My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 664-669
ตอนที่ 664
“พวกเขากำลังมาแล้ว!” เพียงแค่เห็นคลื่นหนาของหมอกสีเลือดที่ม้วนพัดมาและประกายของโซ่สีดำที่ในนั้นก็ทำให้ขาของชายมีรอยสักอ่อนยวบ เขามองเฉินเกอที่ยืนอยู่ที่ขอบตึกคนเดียว และเขาก็อยากจะถามว่าชายคนนี้นั้นเกิดมาโดยไร้ซึ่งความรู้สึกหวาดกลัวหรืออย่างไร
“ผมมีแผนหนึ่งซึ่งอาจจะเพิ่มโอกาสหนีของพวกเราขึ้นช่วงใหญ่” เฉินเกอใจเย็นมาก “ทั้งเงาและพวกที่เพิ่งมาถึงที่นี่นั้นต้องการฆ่าผม แต่ว่าเงานั่นยังไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วผมเป็นเป้าหมายของตัวตนที่มาใหม่นั่น เขาลงมือต่อต้านคราวนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าแผนการของเขาจะไม่ถูกทำลาย ถ้าเขารู้ความจริง เขาก็จะยิ่งกว่ายินดีช่วยคนมาใหม่นั่นฆ่าผม
“ดังนั้น ตอนนี้ สถานการณ์นั้นดีกับพวกเรา และยิ่งมันลากยาวไปนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีกับพวกเรามากขึ้น” เฉินเกอหยุดก่อนจะขอให้อีกฝ่ายเข้ามารวมหัวใกล้ ๆ กับเขา “ผมมีบางอย่างที่ดึงดูดคนมาใหม่นั่นอยู่บนร่าง ดังนั้น อีกเดี๋ยว ผมจะนำเขากับเงานั่นไปทางอื่น จะพาพวกเขาทำลายไปตลอดเมืองหลี่ว่าน พอเป็นแบบนั้นแล้ว พวกคุณควรใช้โอกาสนั้นค้นเขตที่พักหมิงหยางหาชิ้นส่วนที่หายไปของประตู”
“ได้” ชายมีรอยสักตกลง แต่หลังจากคิดดูแล้ว เขาก็พบช่องโหว่ของแผนการ ดังนั้นจึงรีบเสริม “แล้วคุณล่ะ? ถูกตัวตนพวกนั้นไล่ตาม ถ้าคุณไม่ระวังนิดเดียวมันก็จบแล้ว!”
เขาไม่ได้เป็นห่วงเฉินเกอเท่าไหร่ เขาแค่คิดถึงแผนการของเฉินเกอที่จะดึงดูดปิศาจน่ากลัวทั้งสองนั้น ด้วยความสามารถของเขาตอนนี้ เขาน่าจะซื้อเวลาให้พวกตนได้ไม่มากนัก
“นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้” เฉินเกอดึงเอาโทรศัพท์ฝาพับที่ตกรุ่นไปแล้วในท้องตลาดเรียกถงถง ผีโทรศัพท์ ออกมา “ลองดูหน่อยสิว่าเธอจะสามารถส่งข้อความให้ฉันได้ไหมตอนที่พวกเราอยู่ในนี้”
ถงถงลอง และโทรศัพท์ของเฉินเกอก็สั่น ข้อความง่าย ๆ ปรากฏขึ้น “ผมทำได้ แต่ว่ามันจะทำให้ผมเหนื่อยมาก”
เฉินเกอพยักหน้า จากนั้นเขาก็เรียกเหมินหนานกับเหล่าโจวออกมา “ผมต้องการให้พวกคุณคอยดูแลถงถงและตามพวกเขาไปหาชิ้นส่วนที่หายไปของประตู”
เหมินหนานเป็นวิญญาณสีเลือด และเหล่าโจวนั้นมีประสบการณ์และระมัดระวัง ร่วมกับความสามารถในการสื่อสารระยะไกลของถงถง นี่เป็นกลุ่มที่เชื่อถือได้ที่สุดที่เฉินเกอสามารถหาได้
เหมินหนานนั้นไม่บ่นอะไรเพราะเขารู้ว่าสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน เขามองหมอกเลือดและโซ่ที่ไกล ๆ และเช็ดเหงื่อเย็น ๆ ที่ไม่ได้ผุดขึ้นมาบนหน้าผากเขา “แล้วคุณล่ะ?”
“ฉันจะล่อพวกนั้นไปห่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเธอ”
“สหาย เจ้าสิ่งนั้นมาที่นี่เพราะกระดาษแผ่นนั้นใช่ไหม? ฉันเห็นวิญญาณดวงนั้นเอากระดาษนั่นไป แกสามารถสั่งให้พวกเขาดึงดูดเงานั่นขณะที่แกตามพวกเราไปที่ทางออก”
เฉินเกอประหลาดใจที่ชายหน้ายิ้มเรียกเขาว่าเพื่อน อย่างไรเสีย เฉินเกอก็ทำอะไรหลายอย่างลงไปรวมทั้งโยนรองเท้าส้นสูงสีแดงใส่เขา ทำตัวเป็นศัตรูกับชายคนนี้มาก่อน “ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ แค่ทำตามที่ผมบอกก็พอ”
“ฉันเชื่อว่าวิญญาณตนนั้นจะยินดีเอากระดาษนั้นไปและไม่เอามาคืนแกเพราะว่านั่นก็เป็นแผนการในใจเขาเหมือนกัน นี่เป็นทางเลือกของเขา” สำหรับชายหน้ายิ้ม เฉินเกอนั้นไม่ใช่คนที่พระเจ้ารังเกียจในเมื่อเขาเป็นที่รักของเหล่าวิญญาณ– นั่นคือเหตุผลที่ท่าทีของเขาต่อเฉินเกอดีขึ้น
“เขาเป็นเหมือนครอบครัวของผม คุณจะส่งครอบครัวของตัวเองเข้าไปในอันตรายเพื่อให้ตัวเองรอดชีวิตไหมล่ะ?” เฉินเกอมีสีหน้าไม่ดีนัก ตอนที่เขาพูดอย่างนั้น กลิ่นเลือดรอบตัวเขาก็รุนแรงขึ้นและเสียงแทรกก็ดังขึ้น ที่รอบ ๆ หัวใจว่างเปล่าของซู่อินนั้นมีเลือดปรากฏขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ช้าก็กลับเป็นปกติ
“ไม่ว่าอย่างไร ผมก็จะไม่ปล่อยให้เขาต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดเพียงลำพังอีกต่อไป เขาเลือกแล้ว แต่ผมก็มีหลักการที่ต้องทำตามเหมือนกัน” อันที่จริง เฉินเกอนั้นรู้ปัญหาของซู่อินอยู่แล้ว ในทุก ๆ การต่อสู้ ซู่อินนั้นไม่เคยออมมือ– มันเหมือนกับว่าผู้ชายคนนี้นั้นแสวงหาความตาย ไม่มีอะไรมีค่าพอให้เขาต้องรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ และซู่อินก็ไม่รู้ว่าทำไมวิญญาณของเขาถึงได้ล่องลอยอยู่ในโลกนี้
เขาไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร เขาไม่ได้รู้สึกอยากทำลายอะไรและไม่มีอะไรที่ต้องปกป้อง ดังนั้น ทำไมเขาถึงเลือกที่จะปกป้องเฉินเกอล่ะ? เขาไม่สามารถตอบได้เช่นกัน บางทีอาจเป็นเพราะว่าเขานับเฉินเกอเป็นเพียงคนเดียวที่เขาสามารถเชื่อถือได้ หรือบางทีเขาอาจจะแค่กำลังหาเหตุผลเพื่ออธิบายความต้องการตายของตัวเอง
การตายนั้นเป็นเรื่องจริงจัง เฉินเกอเข้าใจเรื่องนั้น ซึ่งทำให้เขาต้องการช่วยซู่อินมากขึ้นไปกว่าเดิม
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เฉินเกอถูกเรียกว่าผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ เขามีบางอย่างในตัวที่ไม่สามารถพบได้ในคนอื่น ๆ เขาสามารถเข้าใจความจริงของความเจ็บปวดที่คนอื่นรู้สึกและใช้การกระทำของตัวเขาเองบรรเทาความเจ็บปวดนั้น ให้พวกเขาได้มีโอกาสที่สองในชีวิตหลังความตาย
“ผมจะช่วยเขาล่อปิศาจนั่นไป เมืองหลี่ว่านก็ใหญ่เท่านี้– ผมหวังว่าพวกคุณจะลงมือให้เร็วที่สุดเท่าที่สามารถและหาชิ้นส่วนที่หายไปทั้งหมดให้ได้ก่อนที่ศัตรูจะไล่ตามผมทัน” เฉินเกอดึงค้อนออกมา “ไปตอนนี้เลย ผมจะวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่พวกคุณเลือก”
ถ้าไม่เพราะความจริงว่าพวกเขาใช้เวลาด้วยกันมามากพอ เหมินหนานก็คงคิดว่าผู้ชายตรงหน้าเขานี้นั้นเต็มไปด้วยความยุติธรรม เป็นนายจ้างที่ดีที่ไม่เห็นแก่ตัวและมีศีลธรรม
“ระวังด้วย ผมยังรอให้คุณส่งผมกลับไปจะได้ไปซ่อมหน้าต่างที่พัก” เด็กชายใช้ขาสั้น ๆ พาตัวออกไปจากตึกพร้อมกับคนที่เหลือในกลุ่ม
ไม่ช้า เฉินเกอก็ถูกทิ้งเอาไว้คนเดียวบนดาดฟ้า เขาเอนตัวพิงรั้วและที่ในดวงตาของเขาก็ราวกับมีเปลวไฟลุกโชน “หมอเกาที่ปฏิเสธที่จะเป็นมนุษย์กับเงาที่อยากจะเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ความปรารถนาของพวกเขานั้นตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง มองอีกมุมแล้วมันก็ตลกดี ฉันสงสัยนัก ในเมืองนี้ที่เต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัวและสิ้นหวัง ใครจะเป็นเรื่องผีที่น่ากลัวกว่ากัน?”
พระจันทร์สีเลือดส่องแสงลงมาบนถนน และเงาของเฉินเกอก็แผ่ออกไปราวกับแอ่งเลือด หมอกสีเลือดถูกผลักกลับไป และความเย็นเยือกสุดขั้ว เต็มไปด้วยความน่ากลัวและบ้าคลั่ง ก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาแต่สลายไปในไม่ช้า
เฉินเกอมองหมอกเลือด และโซ่ และสีหน้าแท้จริงของเขาก็ปรากฏขึ้นมาช้า ๆ มุมปากของเขายกขึ้น เขาลากค้อนวิ่งลงบันไดไป
“หมอเกานั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับตัวตนที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือดในปิศาจทั้งหมดที่ฉันเคยเจอ ถึงแม้ว่าผีทารกจะเกี่ยวข้องกับฉากระดับสี่ดาว เงาที่นี่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ของพลังที่แท้จริงของผีทารกเท่านั้น ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะได้เปรียบด้านพื้นที่ เขาก็ไม่ใช่คู่มือหมอเกา” เฉินเกอวิ่งออกจากตึกและอ้อมรอบเมืองหลี่ว่านขณะที่หมอกสีเลือดรอบตัวเขาเริ่มบางลงช้า ๆ
“ฉันต้องระวังหมอเกา เรื่องใหญ่ที่สุดก็คือฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงไหน และจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเขาฉันก็ต้องหลีกเลี่ยงให้มาก แต่ว่า ทุกอย่างที่เขามีดูเหมือนจะวนอยู่รอบ ๆ บ้านผีสิงของฉัน” เฉินเกอวิ่งไปตามถนน และเสียงประหลาดก็ดังมาจากด้านหลังเขา หมอเกาน่าจะสัมผัสได้ว่าเขาเคลื่อนไหวแล้วและดังนั้นจึงเริ่งความเร็วขึ้นมาเท่า ๆ กัน
หมอกสีเลือดที่บางลงทำให้เสียงสะท้อนจากด้านหลังเขานั้นชัดเจนมากขึ้น เงาที่อยู่ในตึกสีแดงใกล้ ๆ ตัวสั่นและโซเซ ผีและฆาตกรที่ติดอยู่ที่นั่นฉลาดพอที่จะพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องและออกมาจากที่ซ่อนกันหมด
“มันยิ่งมากยิ่งน่าตื่นเต้น ฆาตกร วิญญาณ และเรื่องผีที่คุณคิดภาพไม่ออก นี่สิคืองานปาร์ตี้ของความมืด”
วิ่งไปตามถนน รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเกอก็กว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ
TL note: หลังจากที่ผู้แปลป่วย ๆ หาย ๆ มาเป็นเดือนทางบ้านก็ไม่วางใจให้อยู่คนเดียวและสั่งให้กลับบ้าน และทางผู้แปลลืมนำคอมพิวเตอร์ตัวที่ใช้ทำงานไปด้วย ต้องขออภัยกับผู้อ่านทุกท่านมากจริง ๆ ที่จู่ ๆ ก็หายเงียบไปเลย รู้สึกผิดมาก ๆ
ตอนที่ 665
หมอกบางลง และพระจันทร์สีเลือดที่แขวนอยู่บนท้องฟ้าก็เห็นได้ชัดเจนขึ้น พระจันทร์สีเลือดนั้นส่องแสงสีแดงของมันลงมายังเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้จนเกิดเป็นเงาน่าเกลียดที่บนพื้น
ปัง!
