ ข้อความเหล่านี้เข้ามาตอนที่เขาเข้ามาในหมอกสีเลือดตอนแรก
“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ คุณได้เข้าสู่ฉากเมืองหลี่ว่าน ภารกิจระดับ 3.5 ดาว ภารกิจจะเริ่มต้นขึ้นในทันที!
“ฉากนี้นั้นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอันเป็นปริศนามากมายรอคอยอยู่ คุณเลือกที่จะถอยในตอนนี้หรือไม่?
“คำเตือน! หากคุณถอยกลับในระหว่างทำภารกิจ ฉากนี้จะถูกล็อกเอาไว้ไปตลอดกาล!”
หลังจากอ่านสามข้อความนี้แล้ว เฉินเกอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางบันได ผู้โดยสารคนอื่น ๆ กำลังขึ้นบนไดมา พวกเขาเป็นห่วงเฉินเกอเพราะว่านานแล้วแต่เฉินเกอยังไม่ลงไปเสียที
“อย่างไรเสีย ฉันก็อยู่ในเมืองหลี่ว่านแล้วตอนนี้ ต่อให้มีอันตราย ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินหน้าต่อ” เฉินเกอเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ต่อภารกิจนี้
“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ คุณรับภารกิจระดับ 3.5 ดาว– เมืองหลี่ว่าน
“เมืองหลี่ว่าน: ประตูหลุดออกจากการควบคุม และฆาตกรกับอสุรกายมากมายหลายกลุ่มก็แอบอยู่ในเงาของเมืองนี้ เมื่อตกกลางคืน เรื่องผีทุกเรื่องก็กลายเป็นเรื่องจริง โรงแรมขายดวงวิญญาณ เด็กชายที่เล่นซ่อนหาในโรงพยาบาล กะโหลกมนุษย์ที่กระแทกกับกำแพงบ้านข้าง ๆ ยมทูตกวักมืออยู่ที่ทางแยก วิญญาณที่หันหลังให้คุณในลิฟท์ หมาหน้ายิ้มใต้เตียง ดวงตาสีแดงในตู้…
“เป้าหมายของภารกิจ: หนีออกจากเมืองหลี่ว่าน ช่วยชีวิตเหยื่อผู้บริสุทธิ์แต่ละคนนั้นจะเพิ่มรางวัลพิเศษ!
“คำใบ้ของภารกิจ: ฉันมองเธอร้องไห้ ฉันมองเธอหัวเราะ, ฉันมองเธอมีความสุข ฉันมองเธอหลั่งน้ำตา, ฉันรอเธอ ฉันต้องการอยู่กับเธอ, ฉันอยากจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ แต่ทำไมเธอถึงเก็บความสุขทั้งหมดไว้กับตัวเองและเหลือแต่ความทุกข์ไว้ให้ฉัน?”
หลังจากอ่านข้อความทั้งหมดแล้ว เขาก็จำมันเอาไว้และจากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ลงไป
“ขอบคุณพระเจ้าที่คุณไม่เป็นอะไร อย่าทำให้พวกเรากลัวแบบนี้สิ!” ชายขี้เมาตะโกนดังขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเฉินเกอกำลังยืนอยู่กลางทางเดินหลังจากที่ขึ้นบันไดมา
“ไม่ต้องกลัว ผมจัดการกับหมาหน้าคนนั่นไปแล้ว” เฉินเกอชี้ไปยังชายหนุ่มที่หมดสติอยู่บนพื้น หลังจากอ่านข้อความบนโทรศัพท์ ทัศนคติที่เขามีต่อผู้โดยสารคนอื่น ๆ ก็ดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรเสีย ช่วยชีวิตเหยื่อผู้บริสุทธ์นั้นก็จะทำให้เขาได้รับรางวัลเพิ่ม ดังนั้น ไม่ว่าจะด้วยศีลธรรมหรือว่าประโยชน์ส่วนตน เฉินเกอก็จะพยายามปกป้องพวกเขาให้ดีที่สุด
“ผู้ชายคนนี้คือสัตว์ประหลาดนั่น? เขาไม่ได้ดูน่ากลัวขนาดนั้น” มือกรรไกรจับคางผู้ชายคนนั้น ”บนร่างของเขาไม่มีบาดแผลให้เห็น และพวกเราก็ยังไม่ได้ยินเสียงต่อสู้อะไรเลยตอนอยู่ด้านล่าง แล้วเขาหมดสติอยู่ตรงนี้ได้ยังไง?”
“คุณอยู่ให้ห่างเขาจากเขาจะดีกว่า เขาเพิ่งหมดสติไป เขาอาจจะตื่นขึ้นมาตอนไหนก็ได้” เฉินเกอไม่ได้ตอบคำถามของมือกรรไกรแต่ไปหาเชือกเส้นหนึ่งจากในบ้านมามัดชายคนนี้เอาไว้ จากนั้นเขาก็นำคนที่เหลือออกจากตึก
หลังจากอ่านการแจ้งเตือนภารกิจจากโทรศัพท์เครื่องดำ เฉินเกอก็เข้าใจเมืองหลี่ว่านได้ดีขึ้น มีคำแนะนำของเมืองสั้น ๆ ที่โทรศัพท์ให้เอาไว้ มันพูดถึง โรงแรม โรงพยาบาล ทางแยก และข้างบ้าน เมื่อรวมกับเกมของเสี่ยวปู้ที่เขาเล่นก่อนหน้านี้ เฉินเกอก็สงสัยว่าโรงแรมและบ้านข้าง ๆ ที่โทรศัพท์เครื่องดำพูดถึงนั้นเป็นสถานที่ที่เขาเคยไปตอนที่ควบคุมตัวเสี่ยวปู้เล่นเกม
“ประตูนั้นอยู่ในเขตที่พักอาศัยของฟ่านฉง ไม่ว่าประตูจะยังใช้การได้หรือไม่ ฉันก็จำเป็นต้องไปดูที่นั่น มันดูเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะไปดูทุกที่ ดังนั้นฉันคิดว่าฉันคงได้แต่เข้าไปดูเฉพาะที่ที่ต้องผ่าน”
เมื่อตัดสินใจแล้ว เฉินเกอก็นำผู้โดยสารหลายคนนี้กลับไปที่รถเมล์ ด้านนอกของรถเมล์นั้นมีหลอดเลือดปกคลุมจนเต็ม และเครื่องยนต์ก็ใช้การไม่ได้
“ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ในเมืองหลี่ว่านนี่ ดังนั้นจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับที่นี่ อยู่ใกล้ ๆ ผมเอาไว้ ถ้าพวกเราโชคดี พวกเราก็จะสามารถหนีออกไปได้ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น” เฉินเกอไม่ได้โกหก โลกที่เต็มไปด้วยหมอกสีเลือดนี้นั้นไม่มีแสงตะวันหรือความหวัง พวกเขาจะได้พบพระอาทิตย์ก็หลังจากหนีออกไปได้
นั่นอาจจะนับได้ว่าเป็นความสามารถพิเศษของเฉินเกอ ซึ่งก็คือการมองสถานการณ์ที่สิ้นหวังอย่างที่สุดในแง่บวก ฟื้นความหวังและแสงสว่างให้แก่สถานการณ์เช่นนี้
เพื่อประหยัดเวลา เฉินเกอไม่ได้เข้าไปทุกอากาศ และในที่สุด เขาก็รู้สึกว่ามันเสียเวลา
ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ฉันจะให้ผู้โดยสารเข้าไปในตึกก่อนขณะที่ฉันซ่อนอยู่ข้างหลัง หากใครกล้าทำร้ายพวกเขา ฉันก็จะกระโจนออกไปทันที
ใช้คนอื่นเป็นเหยื่อขณะที่เขาเก็บรางวัลตอบแทน เฉินเกอวางแผนนี้เอาไว้แล้ว อันตรายมากมายซ่อนอยู่ภายในหมอกสีเลือด แต่พวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่ระหว่างทางนั้นไม่เจออะไรนัก
“พวกเราหยุดตรงนี้สักครู่ได้ไหม? ผมอยากจะเข้าไปดูในเขตที่พักอาศัยนี่” เฉินเกอจู่ ๆ ก็หยุด เขามองไปยังอพาร์ทเม้นท์ข้าง ๆ พวกเขาและเผยสีหน้าที่อ่านไม่ออกออกมา เขาคุ้นกับตึกนี่เพราะว่านี่คือสถานที่ที่เสี่ยวปู้และพ่อบุญธรรมของเธออาศัยอยู่ตอนที่เธออยู่ในเกม
“นี่ดูไม่ปลอดภัย ที่นี่มืดและน่ากลัว” ชายขี้เมาเป็นคนแรกที่แย้งความคิดนั้น
“ตามประสบการณ์ก่อนหน้าของพวกเรา ยิ่งตึกใหญ่เท่าไหร่ สัตว์ประหลาดที่ซ่อนอยู่ด้านในก็น่ากลัวมากเท่านั้น ดังนั้น มันต้องมีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวมาก ๆ ใช้ที่นี่เป็นรังของมันแน่ ๆ” หมอกระชับผ้าพันคอและไม่ต้องการขยับไปไหนเช่นกัน
“ผมไม่ปฏิเสธเรื่องอันตราย แต่ตราบใดที่พวกคุณฟังคำสั่งของผม ผมสามารถรับรองได้ว่าพวกคุณจะปลอดภัย” เฉินเกอพูดและเดินห่างออกไป
“เฮ้ คุณต้องระมัดระวังให้มากขึ้นนะ!” ชายขี้เมาอดบ่นออกมาไม่ได้ “ทำไมมันถึงให้ความรู้สึกเหมือนคุณกำลังเดินอยู่ในบ้านตัวเองทั้งที่อยู่ในสถานที่แบบนี้ซึ่งคุณจะตายลงเมื่อไหร่ก็ได้?”
“ขี้ขลาด ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าแกจะกลัวอะไรนักหนา” มือกรรไกรเช็ดเลือดสด ๆ ออกจากริมฝีปากตัวเอง
“ที่นี่เต็มไปด้วยผี ฆาตกร และสัตว์ประหลหาด และคุณยังถามผมอีกเหรอว่าผมกลัวอะไรนักหนา?” ถึงอย่างนั้น ชายขี้เมาก็รวบรวมความกล้า ถึงแม้ว่าเขาจะกลัว เขาก็ไม่ยอมออกจากข้างกายเฉินเกอ
“เงียบหน่อย ผมมีบางอย่างจะบอกพวกคุณ” เฉินเกอขัดชายขี้เมาและชี้ไปยังพุ่มไม้ใกล้ ๆ พวกเขา “มีฆาตกรคนหนึ่งกำลังแยกชิ้นส่วนเหยื่อของเขาอยู่ที่ด้านในนั่น พยายามลดเสียงฝีเท้าลงตอนที่เดินผ่านไป อย่าให้เขารู้ถึงการมีตัวตนของพวกเรา”
ได้ยินคำพูดของเฉินเกอแล้ว ผู้โดยสารที่เหลือก็มองหน้ากัน เฉินเกอนั้นกำลังพูดคำพูดทั่วไป แต่เมื่อคำเหล่านั้นเรียงต่อกันอย่างที่เขาใช้ พวกเขากลับไม่เข้าใจว่าเฉินเกอกำลังพยายามสื่ออะไร
“ฆาตกร? แยกชิ้นส่วนเหยื่อ? อย่าให้เขารู้ตัว? เกิดอะไรขึ้นที่นี่น่ะ?” จิตใจของผู้โดยสารวุ่นวายไปหมด
“ฆาตกรคนนี้จะมีประโยชน์หลังจากนี้ ไม่มีเวลาให้อธิบาย ดังนั้นแค่ตามผมมา” เฉินเกอเดินนำหน้าไปและจงใจเดินห่างออกมาจากพุ่มไม้นั่น “ฆาตกรที่ในพุ่มไม้ยังอยู่ที่นี่ ฉันสงสัยว่าฆาตกรในเสื้อกันฝนจะยังอยู่ในลิฟท์หรือเปล่า…”
ตอนที่ 643 วางเหยื่อล่อ (1+2)
ทั้งกลุ่มผ่อนฝีเท้าลงตามคำสั่งของเฉินเกอตอนที่พวกเขาเดินผ่านพุ่มไม้ไป
เขารู้ได้ยังไงว่ามีคนอยู่ที่นั่น?
ตอนที่มือกรรไกรผ่านพุ่มไม้ไป เขาก็หันกลับไปมองด้วยความสงสัย มีรอยเลือดไม่ชัดนักซึมออกมาจากส่วนลึกของพุ่มไม้ ไม่มีลม แต่ว่าพุ่มไม้นั้นขยับไหวเล็กน้อย เพราะกลัวจะอยู่ที่นี่นานเกินไป พวกเขาจึงรีบตามหลังเฉินเกอเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์
“ผมต้องการให้พวกคุณถอยออกไปเล็กน้อยก่อน อีกเดี๋ยวจะมีคนออกมาจากในลิฟท์ พวกเรามีกันหลายคน และพวกเราอาจจะทำให้เขากลัวโดยไม่ตั้งใจ” เฉินเกอนั้นระมัดระวังมาก เขามองตัวเลขที่เปลี่ยนไปที่บนลิฟท์และให้สัญญาณคนที่เหลือไปซ่อน
“ถ้าคนผู้นั้นถูกพวกเราทำให้ตกใจได้ พวกเขาก็คงไม่เก่งกาจนัก แล้วทำไมพวกเราถึงไม่ลงมือพร้อม ๆ กันจับตัวเขาเอาไว้?” หมอนั้นใจเย็น และเสนอความคิดของเขาออกมา
“พวกเราทำอย่างนั้นไม่ได้ตอนนี้ ผมยังต้องใช้คนผู้นี้ระหว่างแผนการขั้นต่อไปของผม และแผนการก็ต้องการการเชื่อมโยงกันเพื่อให้มันดำเนินไปได้” เฉินเกอผลักหมอไปด้านหลังนิด ๆ “มีสิ่งน่ากลัวอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยนี้ พวกเราควรต้องอย่าให้ตัวเองเป็นที่สังเกตในตอนที่ทำได้”
“สิ่งนั้นที่ซ่อนอยู่ที่นี่น่ากลัวยังไงคุณถึงให้พวกเราระมัดระวัง?” ชายขี้เมาเป็นคนแรกที่เรียกร้องให้ถอย “ไปกันเถอะ ผมไม่คิดว่าพวกเราควรจะแวะที่นี่”
ตอนที่พวกเขากำลังถกเถียงกันอยู่นั้น ลิฟท์ก็เกือบจะมาถึงชั้นแรกแล้ว เฉินเกอเลิกเสียเวลากับผู้โดยสารคนอื่น ๆ และผลักพวกเขาเข้าไปในประตูหนีไฟที่เปิดไปสู่ช่องบันได
หลังจากพวกเขาไปซ่อนแล้ว เฉินเกอก็หันไปมองประตูลิฟท์ “คนร้ายในลิฟท์น่ะเล็งเป้าไปที่เสี่ยวปู้เพราะว่าเสี่ยวปู้อ่อนแอมาก สำหรับคนบ้าคลั่งเหล่านี้ การทรมานและกลั่นแกล้งคนที่อ่อนแอกว่านั้นเป็นความสนุกรูปแบบหนึ่ง ถ้าฉันมีท่าทางเก่งกาจเกินไป พวกเขาก็จะลังเลที่จะโจมตีฉัน แต่ถ้าเขาไม่ตามฉันขึ้นไปที่ชั้นบน อย่างนั้นแผนการที่เหลือก็ไม่สามารถใช้ออกได้แล้ว”
เฉินเกอตัดสินใจทำตามวิธีการที่เขาใช้ในเกมของเสี่ยวปู้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แผนการนั้นก็คือการเปลี่ยนผีและสัตว์ประหลาดในอพาร์ทเม้นท์ให้สู้กันเอง โดยทฤษฎีแล้ว แผนการของเขานั้นสมบูรณ์แบบ แต่ว่าตอนใช้งานจริงนั้นอาจจะมีหลายปัจจัยที่ทำให้แผนการด้อยลง
ตัวเลขที่แสดงหน้าลิฟท์นั้นเปลี่ยนเป็น ‘1’ แล้ว และประตูลิฟท์เก่า ๆ ก็เปิดออกเพื่อรับผู้โดยสาร ผู้ชายคนหนึ่งสวมชุดกันฝนสีดำยืนอยู่กลางลิฟท์ และเขาก็ถือกระเป๋าสีดำใบใหญ่ไว้ในมือ กระเป๋านั่นดูหนัก และมันยังยากที่จะบอกว่าข้างในใส่อะไรเอาไว้ ผู้ชายคนนั้นดูจะไม่ได้คิดว่าจะมีคนอื่นอยู่นอกลิฟท์ เขาเอื้อมมือมาดึงหมวกที่ติดอยู่กับชุดกันฝนลงต่ำจนเกือบจะปิดหน้าเขาไปหมด
“สวัสดีครับ?” เฉินเกอเป็นฝ่ายทักทาย ขณะที่เขาสงสัยว่าจะล่อฆาตกรบ้าคลั่งคนนี้ให้ตามเขาขึ้นไปชั้นบนอย่างไรดี ผู้ชายคนนี้ก็เดินออกจากลิฟท์ ประตูลิฟท์นั้นเปิดได้กว้างมาก เฉินเกอหิ้วกระเป๋าใหญ่สองใบเอาไว้ และชายในชุดกันฝนก็ถือใบหนึ่งที่ไม่นับว่าเล็กเอาไว้ ตอนที่พวกเขาเดินผ่านกัน มันก็เป็นไปตามที่คิดที่สัมภาระของพวกเขานั้นกระแทกเข้าใส่กัน
เลือดซึมออกมาจากกระเป๋าของชายคนนั้น ทั้งเฉินเกอและชายในชุดกันฝนต่างเห็นรอยเลือดที่แผ่ออก
สีหน้าของเฉินเกอนั้นเปลี่ยนไป คิ้วของเขาขมวดจนติดกัน ขาของเขากระตุก และเขาก็ผงะไปด้านหลัง ปฏิกริยาทั้งหมดของเขานั้นส่อชัดว่าพยายามหนี เฉินเกอวิ่งเข้าไปในลิฟท์ด้วยกริยาร้อนรน
กลัว ตื่นตระหนก และวิตกกังวล– อารมณ์ต่าง ๆ นั้นเผยออกมาผ่านภาษากายและสีหน้า มันเป็นการเสียเปล่าจริง ๆ ที่ฟางหยวนไม่ใช่นักแสดง เขาพุ่งเข้าไปในลิฟท์และกดปุ่มบนแผงควบคุมลิฟท์หลายครั้ง ท่าทางตื่นตระหนกเผยความวิตกกังวลที่แผดเผาอยู่ในใจเขาออกมา และการถูกจ้องมองก็ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวที่เกาะกุมรอบหัวใจเขา
ไม่ว่าจะมองมุมไหน เฉินเกอก็ดูเหมือนเป็นเหยื่ออย่างแท้จริง เป็นธรรมดาที่ชายในชุดกันฝนจะพิจารณาปฏิกริยาทั้งหมดของเฉินเกอ เขาหันกลับมา และในเมื่อขอบหมวกที่ติดกับชุดกันฝนนั้นปิดคลุมดวงตาและเส้นผมของเขาเอาไว้ เฉินเกอจึงมองเห็นเพียงการแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมโหดที่ปรากฏบนริมฝีปากของเขา เฉินเกอนั้นคุ้นเคยกับการแสดงออกเช่นนี้มาก นี่เป็นรอยยิ้มที่พวกสัตว์ร้ายมักจะเผยออกมาเมื่อพบเหยื่อที่ไม่คาดคิด
ปลาติดเบ็ดแล้ว ขณะที่ประตูลิฟท์ปิดลงช้า ๆ เฉินเกอก็ปล่อยให้สีหน้าของตนผ่อนคลายลง และเขาก็ถอนหายใจโล่งอกอยู่ข้างใน ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด เขาต้องไล่ตามมาจับฉันแน่
ขณะที่ช่องว่างระหว่างประตูลิฟท์แคบลงและเฉินเกอกำลังพยายามวางแผนก้าวต่อไปอยู่ จู่ ๆ เขาก็เห็นมือซีด ๆ ข้างหนึ่งเอื้อมเข้ามาที่ช่องระหว่างประตูลิฟท์!
ประตูที่กำลังปิดเปิดออกอีกครั้ง และชายในชุดกันฝนก็ยืนอยู่ด้านนอกลิฟท์ก้มหน้าต่ำ บรรยากาศในห้องโถงเปลี่ยนเป็นกดดัน และรอยยิ้มบนใบหน้าของชายในชุดกันฝนก็ยิ่งบ้าคลั่งกว่าเดิม เขายกขาขึ้นช้า ๆ และเดินเข้าไปในลิฟท์
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด ตอนที่เขาเล่นเกมของเสี่ยวปู้ ชายในชุดกันฝนนั้นไม่ได้ไล่ตามเสี่ยวปู้ไปในทันที และนั่นก็ทำให้เฉินเกอมีเวลาวางแผนการกระทำต่อ ๆ ไป
แสงสลัวในลิฟท์ส่องลงมาที่ใบหน้าของทั้งสองคน ชายในชุดกันฝนยืนอยู่ข้างเฉินเกอ และบรรยากาศอันไม่น่าสบายใจก็แผ่ออกจากชายคนนั้น มันเหมือนกับเขาไม่ใช่คนเป็นแต่เป็นสัตว์ร้ายที่พยายามเก็บงำธรรมชาติอันดุร้ายของตนอยู่
ลิฟท์เริ่มเคลื่อนขึ้นด้านบน ภายในพื้นที่ปิดสนิท ไม่มีโอกาสให้เฉินเกอหลบการโจมตีใด ๆ ที่กำลังจะมาถึง
เพื่อเปิดครรลองสายตาให้ชัดเจน ชายในชุดกันฝนดึงหมวกคลุมของชุดกันฝนของตนออก การกระทำนั้นเผยให้เห็นบาดแผลที่หน้าผากของเขาและยังปานที่ใกล้ ๆ ดวงตาข้างซ้าย– ความบกพร่องเหล่านี้ทำให้เขาหมดเสน่ห์ เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของชายในชุดกันฝน เฉินเกอก็ขยับลึกเข้าไปในลิฟท์ แต่ว่า พื้นที่ด้านในลิฟท์นั้นก็ใหญ่เพียงเท่านี้ ดังนั้นเขาจะมีโอกาสถอยไปไหนได้?
“ก่อนหน้านี้ แกเห็นของที่ในกระเป๋าของฉันใช่ไหม?” ชายในชุดกันฝนหันมาหาเฉินเกอ ปานที่บนหน้าของเขานั้นฉีกออกจากการเคลื่อนไหวและมันก็ดูค่อนข้างน่ากลัว
“ไม่ ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” เฉินเกอนั้นพูดความจริง เขาเพียงแค่เห็นเลือดที่ซึมออกมาจากกระเป๋าเท่านั้น
“อย่างนั้นเหรอ?” ชายในชุดกันฝนทิ้งกระเป๋าลงที่ข้งตัวและดึงมีดที่เขาซ่อนเอาไว้ที่ด้านหลังออกมา “แกไม่เห็นอะไรเลยก็ไม่เป็นไร ตอนที่ฉันยัดแกเข้าไปข้างใน แกจะมีเวลามากมายให้ดูว่าข้างในกระเป๋ามีอะไร!”
เขามองเฉินเกอพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจและสนุกไปกับความสิ้นหวังที่หมุนวนอยู่ในดวงตาเฉินเกอ เขาพุ่งตรงไปพร้อมกับมีด เล็งไปที่ลำตัวของเฉินเกอ เขาเตรียมรับฟังเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากริมฝีปากของเฉินเกอ แต่ตอนที่มีดของเขายังอยู่ห่างจากเฉินเกอครึ่งเมตร เขาก็เห็นชายหนุ่มตรงหน้าเขาคว้ากระเป๋าสะพายหลังของตัวเองและพยายามเหวี่ยงมันใส่เขาอย่างแรง
เขาไม่รู้ว่าในกระเป๋าของเฉินเกอนั้นมีอะไรอยู่ เหมือนที่เฉินเกอก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าของเขา ด้วยความคิดนี้ เขาเดาว่าคงไม่มีอะไรนอกจากของใช้ประจำวันอยู่ในกระเป๋าของเฉินเกอ และนั่นก็คงไม่เป็นไรถ้าจะรับแรงกระแทกจากมันสักครั้ง อย่างไรเสีย มันก็ต่างไปเมื่อเป็นมีดของเขา เพียงแค่จ้วงแทงด้วยคมมีดนี้ครั้งเดียว และเลือดก็จะต้องไหลทะลักออกมา
สีหน้าของเขานั้นบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชัง จากนั้น ชายในชุดกันฝนก็เห็นชายหนุ่มเหวี่ยงกระเป๋าอย่างแรงและกระแทกเข้าที่แขนของเขา
โครม!
เสียงกระดูกหักก้องชัดในหูของเขา สมาธิของชายในชุดกันฝนนั้นจับอยู่ที่เฉินเกอ และจนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่แน่ใจว่าเสียงนั่นดังมาจากไหน แรงกระแทกทำให้เขาล้มไปกับพื้นและมีดก็หลุดออกจากปลายนิ้วหล่นไปที่พื้นเสียงดังเคล้ง
ความเจ็บปวดรุนแรงพุ่งไปทั่วร่างของเขา และนั่นก็กระตุ้นสัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวชายในชุดกันฝน เหมือนสัตว์ที่สิ้นหวัง เขาพยายามเอื้อมไปหามีดด้วยแขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ มีดอยู่ตรงหน้าเขาแท้ ๆ แต่เมื่อปลายนิ้วของเขากำรอบด้ามมีด รองเท้าข้างหนึ่งก็เหยียบมั่นอยู่บนใบมีด
ชายในชุดกันฝนมองขึ้นไป และเขาก็เห็นชายหนุ่มเปิดซิปกระเป๋าด้วยสีหน้าหดหู่
“ถึงแม้ว่าไกด์ในเกมดูเหมือนว่าจะประโยชน์ แต่ดูเหมือนว่าฉันจะไม่สามารถพึ่งพามันได้เต็มที่” เฉินเกอก้มหน้าลงมามองชายในชุดกันฝนและใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความกลัว ความหวาดหวั่น และความตื่นตระหนกทั้งหมดบนหน้าของเขาหายวับไป เขาเลียนเสียงชายในชุดกันฝนเมื่อครู่ “เมื่อกี้นี้ แกเห็นของที่ในกระเป๋าของฉันใช่ไหม?”
“ไม่! เดี๋ยวก่อน!”
ซิปกระเป๋าเปิดออกและเฉินเกอก็คว้าด้ามค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกที่หน้าตาน่ากลัวเอาไว้ เขาดึงมันออกจากกระเป๋า “แกไม่เห็นอะไรเลยก็ไม่เป็นไร ตอนที่ฉันยัดแกเข้าไปข้างใน แกจะมีเวลามากมายให้ดูว่าข้างในกระเป๋ามีอะไร!”
“รอเดี๋ยว! ช่วยด้วย!”