หน้าต่างบานหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ เฉินเกอถูกผลักเปิดออกจากด้านในอย่างหยาบคาย และชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่มีผ้าพันแผลพันศีรษะไว้โดยรอบก็ชะโงกหน้าออกมา เขาจับตามองเฉินเกอมานานแล้ว และเขาก็กำลังรอเวลาที่จะลงมือ เขาไม่ได้เจาะจงทำร้ายเฉินเกอ เขาอาจจะแค่คิดว่าผู้ชายคนนี้ขวางทางหรือการฆ่าเฉินเกอจะนำความสนุกและผ่อนคลายมาให้เขาได้ชั่วคราว
เป็นความคิดในแบบของปิศาจร้าย วิธีการทำงานของสมองพวกมันนั้นต่างไปจากคนทั่วไป– พวกมันไม่เคยสนใจผู้อื่นและไม่เคยคิดถึงผลที่จะตามมาจากการกระทำของตน มักจะตัดสินใจโดยไม่วางแผน และพวกมันยังยั่วยุได้ง่ายและโกรธได้ง่ายเพราะว่ามีความก้าวร้าวโดยธรรมชาติอยู่เป็นส่วนใหญ่
เลือดซึมผ่านผ้าพันแผลออกมา เฉินเกอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไรภายใต้ผ้าพันแผล แต่เขาก็ประมาทไม่ได้ เมื่อชายแปลกหน้าคนนั้นเหยียดแขนผอมบางแต่ก็มีกล้ามเนื้อมาทางเฉินเกอ คิดจะลากเขาเข้าไปในห้อง เฉินเกอก็ก้าวเท้าไปข้าง ๆ ก้าวเล็ก ๆ และเหวี่ยงค้อนตอบกลับไป
กระทั่งในเมืองหลี่ว่าน อาวุธสังหารชนิดนี้ก็ยังหาได้ยากมาก เงานั่นผลักฆาตกรเหล่านี้เข้าไปในห้องขังรูปแบบหนึ่งเพื่อฟูมฟักความรู้สึกด้านลบ ไม่ใช่เพื่อสร้างอะไรแบบสนามประลองขนาดใหญ่พวกนั้น ดังนั้นอาวุธที่คนเสียสติเหล่านี้ใช้ในการสังหารจึงมักจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน
ไหล่ของชายแปลกหน้าคนนั้นยุบเข้าไป และผ้าพันแผลที่บนหน้าของเขาก็เลื่อนต่ำลงมาเล็กน้อยเผยให้เห็นดวงตาสองข้างที่เต็มไปด้วยความงุนงง เขาไม่รู้ว่าเฉินเกอไปเอาค้อนเหล็กใหญ่ขนาดนั้นมาจากไหน ความรู้สึกไม่พอใจที่ฝ่ายตรงข้ามขี้โกงแต่ว่าเขาก็ไม่ทำอะไรได้ผุดขึ้นในใจเขา
ผู้ชายคนนั้นเอนตัวไปข้างหลังและถอยกลับเข้าไปในที่ซ่อนของตัวเอง ปกติแล้ว เวลาที่คนคนหนึ่งหนีเอาชีวิตรอด พวกเขาก็มักไม่สนใจตัวประกอบไร้ความสำคัญ แต่ว่าเฉินเกอนั้นเป็นข้อยกเว้นอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นคนหรือว่าเป็นผี แต่ในเมื่อแกอยากฆ่า แกก็ต้องเตรียมตัวถูกฉันพาตัวไปเหมือนกัน นั่นเป็นความยุติธรรม” เขากระโดดผ่านหน้าต่างเข้าไปในบ้านและไล่ตามไปพร้อมค้อนที่ยกสูง ”ในเมื่อแกวางแผนจะฆ่าฉัน แกก็ย่อมไม่ใช่คนบริสุทธิ์ ช่วยแกเอาไว้ไม่ได้ทำให้ฉันได้รางวัลตอบแทนจากโทรศัพท์เครื่องดำมากขึ้น อย่างไรแกก็มีแต่จะก่อความวุ่นวายให้สังคมมากขึ้น ดังนั้นฉันจะใช้โอกาสนี้จัดการกับแกซะ”
บ้านที่ก่อนหน้านี้เงียบกริบวุ่นวายขึ้นมาทันทีที่เฉินเกอกระโดดเข้าไปข้างใน สำหรับเฉินเกอ ประตูไม้ธรรมดานั้นเป็นสิ่งที่สามารถจัดการได้ด้วยค้อน– ต่อให้เขาถูกประตูนิรภัยหยุดเอาไว้ เขาก็ยังพังลงมาได้ด้วยการเหวี่ยงค้อนไม่เกินห้าครั้งเท่านั้น
ชายแปลกหน้าไม่เคยเห็นปฏิกริยาเช่นนี้มาก่อน เฉินเกอนั้นตามหลังเขามาติด ๆ แล้วก่อนที่เขาจะมีโอกาสหนีออกไปจากบ้านนี้ กระโดดผ่านหน้าต่างทางซ้ายและบุกผ่านหน้าต่างทางขวา ทั้งหมดนี้ใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งนาทีด้วยซ้ำ
เฉินเกอที่คว้าผ้าพันแผลเนื้อหยาบที่ดึงมาจากหน้าของชายคนนั้นเอาไว้เพิ่งมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนมันลงไปในกระเป๋าสะพายหลัง “ฉันจะเก็บมันไว้เป็นของที่ระลึก”
ในเกมของเสี่ยวปู้ ถนนนั้นอันตรายมากในตอนกลางคืน และมันก็ไม่ต่างไปจากสิ่งที่เฉินเกอประสบอยู่ตอนนี้ แต่ว่า ความแตกต่างใหญ่หลวงที่สุดก็คือ ในเกม ตัวละครหลักนั้นเป็นเสี่ยวปู้ที่อ่อนแอและไร้พลัง แต่ว่าคนที่เดินไปตามถนนในชีวิตจริงนั้นเป็นประธานคนใหม่ของสมาคมเล่าเรื่องผี
“เรื่องใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็คือฉันยังไม่รู้เลยว่าเป้าหมายของคุณหมอเกาคืออะไร ดังนั้นสำหรับตอนนี้ ฉันทำได้แค่หวังว่าพวกเขาจะสู้กันต่อจนหมดแรงไปเอง” เส้นทางที่เฉินเกอเลือกใช้นั้นไม่มีรูปแบบให้สังเกตได้ ถ้ามีคนหรือผีดึงดูดความโมโหของเขาได้ เขาก็จะเปลี่ยนทางไปไล่ตามตัวตนเหล่านั้น ตัดผ่านเมืองเล็ก ๆ นี้ไปมา
ตึกส่วนใหญ่ในเมืองหลี่ว่านนั้นมีวิญญาณอาฆาตและฆาตกรเหี้ยมโหดซ่อนตัวอยู่ สำหรับคนธรรมดาแล้ว แค่เสียงของพวกมันก็น่ากลัวมากพอแล้ว แต่สำหรับเฉินเกอนั้น มันเหมือนกับการจับสลาก ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปในตึก เขาจะเต็มไปด้วยความคาดหวังบางอย่าง เขาอธิบายไม่ได้ว่าทำไม– บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าเขามีความอยากรู้อยากเห็นเต็มเปี่ยม
“ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนทำความสะอาดถนนอะไรอย่างนั้น ถ้าเพียงแต่ประตูในเมืองหลี่ว่านไม่หลุดออกจากการควบคุม อย่างนั้นฉันก็สามารถกลับมาทำความสะอาดที่นี่ได้เป็นประจำ” พระจันทร์สีเลือดส่องแสงสว่าง หมอกเลือดกระเพื่อมไหว เฉินเกอวิ่งไปตามถนนภายใต้การจับตามมองของดวงตาชั่วร้ายนับไม่ถ้วน
“เงารูปร่างมนุษย์ยังอยู่แถว ๆ แยกต่าง ๆ ชายมีรอยสักเคยบอกว่าเงาพวกนี้นั้นมาจากร่างเนื้อของเงานั่น ดังนั้น มันต้องมีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างเงาเหล่านี้และเงานั่น” เฉินเกอเข้าใจว่าที่เขาไม่ได้เจอสัตว์ประหลาดมากนักในเมืองหลี่ว่านเป็นเพียงเพราะว่าเงานั่นยุ่งกับการรับมือกับคุณหมอเกาและไม่สามารถแยกตัวมาสนใจเฉินเกอได้ ถ้าพวกเขาพบว่าทั้งคู่ต่างไล่ล่าเฉินเกอ เช่นนั้นสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปอย่างมากมาย
“ถ้าฉันทำได้ดี ฉันจะสามารถดึงเรื่องนี้ออกไปได้อีกระยะหนึ่ง” เฉินเกอคว้าค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกและเล็งมันไปที่หน้าต่าง ตราบใดที่เขามองเห็นเงาคนในตึก เขาก็จะบุกเข้าไปในตึกนั่น ด้วยค้อนนี่ ไม่ว่าเฉินเกอตัดสินใจจะไปที่ใด มันย่อมมีทางให้ไปเสมอ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เขาใช้กำลังเปิดทางบุกไปในเมืองหลี่ว่าน
ทั้งนี้ หมอกเลือดนั้นเป็นเหมือนตัวแทนของเงานั่น ตอนนี้หมอกเลือดนั้นบางลงและยังมีเสียงประหลาดก้องผ่านมันมา วิญญาณและฆาตกรที่ถูกขังเอาไว้ต่างพบว่าโอกาสของพวกมันมาถึงแล้ว เดิมที เสียงประหลาดนั่นดังมาแค่จากด้านหลังเฉินเกอ แต่ทั้งเมืองหลี่ว่านก็ค่อย ๆ เต็มไปด้วยความน่ากลัวและเสียงกรีดร้องอย่างช้า ๆ
เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในหายนะ เมืองหลี่ว่านที่เงานั่นควบคุมมาเป็นระยะเวลานานจมดิ่งสู่ความบ้าคลั่ง ความบ้าคลั่งที่ถูกบีบให้มารวมกันในที่สุดก็มีโอกาสระเบิดออกในรูปแบบที่แต่ละตัวตนที่แสนบ้าคลั่งคืบคลานออกจากที่ซ่อนของพวกมัน
ไม่ว่าจะเพื่อหนีหรือว่าเพื่อปลดปล่อยความดำมืดในหัวใจของพวกมัน มนุษย์และวิญญาณที่เป็นตัวแทนของความมืดที่ในหัวใจมนุษย์ก็เริ่มเคลื่อนไหว ถ้าเงานั่นไม่ถูกหมอเกาสยบ มันก็คงจะสังหารเหล่าวิญญาณสักสองสามตนเพื่อเตือนพวกที่เหลือและบีบบังคับให้พวกมันต้องกลับไปยอมสยบ แต่ว่า เขาไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปได้ และยิ่งเขาปล่อยให้มันเกิดขึ้น สถานการณ์ก็จะยิ่งวุ่นวาย ความกลัวที่เงานั่นใส่เอาไว้ในหัวใจของพวกเขาสลายไปอย่างช้า ๆ ขณะที่พวกเขาเริ่มกลืนกินอารมณ์ด้านลบเข้าไป
เสียงกรีดร้องและเสียงหัวเราะก้องไปรอบ ๆ เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ เสียงต่อสู้ดังมาจากทุกแห่งหน หมอกเลือดเริ่มบางลงเรื่อย ๆ แต่กลิ่นเลือดกลับรุนแรงขึ้น
“นี่คือความบ้าคลั่งโดยบริสุทธิ์ มันค่อนข้างไม่น่าสบายใจ” เฉินเกอกระโจนข้ามฆาตกรที่หมดสติ ในเวลาเดียวกัน ซู่อินก็ม้วนวิญญาณสัมภเวสีที่ขวางทางพวกเขาอยู่เป็นก้อนกลม พวกเขาแยกกันรับผิดชอบหน้าที่– เฉินเกอรับมือกับคนเป็นขณะที่ซู่อินรับมือกับวิญญาณสัมภเวสีและวิญญาณอาฆาต
เพียงแค่ไม่กี่นาที ของประหลาดหลายอย่างก็ถูกโยนเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังของเฉินเกอ ตัวอย่างเช่น หัวฝักบัวที่ยื่นออกมาจากห้องน้ำห้องหนึ่ง มันมีวิญญาณสัมภเวสีของผู้ชายคนหนึ่งครอบครองอยู่ เขามีนิสัยชอบแอบมองคนอื่นอาบน้ำ ความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นต่ำกว่าศูนย์เสียอีก แต่ว่าเขาดูน่ากลัว เฉินเกอนั้นมีความรู้สึกว่าเขามีความสามารถในการเป็นพนักงานที่ดี ดังนั้นจึงตัดสินใจพาเขากลับไปด้วย
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกหลายชิ้น อย่างเช่นไฟฉายที่สามารถเปิดปิดเองได้ วิญญาณที่ซ่อนอยู่ใต้แก้วน้ำ ผีผู้หญิงที่ชอบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ และอื่น ๆ อีก
สิ่งที่เคลื่อนย้ายได้ง่าย เฉินเกอก็จะเก็บไป สิ่งที่จัดการได้ยากอย่างเช่นผีผู้หญิงที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ เฉินเกอก็จะทุบโต๊ะเป็นชิ้น ๆ และให้ผีเข้าไปสิงอยู่ในชิ้นไม้ที่หักออกมา เขาสัญญากับเธอว่าเขาจะทำโต๊ะตัวใหม่ให้เธอในอนาคต
รางวัลจากภารกิจนั้นดีกว่าที่เฉินเกอคาดเอาไว้ เขาเปิดโทรศัพท์เครื่องดำ ที่หน้าพนักงานนั้นมีข้อความใหม่เพิ่มมาสองสามข้อความ
“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ! คุณเพิ่งได้รับวิญญาณสัมภเวสีชนิดพิเศษ– หลี่กุ้ย (วิญญาณสัมภเวสี) ความบ้าตัณหานั้นนำไปสู่ความขมขื่น เขาถูกไฟช็อตตอนที่พยายามติดกล้องแอบถ่ายในห้องน้ำที่เหนือฝักบัว ความสามารถพิเศษของเขาคือ กรรมเลว และมันสามารถส่งอิทธิพลต่อโชคของเขาและผู้คนที่รอบ ๆ คุณต้องการจ้างเขาเป็นพนักงานของคุณหรือไม่?
“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ! คุณเพิ่งได้รับวิญญาณสัมภเวสีชนิดพิเศษ– เหอเป้ยเป้ย (วิญญาณสัมภเวสี) ตายในอุบัติเหตุแก้วน้ำตกลงมาจากฟ้าตอนที่เดินเดินผ่านพื้นที่เขตที่พักอาศัย เธอไม่พึงพอใจกับการตายของเธอ จนกว่าเธอจะได้พบตัวฆาตกรที่แท้จริง เธอสามารถซ่อนอยู่ใต้แก้วน้ำ ตอนที่มีคนดื่มน้ำจากแก้วนี้ เธอก็จะสามารถจับสังเกตคนผู้นั้นได้จากใต้แก้ว พลังพิเศษ ถ่ายภาพ คุณต้องการจ้างเธอเป็นพนักงานของคุณหรือไม่?
“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ! คุณเพิ่งได้รับวิญญาณอาฆาตชนิดพิเศษ– หวังเหม่ย (วิญญาณอาฆาต) เธอป่วยด้วยภาวะทางจิต หวาดกลัวพื้นที่กว้าง และรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ในที่แคบ ๆ สาเหตุการตายของเธอนั้นยังเป็นปริศนา ตำรวจพบร่างของเธออยู่ในกล่องไม้ใต้โต๊ะ ไม่มีใครรู้ว่าเธอไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร และพวกเขาก็ไม่พบรอยนิ้วมือของบุคคลที่สองเลยสักรอยที่สถานที่เกิดเหตุ พลังพิเศษของเธอคือการดัดตน คุณต้องการจ้างเธอเป็นพนักงานของคุณหรือไม่?