…
ลิฟท์กลับมาที่ชั้นแรก เฉินเกอลากชายในชุดกันฝนที่หมดสติออกมาจากลิฟท์ “เขาดูค่อนข้างผอม แล้วทำไมถึงยัดเขาเข้าไปข้างในไม่ได้กัน? เป็นเพราะว่ามีกระดูกหักมากเกินไปเหรอ? โอ้ ก็ดี อย่างน้อยที่สุดเขาก็เคลื่อนไหวไม่ได้ ฉันไม่ได้หักกระดูกของเขาทุกท่อน– นั่นจะเสียเวลาเกินไป”
ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ทั้งหมดวิ่งเข้ามารวมกลุ่มกันตอนที่เห็นเฉินเกอเดินออกมาจากลิฟท์ ตอนที่พวกเขาเห็นชายในชุดกันฝนมีฟองน้ำลายอยู่เต็มปาก พึมพำบางอย่างที่ฟังไม่รู้เรื่อง พวกเขาทั้งหมดก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
“พวกคุณก็เห็นกับตา เป็นเขาที่ดื้อจะตามผมเข้าไปในลิฟท์ ผมก็ต้องป้องกันตัวเอง” เฉินเกอลากชายในชุดกันฝนและกระเป๋าของเขาไปยังกองขยะใกล้ ๆ ทางเข้าและซ่อนเขาเอาไว้กับถุงขยะพวกนั้น
“พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป?” ผู้โดยสารไม่เข้าใจความคิดของเฉินเกอเลยสักนิด
“ในเมื่อพวกเราก็ถูกเผยตัวไปแล้ว ก็ได้เวลาที่จะต้องปรับกลยุทธต่างไปแล้ว” เฉินเกอลากค้อนเดินไปยังพุ่มไม้ไม่ไกลนัก “ตามผมมา”
สายลมเย็น ๆ ลูบผ่านหลังคอพวกเขา เฉินเกอนั้นไม่ผ่อนฝีเท้าลงเลยทั้งที่เข้าไปในพุ่มไม้ เสียงดังเสียวสันหลังก้องอยู่ที่ด้านในพุ่มไม้– มีคนกำลังทำงานวุ่นวายอยู่
เฉินเกอที่เปื้อนเลือดไปทั้งตัวเดินช้าลง และในที่สุดก็มองเห็นฆาตกรที่ในพุ่มไม้
ผู้ชายคนนี้ดูน่ากลัวกว่าชายในชุดกันฝน ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยจุดสีเทามากมาย มันเหมือนเขากำลังป่วยโรคผิวหนังสักชนิดหนึ่ง แต่เมื่อมองใกล้ ๆ เฉินเกอก็พบว่าจุดพวกนั้นดูคล้ายกับที่ปรากฏบนซากศพมาก
“ผิวสีเทา?” มองจุดสีเทาบนร่างฆาตกรแล้วเขาก็นึกถึงสัตว์ประหลายบางตนและคนที่เขาพบที่เมืองหลี่ว่านนี่ พวกเขาล้วนมีความคล้ายกันบนร่างกาย– ผิวของพวกเขานั้นเป็นสีเทาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
คนเหล่านี้ดูเหมือนจะอยู่ในเมืองหลี่ว่านนานเกินไปและถูกปนเปื้อนจากโลกด้านหลังประตูที่เมืองหลี่ว่าน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ประหลาดกับร่างกายของพวกเขา
“จุดสีเทา ๆ พวกนี้ขยับได้” หลังจากใช้ดวงตาหยินหยาง เฉินเกอก็เห็นว่าจุดสีเทา ๆ ปรากฏขึ้นตามความต้องการของมันเอง พวกมันดูเหมือนกำลังทำเหมือนว่าร่างกายของมนุษย์นั้นเป็นเตียงอันอบอุ่นให้เติบโตและงอกงาม “พวกมันน่าจะเป็นอารมณ์ด้านลมที่สั่งสมไว้ด้านหลังประตู อารมณ์เหล่านี้นั้นฝังตัวเองเอาไว้กับคนเหล่านี้ ทำให้จิตใจของพวกเขานั้นเกินจะควบคุมได้”
อารมณ์ด้านลบผลักดันให้คนธรรมดาเป็นบ้าไปอย่างช้า ๆ และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือมนุษย์ผู้นั้นเปลี่ยนไปเป็นภาชนะบรรจุอารมณ์เหล่านี้ทั้งเป็น พวกเขาใช้ผิวหนังของตนเป็นอาหารแก่จุดสีเทา และเมื่อดำเนินไปเช่นนี้ ทั้งร่างก็จะถูกจุดสีเทายึดครองไป
พอเข้ามาที่โลกด้านหลังประตู เฉินเกอก็เข้าใจความน่ากลัวของโลก ถ้าเขาไม่สามารถต่อต้านอารมณ์ด้านลบได้ ในที่สุดเขาก็จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์ด้านลบเหล่านี้ กลายเป็นตุ๊กตาชักใยของพวกมันและเปลี่ยนไปเป็นผู้อาศัยด้านหลังประตู
“จากข้อมูลที่ได้จากประตู เงานั่นส่งผู้โดยสารที่สิ้นหวังมากมายเข้าไปที่โลกด้านหลังประตู ฆาตกรตรงหน้าฉันคนนี้น่าจะเป็นหนึ่งในคนพวกนั้น”
คนเหล่านั้นกำความหวังสุดท้ายมาที่เมืองนี้ ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่นั้นเป็นหุบเหวที่ยังสิ้นหวังยิ่งกว่า เงานั่นไม่เคยต้องการช่วยพวกเขาอยู่ตั้งแต่แรก– เขาเพียงแค่เห็นคนโชคร้ายเหล่านี้เป็นสารอาหารเลี้ยงดูโลกที่ด้านหลังประตู
ผู้ชายในพุ่มไม้สังเกตเห็นเฉินเกอเช่นกัน แต่อาจจะเพราะว่าเขาเห็นค้อนที่เฉินเกอถืออยู่ เขาไม่ได้ทำอะไรวู่วาม เขาอาจจะเหี้ยมโหด แต่ว่าเขาไม่โง่ เขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวอย่างอธิบายไม่ได้จากร่างฟางหยวน
“ว้าว มีคนซ่อนอยู่ในนี้จริง ๆ ด้วย แกรู้เรื่องนี้ได้ยังไงเนี่ย?” มือกรรไกรตามหลังเฉินเกอมา ในด้านของรูปลักษณ์ เขาอาจจะไม่ด้อยไปกว่าชายในพุ่มไม้เลย อย่างน้อยที่สุด สิ่งแรกที่เขามีก็คือความน่ากลัว เขากำกรรไกรในมือแน่น และยังทำตามคำแนะนำของเฉินเกอและจับกรรไกรที่ตรงกลาง ไม่ใช่ที่ปลายด้านหนึ่ง
“บ้าชะมัด! นี่มันเกินไปแล้ว!” ชายขี้เมาแค่โผล่หัวออกมาดูก่อนที่จะขดตัวหลบด้านหลังหมอ
“คุณเลิกหลบหลังผมทุกครั้งได้ไหม?” ผ้าพันคอปิดใบหน้าของเขา แต่ก็ยังมองเห็นคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน การจู่ ๆ ก็โผล่มาของคนสี่คนทำให้ฆาตกรอึ้งงันไป เขาไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน– เขารู้สึกเหมือนเป็นสัตว์ในสวนสัตว์ให้คนจ้องมอง เขาสูดลมหายใจลึก ๆ และเอื้อมมือไปหาอุปกรณ์ที่เขาใช้ตัดชิ้นส่วนร่างกายก่อนหน้านี้เงียบ ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดผิดบาป ถ้าเขามีโอกาส เขาจะไม่ลังเลเลยที่จะสังหารคนกลุ่มนี้ตรงหน้าเขา
“ไม่ต้องห่วง ผมแค่อยากถามคำถามคุณสองสามคำเท่านั้น และจะขอความช่วยเหลือจากคุณ” เฉินเกอโยนเจ้าแมวขาวไปข้าง ๆ และกดปุ่มเครื่องเล่นเทป ถึงแม้ว่าชายตรงหน้าพวกเขาจะเป็นคนเป็น ๆ บางทีเขาอาจจะอยู่ที่นี่นานเกินไป ร่างกายของเขานั้นปนเปื้อนด้วยอารมณ์ด้านลบอย่างรุนแรง ทำให้เขาดูเหมือนเป็นสัตว์ประหลาดแล้วตอนนี้
“คุณอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว? และมีคนอย่างคุณที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ นี้มากแค่ไหน? คุณเคยเห็นคนที่มีหน้าที่ดูแลเมืองนี้ไหม?” เฉินเกอกำลังจะถามคำถามที่สี่ตอนที่ชายคนนี้ฉวยโอกาสที่เฉินเกอกะพริบตาโถมร่างเข้าใส่เขา เขายกอาวุธในมือขึ้น เล็งไปที่ลำคอของเฉินเกอ
ความเร็วของเขานั้นเร็วกว่าคนธรรมดา ต้องขอบคุณที่เฉินเกอเตรียมการสำหรับการลอบทำร้ายเอาไว้ เขามีปฏิกริยารวดเร็วและใช้ค้อนขวางการโจมตีเอาไว้ แต่ว่า ค้อนหนักมาก และมันก็ไม่ได้ใช้การได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างเวลาที่ต้องการความรวดเร็ว ในที่สุดเฉินเกอก็ทำได้แค่ยกด้ามของมันขึ้นขวางการโจมตี
แต่เฉินเกอก็ต้องประหลาดใจ ตอนที่เขาถูกโจมตี มือกรรไกรที่ข้าง ๆ เขานั้นไม่ได้ถอยไปเพราะความกลัวแต่ยกอาวุธในมือขึ้นช่วยเฉินเกอหยุดการโจมตีเอาไว้
“ทำได้ดี แต่ว่าคุณก็ยังช้าเกินไป” เฉินเกอกระโดดถอยหลังเพิ่มระยะห่างระหว่างพวกเขา จากนั้นเขาก็จับค้อนด้วยสองมือแล้วตวัดมันใส่ฆาตกรในพุ่มไม้ ในด้านรูปลักษณ์ ฝ่ายเฉินเกอย่อมชนะ “ผมแค่อยากถามคำถามคุณไม่กี่ข้อ และคุณก็จะเอาชีวิตผมซะแล้ว?”
ทั้งสองคนวิ่งเข้าไปในพุ่มไม้ เฉินเกอถือค้อนเอาไว้ไล่ตามฆาตกรวิ่งวนไปรอบอพาร์ทเม้นท์สามรอบก่อนที่ฝ่ายหลังจะล้มลงด้วยความหมดแรงและถูกเฉินเกอจับตัวไว้
“คุณยังอ่อนแอเกินกว่าจะแข่งกับผมในด้านความอึด” ร่างกายของเฉินเกอนั้นฝึกฝนมาอย่างดี แน่นอนว่า ก็เป็นเพราะพวกผีที่เขาต้องหนีอยู่ทุกวี่วัน เดินไปที่จุดทิ้งขยะ เฉินเกอเจอเชือกเอามามัดฆาตกรเอาไว้ “ระวังด้วย เกือบจะได้เวลาที่พวกเราต้องเผชิญหน้ากับอันตรายแท้จริงแล้ว”
“เดี๋ยวนะ ฆาตกรบ้าคลั่งพวกนี้ยังไม่ใช่อันตรายแท้จริง?” ชายขี้เมาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว เขามีความรู้สึกว่า ยิ่งอยู่ที่นี่นาน เขาก็จะยิ่งบ้าคลั่งไปกว่าเดิม
“คุณเพิ่งเห็นแค่เล็กน้อยเท่านั้น” เฉินเกอทุบชายในชุดกันฝนที่จุดทิ้งขยะอีกสองสามครั้ง
“อย่ามองผมแบบนั้น ยังมีคนอื่น ๆ ในเมืองหลี่ว่านที่มือเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ที่ผมทำอย่างนี้ก็เพราะว่าผมกลัวว่าพวกเขาจะเปิดโปงพวกเราหลังจากพวกเขาตื่นขึ้นมา ถึงแม้ว่าฆาตกรส่วนใหญ่จะลงมือคนเดียว แต่ระวังไว้ก่อนก็ไม่เห็นเป็นไร” จากนั้นเฉินเกอก็ดึงฆาตกรจากในพุ่มไม้แล้วผลักเขาเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ “พวกคุณรอผมอยู่ที่ชั้นล่าง พอผมให้สัญญาณพวกคุณวิ่ง ก็ให้วิ่งหนีออกไปจากอพาร์ทเม้นท์”
“นั่นฟังดูไม่เหมือนแผนการที่ดีเลยนะ” ชายขี้เมาอยากจะขอรายละเอียดจากเฉินเกอมากกว่านี้ แต่ว่าเฉินเกอเริ่มเดินขึ้นบันไดไปแล้ว
เขาดึงฆาตกรไปยังประตูบ้านเสี่ยวปู้ เห็นภาพอันคุ้นเคย เฉินเกอก็มีความรู้สึกแปลก ๆ ว่าโลกในเกมนั้นซ้อนทับกับโลกจริง
“ฉันจะเข้าไปดูก่อน ถ้าไม่มีเงื่อนงำที่เป็นประโยชน์ ฉันก็จะต้องหาวิธีล่อวิญญาณสีเลือดจากข้างบ้านเสี่ยวปู้ออกมา”
ตอนที่ 644 ทำตามไกด์เกม
เสี่ยวปู้อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ธรรมดา พ่อบุญธรรมของเธอนั้นไม่ได้มีฐานะนัก
“พวกเราควรเคาะประตูไหม?” ยืนอยู่ในทางเดิน เฉินเกอหิ้วฆาตกรที่เขาจับได้จากในพุ่มไม้ไว้แล้วถามออกมาดัง ๆ “อย่างไรเสียที่นี่ก็คือบ้านของเสี่ยวปู้ ดังนั้นมันย่อมไม่ถูกต้องสำหรับฉันถ้าจะพังประตูเข้าไป”
เฉินเกอลองบิดลูกบิดประตู และเขาก็ต้องประหลาดใจ ประตูไม่ได้ล็อก ลูกบิดลั่นดังแกร็กก่อนที่ประตูจะถูกผลักเปิด กลิ่นเหม็นจาง ๆ ลอยออกมาจากด้านในห้อง เฉินเกอหรี่ตา และม่านตาของเขาก็หดแคบลง เป็นสัญญาณบอกว่าเขากำลังใช้ดวงตาหยินหยาง
โต๊ะกาแฟ โซฟา ตู้ทีวี… เครื่องเรือนทั้งหมดดูปกติดี– ไม่มีอะไรสะดุดตา
“มีคนตายอยู่ที่นี่ แกอย่าเข้าไปจะดีกว่า” มือของเขาถูกมัดไพล่หลังเอาไว้ ฆาตกรพึมพำออกมาทั้งที่ก้มหน้าต่ำ เขาดูเหมือนกำลังพูดกับตัวเอง
“แกรู้ได้ยังไง? แกฆ่าคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ไปเหรอ?” เฉินเกอผลักฆาตกรจากด้านหลังและเข้าห้องไปกับเขา
“มีกลิ่นความตายอยู่ที่นี่ ไม่ผิดหรอก” จุดสีเทาบนผิวของเขารวมกันเป็นปื้นและจมูกของชายคนนี้ก็ขยับขยุกขยิก เขาหันไปมองห้องนอน “กลิ่นมาจากในห้องนั้น เหยื่อน่าจะตายนานแล้ว”
เส้นผมยุ่งเหยิงปกคลุมใบหน้าของเขาอยู่ และเขาก็พูดด้วยเสียงต่ำ ๆ แทนที่จะบอกว่าเขาชักนำเฉินเกอ มันเหมือนเขากำลังพยายามใช้ความอยากรู้อยากเห็นของเฉินเกอสร้างโอกาสให้ตัวเองหนี
“ในห้องนอน?” เหยื่อที่เป็นไปได้คนเดียวก็คือพ่อบุญธรรมของเสี่ยวปู้ แต่ตอนที่เฉินเกอเล่นเกมของเสี่ยวปู้ พ่อบุญธรรมของเสี่ยวปู้ตายอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่ใช่ห้องนอน
ตำแหน่งของศพเปลี่ยนไป มีคนอื่นเคยเข้ามาในห้องนี้? เป็นชายในชุดกันฝนหรือว่าตัวเสี่ยวปู้เอง?
เฉินเกอเปิดประตูห้องนอนแล้วมองเข้าไปข้างใน หนังสือทั้งหมดบนชั้นนั้นจัดเรียงไว้เป็นระเบียบ บนพื้นไม่มีเศษขยะ และยังมีรูปวาดแอ็บสแตร็กท์หลายรูปแขวนไว้บนผนัง บนกรอบรูปไม่มีฝุ่น และมันยังดูเหมือนว่าที่นี่นั้นได้รับการทำความสะอาดเป็นประจำ
สิ่งเดียวที่ดูไม่เข้าพวกก็คือเตียงไม้ น่าแปลก เตียงถูกย้ายออกห่างจากผนังดังนั้นจึงวางอยู่กลางห้องพอดี ผ้าปูเตียงผืนหนาดูน่าสบายปูอยู่บนฟู และที่บนนั้นมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งนอนอยู่
“พ่อบุญธรรมของเสี่ยวปู้?” เฉินเกอเดินไปที่เตียง และเมื่อเขาเห็นชายคนนั้นในระยะใกล้ นิ้วของเขาก็กระชับด้ามค้อนโดยไม่รู้ตัว ผิวหนังของชายคนนี้ส่วนใหญ่ถูกแทนที่ด้วยผ้า เขาดูเหมือนตุ๊กตาผ้าถูกทิ้งและยังเป็นชิ้นงานที่หยาบมาก
ในเกมของเสี่ยวปู้ มีตัวเลือกหนึ่งให้เลือก เย็บแผลของพ่อบุญธรรม เปลี่ยนเขาไปเป็นตุ๊กตา
เห็นชายตรงหน้าแล้ว ในที่สุดเฉินเกอก็เข้าใจว่าตอนที่เผชิญหน้ากับทางเลือก เสี่ยวปู้เลือกที่จะไม่เมินเฉยกับพ่อบุญธรรมของเธอและหาวิธีให้แน่ใจว่าเขาจะอยู่กับเธอไปตลอดกาล
เป็นวิธีการรักษาสภาพศพที่โหดร้ายนัก
ฆาตกรเองก็เข้ามาดูใกล้ ๆ เช่นกัน มีความตื่นเต้นยะยิบอยู่ในดวงตาของเขาขณะที่เขาชื่นชมผิวหนังที่ถูกเย็บบนร่างของชายวัยกลางคน “ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นชิ้นงานศิลปะที่ล้ำค่าที่สุดในห้องนี้ คนที่สร้างเขาขึ้นมาต้องบ้ามาก ๆ!”
ฆาตกรหัวเราะอย่างวิกลจริต เขาไม่หยุดจนกระทั่งมีเสียงเคาะดังมาจากผนังด้านติดกับห้องข้าง ๆ
“การประเมินของแกผิดแล้ว” เฉินเกอชี้ไปที่ขอบผิวหนังถูกเย็บติดกับผ้า มีรอยสีเทาอยู่ที่ขอบผิวหนัง “ฆาตกรน่าจะเอาผิวสีเทาออกจากร่างชายคนนี้ทั้งหมด เธอพยายามหาวิธีการช่วยชีวิตผู้ชายคนนี้ หรือไม่อย่างนั้น เธอก็ไม่ต้องการให้ชายคนนี้เปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนแก”
“สัตว์ประหลาด?” ฆาตกรเริ่มหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “มันใช้เวลาไม่นานนักหรอกที่จะเปลี่ยนแกไปเป็นสัตว์ประหลาดที่แกพูดถึง ความสิ้นหวังน่ะหยั่งรากอยู่ในหัวใจแกเรียบร้อยแล้ว และเมื่อจิตใจของคนที่มุ่งมั่นมาก ๆ คนหนึ่งแตกสลาย พวกเขาก็จะกลายไปเป็นปิศาจที่บ้าคลั่งที่สุด!”
เขาก็เหมือนงูเห่า หลังจากฟื้นฟูกำลังได้แล้ว เขาก็พร้อมที่จะทรยศเฉินเกอ
“แกควรจะเอาเวลามาเป็นห่วงตัวแกเองมากกว่า เพราะว่าถ้าฉันเป็นบ้าไปจริง ๆ เป้าหมายแรกของฉันก็คือแก ฉันจะใช้ค้อนนี่ ทุบลงไปบนร่างกายของแกไม่จบสิ้นจนกว่าฉันจะรู้สึกดีขึ้น” เฉินเกอเพียงแค่พูดให้เขากลัว แต่ฆาตกรกลับเอาคำพูดของเขามาเป็นจริงจังเพราะว่าเขาคิดจริง ๆ ว่าเฉินเกอทำอะไรอย่างนั้นได้แน่นอน
“แต่นั่นก็ไร้ประโยชน์ เมื่อแกเริ่มเสียสติไป ไม่ว่าแกจะทำอะไร หัวใจของแกก็จะไม่กลับมาเป็นอย่างที่มันเคยเป็น ดังนั้น แกควรจะควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้ตั้งแต่ตอนที่ยังทำได้” ดวงตาของฆาตกรนั้นสอดส่ายไปทั่วห้องมองหาบางอย่างที่จะใช้การได้ เขารู้สึกว่ามันอันตรายเกินไปที่จะอยู่ใกล้กับเฉินเกอ– เขาอาจจะตายตอนไหนก็ได้
“ถึงแกจะทำไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นก็ทำไม่ได้ ครั้งหนึ่งฉันเคยเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอน่าจะเป็นตัวตนที่สิ้นหวังที่สุดที่ด้านหลังประตู แต่ว่าเธอไม่ได้สูญเสียความเป็นตัวเองไป” พ่อบุญธรรมของเธอถูกทำให้เป็นตุ๊กตา แต่ว่าเฉินเกอก็ยังปกป้องเสี่ยวปู้ เขาปรารถนาเหลือเกินว่าเด็กคนนั้นที่ถูกเงานั่นข่มขู่จะยังสามารถรักษาความเมตตาของตัวเองเอาไว้ได้
ตึง ตึง…
เสียงประหลาดดังมาจากกำแพง มันไม่ดัง แต่ว่ามันก็ดึงดูดความสนใจของฆาตกรและเฉินเกอได้
“ดูเหมือนว่าจะมีบางคนบ่นเรื่องเสียงนะ” ฆาตกรกระซิบ เขาสังเกตเห็นแสงสะท้อนจากมีดปอกผลไม้ที่ถูกทิ้งเอาไว้ที่บนโต๊ะกาแฟจากปลายหางตา เขาขยับไปหามันเงียบ ๆ
“ถ้าแกถามฉันนะ ฉันคิดว่าแกน่าจะบ่นที่แกมีชีวิตมายาวนานถึงขนาดนี้มากกว่า” เฉินเกอยิ้มให้กับฆาตกร เขาไม่ได้บอกผู้ชายคนนั้นว่าเสียงเคาะนี่หมายถึงอะไร
เตียงถูกวางเอาไว้กลางห้อง ห่างจากผนังทุกด้าน การจัดวางที่ประหลาดนี้บอกใบ้หลายอย่าง เสียงเคาะดังขึ้น เฉินเกอคำนวณเวลาอยู่ในใจและเริ่มค้นหาสิ่งที่มีประโยชน์ในห้อง หลังจากผ่านไปสองสามนาที เขาก็รู้สึกเหมือนผู้หญิงหัวขาดที่ห้องข้าง ๆ นั้นกำลังจะคลั่งแล้ว ดังนั้นเขาจึงคว้าตัวฆาตกรและวิ่งออกไปจากบ้านของเสี่ยวปู้
“แกกำลังจะทำอะไร?” ความรู้สึกเลวร้ายผุดขึ้นในใจฆาตกร
“เพื่อนบ้านเอาแต่เคาะกำแพง พวกเขาน่าจะกำลังขอความช่วยเหลือ พวกเราควรจะไปดู”
“ต่อให้ตายกันไปทั้งครอบครัว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแก? เลิกยุ่งเรื่องคนอื่นได้แล้ว ที่นี่ไม่มีคนบริสุทธิ์หรอกนะ ความใจดีของแกน่ะมีแต่จะได้รับความชั่วร้ายตอบแทน!” หัวใจของฆาตกรเต้นรัวเพราะเหตุผลใดที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ
“ที่นี่ไม่มีคนบริสุทธิ์?” เฉินเกอจู่ ๆ ก็นึกถึงภารกิจที่โทรศัพท์เครื่องดำมอบให้ ช่วยชีวิตผู้บริสุทธิ์ได้ เขาจะได้รับรางวัลจากภารกิจเพิ่ม ดูเหมือนว่าการจะได้รับรางวัลจากโทรศัพท์เครื่องดำก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
“พวกเราอยู่ที่นี่ไม่ได้ หลังจากพวกเราออกไปจากที่นี่แล้ว พวกเราจะทำอะไรก็ได้ตามที่แกอยากทำ ฆ่าฉันก็ได้ถ้าแกต้องการ”
“เยี่ยมเลย หลังจากแน่ใจแล้วว่าเพื่อนบ้านไม่เป็นอะไร พวกเราจะออกไปทันที” เฉินเกอลากฆาตกรไปยังประตูห้องข้าง ๆ เขาบิดลูกบิดประตูและพบว่าประตูไม่ได้ล็อกเอาไว้
ตึง ตึง…
เสียงประหลาดก้องมาจากส่วนลึกของห้อง เฉินเกอและฆาตกรยืนอยู่ที่ประตู พวกเขามองไปตามทางเดินมืด ๆ และไม่กล้าขยับ
“เหมือนจะมีบางอย่างในบ้านหลังนี้…” ฆาตกรเริ่มพึมพำ และนั่นก็ทำให้เฉินเกอเกร็งเครียดขึ้นมา
เสียงเคาะดังขึ้น กลิ่นคาวเลือดหนาหนักลอยมาจากทางห้องนอน เลือดไหลนองมาตามพื้น และจากมุมที่พวกเขาอยู่ ทั้งห้องนี้เหมือนย้อมไปด้วยสีแดงสด!
ดวงตาแดงก่ำคู่หนึ่งลืมขึ้นในความมืด กะโหลกที่พิงอยู่กับผนังห้องนอนค่อย ๆ หันมองไปยังเฉินเกอและฆาตกรที่ยืนอยู่ที่ทางเข้าช้า ๆ ในเวลาเดียวกัน เสียงผู้หญิงไร้หัวเดินออกมาจากด้านหลังประตูห้องนั่งเล่น เสื้อผ้าของเธอนั้นชุ่มไปด้วยเลือด และเลือดก็เป็นประกายจนแทงตาในความมืด
“วิญญาณสีเลือด!” เมื่อพวกเขาเห็นผู้หญิงคนนี้ เฉินเกอก็หันหลังวิ่งหนีทันที ตอนที่ฆาตกรหายตกใจ เฉินเกอกับค้อนของเขาก็อยู่ห่างไปห้าเมตรแล้ว
“แก…” เลือดถักทอเป็นตาข่าย และมันก็ลากฆาตกรเข้าไปในห้อง หลายวินาทีให้หลัง กะโหลกน่าสะพรึงของผู้หญิงคนนั้นก็คลิ้งออกมาจากในห้อง มันพุ่งไปทางเฉินเกอทั้งเลือดชุ่ม ๆ!
เพราะไม่กล้าใช้ลิฟท์ เฉินเกอจึงพุ่งผ่านประตูนิรภัยและวิ่งลงไปตามบันได เขาตะโกนเสียงดังไปยังผู้โดยสารที่กำลังรอเขาอยู่ ดวงตาขุ่นมัว “วิ่ง! พอออกไปจากเขตที่พักอาศัยแล้วเลี้ยวซ้าย! เข้าไปหลบในโรงแรม!”