“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ! คุณเพิ่งได้รับวิญญาณสีเลือดชนิดพิเศษ– ??? (วิญญาณสีเลือด)! ได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังจะสลายไป ไม่ทราบชื่อจริง ไม่ทราบพลัง ไม่ทราบประวัติ ก่อนที่คุณจะทำตามคำขอร้องของเธอสำเร็จ คุณจะไม่สามารถจ้างเธอเป็นพนักงานของคุณได้”
เฉินเกอมองที่หน้านั้นและพบว่ารางวัลตอบแทนนั้นมากมายแค่ไหน มีวิญญาณอย่างน้อยสามดวงที่มีพลังพิเศษ และหญิงไร้หัวที่เป็นวิญญาณสีเลือด
“ฉันจะทิ้งคำถามเรื่องจ้างงานพวกเขาเอาไว้หลังทำภารกิจนี้สำเร็จ” เพื่อให้แน่ใจในคุณภาพของทีม สนใจแค่จำนวนอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ– สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือสมาชิกแต่ละคนนั้นสามารถจัดการตัวเองได้ เฉินเกอเก็บโทรศัพท์เครื่องดำลงไปและมองไปรอบ ๆ ตัว
เมืองหลี่ว่านนั้นบ้าคลั่งถึงจุดสูงสุด– เงานั่นน่าจะไม่สามารถบอกได้ว่าต้นกำเนิดของปัญหาอยู่ที่ไหนแล้ว และการปรากฏตัวของคุณหมอเกานั้นก็เป็นปัจจัยที่เปลี่ยนทุกอย่างไป ถึงจะฉลาดแบบเงานั่น ยิ่งวางแผนการอย่างละเอียด เขาก็ยิ่งไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคุณหมอเกาเปลี่ยนไปเป็นวิญญาณสีเลือด และยิ่งไปกว่านั้น ยังมาปรากฏตัวในเวลาเช่นนี้
ข้อมูลนั้นเป็นตัวตัดสินทิศทางที่คนผู้หนึ่งจะเลือกเมื่อคิดวางแผนการ เงานั่นเคยสู้กับคุณหมอเกามาก่อน เงานั่นเก่งกาจในด้านจิตวิทยา และบังเอิญว่า คุณหมอเกาก็เป็นจิตแพทย์ที่ดีที่สุดที่จิ่วเจียงเคยมี ในการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเงานั่นที่ชนะได้เฉียดฉิว คุณหมอเกาก็ยังทิ้งความประทับใจเอาไว้ให้เงานั่นอย่างลึกซึ้ง และมันก็ระแวดระวัง ‘คน’ คนนี้อย่างที่สุด
หมอกเลือดในเมืองหลี่ว่านสามในสี่ส่วนนั้นไปกระจุกอยู่ที่จุดจุดหนึ่ง เงาวูบวาบของโซ่สีแดงเข้มตัดผ่านหมอก ทิ้งรอยบาดลึกเอาไว้บนตึกรอบ ๆ
“เงานั่นปกป้องภารกิจระดับสี่ดาวเอาไว้ด้านหลัง ดังนั้นเขาย่อมต้องมีไพ่ตายใบอื่นที่ยังไม่ได้ใช้ ฉันสงสัยว่าหมอเกาจะสามารถกดดันเงานั่นได้อีกนานแค่ไหน” เฉินเกอให้ความสนใจกับการต่อสู้ระหว่างเงานั่นกับหมอเกาอย่างใกล้ชิด ในตอนนี้เอง มีเสียงตูมตามดังมาจากตึกที่ฟ่านฉงอาศัย ใคร ๆ ก็สามารถมองเห็นหลอดเลือดที่ปกคลุมอยู่ที่ด้านนอกตึกเริ่มเหี่ยวแห้งและตายไป
“ใครทำน่ะ? เป้าหมายของพวกเขาดูเหมือนจะเป็นประตูที่หลุดออกจากการควบคุมเช่นกัน” เฉินเกอนั้นค่อนข้างประหลาดใจ นอกจากตัวเขา คุณหมอเกา และเงานั่น ดูเหมือนว่าจะมีกองกำลังฝ่ายที่สี่ “เป็นผู้หญิงในชุดกันฝนสีแดง หรือว่ามีฆาตกรรวมกลุ่มกันขึ้นมาใหม่?”
ประตูนั้นเป็นแหล่งกำเนิดของหมอกทั้งหมดในเมืองหลี่ว่าน ดังนั้นเงานั่นจึงไม่เคยปล่อยให้ใครทำอันตรายประตูได้ เสียงประหลาดดังผ่านโซ่และหมอกมา มันเหมือนกำลังเรียกชื่อหนึ่งอยู่
“ในที่สุดเงานั่นก็กำลังจะเผยไพ่ใบที่สองแล้ว?” เฉินเกอนั้นตื่นตัวเป็นอย่างมาก ไม่ช้าเขาก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ตั้งแต่เสียงนั่นดังมา รอยเปื้อนรูปร่างคนก็เริ่มหายไปจากด้านนอกตึกของเมืองหลี่ว่าน มันเหมือนกับว่าพวกเขาคือผู้พักอาศัยที่แท้จริงของตึกเหล่านี้
“นี่ดูคล้ายกับรอยเปื้อนที่ในตึกของฟ่านฉง หรือว่าเงานั่นวางแผนจะปลุกทุกคนที่ตายอย่างทรมานในเมืองหลี่ว่านขึ้นมา? ฆาตกรและวิญญาณส่วนใหญ่นั้นถูกส่งมาจากส่วนอื่น ๆ ของประเทศ รอยเปื้อนรูปคนดูเหมือนจะแทนคนพื้นที่จริง ๆ ของเมืองหลี่ว่าน พวกเขาตายจากโรคระบาดและถูกฝังเอาไว้ลึกใต้เมืองนี้
ทุกอย่างดูเหมือนกำลังเคลื่อนไหว เฉินเกอหันไปมอง และเขาก็เห็นรอยเปื้อนรูปคนที่ด้านหลังตัวเอง มันอยู่ในรูปร่างของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ดูอายุราวเจ็ดหรือแปดปีและดูผอมเก้งก้าง ผมของเธอผูกไว้เป็นหางม้าสองข้าง
ตอนแรก ก็เป็นแค่เงาจาง ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เงาก็เริ่มเข้มขึ้นจนกระทั่งเฉินเกอสามารถมองเห็นรูปร่างของเด็กหญิงได้ชัดเจนขึ้น ร่างกายของเธอนั้นบิดเป็นก้อนกลม บางทีอาจจะเพื่อลดความเจ็บปวด แขนของเธอกอดตัวเองไว้แน่น แน่นจนกระดูกของเธอเริ่มเคลื่อน
กรอบ แกรบ แกรบ…
เสียงน่าขนลุกดังขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อไหร่ที่มันดังขึ้น รอยเปื้อนบนกำแพงก็จะชัดเจนขึ้นเหมือนมันพยายามจะดึงตัวเองออกจากกำแพง เสียงแทรกดังมาจากเครื่องเล่นเทป และเจ้าแมวขาวในกระเป๋าก็ร้องเหมียวใส่เฉินเกอไม่หยุด พวกเขาทั้งคู่กำลังเตือนเฉินเกอให้อยู่ให้ห่างจากเด็กหญิงคนนี้
“ทำไมซู่อินถึงไม่ปล่อยให้ฉันอยู่ใกล้ ๆ เธอ?” ตัวตนของเด็กสาวนั้นอ่อนแอกว่าวิญญาณสีเลือดมาก อันที่จริง เธอดูไม่ได้แข็งแกร่งเท่าวิญญาณอาฆาตที่เก่ง ๆ เลยด้วยซ้ำ แต่ว่ารอยเปื้อนหนึ่งกลับทำให้ทั้งซู่อินและเจ้าแมวขาวตื่นตัวได้ สียังเข้มขึ้นเรื่อย ๆ และบางทีมันอาจจะเป็นสายตาพร่าไปเอง แต่ว่าเฉินเกอรู้สึกเหมือนเขาเห็นเด็กหญิงขดตัวสั่น ๆ จากนั้นเด็กหญิงก็เงยหน้าที่ก่อนหน้านี้ฝังอยู่กับหน้าอกตัวเองขึ้นมาและหันมาหาเฉินเกอช้า ๆ
มันเป็นใบหน้าที่ไร้เครื่องหน้า แต่ว่า มองความว่างเปล่านั้นแล้ว เฉินเกอก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกหย่อนลงไปในน้ำเย็น และขนบนร่างของเขาก็ลุกชัน หลังจากอยู่กับวิญญาณมา ร่างกายของเฉินเกอนั้นมีอุณหภูมิต่ำลง และเขาก็ไม่เคยรู้สึกสันหลังเย็นวาบแบบนี้มานานแล้ว
“นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่วิญญาณร้าย…” เฉินเกอนิยามวิญญาณร้ายว่าเป็นวิญญาณสัมภเวสีแบบหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนที่มีชีวิต
วิญญาณนั้นมีดีและร้าย ดังนั้นจึงย่อมมีวิญญาณอาฆาตที่ดีและร้าย แต่ว่า รอยเปื้อนรูปคนตรงหน้าเขานี้ดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์ใด ๆ กลับกัน มันเต็มไปด้วยความต้องการทำลาย แทนที่จะเรียกว่าผี มันเหมือนกับคำสาปที่มีชีวิตมากกว่า จุดประสงค์ในการมีอยู่ของมันนั้นก็เพื่อแพร่กระจายหายนะและโชคร้าย เปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นเหมือนตัวมันเอง
ตอนที่รอยเปื้อนในกำแพงเห็นฟางหยวน ร่างของเด็กหญิงก็คลายออกช้า ๆ และแขนขาที่เดิมบิดเบี้ยวก็เริ่มเหยียดออกขณะที่เธอเดินออกมาจากกำแพง
ใบหน้าไร้เครื่องหน้ามองตรงมาที่เฉินเกอ เด้กหญิงก้าวเข้ามา และเธอก็เริ่มเร่งความเร็วขึ้นก่อนที่จู่ ๆ จะกระโจนเข้าใส่เฉินเกอ!
ในเวลาเดียวกัน เสียงกรีดร้องก็ดังอยู่รอบ ๆ เมืองหลี่ว่านไม่หยุด เงานั่นดูเหมือนจะเริ่มการโจมตีแบบไม่เจาะจงแล้ว– ฆาตกรและวิญญาณทั้งหมดในเมืองหลี่ว่านคือเป้าหมายของเขา
“ฉันจะถอยก่อนตอนนี้” เฉินเกอไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าสัมผัสถูกรอยเปื้อนพวกนี้ เขาไม่สั่งให้ซู่อินหรือไป๋ชิวหลินรับมือกับมันด้วยซ้ำ แต่เขาหลบเด็กหญิงและตัดสินใจจับตามองสถานการณ์ก่อนที่จะเริ่มการเคลื่อนไหวถัดไป
ตอนที่ 666
มีเสียงกรีดร้องโหยหวนและเสียงคำรามดังอยู่ทั่วไป นี่เป็นการชำระล้างครั้งใหญ่ เงานั่นเผยความเหี้ยมโหดเฉียบขาดออกมาเมื่อสถานการณ์เรียกร้องให้ทำ มันยินดีฆ่าผู้บริสุทธิ์หนึ่งพันคนมากกว่าจะปล่อยให้คนร้ายหนึ่งคนหนีรอด หลังจากเฉินเกอวิ่งออกมาจากในตึก ไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์ ถนน กำแพง และตึกที่ใกล้ ๆ… รอยเปื้อนรูปคนเริ่มปรากฏขึ้นทุกพื้นผิว
พวกมันโจมตีทุกอย่างที่อยู่ในสายตา ไม่ว่าจะเป็นคนเป็นหรือคนตายหรือวิญญาณ ตราบใดที่มันพบเจอ รอยเปื้อนก็จะโจมตีอย่างไม่ปรานี
“ไสหัวไป!” หน้าต่างบานหนึ่งของตึกทางซ้ายของเฉินเกอเปิดออก เฉินเกอมองผ่านเหล็กดัดกันขโมยเข้าไปเห็นชายคนหนึ่งที่สวมแค่กางเกงทุ่มโคมไฟตั้งโต๊ะไปที่มุมหนึ่งของห้องอย่างแรงเท่าที่ทำได้ ประตูห้องถูกผลักเปิดอย่างเงียบเชียบและรัศมีอันตรายก็กำจายเข้าไปในห้องตามมาด้วยรอยเปื้อนรูปคน จากนั้นด้วยความเร็วที่ไม่เข้ากับรูปร่าง มันก็พุ่งเข้าใส่ผู้ชายที่ข้างหน้าต่าง
“เชี่ยเอ๊ย! อย่าเข้ามาใกล้นะ!” ชายคนนั้นคว้าที่เขี่ยบุหรี่ที่ถูกทิ้งเอาไว้บนขอบหน้าต่างแล้วขว้างมันไปที่ชายแก่คนนั้น แต่ว่า ที่เขี่ยบุหรี่กลับพุ่งผ่านร่างของชายแก่ไปและไม่ได้ทำให้เขาเชื่องช้าลงเลยสักนิด ความกลัวในดวงตาของชายเปลือยท่อนบนนั้นปรากฏชัด เขาคว้าทุกอย่างที่เอื้อมถึงรอบตัวโยนพวกมันเข้าใส่ชายแก่ แต่ก็เหมือนกับที่เขี่ยบุหรี่ พวกมันไม่ได้ทำให้เขาเข้าถึงตัวช้าลงเลยสักนิด
“ฉันแย่งชิงบ้านหลังนี้จากไอ้พวกบ้าคนอื่น ๆ มันเป็นการต่อสู้อย่างยากลำบาก” ชายคนนั้นเคยเห็นสิ่งประหลาดมากมายในหลายปีที่ในเมืองหลี่ว่านของเขานี้ เขาเคยเจอกับหลาย ๆ อย่าง แต่ว่าก็รอดพ้นจากทุกอย่างมาได้ เขาเองก็เป็นคนสติวิปลาสคนหนึ่งและยังถูกครอบครัวส่งไปสถานพักฟื้นหลายต่อหลายครั้ง เขาเชื่อมั่นอย่างไม่สั่นคลอนในตัวตนของพระเจ้า แต่ว่าไม่เหมือนกับผู้ศรัทธาคนอื่น ๆ เขาเห็นตัวเองเป็นพระเจ้าที่ลงมาเกิด หลักฐานก็คือ ไม่ว่าเขาจะดูแลตัวเองไม่ดีแค่ไหน เขาก็ไม่เคยตายจริงสักที อมตะ นั่นคือสิ่งที่เขาใช้อ้างความเป็นพระเจ้าของตัวเอง
“เชี่ยเอ๊ย ไอ้แก่นี่! แกกล้าเป็นศัตรูกับพระเจ้าของแกเหรอ!” ชายคนนั้นไม่สามารถหนีออกทางหน้าต่างได้เพราะว่ามันมีเหล็กดัดกันขโมยติดเอาไว้ บ้านหลังนี้ที่ปกติทำให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัยตอนนี้กลายไปเป็นกรงเหล็กขังมนุษย์ การสู้คือทางเลือกเดียวของเขา เขาคว้าเก้าอี้ที่ล้มตะแคงอยู่ข้างตัวเล็งไปที่หัวของรอยเปื้อนรูปคน
การทุบตีครั้งนี้น่าจะทำให้เกิดการกระแทกรุนแรง แต่ว่าเขาก็ต้องสิ้นหวัง เมื่อเก้าอี้กระแทกเข้ากับหัวของชายชรามันกลับราวกับทุบลงไปบนของเหลวแอ่งหนึ่ง เก้าอี้กระแทกผ่านรอยเปื้อน ผู้ชายคนนั้นรีบปล่อยมือจากเก้าอี้ แต่ว่าจากนั้น ชายแก่คนนั้นก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขาเรียบร้อยแล้ว
เขาวิ่งไปที่ข้างเตียง และในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นเฉินเกอที่ยืนดูอยู่นอกหน้าต่าง เขาร้องขอความช่วยเหลือจากเฉินเกอ แต่ว่ามันก็สายไปแล้ว รอยเปื้อนรูปคนนั้นปีนขึ้นไปบนร่างของเขา แนบติดอยู่กับแผ่นหลังของเขาก่อนที่จะสลายเข้าไปในร่างของเขาช้า ๆ
ร่างของชายคนนั้นเปลี่ยนไปเป็นสีเทาด้วยความเร็วไม่น่าเชื่อ มือของเขาที่กำอยู่ที่เหล็กดัดที่หน้าต่างค่อย ๆ อ่อนแรงลง เมื่อสูญเสียพละกำลัง ใบหน้าอื่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขาอย่างช้า ๆ ราวกับจะซ้อนทับกัน ใบหน้าใหม่นั้นเหี่ยวย่น แห้ง และเป็นสีเทาซีด
ใบหน้าทั้งสองซ้อนทับกัน ผู้ชายคนนั้นสูญเสียสติจากความเจ็บปวดอย่างเหลือแสน เขาเริ่มคลานไปทางมุมหนึ่งของเหล็กดัดที่มีรูเล็ก ๆ ถูกตัดเปิดไว้ มันดูเหมือนจะเป็นทางออกฉุกเฉินที่เขาทำไว้ให้ตัวเอง หากไม่สนใจก็มองไม่เห็นแล้ว ตอนนี้เมื่อเฉินเกอคิดดูแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่ได้สวมเสื้อก็คงเป็นเพราะว่ามันอาจจะติดกับเหล็กดัดได้ตอนที่เขาพยายามหลบหนี
“ช่วยฉัน ช่วยฉันที!” รอยแผลแตกยับปรากฏขึ้นบนร่างของเขาเหมือนเขาถูกโบย สีหน้าของชายคนนี้นั้นเกินกว่าจะบรรยายได้ มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างคืบคลานอยู่ในหลอดเลือดและทำลายตัวเองจากข้างใน เลือดสีเทาซึมออกมาจากร่างของชายคนนี้ที่ใช้การไม่ได้ไปแล้ว แอ่งเลือดที่ก่อตัวอยู่ใต้ร่างเขานั้นเป็นสีดำสนิทและเต็มไปด้วยจุดเล็ก ๆ สีเทา
หลายวินาทีให้หลัง จุดสีเทา ๆ นั้นก็รวมเข้าด้วยกัน และมันก็คลานออกมาจากร่างของชายคนนั้น
ภาพนี้ เฉินเกอมองอย่างสงสัยเป็นที่สุด ชายแก่ดูเหมือนจะเกิดใหม่จากการฆ่าเหยื่อของตน และนอกไปจากความปรารถนาที่จะทำลายแล้ว เฉินเกอยังมองเห็นอารมณ์ที่สองจากชายแก่คนนั้น– ความอยากแก้แค้น ศพของชายคนนั้นนั้นติดอยู่ตรงเหล็กดัด และสิ่งที่น่ากลัวก็คือ หลังจากศพหล่นลงไปบนพื้น รอยเปื้อนใหม่ก็ปรากฏขึ้นตรงตำแหน่งที่เขาตาย
รอยเปื้อนนั้นยังคงไร้รูปร่าง แต่ว่าเฉินเกอก็รู้สึกว่ามันแค่ถูกทิ้งเอาไว้ให้เติบโต หลังจากนี้สองสามปี รอยเปื้อนรูปคนรอยใหม่ก็จะเข้าครอบครองที่ตรงขอบหน้าต่าง
“คนที่ถูกรอยเปื้อนฆ่าจะกลายมาเป็นรอยเปื้อนเสียเอง– สิ่งนี้มันเหมือนกับโรคติดต่อเลย” การตายของชายคนนั้นดูเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง และนี่ก็ลดความอยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับใครในพวกมันของเฉินเกอลง “ไพ่ตายของเงานั่นน่ากลัวจริง ๆ หลังจาก ‘การชำระล้างครั้งใหญ่’ รอยเปื้อนรูปคนก็จะเข้าครอบครองเมืองหลี่ว่านมากขึ้น”
เสียงประหลาดดังมาจากด้านหลังเขา ใบเด็กหญิงไร้ใบหน้าก็ยังตามอยู่ด้านหลังเฉินเกอ ในเวลาเดียวกัน ชายแก่ในบ้านก็เจอตัวเฉินเกอแล้ว และเขาก็เริ่มไล่ตามมา
“ทุกอย่างมีจุดอ่อนของมัน โชคร้าย ฉันไม่มีเวลามากพอที่จะค้นหา” เฉินเกออยากจะวิ่งหนีไปจากเด็กหญิงและชายแก่ เขาก็พบว่ายังมีรอยเปื้อนรูปคนอยู่ตามถนนอีกมาก
“นี่ดูไม่ดีแล้ว” เฉินเกอมองไปตามถนนด้วยดวงตาหยินหยาง รอยเปื้อนรูปคนมากมายในตึกล้วนกำลังเดินออกมา ฆาตกรหลายคนถูกบีบให้ออกมาที่ถนน และแน่นอนว่า พวกเขากำลังวิ่งไปในสองทิศทาง หนึ่งคือที่ที่เงานั่นกำลังสู้กับคุณหมอเกา และรอยเปื้อนรูปคนก็กำลังถูกนำไปทางนั้น แต่ว่าพวกมันทั้งหมดล้วนถูกดันกลับมาด้วยหมอกสีเลือดและโซ่
เฉินเกอไม่รู้ว่าอีกทิศทางนั้นจะนำไปสู่อะไร เพื่อไม่เผยตัวเองออกมา เขาตามหลังกลุ่มนี้ไปเงียบ ๆ กลืนตัวเองเข้าไปในกลุ่มฆาตกรบ้าคลั่ง สำหรับคนที่มีชีวิตรอดอยู่ในเมืองหลี่ว่านได้ ไม่ว่าจะเก่งกาจแค่ไหน อย่างน้อยที่สุดก็ยังต้องมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน– พวกเขาทั้งหมดล้วนวิ่งได้เร็วมาก ตอนที่คนผู้หนึ่งถูกวิญญาณอาฆาตไล่ตาม มีเพียงคนที่วิ่งหนีจากวิญญาณตนนั้นได้ทันถึงจะมีชีวิตรอดมาได้
เมืองหลี่ว่านนั้นไม่ได้ใหญ่นัก ถูกรอยเปื้อนกลุ่มหนึ่งไล่ตาม ไม่ช้ากลุ่มคนก็วิ่งวนไปรอบเมืองรอบหนึ่ง ในที่สุด พวกเขาหยุดอยู่ที่หน้าตึกอพาร์ทเม้นท์เก่าแก่หลังหนึ่ง ตึกนี้ดูเหมือนจะเก่ากว่าตึกอื่น ๆ ในเมือง มันมีลิฟท์พร้อมกับประตูแบบที่ยุบเข้าไปด้านในบานประตูลิฟท์ได้อย่างที่เห็นตามหนังเก่า ๆ น้อยครั้งที่ลิฟท์เหล่านี้จะถูกใช้ในตึกที่พักอาศัย– พวกมันปกติจะใช้ในการขนส่งของชิ้นใหญ่มากกว่า
“หลบไปให้พ้น ๆ!” ในลิฟท์นั้นจุคนได้ไม่มากนัก และทุกคนก็ต้องการเข้าไปข้างในนั้น เมื่อชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย กลุ่มฆาตกรโหดเหล่านี้ก็เผยนิสัยเดิมออกมา ความร่วมมือกันนั้นไม่มีความหมายในหมู่พวกเขา– พวกเขาไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะรวมกันเราอยู่ มีเพียงต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองเท่านั้น
อพาร์ทเม้นท์นี้สูงเก้าชั้นและดูจะเป็นตึกสูงที่สุดในเมืองหลี่ว่าน เฉินเกอมองไปที่ตึกนี้ด้วยดวงตาหยินหยาง และในไม่ช้าเขาก็ค้นพบสิ่งประหลาดของที่นี่ ตึกอื่น ๆ นั้นเต็มไปด้วยรอยเปื้อน แต่ตึกนี้นั้นเงียบอย่างน่าสงสัย ไม่มีรอยเปื้อนหรือว่าวิญญาณอาฆาต อันที่จริง มันเหมือนที่นี่นั้นเป็นแดนร้าง
“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าตึกนี่มีความน่ากลัวที่น่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่ารอยเปื้อนรูปคนเสียอีก?”
ฆาตกรคนที่เร็วที่สุดนั้นพุ่งเข้าไปในลิฟท์ได้แล้ว เขากดปุ่มลิฟท์ให้ปิด ไม่สนใจคนอื่นที่พยายามจะเข้าไปด้วย
ปัง!
ตอนที่คนด้านนอกทันรู้ว่าผู้ชายคนนั้นวางแผนจะหนีไปในลิฟท์คนเดียว พวกเขาก็โยนอาวุธทั้งหมดของพวกตนเข้าไปในลิฟท์ อย่างที่พูดถึงก่อนหน้านี้ ประตูลิฟท์นั้นเป็นแบบที่ยุบเข้าไปได้ หมายความว่ามีช่องว่างระหว่างประตูลิฟท์ นอกจากนี้ มันยังเปิดปิดช้ามาก ผลก็คือไม่มีใครในพวกเขาได้ขึ้นลิฟท์จากไป
“ฉันคิดว่าฉันจะใช้บันได” เฉินเกอไม่สนใจฆาตกรพวกนี้ คนพวกนั้นไม่ได้มีคุณสมบัติจะเป็นพนักงานของเขาได้ แทนที่จะสู้กับคนพวกนี้ เขาไปสำรวจดูด้วยตัวเองดีกว่า เขาเดินไปทางบันได และก่อนที่จะทันได้เดินขึ้นไป เฉินเกอก็ตัวแข็งอยู่กับที่เหมือนถูกช็อตเมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป ที่ติดไว้ตรงทางไปบันไดนั้นเป็นโปสเตอร์ของสวนสนุกนิวเซนจูรี่!
โปสเตอร์นั้นเก่า และยังถูกฉีกขาดไปเป็นแถบใหญ่ แต่เฉินเกอก็ยังบอกได้ตั้งแต่มองแวบแรกเพราะว่าที่ตรงกลางของโปสเตอร์นั้นก็คือบ้านผีสิงของเขาเอง!
หลายปีก่อน ตอนที่สวนสนุกเพิ่มเริ่มเปิดบริการ บ้านผีสิงของเฉินเกอเคยเป็นเครื่องเล่นหลัก ตอนนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่ข่าวต่าง ๆ นั้นไม่ได้กระจายไปอย่างรวดเร็วนัก สวนสนุกจึงได้แต่แปะป้ายโฆษณาและใบปลิวไปทั่วเมืองจิ่วเจียง และผู้เข้าชมที่มาที่สวนสนุกก็จะได้รับโปสเตอร์สวนสนุกที่ออกแบบอย่างละเมียด ถ้าใครชอบประสบการณ์ที่นี่ พวกเขาก็จะช่วยกระจายข่าวสวนสนุกออกไป
ถ้าเป็นแค่นั้น เฉินเกอก็คงไม่ตกใจ– เขาคงแค่ประหลาดใจ– แต่เขานึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ระหว่างทางมาที่นี่ เขาได้รับโทรศัพท์จากฟ่านฉง ในสาย ฟ่านฉงบอกอย่างชัดเจนว่าเขาเล่นเกมของเสี่ยวปู้จบแล้ว และฉากสุดท้ายของเกมเสี่ยวปู้นั้นเข้าไปในตึกหลังหนึ่ง ที่กำแพงตึกนั้นมีโปสเตอร์ของสวนสนุกนิวเซนจูรี่ติดไว้!
“ฉันเจอแล้ว!” ขณะที่เฉินเกอวิ่งวุ่นไปทั่วเมืองหลี่ว่านก่อนหน้านี้ เขาค้นหาที่นี่ มันพ้นสายตาเขามาได้จนถึงตอนนี้ “เสี่ยวปู้น่าจะอยู่ที่นี่ และดังนั้นนี่จึงเป็นเงื่อนงำที่พ่อกับแม่ของฉันทิ้งไว้ให้!”
ที่ห้องเก็บศพใต้ดิน หลังจากเฉินเกอสู้กับคุณหมอเกา คุณหมอเกานั้นใช้สัมปชัญญะสุดท้ายที่เหลืออยู่ให้เฉินเกอดูรูปใบหนึ่ง ในรูป พ่อกับแม่ของเฉินเกอนั้นยืนอยู่กับเด็กหญิงชุดแดงคนหนึ่ง– เด็กหญิงคนนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเสี่ยวปู้ ดังนั้น เฉินเกอจึงสามารถยืนยันได้ว่าเสี่ยวปู้นั้นรู้บางอย่างเกี่ยวกับพ่อกับแม่ของเขาเพราะว่าพวกเขามีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันมาก่อน!
ยิ่งเขาปลดล็อกภารกิจได้มากขึ้น เขาก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความลึกลับเบื้องหลังการหายตัวไปของพ่อแม่ของเขาว่าลึกเสียยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ตอนแรก ขนาดของความลับนั้นมีแต่จะขยายขึ้น และมันยังเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาคิดว่าเขาเข้าใกล้ความจริง ความดำมืดที่ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิมก็เผยออกมา
เขาเอื้อมมือไปแตะที่ขอบโปสเตอร์ เฉินเกอมองไปที่ทางเดินที่นำไปสู่ช่องบันได เขาเรียกพนักงานทั้งหมดของตัวเองออกมาและเดินหน้าไป
“มันถูกปิดเอาไว้?” เฉินเกอไม่รู้ว่านี่เป็นผลงานของเงานั่นหรือว่าเป็นตัวตึกเองที่ถูกผนึกเอาไว้มานานแล้ว ทางเดินนั้นถูกกำแพงอิฐขวางเอาไว้ ไม่มีช่องว่างเหลือเลย
ปัง!