ฆาตกรนั่นซื้อเวลาให้ฉันได้แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น– นี่ต่างไปจากในเกม! วิญญาณสีเลือดนั่นก็ทรงพลังอย่างไม่น่าเป็นไปได้ มีแค่ซู่อิน ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอคนนั้น! ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วตอนนี้นอกจากล่อเธอไปที่โรงแรม!
ตอนที่ 645 วิ่งหน้าตั้ง
วิญญาณสีเลือดในบ้านข้าง ๆ เสี่ยวปู้นั้นมีพลังมากกว่าที่เขาจำได้ อันที่จริง ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของเขาเช่นกัน เขาประมาทเกินไปหลังจากใช้เวลากับเหล่าวิญญาณสีเลือดมากเข้า ลืมความกลัวที่เคยกอบกุมใจเขาตอนที่เขาเจอกับวิญญาณสีเลือดครั้งแรก
สีแดงสดนั้นหมายถึงอันตรายและความน่ากลัว ตอนที่ผีผู้หญิงปรากฏตัวขึ้น สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดในกระดูกของเฉินเกอก็ตื่นตัวขึ้นมา ก่อนที่ฆาตกรคนนั้นจะทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เฉินเกอก็เผ่นไปไกลแล้ว
ตอนที่เสี่ยวปู้ผลักเปิดประตูครั้งแรก เธอก็เป็นแค่เด็กธรรมดา เธอรอดชีวิตอยู่หลังประตูนานขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
ฆาตกร ผี และยังสัตว์ประหลาดผิวสีเทา– ในเมืองนี้ ไม่ได้ต่างไปจากฝันร้ายเลย กระทั่งผู้ใหญ่สักคนยังรู้สึกว่ายากที่จะเอาชีวิตรอด ดังนั้นแล้วเด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งทำได้อย่างไร? นั่นทำให้เฉินเกอสงสัย
เฉินเกอลากค้อนวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เขาไม่กล้ามองกลับไปข้างหลัง เสียงเคาะและเสียงน้ำที่ดังมาจากด้านหลังเขานั้นเป็นแรงกระตุ้นที่เพียงพอให้เขาวิ่งไปเรื่อย ๆ เขารู้ว่าวิญญาณสีเลือดตนนั้นอยู่ด้านหลังเขานี่เองแล้ว
ผู้โดยสารสองสามคนนั้นเดิมยืนอยู่กลางเขตที่พักอาศัย พวกเขามองไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่โอบล้อมไปด้วยหมอกสีเลือดและเบียดตัวเข้าหากัน กลัวว่าแค่กะพริบตาแล้วพวกเขาก็จะถูกลากเข้าไปในหมอกโดยสัตว์ประหลาดสักตน หลังจากแยกจากเฉินเกอ พวกเขาก็เหมือนไร้ที่ยึดเหนี่ยว รู้สึกไม่มั่นคง และไม่ปลอดภัย
“วิ่ง!” เสียงเฉินเกอดังออกมาจากในอพาร์ทเม้นท์ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เหล่าผู้โดยสารได้ยินเฉินเกอใช้น้ำเสียงเร่งร้อนเช่นนั้น ในใจพวกเขาคิดว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้ชายคนนี้ก็มักจะสงบนิ่งเหมือนความสยองขวัญนั้นเป็นอะไรที่อยู่ไกลจากตัวเขา ความจริงพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาเข้าใจผิดไป ผู้ชายคนนั้นไม่ได้มีภูมิต้านทานความกลัว– มันก็แค่ว่า เขายังไม่ได้เจอกับอะไรที่ทำให้เขาหวาดกลัวได้เท่านั้น!
หลังจากได้ยินเสียงเฉินเกอ ผู้โดยสารก็หันหน้าไปทางเฉินเกอช้า ๆ แขนซ้ายของเขานั้นหิ้วกระเป๋าสองใบเอาไว้ มือขวาลาก ‘ค้อนประกอบฉาก’ ไหล่ขวาของเขานั้นมีเจ้าแมวขาวที่กำลังกระวนกระวายเกาะเอาไว้แน่น เฉินเกอมาถึงพร้อมกันสีหน้าบิดเบี้ยว ขาของเขาก้าวรวดเร็วราวกับสายลมขณะวิ่งมาทางพวกเขา “วิ่งไปทางซ้าย! ไปที่โรงแรม! โรงแรม!”
ตอนแรก ผู้โดยสารนั้นไม่รู้ว่าเฉินเกอไปเจอกับอะไรเข้า หนึ่งวินาทีให้หลัง ดวงตาของพวกเขาก็มองผ่านเฉินเกอไป ศพผู้หญิงไร้หัวเดินออกมาจากทางเดินมืด ๆ หลอดเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนคืบคลานออกมาจากลำคอที่ถูกตัดขาดเรียบไปถักทอเป็นตาข่ายเลือดแดงสดผืนใหญ่ ที่ปลายตาข่ายนั้นเป็นหัวคนที่ดูน่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ!
“เชี่ยไรน่ะ!”
“คุณทำอะไรลงไปเนี่ยคราวนี้?”
“วิ่ง!”
ตัวตนของวิญญาณสีเลือดนั้นข่มขวัญยิ่งกว่าวิญญาณทั่วไปมากนัก ตอนที่ผู้โดยสารเห็นเธอ ปฏิกริยาของพวกเขานั้นก็คล้ายกับเฉินเกอ พวกเขาเริ่มออกวิ่ง พวกเขานึกไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาถูกจับตัวได้ สมองของพวกเขาว่างเปล่า และมีแค่คำสั่งเดียวที่เหลืออยู่– วิ่ง! วิ่งให้เร็วเท่าที่ทำได้!
ความเร็วของผีผู้หญิงนั้นเร็วกว่าในเกม เฉินเกอนั้นวิ่งเร็วสุดชีวิตแล้วแต่ถึงอย่างนั้นระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ยังแคบลง
โชคดีที่ฉันส่งฆาตกรเข้าไปที่นั่นก่อน ถ้าฉันเป็นคนเปิดประตูโดยไม่มีเวลาสองสามวินาทีนั้นเป็นตัวกลาง ฉันก็คงจะถูกลากเข้าไปในห้องไปแล้ว
เมื่อไม่สามารถเรียกจางหยาออกมาได้ เฉินเกอก็มีแค่ซู่อินที่อาจจะสามารถหยุดผู้หญิงไร้หัวตนนี้ไว้ได้
หลังจากทำภารกิจที่นี่สำเร็จ ไม่ว่ายังไง ฉันก็ต้องช่วยซู่อินตามหาหัวใจของเขาแล้ว!
วิ่งไปตามถนน ภาพจากเกมของเสี่ยวปู้ก็ซ้อนขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ ในถนนที่เต็มไปด้วยหมอก พวกเขาหลายคนกรีดร้องบ้าคลั่งขณะวิ่งไปตามทางถนนสู่ปลายทางอันไม่รู้จัก
“ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว! ขาฉันไม่ขยับแล้ว!” ชายขี้เมากุมหน้าอกตัวเอง “มันเหมือนหัวใจของฉันจะวายไปแล้ว!”
“ถ้าคุณหยุด เจ้าสิ่งนั้นก็จะมาควักหัวใจคุณออกจากหน้าอกด้วยตัวมันเอง! อย่าหยุด!” เฉินเกอร้องเตือน บางทีการให้กำลังใจของเขาอาจจะใช้ได้ผล ชายขี้เมากัดฟันแล้วพุ่งไปข้างหน้าต่อ
“ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงบอกให้พวกเรารอคุณที่ทางเข้า! ถ้าคุณบอกพวกเราว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น พวกเราก็ไปรอคุณอยู่ที่โรงแรมแล้ว!” มือกรรไกรตะโกน กระทั่งฆาตกรที่น่ากลัวที่สุดก็ยังหวาดกลัวเมื่อเจอเข้ากับวิญญาณสีเลือด อย่าว่าแต่ตัวปลอมคนหนึ่งนี่เลย
ท่าทีของเฉินเกอต่อมือกรรไกรนั้นค่อนไปทางใจดีด้วย อย่างไรเขาก็วางแผนจะฟูมฟักชายหนุ่มคนนี้มาเป็นพนักงานของเขา “ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่! ตราบใดที่คุณวิ่งเร็วพอ ผีก็ไม่สามารถจับคุณได้! แค่ฟังผม! พวกเราจะปลอดภัยเมื่อไปถึงโรงแรม!”
เมื่อคนผู้หนึ่งเจอกับเรื่องเหนือธรรมชาติ สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือการขังตัวเองเอาไว้ในอาคารปิด ตราบใดที่สามารถวิ่งได้ อย่างนั้นก็ยังมีความหวัง นี่เป็นข้อสรุปที่เฉินเกอได้มาหลังจากได้รับมือกับพวกผีหลายครั้งเข้า ในเมื่อพวกผีนั้นไล่ตามมาติด ๆ แล้ว มันก็สายเกินกว่าจะพูดอะไรแล้วตอนนี้ สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือวิ่ง
ตึกที่สองฟากข้างถนนนั้นมีเสียงประหลาดดังออกมา มันเหมือนสิ่งนั้นอาจจะเอื้อมมือออกมาจากหน้าต่างที่เปิดไว้ครึ่ง ๆ เมื่อไหร่ก็ได้
“อยู่กลางถนนเข้าไว้! อย่าเข้าไปใกล้ตึกพวกนั้นเกินไป!” เฉินเกอยังจำฉากในเกมของเสี่ยวปู้ได้ อันตรายอยู่ในทุกที่ในเมืองหลี่ว่านเมื่อฟ้ามืดลง สัตว์ประหลาดและผีซ่อนตัวอยู่ในตึกมักจะใช้ความมืดกำบังการโจมตี ‘ลูกแกะ’ ที่เดินมาตามถนน
“สัตว์ประหลาดและผีส่วนใหญ่นั้นจะไม่ออกมาจากตึกของตัวเอง แต่ว่ากฎนี้นั้นใช้กับวิญญาณสีเลือดไม่ได้” เฉินเกอหันกลับไปมองด้านหลังตัวเอง เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรที่เป็นการท้าทายผู้หญิงคนนี้เข้าเธอถึงไม่ยอมปล่อยเขาไป “ดูเหมือนว่าในเมืองหลี่ว่าน วิญญาณสีเลือดจะเป็นผู้ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร นี่น่าจะเป็นภาพสะท้อนของสภาพที่ด้านหลังประตูได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน”
เฉินเกอนั้นเป็นคนใจดี เพราะว่าเขาวิ่งอยู่ด้านหลังคนเดียวและรับความเสี่ยงใหญ่ที่สุด หลังจากวิ่งไปตามถนนอยู่หลายนาที หมอและมือกรรไกรที่วิ่งนำหน้า ในที่สุดก็มองเห็นโรงแรมที่เฉินเกอพูดถึง นี่เป็นตึกที่ผสานร้านอาหารและโรงแรมเข้าด้วยกัน มันตั้งอยู่กลางเมืองและดูเก่า บางทีอาจจะสร้างมาหลายสิบปีแล้ว
“ที่นั่น! เข้าไปในนั้น” เฉินเกอนั้นอยู่ใกล้กับผีอย่างน่าหวาดเสียว ผลกระทบโดยตรงที่สุดจากเรื่องนี้ก็คือเจ้าแมวขาวที่เดิมเกาะอยู่บนไหล่ของเขานั้นตอนนั้นย้ายมาแอบอยู่ที่อกเขา กรงเล็บของมันจิกเสื้อของเฉินเกอเอาไว้แน่นหนาและมันก็เอาแต่ส่งเสียงขู่ฟ่อตลอดเวลา
พอเหล่าผู้โดยสารพุ่งเข้าไปในโรงแรม เฉินเกอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขายกค้อนขึ้นและเล็งไปที่ประตู เขาเหวี่ยงค้อนเข้าไปจากนั้นก็เร่งความเร็วและเบียดตัวเองเข้าประตูไปได้ฉิวเฉียด
“ปิดประตู!” ประตูกระแทกปิด และจากนั้นก็มีเสียงดังลั่น ผู้โดยสารรีบช่วยกันย้ายเครื่องเรือนมาขวางทางเข้าเอาไว้ หลายนาทีให้หลัง ประตูก็หยุดสั่น และเหลือเพียงเสียงเคาะสม่ำเสมอดังมาจากด้านนอกประตู
“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว พวกเราพักกันได้ครู่หนึ่ง” เฉินเกอหยิบค้อนขึ้นมาและยัดมันกลับเข้าไปในกระเป๋า เขาอุ้มเจ้าแมวขาวที่หมดแรงไปแล้ว เจ้าแมวดูราวกับทำกระดูกหล่นหายไปจากร่าง มันเอนตัวนอนในกระเป๋าอย่างอ่อนแรง
“พี่ชาย คุณแน่ใจเหรอว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้ว? ผู้หญิงที่ด้านนอกยังใช้หัวกระแทกประตูอยู่เลย!” ชายขี้เมามองผ่านช่องเล็ก ๆ ออกไป “เธอใช้หัวตัวเองเคาะประตูจริง ๆ นะ!”