เฉินเกอลองทุบกำแพงด้วยค้อน เขาพบว่ากำแพงนั้นหนาอย่างไม่น่าเชื่อ และมันก็ต้องใช้เวลากว่าที่จะทำให้กำแพงมีรอยแตกได้
“ดูเหมือนว่าลิฟท์จะเป็นหนทางเดียวเท่านั้น” เสี่ยวปู้อาจจะซ่อนอยู่ในตึกนี้ นี่อาจจะเป็นความลับสุดยอดของเมืองหลี่ว่านและความจริงเบื้องหลังการหายตัวไปของพ่อและแม่ของเขา เฉินเกอเปลี่ยนจากบุคลิกเป็นมิตรตามปกติของเขา เขาคว้าค้อนและวิ่งไปทางลิฟท์พร้อมกับซู่อิน “ถ้ามีใครกล้าเข้าใกล้ประตู ฉันจะตัดเชือกที่แขวนลิฟท์ทิ้งซะ!”
เฉินเกอตะโกนเมื่ออยู่ห่างไปแค่สิบเมตร น้ำเสียงของเขาราบเรียบและสงบ เขาไม่ได้ดูเร่งร้อนเป็นพิเศษ แต่ว่าฆาตกรทั้งหมดเริ่มเงียบลง
ตัวตึกเองนั้นไม่มีรอยเปื้อนรูปคน และรอยเปื้อนรูปคนที่ด้านนอกก็เริ่มช้าลงเมื่อมันเข้ามาใกล้ตึกนี่ แต่ว่า พวกมันก็แค่ช้าลง มันไม่ได้หยุด ตึกนี่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สองของเงานั่น เมื่อมันพบว่ามีคนเข้ามาในตึกนี้ มันก็ส่งเสียงประหลาดมาอีกครั้งเหมือนกำลังเรียกชื่อใครสักคน
พอได้ยินเสียงนั่น รอยเปื้อนรูปคนก็เร่งความเร็วขึ้นและพุ่งมาทางตึกนี้
“ถ้าเงานั่นรู้ว่าเสี่ยวปู้ซ่อนอยู่ที่นี่ ทำไมมันถึงไม่มาตามหาเธอ? นี่เป็นอาณาเขตของมันแท้ ๆ” ฆาตกรหลายคนเบียดตัวเข้าไปในลิฟท์ ก่อนที่เฉินเกอจะมาถึง พวกมันก็เริ่มฆ่ากันเองเพราะน้ำหนักเกิน ไม่มีใครยินดีอาสาออกไปจากลิฟท์ ดังนั้นพวกมันจึงโยนศพออกมาแทน
หลังจากเฉินเกอเข้าไปในลิฟท์ ในที่สุดลิฟท์ก็เคลื่อนที่ มันสั่นแล้วเริ่มทิ้งตัวลงไปด้านล่าง
“ทำไมมันถึงลงข้างล่างล่ะ?” ฆาตกรคนที่ยืนอยู่ติดกับแผงควบคุมอ้าปากค้างอย่างตกใจ “ฉันแน่ใจว่าฉันกดชั้นบนสุด!”
“ไม่ต้องตกใจ บางทีอาจจะมีคนอยู่ด้านล่างต้องการขึ้นมาข้างบน” ในลิฟท์นั้นแน่นขนัดไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีพื้นที่รอบตัวเฉินเกอ
ตึกนี่นั้นมีชั้นใต้ดินสองชั้น เป็นชั้นใต้ดินให้เช่า ส่วนใหญ่แล้วเป็นชาวต่างชาติที่ไม่สามารถเช่าห้องที่อื่นได้ หลายปีก่อน ส่วนกลางของจิ่วเจียงนั้นวางแผนที่จะมุ่งพัฒนารอบ ๆ จิ่วเจียงตะวันออก ทุกคนล้วนมีความหวังเต็มที่กับโครงการนี้ พวกเขาสร้างโรงงานและตึกสูง และยังดึงดูดคนนอกอย่างเจียหมิงให้มาหางานทำที่นี่ แน่นอนว่า ไม่มีใครคิดว่าจิ่วเจียงตะวันออกจะจบลงแบบนี้ในหลายปีถัดมา
ลิฟท์เคลื่อนที่ช้ามาก และน่าแปลก เมื่อลิฟท์ผ่านชั้นใต้ดินชั้นแรก มันหยุด ลิฟท์เปิดออกไปยังพื้นที่ว่างเปล่า ผู้ชายคนที่ยืนอยู่ข้างแผงควบคุมรีบกดปุ่มที่น่าจะนำพวกเขาขึ้นไปที่ชั้นบน ครู่ต่อมา ประตูลิฟท์ก็ปิด แต่ลิฟท์ก็ยังไม่เคลื่อนที่ขึ้นด้านบน ยังคงลงไปข้างล่างต่อ ไม่ช้า มันก็เปิดประตูออกที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สอง
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?” ชายคนนั้นกดปุ่มลิฟท์หลายครั้ง แต่ประตูลิฟท์ก็ไม่ยอมปิด เขาพยายามอยู่นานก่อนที่จะอ้าปากค้างอย่างตกใจ “ทำไมมันถึงบอกว่าน้ำหนักเกินอีกแล้วล่ะ?”
หน้าจอของลิฟท์รุ่นเก่าแบบนี้นั้นอยู่ที่แผงควบคุม และมันก็เล็กมาก และหากไม่สังเกตใกล้ ๆ ก็ไม่เห็นข้อความเหล่านี้
“ไม่มีใครออกหรือเข้าลิฟท์เสียหน่อย ทำไมจู่ ๆ พวกเราถึงได้น้ำหนักเกินกัน? มีบางอย่างเข้ามาในลิฟท์ก่อนหน้านี้เหรอ?” ทุกคนในลิฟท์นั้นอาศัยอยู่ในหลี่ว่านมาระยะเวลาหนึ่งกันแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงพอรู้สถานการณ์ต่างๆ ที่พวกเขาอาจจะเจอได้ที่นี่
ปัญหาตอนนี้ของพวกเขาก็คือจะอยู่ในลิฟท์ต่อหรือว่าจะออกไป ถ้าพวกเขาอยู่ในลิฟท์ต่อ พวกเขาก็อยู่กับผี แต่ถ้าพวกเขาออกไปจากลิฟท์ ก็อาจจะมีผีรอพวกเขาอยู่ที่ข้างนอกมากกว่านี้
“บางทีอาจจะมีบางอย่างผิดปกติกับลิฟท์นี่ ทุกคนยินดีออกไปดูไหมเผื่อว่ามันจะทำงานได้?” มีคนแนะนำขึ้น แต่ว่าก็ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็วเพราะไม่มีใครต้องการออกไป เทียบกับความมืดของชั้นใต้ดินแล้ว ขึ้นไปด้านบนนั้นเป็นตัวเลือกที่ฉลาดกว่า หรืออย่างน้อยที่สุด ธรรมชาติของคนก็บอกแบบนั้น
คุมเชิงกันอยู่อย่างนี้นั้นไม่ดี และเฉินเกอเองก็ไม่ได้คิดจะไปตามฆ่าเหล่าฆาตกรที่เหลือพวกนี้– เขาไม่เห็นเหตุผลอื่น ดังนั้น เขาจึงอาสาออกจากลิฟท์ไป น่าแปลก พอเขาออกไปจากลิฟท์ มันก็กลับมาเป็นปกติ
“นี่หมายความว่ายังไงกัน? ลิฟท์ตัวนี้ตรวจจับน้ำหนักของผีและเพิ่มตัวตนพวกนั้นเข้าไปทำให้น้ำหนักเกินงั้นเหรอ?”
หลังจากเฉินเกอออกไป พวกมันที่เหลือก็รีบปิดประตูราวกับเกรงว่าผู้ชายคนนี้จู่ ๆ อาจจะเปลี่ยนใจ
คราวนี้ ประตูลิฟท์ปิดลงตามปกติ ในวินาทีสุดท้าย เฉินเกอมองเห็นเงาร่างคนมากมายยืนหันหลังให้เขาอยู่ในลิฟท์
“ฉันขอให้พวกแกทุกคนโชคดีนะ”
เฉินเกอถือค้อนเอาไว้แล้ววิ่งไปตามทางเดิน สิ่งแปลก ๆ ที่เขารู้สึกนั้นเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น มีโปสเตอร์สวนสนุกที่อยู่ในสภาพดีอยู่บนกำแพง และยังมีเครื่องเล่นที่ถูกทิ้ง ทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับบ้านผีสิงของเขาสักทางหนึ่ง
เขาวิ่งไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของชั้นใต้ดินและหยุดลงที่หน้าประตูบานหนึ่ง
ประตูบานนี้ดูคล้ายกับบานอื่น ๆ แต่ว่ามีก้นบุหรี่มากมายเกลื่อนอยู่รอบ ๆ ประตู และยังเป็นยี่ห้อเดียวกับที่พ่อของเฉินเกอโปรดปรานเป็นอย่างมากด้วย
ตอนที่ 667
บุหรี่ที่คุ้นเคยปลุกความทรงจำของเฉินเกอขึ้นมา เขาไม่เคยเป็นคนที่อ่อนไหวมากนัก แต่ว่าตอนนี้ ฝีเท้าของเขาชะลอลงจนหยุดอยู่กับที่
“มีสิ่งต่าง ๆ ที่พวกพ่อกับแม่ปิดบังไว้จากผมมากมายเท่าไหร่กันเพียงเพื่อจะทิ้งผมเอาไว้และยังมาในที่ที่อันตรายนี้ด้วยตัวเองอีก?” เฉินเกอเคาะประตู แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ จากนั้นเขาจึงร้องเรียกเบา ๆ “มีใครอยู่ที่นี่ไหม?”
ตอนที่เขาเพิ่งพูดจบ ก็มีเสียงประหลาดใจและดีใจดังมาจากด้านในห้อง “บอสเฉิน?”
ล็อกที่ด้านหลังประตูหลุดออกจากที่และระบบล็อกที่ซับซ้อนกว่าก็เริ่มขยับ หลังจากนั้นเป็นนาน ประตูที่ดูธรรมดาที่ด้านนอกในที่สุดก็เปิดออก ฟ่านฉงในชุดนอนยืนอยู่หลังประตู บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตา ตอนที่ชายหนุ่มร่างอ้วนเกินร้อยกิโลกรัมผู้นี้เห็นเฉินเกอ เขาก็พุ่งเข้าไปหาฝ่ายหลัง เตรียมจะฝังเฉินเกอเอาไว้ในอ้อมกอดหมี ๆ
“ควบคุมตัวเองหน่อย” เฉินเกอก้าวถอยไปก้าวหนึ่ง เขามองเห็นเลยว่าฟ่านฉงตื่นเต้นแค่ไหน
“ผมรู้ว่าคุณจะมา! บอสเฉิน คุณไม่รู้หรอกว่าผมหวุดหวิดจะไม่ได้เห็นคุณอีกครั้งแค่ไหน!” เสียงของฟ่านฉงเริ่มแตกพร่าขณะเล่าเรื่องของเขาออกมา เขามีหลายอย่างที่จะบอกเฉินเกอ แต่เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน เขาย่ำเท้าเดินกลับไปกลับมาในห้อง ไขมันเป็นชั้นที่ท้องของเขากระเพื่อมไปทุก ๆ ก้าวย่างของเขา
“สงบใจลงก่อน คุณมีโทรศัพท์อยู่กับตัวไหม? พวกเราคุยโทรศัพท์กันเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ดังนั้นให้ผมตรวจดูบันทึกโทรศัพท์ของคุณหน่อย” เฉินเกอกำลังทดสอบฟ่านฉง ตอนที่ฟ่านฉงหายตัวไป เขาทิ้งโทรศัพท์เอาไว้ในห้อง อันที่จริง เป็นฟ่านต้าเตอที่เป็นคนหยิบโทรศัพท์ฟ่านฉงขึ้นมาแล้วคุยกับเฉินเกอสั้น ๆ
“ผมไม่มี ผมรีบร้อนมากตอนที่พยายามหนี และผมก็ทำมันหล่นไว้ในห้อง” ฟ่านฉงชี้ไปที่ชุดนอนที่ใหญ่เป็นพิเศษของเขาที่ไม่มีกระเป๋าเลยสักใบ เฉินเกอพยักหน้าและมองเข้าไปในห้อง นี่เป็นห้องเช่าธรรมดา ๆ ห้องหนึ่ง มีเตียง โต๊ะ และพัดลมไฟฟ้า– ไม่มีอะไรกระโจนเข้าใส่เฉินเกอ
“ทำไมคุณถึงมาซ่อนอยู่ในที่แบบนี้ได้? ใครพาคุณมาที่นี่?” เฉินเกอนั้นยังอยู่ภายใต้ความคิดที่ว่าฟ่านฉงถูกเงานั่นลักพาตัวไป แต่จากที่เห็น มันดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น
“ที่นี่เป็นชั้นใต้ดิน จะมีหน้าต่างอยู่ในห้องไปเพื่ออะไรกัน? นี่เป็นวิธีการหลอกตัวเองอย่างหนึ่งหรือไง?” เฉินเกอกำค้อนแน่นและยืนอยู่ที่ประตูกลัวว่านี่จะเป็นกับดัก
“เธอพาผมมาที่นี่” ฟ่านฉงดึงม่านหนาหนัก กำแพงปูนที่มองเห็นอยู่ด้านนอกหน้าต่างนั้นมีรูปวาดที่ดูเหมือนจะวาดขึ้นด้วยสีเทียนถูก ๆ มีภูเขา แม่น้ำ และพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง ดอกไม้ที่ไม่มีวันเหี่ยวเฉาและครอบครัวที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สายตาของเฉินเกอตามการเคลื่อนไหวของม่านไปก่อนที่จะไปหยุดลงที่มุมหนึ่งของกรอบหน้าต่างที่มีเด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ เธอสวมชุดสีแดงมองไปที่รูปวาดบนกำแพงปูนเหมือนมันเป็นศิลปะที่ไร้กาลเวลาชนิดหนึ่ง
“เสี่ยวปู้?” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉินเกอเห็นเด็กหญิงคนนี้ แต่ทุกครั้ง ความรู้สึกที่เขาได้รับจากเธอล้วนต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง บางครั้งเธอมาเพื่อเตือน บางครั้งไม่แยแส และครั้งนี้ มันดูจนปัญญา
“เป็นเธอที่ลากผมหนีมาตอนที่พวกเราคุยกันก่อนหน้านี้” ดวงตาของฟ่านฉงกระตุกเหมือนเขายังกลัวอยู่เมื่อคิดกลับไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น “คืนนี้ ที่กลับมาบ้านไม่ใช่พี่ชายผม เป็นคนอื่น ผมยังไม่อยากจะเชื่อ ผมไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกติเลยและอยู่ห้องเดียวกับเขามาตั้งนาน”
“พี่ชายของคุณถูกแทนที่ด้วยเงา?” สิ่งที่ฟ่านฉงพูดนั้นเข้ากับได้กับความสงสัยก่อนหน้านี้ของเฉินเกอ “นี่คือสิ่งที่เสี่ยวปู้บอกคุณ?”
“ใช่ พี่ชายผมไม่ได้กลับบ้านคืนนี้ และผมก็เป็นห่วงเขา” ฟ่านฉงนั่งลงบนเตียง และโครงเตียงเก่า ๆ ก็ลั่นเอี๊ยดจากน้ำหนักตัว มันเหมือนกำลังจะพังลงตอนไหนก็ได้ เทียบกับขนาดตัวเขาแล้ว เตียงนี่ดูเล็กมาก
“เตียงนี่ดูเหมือนจะเตรียมไว้ให้เด็ก” ฟ่านฉงอธิบายขณะแอบชำเลืองไปทางเสี่ยวปู้ เขากังวลว่าเขาจะทำเตียงพังเหมือนกัน
“เตรียมไว้ให้เด็ก?” เฉินเกอนั้นจับคำที่ฟ่านฉงใช้ได้อย่างรวดเร็ว “ในโทรศัพท์ คุณบอกผมว่าหลังจากเคลียร์เกมได้ เสี่ยวปู้เข้ามาในตึกนี้ ตึกนี้มีอะไรพิเศษ? มันดูไม่ต่างไปจากตึกอื่น ๆ ในเมืองหลี่ว่านไม่ว่าจะมองจากด้านในหรือด้านนอก”
“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมได้ยินเรื่องนี้จากเสี่ยวปู้เหมือนกัน หลายปีก่อน เกิดโรคระบาดขึ้นในเมืองหลี่ว่าน และนี่ก็เป็นเพียงตึกเดียวที่พ้นจากการติดเชื้อมาได้”
“เพียงตึกเดียวที่ไม่ติดเชื้อ? คุณหมายความว่ายังไง?” เฉินเกอยังไม่ค่อยเข้าใจนัก
“เรื่องมันยาว คุณจะเข้าใจทุกอย่างเมื่อเล่นเกมของเสี่ยวปู้จบ เกมนั่นใช้เมืองหลี่ว่านเป็นฉากและลอกแบบจากสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลี่ว่านเมื่อตอนนั้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ” ฟ่านฉงนั้นผ่านภารกิจย่อยทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับเนื้อเรื่องทั้งหมด “ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ซับซ้อน มันสามารถส่องสว่างเหมือนพระอาทิตย์นำความอบอุ่นและสบายมาให้คนที่อ่อนแอและหมดหนทาง แต่มันก็สามารถเป็นขุมนรกมืดดำ ทั้งมืดและหนาวเหน็บ อันตรายอย่างไร้สิ้นสุด
“ต้นกำเนิดของโรคระบาดคือโรงพยาบาลหลี่ว่าน หมอพ่ายแพ้ และพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อหยุดยั้งการระบาดของโรคได้ ผู้ป่วยบางคนรู้ว่าพวกเขาไม่รอดแล้ว ดังนั้นจึงมีบางคนคิดที่จะแก้แค้นขึ้นมา พวกเขาทำให้เครื่องมือแพทย์และอาหารหลายอย่างปนเปื้อนด้วยเลือดของพวกเขา และไม่ช้า โรคก็เริ่มแพร่ออกไป
“ตอนแรก มันก็แค่ผู้ป่วยคนอื่น ๆ แต่ในที่สุด มันก็ลามไปถึงหมอก่อนที่จะกระจายไปครึ่งเมืองหลี่ว่าน โรคระบาดแพร่ออกไปเรื่อย ๆ และคนที่อาศัยอยู่ก็หวาดกลัว คนที่ติดเชื้อก่อนหลายคนนั้นเป็นบ้า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำการฆาตกรรมโดยตรง แต่คนบริสุทธิ์มากมายก็ตายเพราะพวกเขา ดังนั้นอันที่จริงแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากฆาตกรต่อเนื่องเลย
“ตอนนั้น ทั้งเมืองหลี่ว่านเหมือนตกอยู่ในหายนะ และสถานที่ปลอดภัยเงียบสงบเดียวก็คือตึกนี้
“ก่อนที่ตึกจะถูกสร้างขึ้นใหม่ ตรงนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผู้พัฒนาคิดว่าจะมีการพัฒนาเมืองจิ่วเจียงตะวันออกอย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงซื้อที่ดินและสร้างตึกอพาร์ทเม้นท์ใหม่ ตอนนั้น พวกเขาให้คำสัญญาสวยหรูว่าพวกเขาจะเก็บห้องส่วนหนึ่งเอาไว้ให้เด็กกำพร้าและเจ้าหน้าที่เพื่อให้แน่ใจว่าเด็ก ๆ จะมีที่อยู่ แต่ว่า หลังจากตึกถูกสร้าง สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากลับถูกจำกัดเอาไว้ที่ชั้นใต้ดินที่หนึ่งและสอง
“ระหว่างที่มีการระบาดหนัก เจ้าหน้าที่ทั้งหมดของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าห้ามไม่ให้เด็ก ๆ ไปไหน จากนั้นพวกเขาก็ไปเฝ้าระวังทางเข้าชั้นใต้ดินเอาไว้ พวกเขาตัดสินใจจะหยุดทุกคนที่คิดจะเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า รวมทั้งตัวพวกเขาเองด้วย
“หนึ่งวันหนึ่งคืนให้หลัง ความช่วยเหลือก็มาถึง ไม่มีใครรู้ว่าอันที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ไม่มีข้อมูลเรื่องนี้บนโลกออนไลน์ ในเกม มันก็แค่บอกว่าเด็กกำพร้าทั้งหมดได้รับความช่วยเหลือ ไม่มีใครในพวกเขาติดเชื้อเลย”
เล่าถึงตอนนี้ เสียงของฟ่านฉงก็เริ่มเปลี่ยนไป “พูดกันตามตรง ผมเคารพเจ้าหน้าที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพวกนั้นมาก พวกเขาน่าจะเป็นความดีเดียวที่เมืองหลี่ว่านมี”
มนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจ กระทั่งในสภาพแวดล้อมที่น่าเกลียดและโสมมที่สุด บางคนก็ยังคงเบ่งบานเป็นดอกไม้งาม
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตึกอื่น ๆ ล้วนเต็มไปด้วยรอยเปื้อนรูปคน แต่ตึกนี้สะอาดมาก” เฉินเกอได้รับคำตอบหนึ่งจากคำถามในใจของเา แต่ว่านี่ก็มีแต่นำไปสู่คำถามอื่นมากมาย “แต่ทำไมเสี่ยวปู้ถึงมาที่นี่ตอนจบเกม? นี่เป็นเพราะว่ามันเป็นตัวแทนความเมตตาของเธอเหรอ?”
ผู้เปิดประตูทุกคนล้วนตกอยู่ในความสิ้นหวังอย่างที่สุด– การไถ่บาปให้ตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
“คุณน่าจะสังเกตเห็นโปสเตอร์ที่ทางเดินใต้ดินใช่ไหม? มีภารกิจย่อยในเกมเกี่ยวกับสามีภรรยาคู่หนึ่งที่มาที่เมืองหลี่ว่าน พวกเขาหาตัวเสี่ยวปู้ และทำตึกนี้ให้เป็นที่หลบภัยของเสี่ยวปู้” ฟ่านฉงพยายามอย่างยิ่งที่จะนึกถึงฉากสุดท้ายจากเกมของเสี่ยวปู้ “พวกเขาต้องการช่วยเสี่ยวปู้ แต่ว่า เสี่ยวปู้ก็ต้องสัญญาจะช่วยพวกเขาเรื่องหนึ่ง”
“ช่วยแบบไหน?” เฉินเกอรู้ว่าคู่สามีภรรยาในภารกิจนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพ่อแม่ของเขา บุหรี่ที่คุ้นเคย และโปสเตอร์บ้านผีสิงทุกหนแห่งนั้นเป็นความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ มีเพียงแค่พ่อแม่ของเขาที่จะไม่รู้สึกอายพอที่จะหิ้วโปสเตอร์ของบ้านผีสิงไปด้วยทุกหนแห่งที่พวกเขาไป
“ใช่” ฟ่านฉงหันไปมองเสี่ยวปู้ เห็นว่าเสี่ยวปู้ไม่มีท่าทีอะไรเขาก็พูดต่อ “พวกเขาต้องการให้เสี่ยวปู้กลายเป็นเงาให้ลูกของพวกเขา”
“ช่วยอธิบายให้ละเอียดที” เฉินเกอหรี่ตา
“คุณก็เห็นฟ้อนต์อักษรที่ใช้ในเกม– พวกมันอ่านยากมาก ผมเชื่อว่ามีข้อความที่บอกว่าเงาของลูกของพวกเขาหายไป ดังนั้นจึงอยากให้เสี่ยวปู้มาเป็นเงาใหม่ให้ลูกของพวกเขา ผมรู้ว่านี่ยากที่จะเชื่อมาก ๆ แต่ว่านี่เป็นสิ่งที่เกมบอกจริง ๆ ในเกม เสี่ยวปู้ไม่ตกลงกับเงื่อนไขของพวกเขาในทันที ดังนั้น พวกเขาจึงสร้างที่หลบภัยขึ้นในเมืองหลี่ว่าน หลังจากเสี่ยวปู้ตัดสินใจแล้ว เธอก็สามารถมาที่นี่เพื่อรอพวกเขาได้ และจากนั้นพวกเขาก็จะช่วยเธอจัดการกับเงานั่น” ฟ่านฉงนั้นไม่เข้าใจคำพูดที่ออกจากปากของเขาเลยสักนิด และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าถ้อยคำเหล่านี้นั้นมีผลกระทบต่อเฉินเกอรุนแรงแค่ไหน
“ให้วิญญาณสีเลือดไปเป็นเงา ใช่ นี่เป็นความคิดที่มีแต่พวกเขาที่คิดขึ้นมาได้” ตอนนี้ที่เสี่ยวปู้เข้ามาในที่หลบภัย มันก็หมายความว่าเด็กหญิงยินดีที่จะเป็นเงาให้เฉินเกอ แต่ว่า พ่อแม่ของเขาไม่ได้ทำตามที่พวกเขาสัญญาไว้ว่าจะจัดการกับเงาให้แต่กลับหายตัวไป ทั้งหมดนี่ทำให้เฉินเกอรู้สึกกระอักกระอ่วนกับเสี่ยวปู้– เขาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเธออย่างไรดี “โอ้ ใช่ ตราบใดที่เงานั่นถูกฆ่า ไม่ว่าด้วยมือใคร สัญญาก็นับว่าสมบูรณ์”
เข้ามาในห้องแล้วเฉินเกอก็เดินไปที่หน้าต่าง เสี่ยวปู้นั้นดูอายุไม่เกินแปดขวบเท่านั้น ชุดสีแดงนั้นเลื่อนไหลเหมือนเลือดตัดกันกับผิวซีดขาวของเธอ แค่เข้าไปใกล้ ๆ กับเด็กหญิงก็ทำให้ซู่อินกระตุ้นเตือนอย่างรุนแรง
“เธอดูทรงพลังมาก” นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอต้องจัดการกับประตูที่หลุดออกจากการควบคุม เขาไม่รู้ว่าเมื่อประตูหลุดออกจากการควบคุมนั้นผู้เปิดประตูจะได้รับผลกระทบอย่างไร แต่จากที่เขารู้ ผู้ผลักประตูดูเหมือนจะแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้
“คนที่ให้สัญญากับเธอคือพ่อแม่ของฉัน ฉันคือเด็กคนนั้นที่เสียเงาไป” ได้ยินที่เฉินเกอพูด ขนตาของเด็กหญิงที่เหม่อลอยอยู่ก็ดูเหมือนจะขยับ เธอหันกลับมาช้า ๆ และเฉินเกอก็แทบหายใจไม่ออก
“นี่…” ชุดสีแดงนั้นลอยอยู่ในสายลม เสี่ยวปู้นั้นไม่มีแขนและขา มีช่องว่างใหญ่อยู่ตรงจุดที่หัวใจของเธอควรอยู่
เด็กคนนี้นั้นเหมือนกับประตูนั่นเปี๊ยบ! นอกจากหัวที่นับเป็นใจกลางแล้ว ส่วนอื่น ๆ ที่หายไปล้วนเทียบกับประตูได้โดยสมบูรณ์!
มองเด็กหญิงเงียบ ๆ แล้วในที่สุดเฉินเกอก็เข้าใจว่าทำไมเสี่ยวปู้ถึงยินดีเข้ามาในที่หลบภัย ไม่มีใครยินดีสละซึ่งอิสระของตนเองหรอก
เฉินเกอเดินเข้าไปอีกหลายก้าวโดยไม่สนใจคำเตือนจากซู่อิน หัวใจของเขาเจ็บปวดเล็กน้อย “ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อสัญญาอะไร เธอได้รับบาดเจ็บสาหัส และผมก็เชื่อว่าผมคงไม่สามารถเข้าใจได้แม้แต่เศษเสี้ยวเดียวของความเจ็บปวดของเธอ ดังนั้นผมจะไม่เอาตัวเองไปอยู่ในมุมของเธอปลอบโยนเธอด้วยถ้อยคำกลวงเปล่า ผมรู้ว่าคำพูดไหน ๆ ก็ล้วนว่างเปล่า
“แต่สัญญาก็คือสัญญา ผมจะช่วยเธอจัดการกับเงานั่นดังนั้นเธอจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป”
เฉินเกอหยุดที่ตรงหน้าเสี่ยวปู้ นั่งลงช้า ๆ เพื่อมองเข้าไปในใบหน้าไร้ความรู้สึกที่ระดับสายตาเท่ากัน “ภาพที่ด้านนอกหน้าต่างนั้นเป็นอย่างที่วาดไว้นั่นแหละ หลังจากเงานั่นถูกจัดการแล้ว ผมจะพาเธอไปดูโลกข้างนอก พวกเราจะไปยังที่ที่เธออยากไป ไปดูโลกที่รอคอยเธออยู่”
เฉินเกอไม่ได้ยกบุญคุณขึ้นมาอ้าง เขาจะไม่ทำให้เสี่ยวปู้ต้องไปอยู่เป็นเงาของเขาเอง
บางทีอาจจะเพราะรู้สึกว่าเฉินเกอไม่ได้โกหก เสี่ยวปู้กะพริบตาหลายครั้ง เลือดไหลออกมาจากที่หางตาของเธอ และเลือดหยดนั้นก็กลายไปเป็นประโยค
“คนที่ไม่มีเงานั้นไม่ใช่คนของโลกนี้ คุณแน่ใจเหรอว่าคุณไม่ต้องการให้หนูไปเป็นเงาของคุณ?”