ตอนที่ 646 คุณเจ้าของ
“ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างอยู่ในความควบคุม” เฉินเกอลุกขึ้นยืดข้อต่อต่าง ๆ เทียบกับสภาพของผู้โดยสารคนอื่นแล้ว ใคร ๆ ก็เห็นได้ว่าเฉินเกอนั้นฝึกฝนร่างกายมาดีเพียงใด
“โรงแรมนี้อยู่ภายใต้อาณาเขตของวิญญาณตนอื่น ดังนั้นผู้หญิงไร้หัวคนนั้นจะไม่กล้าบุกเข้ามาชั่วคราว” เฉินเกอตบ ๆ ท้องเจ้าแมวขาว มันกำลังกลัวมากจนไม่ผลักมือเฉินเกอกลับตามปกติ
“เดี๋ยวนะ! คุณเพิ่งพูดอะไรนะ? คุณหมายความถึงอะไรที่บอกว่าที่นี่อยู่ภายใต้อาณาเขตของวิญญาณตนอื่น? อย่าบอกผมนะว่า… มีสิ่งอื่นที่คล้ายสัตว์ประหลาดนั่นอยู่ที่นี่!” ชายขี้เมานั้นได้รับการฝึกฝนมากเกินไปแล้วคืนนี้ สมองของเขาจึงเปลี่ยนเป็นว่องไวขึ้น
“ผมเดาว่าคุณก็คงเห็นเป็นอย่างนั้นแหละ แต่ไม่ต้องห่วง ผีผู้หญิงนั่นยังหลับอยู่ สำหรับตอนนี้ เธอจะยังไม่ตื่น” เฉินเกอเดินเข้าไปในร้านอาหาร ทิ้งผู้โดยสารที่ยังอึ้งอยู่เอาไว้
“เขายอมรับง่ายขนาดนี้เลยเรอะ? มีผีผู้หญิงอีกตนอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ? มันอะไรกันเนี่ย?” ชายขี้เมาหันกลับไปมองมือกรรไกรและหมอ “เฮ้ ทำไมคุณสองคนไม่พูดอะไรเลย? มีผีผู้หญิงอยู่ที่ข้างนอกนั่นนะ ผีร้ายนะ!”
“เงียบหน่อยน่า มีผีแล้วยังไงอ่ะ?” มือกรรไกรตีมือชายขี้เมากลับและแค่นเสียงเย็น “ถ้ามันกล้ามาหาฉัน ก็คอยดูฉันจัดการกับมันแล้วกัน”
ในพวกเขาไม่กี่คนนี้ หมอนั้นคุมสติได้ดีที่สุด “พวกคุณสังเกตไหมว่าคำที่เขาใช้ล้วนหมายถึงชั่วคราวน่ะ? นี่หมายความว่าผีที่ด้านนอกอาจจะเข้ามาได้ และผีที่ด้านในก็อาจจะตื่นขึ้นเร็ว ๆ นี้ก็ได้ และถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราก็ต้องรับมือกับผีสองตนในเวลาเดียวกัน”
“คุณหมายความว่ายังไง?” ชายขี้เมาเชื่อว่าหมอเป็นคนที่เชื่อถือได้ที่สุดในกลุ่ม และเขาก็พยายามจับความหมายแฝงในถ้อยคำของเขา
“ผมหมายถึง คุณควรจะพยายามเก็บแรงเอาไว้ สถานการณ์ของพวกเราอาจจะเลวร้ายกว่านี้ได้” หมอเองก็หอบอย่างหนักเช่นกัน ในผู้โดยสารทั้งสามคน มือกรรไกรนั้นมีร่างกายที่แข็งแรงที่สุด อย่างไรเสีย เขาก็เตรียมการมานานวัน และนั่นก็รวมถึงการฝึกฝนร่างกายอย่างหนักด้วย
“คุณพูดเล่นแล้ว… นี่ฉันเดินเข้ามาในฝันร้ายประเภทไหนกันเนี่ย ฉันแค่ออกมาดื่มนิดหน่อยแค่นั้นเองนะ…” ชายขี้เมาตะกายลุกขึ้นจากพื้น ฟังเสียงเคาะที่ก้องจากประตูแล้ว เหงื่อเย็น ๆ ก็ไหลลงมาตามใบหน้าของเขา
“มีคนอยู่ไหม?” เฉินเกอเดินไปที่เคาน์เตอร์ โรงแรมนั้นตกแต่งในรูปแบบยุคเก้าสิบ– มันดูคล้ายกับที่ในเกมของเสี่ยวปู้ หลังจะรออยู่สิบวินาที ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากในห้องลึกเข้าไปในทางเดิน “รอสักครู่ครับ! ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้!”
หนึ่งนาทีให้หลัง ผู้โดยสารทั้งหลายก็เห็นชายร่างอ้วนคนหนึ่งเดินเป๋ไปมาตามทางเดิน มือของเขานั้นกำลังผูกผ้ากันเปื้อน และผ้ากันเปื้อนก็ดูใหม่เพราะว่าไม่มีรอยเปื้อนอะไรเลย
“ทำไมคุณถึงช้านัก? แสดงให้เห็นถึงความขาดประสิทธิภาพ ในฐานะของธุรกิจให้บริการชนิดหนึ่ง คุณต้องจำเอาไว้ว่าลูกค้าต้องมาก่อนเสมอ” เฉินเกอกวาดตามองชายคนนั้นอย่างหมดความอดทน
“ขอโทษเป็นอย่างยิ่งครับ ผมกำลังช่วยในครัวอยู่” ชายวัยกลางคนไม่โกรธ อันที่จริง เขามีรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยซ้ำ รวมกับท่าทีทั้งหมดของเขาแล้ว มันก็ทำให้เขาดูเป็นมิตรและยินดีต้อนรับ
“ช่วยในครัว?” เฉินเกอสังเกตเห็นว่ามือของชายคนนี้ยังเปียก– เพิ่งล้างมือมา แต่ว่า เขารีบร้อนเกินไป ดังนั้นจึงมีรอยเปื้อนสีแดงเข้มเหลืออยู่ใต้เล็บ
“ใช่ พวกเรามีพ่อครัวแค่คนเดียวที่นี่ ดังนั้นบางครั้ง ผมก็ต้องเข้าไปที่ข้างหลังเพื่อช่วยเขา” ชายร่างอ้วนหัวเราะ ดวงตาเหลือเล็กเท่าลูกปัดจากไขมันที่พอกหนา หากเขาไม่หันหน้ามา ก็ยากที่จะบอกว่าเขากำลังมองใครอยู่
“คุณเป็นเจ้าของที่นี่เหรอ?” นี่เป็นครั้งแรกที่ชายขี้เมาเจอกับคนที่เขาสามารถพูดคุยได้ด้วยอย่างปกติ และหัวใจของเขาก็ยิ่งกว่าแค่ตื่นเต้นเล็กน้อยเสียอีก
“ผมต้องช่วยงานในครัว ทำหน้าที่พนักงานเสิร์ฟ และยังต้องดูแลการจองห้องพัก ถึงจริง ๆ แล้วผมจะเป็นเจ้าของที่นี่ ผมก็ดูเหมือนจะแย่ยิ่งกว่าคนที่ถูกจ้างมาช่วยที่นี่เสียอีก” ผู้ชายคนนั้นเบียดตัวเข้าไปด้านหลังเคาน์เตอร์ “พวกคุณจะพักที่นี่หรือว่าแค่มาทานอาหาร?”
“ค่าใช้จ่ายคิดยังไง?” หมอขมวดคิ้ว เขารู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง สามารถให้บริการอยู่ในเมืองเล็ก ๆ เช่นนี้ได้ ต้องมีบางอย่างไม่ปกติที่นี่
“คุณพักฟรีได้ในคืนแรก แต่ถ้าคุณต้องการพักต่อคืนที่สอง พวกเราจะเลือกขอสิ่งหนึ่งของคุณเป็นค่าห้อง” เหมือนกลัวว่าจะเกิดความเข้าใจผิด เจ้าของร่างอ้วนก็เสริม “เงินไม่ได้สำคัญกับพวกเราที่นี่นัก พวกเราอยากได้ช่วงเวลาอันโดดเด่นไม่เหมือนใคร”
“แล้วถ้าพวกเราอยากจะอยู่ต่อเป็นคืนที่สามล่ะ?” เฉินเกอถามขัด
“พวกเราก็จะขออีกสิ่งหนึ่งจากคุณ พวกเราจะไล่คุณออกไปก็เมื่อคุณไม่สามารถจัดหาสิ่งที่เราต้องการได้แล้ว” เจ้าของดูมีเหตุผล “ผมสามารถรับรองได้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเมืองเล็ก ๆ นี่”
“ผมว่าผมเข้าใจนะ” ชายขี้เมาพยักหน้า “ที่นี่ก็เหมือนเซฟโซนในเกม พวกเราสี่คนพักที่นี่คืนนี้เป็นยังไง?”
“นี่เป็นกุญแจห้องของพวกคุณ” เหมือนกลัวว่าชายขี้เมาจะกลับคำ เจ้าของร่างอ้วนรีบดึงกุญแจสี่ดอกออกมาจากใต้เคาน์เตอร์ แต่ละดอกนั้นติดหมายเลขเอาไว้
“พวกเราไม่ต้องการสี่ห้องหรอก พวกเราอยู่ห้องละสองคนก็ได้” หมอก็ยังคงระแวดระวังมากกว่า
“ได้แน่นอน พวกคุณคุยกับเองเลยว่าจะจัดการแบ่งกันนอนอย่างไร ผมจะกลับไปที่ครัวช่วยพ่อครัวเตรียมอาหารเย็นให้พวกคุณ” คุณเจ้าของเดินโซเซกลับไปยังห้องครัว แต่น่าแปลก ทางที่เขาเดินไปนั้นเป็นคนละทางกับที่เขาใช้ตอนเดินออกมาจาก ‘ห้องครัว’
หลังจากเจ้าของไปแล้ว หมอก็เลือกสองห้องที่อยู่ติดกัน “พวกเราเลือกสองห้องนี้ แต่ว่าพวกเราทั้งสี่คนจะอยู่ในห้องเดียวกันทิ้งให้อีกห้องเป็นห้องเปล่า พวกเราจะผลักกันเฝ้ายามตลอดทั้งคืน จับตามองอีกสองห้องนี่เอาไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น คนที่อยู่ยามต้องปลุกทุกคนขึ้นมา”
“นั่นเป็นความคิดที่ฉลาดมาก!” ความหวังผุดขึ้นในดวงตาของชายขี้เมา “ตราบใดที่พวกเรารอดไปถึงตอนเช้าหรือจนหมอกสลายไป พวเราก็จะสามารถหนีออกจากเมืองเล็ก ๆ นี่ได้!”
มือกรรไกรเห็นด้วยกับหมอ ในกลุ่ม มีแค่เฉินเกอที่มีสีหน้าประหลาด
“นี่น่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว” หมอหันไปหาเฉินเกอ อย่างไรเสีย ฝ่ายหลังนั้นก็เหมือนศูนย์รวมจิตวิญญาณของพวกเขา
“ถ้าพวกเราซ่อนอยู่ในห้องนี้นั่นก็หมายความว่าพวกเรายอมแพ้ที่จะเป็นฝ่ายบุก ทำให้พวกเขามีเวลามากพอที่จะติดตั้งกับดักต่าง ๆ และพวกเราก็จะทำได้แค่รออยู่ในห้องเท่านั้น” เฉินเกอไม่แม้แต่จะเหลือบมองลูกกุญแจที่บนเคาน์เตอร์
“อย่างนั้นคุณคิดว่าพวกเราควรจะทำอย่างไร?” คนอื่น ๆ นั้นสงสัยในความคิดของเฉินเกอ
“ง่ายมาก เจ้าของคนนั้นบอกก่อนหน้านี้ว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่นอกจากเขาและพ่อครัว” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเฉินเกอขณะที่เขาเอื้อมมือออกไป “มีพวกเขาสองคนแต่พวกเรามีกันสี่คน เทียบกับการผ่านคืนนี้ไปอย่างกระวนกระวาย ผมอยากจะเป็นฝ่ายลงมือและทำตัวเป็นเจ้าของที่นี่สักคืนหนึ่ง”
“คุณต้องการยึดที่นี่?” ชายขี้เมารู้สึกว่าโลกของเขากำลังจะระเบิดออก “พี่ชาย ผู้ชายคนนั้นทั้งใจดีและสุภาพตอนที่พูดคุยกับเราก่อนหน้านี้ แล้วคุณยังวางแผนจะขโมยที่นี่จากเขา? นั่นจะไม่เหมาะสมไปหน่อยหรือเปล่า?”