ตอนที่ 668
เลือดซึมออกมาจากกระจกหน้าต่าง เปื้อนไปบนรูปวาดที่บนกำแพง ทำให้มันดูไม่เป็นมงคลยิ่งกว่าก่อนหน้านี้
“ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับความตาย ผมก็จะไม่ยึดเอาอิสระเสรีของเธอมา นอกจากนี้ ผมอยู่โดยไม่มีเงามานานขนาดนี้แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าผมก็อยู่อย่างสบายดีไม่ใช่เหรอ? ทุกปัญหามีทางแก้ และผมก็แน่ใจว่าเรื่องนี้น่ะมีวิธีแก้ไขวิธีอื่น”
เฉินเกอนั้นเป็นคนมองโลกในแง่ดี ต่อให้เขาจะไม่ได้หล่อเหลา แต่ก็มีบางอย่างในตัวเขาที่ดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ มอบความหวังบางอย่างให้กับคนที่ใกล้ชิดกับเขา
สีหน้าของเสี่ยวปู้ไม่เปลี่ยน เลือดที่บนกำแพงทวนซ้ำคำถามเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเธอพยายามทำให้แน่ใจว่าเฉินเกอคิดดีแล้ว สำหรับคนที่ได้รับความเสียใจซ้ำ ๆ พวกเขาก็เลือกที่จะทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดที่มากขึ้นมากกว่าจะเชื่อถือในตัวคนอื่น นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาตระหนักดีว่าเมื่อคนผู้หนึ่งไว้วางใจคนผิดแล้วนั้นมันเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกมีดกรีดร่างมากนัก
“ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง เธอเคยพบพ่อกับแม่ของผม พวกท่านได้บอกอะไรเธอไหม? อย่างเช่นพวกท่านวางแผนจะทำอะไรต่อไป สถานที่ที่พวกท่านน่าจะไป?”
ในตอนแรกเลย เฉินเกอนั้นทุ่มทุกอย่างที่เขามีไปกับบ้านผีสิงเพราะเขาต้องการเก็บสิ่งเดียวที่พ่อกับแม่ของเขาทิ้งไว้เอาไว้ให้ได้ เขาต้องการปกป้องมันไว้ด้วยทุกอย่างที่เขามี การตามหาพ่อกับแม่กลายเป็นเป้าหมายของเขา ดังนั้นตอนนี้ที่เงื่อนงำหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาย่อมคว้ามันเอาไว้แน่น
เสี่ยวปู้ดูเหมือนจะรู้ว่าเฉินเกอจะถามคำถามพวกนี้ เลือดไหลออกจากหน้าต่างมากขึ้น และประโยคเลือดอีกประโยคก็ปรากฏขึ้นบนกำแพง “พวกเขาไม่ได้บอกหนูตรง ๆ ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน แต่ว่าพวกเขาพูดถึงโรงพยาบาลกลางซินไห่ตอนที่พวกเขาคุยกัน”
“โรงพยาบาลต้องสาป?” หนึ่งในสองภารกิจระดับสี่ดาวที่โทรศัพท์เครื่องดำมอบให้” เฉินเกอเอนตัวเข้าหากำแพงและจมไปในภวังค์ความคิด “เงานั่นเกี่ยวข้องกับผีทารก และการหายตัวไปของพ่อกับแม่ของฉันก็เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลกลางซินไห่ เป็นฉากระดับสี่ดาวทั้งคู่… ฉันยังไม่อยากรับมือกับพวกเขาตอนนี้ นอกจากนี้ ฉากระดับสี่ดาวที่จิ่วเจียงตะวันตก– โรงเรียนแห่งปรโลก– ก็กำลังจะหมดเวลาในไม่ช้าแล้ว หลังจากออกจากเมืองหลี่ว่าน ฉันควรจะไปทำภารกิจนั้นก่อน”
สำหรับภารกิจทดลองที่โทรศัพท์เครื่องดำให้นั่น การเพิ่มขึ้นหนึ่งดาวนั้นหมายถึงระดับความยากของภารกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก พูดกันตามตรง เฉินเกอนั้นไม่มีความมั่นใจเต็มที่ว่าเขาจะสามารถรับมือกับฉากระดับสี่ดาวได้
“ไม่เป็นไร นี่ยังไม่ใช่เวลามาจัดการกับเรื่องนี้ ฉันควรจะตั้งใจกับเรื่องตรงหน้าก่อน” เฉินเกอขยับไปหาเสี่ยวปู้ เขาอยู่ใกล้กับเด็กหญิงมากแล้ว แต่ว่าเสี่ยวปู้ก็ไม่มีทีท่าจะหลบหรือว่ารำคาญ นี่ทำให้ฟ่านฉงที่จับตามองอยู่ข้าง ๆ เหงื่อตก อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นวิญญาณสีเลือดตนหนึ่ง
“พ่อกับแม่ของผมบอกข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเงาไว้ไหม? บางอย่างเช่นจุดอ่อนของมันหรืออะไรคล้าย ๆ แบบนั้น?” เฉินเกออยากจะได้ข้อมูลจากเสี่ยวปู้มากขึ้น แต่ว่าปฏิกริยาของเสี่ยวปู้ก็ทำให้เขาผิดหวัง เลือดที่บนกำแพงเริ่มขยับอีกครั้งก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นประโยคเจ้ากรรมนั่น “คนที่ไม่มีเงาไม่ใช่คนของโลกนี้”
เด็กคนนี้น่าจะรู้มากกว่าที่เธอพูด ฉันสงสัยว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมบอกฉัน เฉินเกอยืนขึ้น ฟ่านฉงงุนงงเมื่อได้ยินเฉินเกอเรียกเสี่ยวปู้ แต่หลังจากที่เขาคิดดูแล้ว วิญญาณสีเลือดตนนี้อันที่จริงก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
“ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี?” เฉินเกอหันไปมองฟ่านฉง ฝ่ายหลังนั้นมีรอยยิ้นจนปัญญาบนหน้า
“อย่าถามผมสิ คำถามที่คุณถามผมเมื่อกี้ก็เป็นคำถามที่ผมก็อยากถามคุณเหมือนกัน”
ฟ่านฉงนั้นบอกเฉินเกอทุกอย่างเกี่ยวกับเกมแล้ว ตอนนี้เขาต้องการให้เฉินเกอตัดสินใจ
“รอยเปื้อนรูปคนนั้นเป็นอุปสรรคใหญ่ เทียบกับพวกวิญญาณแล้ว พวกมันมีจิตมุ่งร้ายกว่ามากและยังเป็นสิ่งที่บางคนจงใจสร้างขึ้น พวกมันสร้างขึ้นจากความคิดชั่วร้ายล้วน ๆ และยังไม่มีความเป็นมนุษย์หลงเหลือในตัวอีกต่อไป” สิ่งเหล่านี้นั้นไม่มีประโยชน์กับพวกเขาเลยสักนิด วิญญาณนั้นอาจจะได้รับผลกระทบหากพวกเขาสัมผัสเข้ากับรอยเปื้อน ดังนั้นเฉินเกอจึงไม่ยินดีที่จะให้พนักงานของเขาเสี่ยง
“วิญญาณสามารถกลืนกินและย่อยพวกมันได้ ยิ่งวิญญาณแข็งแกร่ง คำสาปที่พวกเขาสามารถกลืนกินได้ก็มากขึ้นเท่านั้นโดยไม่ได้รับผลกระทบอะไร ถ้านี่คือความกังวลของคุณ หนูสามารถช่วยคุณเปิดทางได้” เลือดที่บนกำแพงขยับเป็นประโยคนี้ เสี่ยวปู้นั้นมีวิธีการจัดการกับรอยเปื้อนรูปคน “คำสาปตัวเล็กสามารถกดเอาไว้ได้ มีเพียงแค่คำสาปตัวใหญ่ที่จะส่งผลด้านลบกับวิญญาณ”
“เธอเรียกพวกมันว่าคำสาป?” เพราะอะไรสักอย่าง เฉินเกอนึกถึงฉากระดับสี่ดาวในโทรศัพท์เครื่องดำ– โรงพยาบาลต้องสาป
“ความคิดที่ยังเหลืออยู่หลังจากตายไปสามารถเปลี่ยนรูปไปเป็นสิ่งที่แตกต่างกันมากมาย– วิญญาณสัมภเวสี คำสาป สิ่งเหนือธรรมชาติ และอื่น ๆ รอยเปื้อนเหล่านี้คือคำสาป สร้างขึ้นจากความโชคร้ายและจิตมุ่งร้ายเพียงอย่างเดียว”
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวิญญาณกินและย่อยคำสาปมากเกินไป?” เฉินเกอถาม
“พวกเขาก็จะกลายไปเป็นคำสาปใหม่ ยิ่งวิญญาณแข็งแกร่ง คำสาปที่พวกเขาเปลี่ยนไปเป็นก็จะยิ่งชั่วร้าย” เลือดที่บนกำแพงเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เสี่ยวปู้นั้นไม่ได้พูดอะไรสักคำ และเธอก็ยังคงใช้วิธีการนี้ในการสื่อสารกับเฉินเกอ
“ของอย่างคำสาปนี่ควบคุมได้ไหม? จากที่เธอพูด คำสาปเหล่านี้ทำลายทุกอย่างที่อยู่ในสายตา พวกมันไม่สามารถจัดการได้เลย แต่ทำไมเงานั่นถึงสามารถทำอย่างนั้นได้ เขาทำอย่างไรกัน?”
“หนูก็ไม่รู้ บางทีเงานั่นอาจจะมีวิธีการของตัวเอง หรือบางทีเงานั่นอาจจะเป็นคำสาปหนึ่งก็ได้” อักษรเลือดที่บนกำแพงทำให้เฉินเกอตกตะลึงไปอีกครั้ง
“เงานั่นอาจจะเป็นคำสาปเองก็ได้?” ยิ่งเฉินเกอคิด มันก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ พ่อกับแม่ของเขานั้นคงไม่ทำเงาของเขาหายไปโดยไม่มีเหตุผล บางทีเขาอาจจะถูกสาปตอนที่ยังเด็ก และจากนั้นพ่อแม่ของเขาก็อาจจะส่งต่อคำสาปไปยังเงาของเขา แต่ว่า เขาไม่สามารถแบ่งปันความคิดนี้กับคนอื่นได้– เขาเก็บมันไว้กับตัวเอง
“ถ้าเงานั่นเองก็เป็นคำสาป อย่างนั้นมันก็เข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงเลือกเมืองหลี่ว่านเป็นรังของตัวเอง เขาต้องการใช้ประโยชน์จากคำสาปและความแค้นที่ถูกฝังลึกอยู่ใต้เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้” คำสาปคือไพ่ตายของเงานั่น และมันก็เพราะปัญหานี้ที่ขวางทางเฉินเกอ
“คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากไป กระทั่งคำสาปยังไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ดังนั้นการควบคุมที่เงานั่นมีเหนือพวกมันน่าจะเป็นเหมือนการกระตุ้นบางอย่าง มันไม่สามารถควบคุมคำสาปได้อย่างใจคิด หนูบอกคุณก่อนหน้านี้แล้ว คำสาปน่ะสร้างขึ้นจากความชั่วร้ายเพียงอย่างเดียว มีสิ่งประหลาดมากมายในเมืองหลี่ว่าน พวกมันสามารถช่วยเราดึงดูดความสนใจบางส่วน ดังนั้น พวกเราแค่ต้องออกจากเมืองหลี่ว่านให้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเป็นคำสาป”
เฉินเกอมองอักษรเลือดที่บนกำแพงและอารมณ์ในดวงตาของเขาก็อ่อนลง ในเมื่อเสี่ยวปู้นั้นยินดีจะสื่อสารกับเขาอย่างเปิดเผย นี่หมายความว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นใกล้ชิดกันมากขึ้น
“เอาละ พวกเราต้องออกไปจากที่สี่ก่อน พวกเราจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่ข้างนอกนั่น”
ในห้อง ฟ่านฉงมองเฉินเกอกับเสี่ยวปู้ และไขมันบนร่างของเขาก็สั่นระริกไม่หยุด
เขารู้ว่าเฉินเกอนั้นเป็นมิตร แต่เขาก็อดตัวสั่นอย่างหวาดกลัวจากหัวใจไม่ได้ สิ่งที่เขาเห็นนั้นประหลาดเกินไป ผู้ชายคนหนึ่งกับอาวุธสังหารยืนอยู่ข้าง ๆ วิญญาณสีเลือดที่ไม่มีแขนขา วิญญาณไม่พูดอะไรสักคำ และชายหนุ่มก็เอาแต่อ่านอักษรเลือดที่เปลี่ยนไปมาบนกำแพงพร้อมกับแววตาเมตตาและอ่อนโยน
“ฉันเข้ามายุ่งกับเรื่องวุ่นวายนี่ได้ยังไง? ฉันแค่อยากกลับบ้าน…”
เฉินเกอนำทางทั้งกลุ่มมาถึงที่ลิฟท์ “มีห้องมากมายที่นี่ พวกเราแน่ใจใช่ไหมว่าไม่พลาดอะไรไป?”