“สถานที่ที่กระทั่งวิญญาณสีเลือดไม่กล้าเข้ามาอย่างง่าย ๆ คุณคิดจริง ๆ หรือว่าเจ้าของคนนั้นนั่นใจดีกับพวกเรา?” เฉินเกอเล่นเกมของเสี่ยวปู้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงเข้าใจจุดประสงค์ของ ‘โรงแรม’ นี่ ลูกค้าล้วนเป็นอาหาร รอคอยให้ถูกส่งเข้าไปในท้องของวิญญาณสีเลือดที่ถูกขังเอาไว้ในตู้เย็น “ระหว่างมื้อเย็นพวกคุณจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงทำอย่างนี้”
เฉินเกอวางเจ้าแมวขาวกลับไปที่บนไหล่ของเขาและเก็บกุญแจทั้งสี่ดอก “อย่าได้เปิดโปงแผนการไป ผมหวังว่าพวกคุณจะเชื่อผม ผมรับรองกับพวกคุณได้ว่าผมเป็นคนดี แต่ว่าความใจดีของผมก็มีขอบเขต”
ตอนที่ 647 เลิกเสแสร้ง (1+2)
ความใจดีไม่ใช่การอดทนอย่างตาบอดหูหนวก และมันก็ไม่ใช่การหลอกตัวเองว่าการทำเรื่องดี ๆ จะนำไปสู่สิ่งดี ๆ ตอบแทน ความใจดีจริงแท้แล้วนั้นมาพร้อมกับความแข็งแกร่ง วิถีการดำรงชีพของคนผู้หนึ่ง จิตวิญญาณที่เกิดขึ้นจากการลงมือทำในทุก ๆ วันสม่ำเสมอ
เฉินเกอนั้นเป็นคนใจดี แต่วิธีการที่เขาแสดงความใจดีออกมานั้นเป็นเอกลักษณ์อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งกลุ่มอยากจะพูดอะไรอีกตอนที่ได้ยินสิ่งที่เฉินเกอพูด แต่หลังจากตรึกตรองถ้อยคำของเขาแล้ว พวกเขาก็เงียบ
นี่คือเมืองหลี่ว่านที่โอบล้อมไปด้วยหมอกสีเลือด ที่ซึ่งฆาตกรและผีมากมายแอบซ่อนอยู่ทุก ๆ มุมเมือง เคลื่อนไหวผิดเพียงก้าวเดียวและพวกเขาก็จะสูญเสียชีวิตของตนไปโดยง่าย ความใจดีนั้นหาได้ยากนักที่นี่ แต่ในเวลาเดียวกัน ความใจดีนี้ก็เป็นสิ่งที่ราคาถูกที่สุด
“ผมจะทำตามที่คุณสั่ง” หมอเป็นคนแรกที่เอ่ยทางเลือกของเขา เขามองคนเก่ง และในใจเขา เขาก็นับเฉินเกอเป็นความหวังเดียวในการจะออกไปจากที่นี่
“ฉันก็จะฟังคำสั่งของแกชั่วคราว” มือกรรไกรก็เห็นด้วยเช่นกัน ผู้โดยสารสามคน มีเพียงชายขี้เมาที่ดูไม่ค่อยยินยอม
“เสียงส่วนใหญ่ชนะ ดังนั้นก็เอาตามนี้” เฉินเกอส่งลูกกุญแจทั้งสี่ดอกให้แต่ละคน “หลังจากนี้ พยายามอย่าพูดและปล่อยทุกอย่างเป็นหน้าที่ผม”
ประมาณสองหรือสามนาทีให้หลัง เจ้าของร่างอ้วนก็เดินโซเซกลับมาจากห้องครัว “พวกคุณเลือกห้องกันแล้วใช่ไหม? อย่างนั้นก็ลงทะเบียนตรงนี้ และตอนที่คุณลงทะเบียน ผมก็มีข้อควรระวังบางอย่างที่ต้องบอกพวกคุณไว้”
คุณเจ้าของร่างอ้วนดึงสมุดโน้ตเก่าเหลืองออกมาจากใต้เคาน์เตอร์ บนสมุดนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นเป็นชั้นหนา บ่งบอกว่ามันไม่ถูกใช้งานมาเป็นเวลานานมากแล้ว เขาพลิกเปิดสมุด มันเต็มไปด้วยเลขห้อง และมีชื่อคนเขียนเอาไว้ใต้แต่ละเลข สิ่งที่แปลกก็คือบางชื่อนั้นมีการขีดฆ่า บางชื่อถูกวงกลมไว้ และนอกจากนั้นยังมีบางชื่อถูกกากบาททับด้วยสีแดง
เฉินเกอนั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าสัญลักษณ์เหล่านี้หมายถึงอะไร แต่เขามีความรู้สึกว่าแต่ละชื่อที่ถูกขีดฆ่านั้นหมายถึงหนึ่งชีวิตที่สูญสิ้นไป
“ผมหวังว่าคุณจะจำสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ขึ้นใจ” เจ้าของยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะในท่าประหลาด “ห้องโถงนี้เป็นสถานที่ที่พวกเราจะรับประทานอาหารเย็นกัน เมื่อถึงเวลา ผมจะไปตามพวกคุณด้วยตัวเอง แต่ว่า ผมหวังว่าพวกคุณไม่เดินไปมารอบ ๆ ในช่วงเวลาที่เหลือ เลี้ยวตรงมุมนั่น และมันก็จะพาคุณไปที่ห้องของพวกคุณ ก่อนที่ชั้นหนึ่งจะเต็ม ชั้นสองจะยังไม่เปิดให้บริการ ผมหวังว่าพวกคุณจะไม่ขึ้นบันไดไปดูด้วยความสงสัย ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับพวกคุณ ทางโรงแรมจะไม่รับผิดชอบ”
“พวกเราขึ้นไปข้างบนไม่ได้? ที่นี่ก็ออกจะใหญ่ แต่แกกลับมีกฏเกณฑ์มากมาย” มือกรรไกรเลียริมฝีปากตัวเองและแผลบนใบหน้าของเขาก็สั่นเบา ๆ
เจ้าของร่างอ้วนดูเหมือนจะเคยชินกับการรับมือกับคนที่มีรูปลักษณ์น่ากลัว สีหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงขณะอธิบายให้มือกรรไกรฟังอย่างมีน้ำอดน้ำทน “นี่ก็เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง ผมอาจจะมีแขกคนอื่นเข้าพักที่สถานที่ซอมซ่อนี่ของผม และผมก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าแขกเหล่านั้นจะไม่ออกมาทำร้ายคุณเข้า”
“คุณพูดก็มีเหตุผล พวกเราต้องระวังให้มาก” เฉินเกอนั้นสุภาพที่สุดในกลุ่ม– ไม่มีสัญญาณใดเลยสักนิดว่าเขากำลังวางแผนยึดที่นี่เอาไว้
“ตราบใดที่คุณพักอยู่แต่ในห้องของคุณ จะไม่เกิดอะไรขึ้น นอกจากนั้น ผมหวังว่าคุณจะจำเรื่องนี้เอาไว้ เมื่อคุณเข้าไปในห้องแล้ว อย่าเปิดประตูรับใครอีก ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของคุณก็ตาม” ดวงตายิบหยีของเจ้าของร่างอ้วนนั้นมีขั้นไขมันมาบังเอาไว้ ดังนั้นจึงยากที่จะบอกการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันมีการเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อยเท่านั้น “ผมไม่ได้กำลังทำให้พวกคุณกลัว บางครั้ง คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นเพื่อนก็อาจจะไม่ได้มีเรื่องของคุณอยู่ในใจก็ได้ หรือพวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นเพื่อนของคุณอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว”
เฉินเกอไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของคุณเจ้าของนัก เห็นได้ชัดเจนว่าผู้ชายคนนี้พยายามเปลี่ยนให้พวกเขาหวาดระแวงกันเอง ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความบาดหมางไว้ในใจพวกเขา
“เอาละ นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องบอกพวกคุณตอนนี้ อีกเดี๋ยวผมจะไปเรียกพวกคุณมารับประทานอาหารเย็น พวกคุณไปดูห้องของตัวเองก่อนได้ การเข้าพักคืนแรกไม่มีค่าใช้จ่าย” เจ้าของร่างอ้วนเดินออกไปหลังพูดจบ ฝีเท้าของเขานั้นเบา ไม่เข้ากันกับขนาดร่างกายของเขาเลยสักนิด “มีแขกอีกสี่ท่าน– ต้องเตรียมอาหารมากขึ้น”
เฉินเกอจ้องมองแผ่นหลังของคุณเจ้าของ เขาไม่รู้ว่าประโยคสุดท้ายของเจ้าของนั้นหมายถึงไปเตรียมอาหารให้มากขึ้นสำหรับพวกเขาสี่คนหรือว่าเตรียมจะเปลี่ยนพวกเขาสี่คนเป็นอาหารกันแน่
“ไปดูห้องก่อนแล้วกัน ผ่อนคลายกันสักนิด สำหรับตอนนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องหวาดระแวง” เฉินเกอนั้นเป็นคนแรกที่เดินเข้าไปในทางเดินและใช้กุญแจที่ได้รับมาไขเปิดห้อง การตกแต่งภายในของห้องในโรงแรมนั้นต่างไปจากในเกมของเสี่ยวปู้เล็กน้อย มันใหญ่กว่าในเกมมาก
ชายแก เด็กมัธยมปลาย ผู้หญิง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ– ฉันอยากรู้ว่าแขกพวกนี้จะปรากฏตัวขึ้นในชีวิตจริงหรือไม่
ในเกม เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนแรกที่ถูกคุณเจ้าของฆ่า ดังนั้น หากในเกมนั้นลอกเลียนแบบจากในชีวิตจริง มันก็ปลอดภัยกว่าที่จะสันนิษฐานว่าเจ้าของร่างอ้วนนั้นมีอาวุธปืนของตำรวจอยู่กระบอกหนึ่ง และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เฉินเกอไม่ได้ล่วงเกินคุณเจ้าของโดยตรง
“ห้องที่นี่สะอาดกว่าที่ผมคาดเอาไว้มาก” หมอถือกุญแจอีกดอกเอาไว้ และเขาก็เป็นคนแรกที่เข้าไปในห้อง เขาเปิดตู้เสื้อผ้าออกและก้มลงไปมองใต้เตียง
“คุณกำลังมองหาอะไรน่ะ?” ชายขี้เมางุนงง
“ผมพยายามตรวจดูว่าจะมีอะไรอย่างรอยเลือดหรือว่าชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์หรือเปล่า”
“คุณอย่าทำอย่างนั้นได้ไหม? พวกเราพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะหาจุดปลอดภัยให้นอนหลับได้ในคืนนี้ แล้วตอนนี้คุณก็กำลังทำให้ผมกังวลอีกแล้ว” ชายขี้เมาตามหลังหมอเข้าไป “พวกเรานอนห้องนี้ด้วยกันคืนนี้ดีไหม?”
ชายขี้เมานั้นกลัวจริง ๆ เขาไม่แค่กลัวอันตรายที่จะมาจากแขกคนอื่น ๆ ของโรงแรม เขายังกลัวผู้โดยสารคนอื่น ๆ มือกรรไกรนั้นชัดเจนว่าไม่ใช่คนธรรมดา– ทุกการขยับตัวของเขานั้นสามารถบรรยายได้ว่าเป็นฆาตกรบ้าคลั่ง ผู้ชายอีกคนพร้อมกับค้อน ถึงแม้ว่าเขาจะดูรูปร่างหน้าตาปกติ สิ่งที่เขาทำและคำพูดของเขานั้นไม่ใช่ของคนธรรมดาอย่างแน่นอน เทียบกันแล้ว หมอนั้นเป็นปกติธรรมดาที่สุดในหมู่พวกเขาแล้ว
หลังจากตรวจดูห้องของตัวเองแล้ว เฉินเกอก็คว้ากระเป๋าสะพายหลังและเริ่มเดินวนอยู่ที่หน้าประตูของห้องอื่น ๆ
ชายชราพักอยู่ในห้องที่หนึ่ง และฟันที่สามารถเรียกวิญญาณสีเลือดได้ก็อยู่ในลิ้นชักของห้องที่หนึ่งพร้อมกับกุญแจสำรองของทุกห้องที่นี่ด้วย
ตอนที่เฉินเกอเล่นเกมของเสี่ยวปู้ เขาได้รับตัวเลือกมากมาย ตอนที่เขาเข้าไปในห้องของชายชรา เสี่ยวปู้นั้นถูกจำกัดให้นำสิ่งของไปจากในห้องได้เพียงชิ้นเดียว แต่ว่านั่นคือเกม และนี่คือโลกจริง เฉินเกอวางแผนจะหยิบทุกอย่างที่เขาใช้การได้ยัดมันเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังของเขาเพื่อให้เขาสามารถควบคุมโรงแรมนี้ได้โดยสมบูรณ์
“ที่นี่มันมีอะไรพิเศษถึงได้ตั้งอยู่กลางเมืองหลี่ว่านได้?”
ตอนที่เขาเล่มเกมของเสี่ยวปู้ เป้าหมายเดียวของเฉินเกอก็คือมีชีวิตรอด แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่เองแล้ว เขาต้องขุดคุ้ยความลับทั้งหมดของมันออกมา ดวงตาของเขาหรี่ลงขณะสอดลูกกุญแจในมือเข้าไปในรูกุญแจแล้วเริ่มบิดไปมาเสียงดัง
เป็นธรรมดาอยู่แล้ว กุญแจของเขาย่อมไม่สามารถเปิดประตูห้องที่หนึ่งได้ เหตุผลเดียวที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อดึงดูดความสนใจของชายชราและเริ่มต้นขั้นต่อไปในแผนการของเขา ตัวตนเดียวที่สามารถคุกคามเฉินเกอได้ในโรมแรมแห่งนี้ก็คือวิญญาณสีเลือดที่ในตู้เย็น และฟันที่ในลิ้นชักของชายชราก็คือสิ่งสำคัญที่ใช้ปลุกวิญญาณสีเลือด มีเพียงแค่นำฟันเหล่านั้นไปเขาถึงจะดำเนินตามแผนได้โดยไม่ต้องกังวล เขารออยู่เป็นนาน แต่ว่าไม่มีปฏิกริยาตอบสนองใด ๆ จากในห้องที่หนึ่ง มันเหมือนว่าที่นี่เป็นห้องว่างห้องหนึ่ง
“คุณมาทำอะไรอยู่ตรงนี้? ห้องของพวกเราอยู่ที่อีกด้านหนึ่ง คุณไม่เห็นหมายเลขห้องที่ติดไว้บนประตูเหรอ?” ชายขี้เมาวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาเตือนเฉินเกออย่างมีน้ำใจ เฉินเกอยิ้มและสอดกุญแจเก็บในกระเป๋า เขาอยู่จ้องประตูห้องที่หนึ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขากำด้ามค้อนในกระเป๋าแน่น เขาคิดและในที่สุดก็ตัดสินใจเลิกล้ม หากเขาหาฟันพวกนั้นไม่เจอหลังจากพังประตูเข้าไปหรือถ้าชายชรานั้นย้ายฟันไปไว้ที่อื่นก่อนแล้ว อย่างนั้นเรื่องต่าง ๆ ก็จะหลุดออกจากการควบคุมโดยง่าย
“ยิ่งเรื่องนี้ลากยาวไปเท่าไหร่ พวกเราก็จะยิ่งเจอเรื่องยุ่งยากเท่านั้น หลังจากบอสนั่นพบว่าพวกเราเป็นตัวอันตราย จากนั้นพวกเราก็จะทำอะไรยากแล้ว” เฉินเกอนั้นคิดเร็วและลงมือเร็ว เขามองหาช่องโหว่ เมื่อพนักงานของโรงแรมเผยจุดอ่อนออกมา เขาก็จะลงมือ
“พี่ชาย สิ่งเดียวที่เป็นอันตรายที่นี่ก็คือคุณนั่นแหละ ดังนั้นผมขอร้องให้คุณช่วยใจเย็นลงหน่อย!” ชายขี้เมารู้ว่าเฉินเกอนั้นคงไม่ฟังคำแนะนำของเขา เขาวิ่งไปหาคุณหมอ หวังว่าฝ่ายหลังจะสามารถช่วยเขาแนะนำเฉินเกอได้ แต่ว่า ตอนที่เขาหันกลับนั่นเอง ประตูห้องที่หนึ่งก็แง้มออก
“คุณมาผิดห้องแล้ว” เสียงของชายชราคนหนึ่งดังมาจากในห้อง เฉินเกอหรี่ตาและมองเข้าไปในห้องด้วยดวงตาหยินหยาง ไฟด้านในนั้นไม่ได้เปิด และชายชราตัวเล็กเตี้ยก็ยืนอยู่ด้านหลังประตูหลังโก่งโค้ง
“พวกเราต้องขอโทษด้วยจริง ๆ พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะรบกวน” ชายขี้เมารีบขอโทษแทนเฉินเกอ เขาคว้าแขนเฉินเกอ “ไปกันเถอะ คุณกำลังสร้างปัญหาให้กับแขกคนอื่น ๆ นะ”
ชายขี้เมาอยากจะดึงเฉินเกอออกไปจริง ๆ กริยาและสีหน้าของเขานั้นสะท้อนสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ
บางทีอาจจะเพราะอย่างนั้น หลังจากได้ยินคำพูดของชายขี้เมา ชายชราก็ลดการระวังตัวลง มือที่กำอยู่ที่ลูกบิดประตูคลายออก และประตูก็แง้มกว้างขึ้นเผยให้เห็นมืออีกข้างของเขาก็ปล่อยไว้ข้างตัว มืออีกข้างนั้นเต็มไปด้วยบาดแผล และมันก็กำลังถือผ้าสีแดงกับฟันหลายซี่ที่ถูกฝนจนเรียบ
“เจอแล้ว!” ก่อนที่ใครจะทันทำอะไร เฉินเกอก็ยื่นมือไปจับประตูไว้ไม่ให้ชายชราปิดประตูลงได้
“คุณกำลังทำอะไรน่ะ?” ทั้งชายขี้เมาและชายชราพูดเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขาทั้งคู่กำลังตื่นตระหนก
“ผมแค่ต้องการขอยืมบางอย่างจากคุณ” จากนั้นเฉินเกอก็เบียดตัวเข้าไปในห้องแล้วยกมือขึ้นปิดปากชายชราไม่ให้เขาร้องออกมา “มาช่วยผม! เก็บฟันทุกซี่ที่หล่นอยู่ที่พื้นขึ้นมา ทำให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้พลาดมันไปซักซี่!”
ชายขี้เมาอึ้งงันไป ฉันกำลังติดตามคนบ้าอยู่หรือเปล่า? เขาโจมตีชายชราไร้ทางสู้อย่างไม่มีเหตุผลและไม่มีการเตือน และจากวิธีที่เขาลงมือ มันเหมือนเขาวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเป็นนานแล้ว!
ชายชราที่ถูกโจมตีดูเหมือนจะลืมดิ้นรนไป ฆาตกรทั่วไปหรือว่าผีย่อมต้องรอจนกว่าจะถึงกลางคืนถึงได้ค่อย ๆ แผ่บรรยากาศอันสิ้นหวังและจากนั้นก็ค่อย ๆ วางกับดัก ผลักเป้าหมายของพวกมันไปสู่ขอบเหวของความสิ้นหวัง น้อยมากที่จะมีใครทำเหมือนเฉินเกอและลงมือทันทีที่ประตูเปิดกว้างพอ
“พี่ชาย! คุณเจ้าของยังกำลังทำอาหารเย็นให้พวกเราอยู่นะ! คุณวางแผนจะลักพาตัวแขกของเขาอยู่ใช่ไหม?” ชายขี้เมารีบตามเฉินเกอเข้าไปในห้อง เขากลัวว่าพวกเขาจะทำเสียงดังวุ่นวายเกินไปและดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ
“ตาแก่คนนี้ไม่ใช่แขก” เฉินเกอลากชายชราไปที่โต๊ะขณะที่อุดปากเขาเอาไว้
“งั้นเขาเป็นใครล่ะ?” ชายขี้เมานั้นประหลาดใจที่เฉินเกอรู้มากกว่าที่เขาแสดงออกและในตอนนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าชายชราคนนี้อันที่จริงอาจจะเป็นตัวอันตราย
“เขาเป็นพ่อของเจ้าของที่นี่คนนั้น” เฉินเกอเปิดลิ้นชักและก็เหมือนกับเขากลับมายังบ้านของตัวเอง เขาดึงลูกกุญแจ ฟัน และทุกอย่างในนั้นออกมา
“พ่อของเขา?” ชายขี้เมาเริ่มตะกุกตะกัก “งั้น ทำไมคุณถึงจะลักพาตัวพ่อของเขาในเมื่อพวกเราก็เพิ่งเจอกับคุณเจ้าของเป็นครั้งแรกคืนนี้เอง?”
“ทำไมคุณถึงมีคำถามมากมายนัก? มาช่วยผมนี่ ฉีกผ้าปูที่นอนเป็นเส้น ๆ แล้วบิดเอาไว้ พวกเราจะใช้มันต่างเชือกมัดตาแก่คนนี้เอาไว้” เฉินเกอเก็บของในลิ้นชักออกหมด เขาเก็บฟันทุกซี่เข้าไปในกระเป๋าแล้วสะพายหลังเอาไว้ เขาหันไปหาตาแก่ที่ดวงตาเบิกกว้างแล้วพูด “ผมจะไม่ทำร้ายคุณ และเพื่อตอบแทน ผมหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับพวกเราและเลิกดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์”
ถึงแม้ว่าชายขี้เมาจะบอกว่าเขาไม่ยินดี แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็เป็นพวกเดียวกับเฉินเกอ เขาทำตามคำสั่งของเฉินเกอและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเป็นเชือกมัดชายชราเอาไว้
“เอาละ ตอนนี้พวกเราก็มีฟันนี่แล้ว พวกเราแค่ต้องระวังปืนสั้นที่คุณเจ้าของน่าจะมีอยู่กับตัว” เฉินเกอถอนหายใจโล่งอกและใช้ปลอกหมอนอุดปากชายชราเอาไว้ ได้ยินเสียงวุ่นวาย หมอและมือกรรไกรก็มาดู
“อย่ามองผมแบบนั้น เขาบอกให้ผมทำทั้งหมดนี่เลย” บนใบหน้าของชายขี้เมานั้นมีความจนปัญญาระบายอยู่เต็ม
“ผมไม่รู้ว่าต้องป้อนคนเป็น ๆ ให้กับวิญญาณสีเลือดที่ตะกละตะกรามนั่นเท่าไหร่ แต่อย่างหนึ่งที่แน่ใจได้ ไม่มีใครในโรงแรมนี้ที่มือไม่เปื้อนเลือด” เฉินเกอไม่มีเวลาอธิบายสถานการณ์ให้กับคนที่เหลือ “ทางที่ดีพวกเราไปจากที่นี่ก่อน มันง่ายเกินไปที่ตำแหน่งของพวกเราจะถูกเปิดเผยออกมาเวลาที่พวกเรารวมตัวกันอยู่อย่างนี้ ผมจะอธิบายสถานการณ์ให้พวกคุณฟังทีหลัง”
ทั้งกลุ่มเพิ่งออกจากห้องตอนที่เสียงของคุณเจ้าของดังมาจากในครัว
“ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว!” เจ้าของร่างอ้วนและชายร่างใหญ่ที่สวมหมวกแบบพ่อครัวปรากฏตัวขึ้นขณะผลักรถเข็นอาหารมา รถนั่นทาด้วยสีแดง มันดูค่อนข้างสดใส บนนั้นมีเค้กเก้าชิ้นและชาสีแดงกาหนึ่งวางอยู่
“เค้ก?” เห็นเค้กแล้วเฉินเกอก็นึกถึงฉากในเกมของเสี่ยวปู้ คนสี่คนจะแบ่งเค้กเก้าชิ้นให้ทุกคนเท่า ๆ กันโดยใช้มีดตัดแค่ครั้งเดียวได้อย่างไร?
บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เฉินเกอ หมอ มือกรรไกร และชายขี้เมา– พวกเขาบังเอิญมีกันสี่คนพอดี
“ฉันว่านี่จะไม่ใช่อาหารเย็น แต่ว่าเป็นอาหารค่ำ ถ้าพวกคุณหิว ก็กินกันก่อนได้เลย” เจ้าของร่างอ้วนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ห้องที่หนึ่งและมองมายังเหล่าแขกพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ภายใต้การพิจารณาอย่างละเอียดของเขานั้น เฉินเกอ หมอ และมือกรรไกรทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงแค่ชายขี้เมาเท่านั้นที่เผยแววขอโทษขอโพยอยู่บนใบหน้า
“เชิญนั่งเลย” เจ้าของร่างอ้วนนั้นดูเป็นมิตรมาก เขาช่วยพ่อครัววางเค้กลงบนโต๊ะ หมอ ชายขี้เมา และมือกรรไกรเลือกนั่งข้าง ๆ กัน ตอนที่เฉินเกอกำลังจะนั่งลงนั้นหัวใจของเขาก็เต้นรัวขึ้นเพราะว่าเขาได้ยินเสียงแทรกก้องอยู่ในหู
“ซู่อินกำลังเตือนฉัน? เก้าอี้นี่มีปัญหาใช่ไหม?” เฉินเกอลุกขึ้นอีกครั้งแล้ววางกระเป๋าสะพายหลังลงที่เก้าอี้แทน ไม่มีแขกคนไหนแตะต้องเค้ก กระทั่งชายขี้เมาก็รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหนที่จะกินอาหารแปลก ๆ ในสถานที่อันตรายเช่นนี้
“อย่าบอกผมนะว่าพวกคุณคิดว่าผมทำอะไรกับเค้กไว้” เจ้าของร่างอ้วนหัวเราะอย่างมีอัธยาศัยดี “ที่นี่เป็นสถานประกอบการที่มีชื่อเสียง เชิญรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องกังวล ทุกอย่างที่มีบริการในคืนแรกล้วนไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าคุณต้องการอยู่ต่อ อย่างนั้นผมถึงจะเรียกรับค่าตอบแทนจากคุณ”
จากนั้นเจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวก็ช่วยกันผลักรถเข็นออกไปทิ้งให้กลุ่มของเฉินเกออยู่ในห้องโถง
“เจ้าของดูไม่เหมือนคนเลว” สายตาของชายขี้เมาวนเวียนอยู่ที่ห้องที่หนึ่ง “ถ้าเขารู้ว่าพวกเราลักพาตัวพ่อของเขา เขาคงโกรธจนระเบิด”
“มองโต๊ะนี่ก่อนที่จะสรุปอย่างนั้น” ฟางหยวนย้ายจานเค้กออกไปเผยให้เห็นรอยมีดมากมายบนโต๊ะไม้ บางรอยนั้นดูลึกเหมือนเกิดจากการใช้แรงสุดกำลัง “คุณรู้ไหมว่าทำไมถึงมีเค้กเก้าชิ้นทั้งที่พวกเรามีกันแค่สี่คน?”
“ทำไม?” ชายขี้เมาเพิ่งถามจบตอนที่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกหัวเบาและแทบจะล้มไปกับพื้น
“นี่ไม่ดีแล้ว!” หมอและมือกรรไกรตระหนักถึงบางอย่างผิดปกติในทันที พวกเขาพยายามลุกขึ้นยืนแต่พบว่าเรี่ยวแรงนั้นหายไปจากร่าง
“พวกเราไปกระตุ้นกับดักได้ยังไงกัน?” เฉินเกอคิดว่าพวกเขาระมัดระวังมากแล้ว แต่ก็ยังคงเกิดเรื่องขึ้น “แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้สึกมึนงงอะไรเลย?”
เฉินเกอดึงกระเป๋าสะพายหลังออกและใช้ดวงตาหยินหยางสำรวจที่เก้าอี้ ในที่สุดเขาก็พบบางอย่าง เก้าอี้นั้นเก่า และที่นั่งก็ไม่เรียบ มีหมุดสีแดงเล็กจิ๋วซ่อนอยู่ เมื่อมองใกล้ ๆ เฉินเกอก็พบว่ามันคือเล็บของคนที่ชุ่มไปด้วยเลือด
เมื่อมีเค้กวางไว้บนโต๊ะ ความสนใจของทุกคนก็ถูกดึงไปที่เค้ก เก้าอี้ถูกดึงออกจากโต๊ะ และน้อยคนที่จะให้ความสนใจกับที่นั่งของเก้าอี้
“ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมนี่จึงเป็นฉากระดับ 3.5 ดาว กระทั่งมีไกด์อยู่ก็ยังมีโอกาสที่จะทำภารกิจล้มเหลว” เฉินเกอถือกระเป๋าเอาไว้แล้วมองไปข้างหลัง ประตูห้องครัวเปิดอยู่และมีศีรษะของสองคนโผล่ออกมา เจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวกำลังจับตามองพวกเขาอยู่ หลังจากพบว่าแขกทั้งสามนั้นติดกับดักพวกเขาแล้ว เจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวก็เดินออกมาจากในห้องครัวพร้อมรอยยิ้มกว้าง พวกเขาถือมีดตัดกระดูกเอาไว้ในมือ
“แกเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่แล้ว” น้ำเสียงของคุณเจ้าของเปลี่ยนไป เขาเลิกเสแสร้งแล้ว
เห็นมีดที่ในมือของเจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัว เฉินเกอก็เผยยิ้มออกมาช้า ๆ “พวกเขาถือมีดเข้ามาหาฉัน ดังนั้นนี่ย่อมหมายความว่ามีโอกาสสูงทีเดียวที่เจ้าของจะไม่มีปืน ฉันจะลงมือเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้พอ และจากนั้นพวกเขาก็จะไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์อีกเลย”