มองประตูที่ปิดอยู่ เฉินเกอก็ถามยิ้ม ๆ “เสี่ยวปู้ เธออยู่ที่นี่มาตั้งนาน เธอได้ผูกมิตรกับเพื่อนบ้านบ้างไหม? พวกเราพาพวกเขาไปด้วยได้นะ”
เสี่ยวปู้ส่ายหน้า– เธอยังคงต้องการเวลาเพื่อคุ้นเคยกับความใจดีเกินเหตุของเฉินเกอ เฉินเกอกดปุ่มเรียกลิฟท์ เมื่อประตูเปิด มือของฟ่านฉงก็เลื่อนไปปิดปากและจมูกของตัวเอง ภายในลิฟท์นั้นเต็มไปด้วยเลือดและรอยมีด และทั้งกลุ่มจากก่อนหน้านี้ก็หายไปหมดแล้ว
“ไม่เป็นไร คุณจะคุ้นเคยกับมันเอง” เฉินเกอก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาจะต้องปลอบฟ่านฉงด้วย พวกเขาเดินเข้าไปในลิฟท์ ขึ้นไปที่ชั้นด้านบนอย่างช้า ๆ แต่เสียงประหลาดจากด้านบนนั้นหายไปหมดแล้ว พอกลับมาถึงชั้นแรก ตอนที่ประตูลิฟท์เปิดออก เฉินเกอก็กำค้อนเอาไว้ ห้องโถงเงียบเชียบ ไม่มีเสียงกรีดร้องหรือร้องขอความช่วยเหลือ น่าแปลก ว่าไม่มีแอ่งเลือดหรือว่าศพเช่นกัน
“คนพวกนั้นไปไหนหมดแล้ว?” เฉินเกอใช้ดวงตาหยินหยางของเขามองไปรอบ ๆ หมอกเลือดนั้นบางลงกว่าก่อนหน้า บางครั้งเขาก็มองเห็นเงาวับแวมเดินอยู่บนถนนและพวกมันทั้งหมดก็เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน
“มีบางอย่างกำลังดึงดูดรอยเปื้อนรูปคนเหล่านี้”
“คำสาปทั้งหมดนั้นเคลื่อนที่ไปทางประตู” เสี่ยวปู้ยังไม่พูดสักคำ ตัวอักษรก็ก่อตัวจากหมอกเลือดในที่อากาศ ในฐานะผู้เปิดประตู เธอเป็นเจ้าของแท้จริงของหมอกเลือดเหล่านี้ แต่นั่นกลับถูกเงาใช้กำลังบังคับยึดไป
“เธอสามารถดึงหมอกคืนกลับจากเงานั่นได้มากแค่ไหน?” แผนการหนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเฉินเกอ
“ประมาณครึ่งหนึ่ง แขนขากับหัวของหนูถูกเงานั่นซ่อนไว้ที่ด้านนอกเมืองหลี่ว่าน มันอยู่นอกอาณาเขตที่หนูมีอิทธิพล นอกจากนี้ เงานั่นยังครอบครองหัวใจของหนูอยู่ และเขาก็อยากจะใช้หัวใจควบคุมประตู” ทุก ๆ ถ้อยคำนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเสี่ยวปู้ คนอ่านอย่างเฉินเกอและฟ่านฉงรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดที่ได้รู้เรื่องราวของเธอ
“ไม่แปลกใจเลยที่เงานั่นสร้างอพาร์ทเม้นท์ผีเอาไว้ที่ด้านนอกเมืองหลี่ว่าน เมืองหลี่ว่านถูกใช้ในการสั่งสมความสิ้นหวังและความรู้สึกด้านลบขณะที่เขตที่พักหมิงหยางนั้นถูกใช้เพื่อกดเสี่ยวปู้เอาไว้ เพื่อให้เสี่ยวปู้ทำตามคำสั่งของเขา เขาวางแผนทั้งหมดเอาไว้” เฉินเกอบอกเสี่ยวปู้ให้หยุดควบคุมหมอกเลือดก่อนสำหรับตอนนี้เพื่อให้พวกเขาไม่ดึงดูดความสนใจของเงานั่น “เพื่อนหลายคนของผมออกจากเมืองหลี่ว่านไปค้นหาที่อพาร์ทเม้นท์ผี ผมแน่ใจว่าพวกเขาจะกลับมาพร้อมกับแขนขาและหัวของเธอในไม่ช้า หลังจากนั้น เธอจะทำให้เงานั่นประหลาดใจกับการกลับมาของเธอ และพวกเราจะร่วมมือกันกำจัดเงานั่น”
แผนการของเฉินเกอนั้นเป็นไปได้ แต่เสี่ยวปู้ดูเหมือนจะไม่คิดอย่างนั้น “คุณฆ่าเขาไม่ได้”
“ทำไม?” เฉินเกอถามเหตุผล แต่ว่าเสี่ยวปู้ไม่ได้ตอบ ไม่ว่าเฉินเกอจะถามอะไรหลังจากนั้น เสี่ยวปู้ก็ไม่ตอบเขาแล้ว พวกเขาเดินไปตามถนนเมืองหลี่ว่าน เสี่ยวปู้นั้นคุ้นเคยกับผังเมืองหลี่ว่าน นี่เป็นประตูที่เธอเป็นคนเปิด ดังนั้นพูดตามทฤษฎีแล้ว โลกที่ด้านหลังประตูนั้นสร้างขึ้นจากความทรงจำของเธอ
ด้วยความช่วยเหลือของเสี่ยวปู้ เฉินเกอและฟ่านฉงจึงหลีกเลี่ยงอันตรายทั้งหมดและไปถึงที่เขตที่พักของฟ่านฉง ประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของหมอกเลือดนั้นเกาะกลุ่มกันอยู่ที่นั่น และสิ่งที่น่ากลัวก็คือ คำสาปที่รวมตัวกันอยู่นานแค่ไหนไม่รู้ในเมืองหลี่ว่านนั้นล้วนปรากฏตัวอยู่ในหมอกเลือดด้วยเช่นกัน
พวกมันเปลี่ยนไปเป็นเส้นด้ายสีดำที่พันอยู่รอบร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลางหมอก เส้นด้ายสีดำตรึงเงาร่างที่ว่าเอาไว้กับพื้น ไม่ยอมปล่อยให้เขาเดินต่อได้แม้แต่ก้าวเดียว
“เสี่ยวปู้ วิญญาณสีเลือดตนหนึ่งจะกินคำสาปได้มากแค่ไหน?” เฉินเกอนั้นกลัวว่าเสี่ยวปู้จะไม่ตอบ ดังนั้นจึงเสริม “ผู้ชายคนที่สู้กับเงานั่นตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุดในหมู่วิญญาณสีเลือด ครั้งหนึ่งเขาเคยแบกรับอารมณ์ด้านลบที่ด้านหลังประตูเอาไว้ได้ด้วยตนเอง ตัวตนเช่นนั้นจะสามารถต่อต้านคำสาปที่สั่งสมอยู่ในเมืองหลี่ว่านได้ไหม?”
เสี่ยวปู้ส่ายหน้า “ไม่ แต่เขาสามารถต้านทานคำสาปได้ระยะเวลาหนึ่ง”
“เข้าใจแล้ว” เฉินเกอโบกมือให้ฟ่างฉงตามเขาไป “อย่างนั้น พวกเราจะปล่อยให้พวกเขาสู้กันก่อนตอนนี้”
“พวกเราจะแค่ซ่อนตัวแอบมองอยู่จากด้านข้างเหรอ?” ฟ่านฉงงุนงง “พวกเขากำลังคุมเชิงกันอยู่ นี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเรา ไม่ว่าจะหนีหรือว่าจะลอบโจมตี พวกเราจะทำอะไรก้ได้!”
เฉินเกอนั้นสัญญาว่าจะฆ่าเงานั่น แต่เมื่อพวกเขามาถึงที่ เฉินเกอมองไปรอบ ๆ และบอกให้พวกเขาหาที่ซ่อน นั่นดูไม่ถูกต้องเท่าไหร่
“พวกเราจะลงมือเมื่อพวกเขาสู้กันเสร็จ ทั้งสองฝ่ายนี้มีความลับมากเกินไป พวกเราประมาทไม่ได้ นอกจากนี้ ยิ่งพวกเขาดึงดันกันนานเท่าใด ก็ยิ่งดีกับพวกเรา เมื่อพวกเราเจอชิ้นส่วนที่หายไปของประตู พวกเราก็จะได้เปรียบ พวกเราจะลงมือตอนนั้น” เฉินเกอมองไปยังหมอกเลือดที่รวมตัวกันอยู่ที่นั่น “พวกเขาไม่มีใครเรียกได้ว่าเป็นมิตร ดังนั้น ทางเลือกเดียวแห่งชัยชนะก็คือเอาชนะพวกเขาทั้งคู่”
“คุณวางแผนจะจัดการกับพวกเขาพร้อมกัน?” ฟ่านฉงกุมหน้าอกตัวเอง เขาไม่กล้าถามต่อแล้ว ทุกอย่างนั้นเร็วเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้แล้ว
“เงานั่นน่าจะสามารถสู้กับพลังของคุณหมอเกาได้ด้วยการใช้หมอกเลือดและคำสาปที่ฝังอยู่ในเมืองหลี่ว่าน ถ้าเขาไม่ได้ครอบครองไพ่ตายใบอื่นอีก เขาน่าจะเป็นฝ่ายที่แพ้ก่อน” เฉินเกอเข้าใจว่าคำสาปนั้นจำต้องใช้เวลากว่าที่มันจะเริ่มส่งผลชั่วร้าย และในช่วงเวลานั้น คุณหมอเกาน่าจะจัดการกับเงานั่นได้
“เงา? คุณหมอเกา? ฟังเหมือนคุณคุ้นเคยกับพวกมันทั้งคู่อ่ะ” ฟ่านฉงไม่ได้คาดว่าเฉินเกอจะตอบ และเขาก็ลดเสียงลงเป็นกระซิบ ใบปลิวสมาคมเล่าเรื่องผีนั้นอยู่กับซู่อิน แต่ว่าคุณหมอเกาน่าจะรู้สึกได้ว่าใบปลิวนั้นใกล้เข้ามา และเขาก็ยิ่งบ้าคลั่ง ในทะเลสีเลือด โซ่สะบัดไม่หยุดยั้ง เกิดเสียงโลหะกระแทกดังก้องไม่หยุด
“หมอเกาแข็งแกร่งขึ้นเพียงนี้ได้อย่างไร? เขาประสบกับอะไรมาบ้างที่ด้านหลังประตู? เขากลืนกินวิญญาณสีเลือดเข้าไปเยอะมากใช่ไหม?” เฉินเกอไม่เข้าใจ ตอนที่เขาอยู่ที่หมู่บ้านโลงศพ ผีที่ด้านในบ่อน้ำนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมากหลังจากเธอเข้าประตูไป แต่ว่าเธอต่างจากคุณหมอเกา ทั้งหมดที่เธอต้องการก็คือกลับมาเกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ให้ความสนใจแต่กับการแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่
ขณะที่เขาสนใจกับการไขปริศนานี้ โทรศัพท์ของเฉินเกอเองจู่ ๆ ก็สั่น เขารีบดึงมันออกมาดู มีข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน “จากถงถง พวกเขาทำสำเร็จแล้ว?”
แต่ว่า หลังจากอ่านข้อความ ทั้งหมดที่เฉินเกอทำได้ก็คือขมวดคิ้ว มีข้อความสั้น ๆ เพียงว่า “เด็กเยอะมาก! รีบมา!”
“ดูเหมือนว่าทางนั้นจะเกิดบางอย่างขึ้น” เฉินเกอเก็บโทรศัพท์ลงไป และไม่ยอมเสียเวลาเปล่า เขาเรียกฟ่านฉงและเสี่ยวปู้มา พวกเขาวิ่งไปทางชานเมืองหลี่ว่าน
ตอนที่เฉินเกอตัดสินใจนั้น ทะเลเลือดที่ด้านหลังเขาจู่ ๆ ก็ระเบิดออก เงาที่ดูเหมือนเฉินเกออย่างน่าสงสัยนั้นไถลออกมา พุ่งมาทางอพาร์ทเม้นท์ผีที่ชานเมืองหลี่ว่าน
หมอกเลือดสลายไป และเสียงที่ราวกับดังมาจากนรกก็ก้องอยู่ในหูทุกคน “เฉินเกอ…”
เสื้อคลุมหมอสีขาวนั้นย้อมเป็นสีแดงไปหมดแล้ว และสีแดงนั้นยังสดใสยิ่งกว่าสีเลือด
โซ่เส้นดำหนาหนักขดอยู่รอบ ๆ เสื้อคลุมสีขาว ท่อนล่างของชายคนนั้นละลายเป็นเลือดสีแดงเข้ม เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ว่าเขาดูราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด
ดวงตาของเขาที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยปัญญาตอนนี้เป็นสีแดงไปหมดแล้วช้อนมองขึ้น เฉินเกอและเงานั่นสะท้อนอยู่ในม่านตาของเขาทั้งคู่
“เฉินเกอ…”
คุณหมอเกา!
เฉินเกอเร่งฝีเท้าพุ่งตัวไปให้ไกล “ดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียสติไปแล้วแต่ทำไมอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้วเขายังจดจำได้อีก? นี่เป็นเพราะว่าฉันทิ้งความทรงจำไว้ให้เขาลึกซึ้งเกินไปงั้นเหรอ?”
ตอนที่ 669
เงานั่นถอย มุ่งหน้าไปทางชานเมืองหลี่ว่าน คุณหมอเกานั้นต้องคำสาปทั้งหมดและสภาพของเขานั้นก็ดูไม่ดีนักเช่นกัน หมอกเลือดสลายไป และชุดที่เสี่ยวปู้สวมอยู่ก็ดูสดสว่างมากขึ้น เธอเอียงคอมองเฉินเกอ เธอรู้สึกเหมือนว่าการติดตามชายคนนี้นั้นเพิ่มโชคดีของตัวเธอขึ้น
“ไปกันเถอะ!” เฉินเกอแบกกระเป๋าใบใหญ่สองใบของตัวเองและเริ่มออกวิ่ง ฟ่านฉงนั้นเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในกลุ่ม ด้วยขนาดตัวของเขา การวิ่งคราวนี้นั้นแทบจะฆ่าเขาได้
“รอผมด้วย!” ฟ่างหยวนกุมหน้าอกตัวเอง ตอนนี้ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าโชคชะตานั้นบางครั้งก็เล่นตลก ครั้งสุดท้ายที่เขาวิ่งสุดชีวิตก็คือในบ้านผีสิงของเฉินเกอ และคราวนี้ เขาก็กำลังวิ่งหนีไปกับผู้ชายคนนี้อีก
“อย่าหยุด! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น! ฉันจะไปหารถหรือพาหนะอะไรสักอย่างให้เธอ!” เฉินเกอวิ่งไปตามถนนเป็นนาน แต่เขาก็ไม่เจอพาหนะอะไรที่เขาจะใช้ได้ เมื่อไม่มีตัวเลือกอื่น เขาก็หยุดและบอกเสี่ยวปู้ “ตอนที่หมอคนนั้นเริ่มต้นไล่ล่าพวกเรา ผมต้องการให้เธอพาฟ่านฉงไปสักที่ที่เธอสองคนจะสามารถซ่อนตัวได้อย่างปลอดภัยขณะที่ผมชักนำหมอคนนั้นไปไกล ๆ แต่พยายามอย่าอยู่ห่างจากผมมากเกินไป ผมยังต้องการความช่วยเหลือจากเธอรับมือกับเงานั่นทีหลัง”
เฉินเกอนั้นวิ่งข้ามมาครึ่งเมืองแล้วตอนที่คุณหมอเกา ที่ร่างกายส่วนล่างละลายไปนั้น เริ่มลงมือ โซ่พุ่งผ่านหมอก เกิดเสียงแหลมเหมือนพวกมันเสียดสีกับตึกรามที่รอบด้าน
“เฉินเกอ…” ดวงตาสีเลือดคู่นั้นมองเฉินเกอและเงานั่นที่กำลังหนี บางทีคำถามในใจของเขาตอนนี้อาจจะเป็น– ทำไมทั้งสองถึงได้ดูคล้ายกันนัก?
คำสาปเกือบทั้งหมดที่หมักหมมอยู่ในเมืองหลี่ว่านนานหลายปีพุ่งเข้าไปในร่างของหมอเกา เลือดสีดำเริ่มไหลออกมาจากร่างกายของคุณหมอ เลือดผสานเข้ากับสารสีเทาและดำ หากอยู่ใกล้พอ ก็อาจจะได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนจากบางอย่างที่ในสารเหล่านั้น
เห็นสภาพของหมอเกาแล้ว เฉินเกอก็ตัวสั่นอย่างหวาดกลัว “ไพ่ตายของเงานั่นร้ายกาจจริง ๆ ถ้าหมอเกาไม่ปรากฏตัวขึ้น อย่างนั้นก็คงเป็นฉันกับพนักงานของฉันแล้วที่ต้องทนทุกข์กับคำสาปทั้งหมดนี่ ถ้าเป็นอย่างนั้น ต่อให้ฉันฆ่าเงานั่นได้ ฉันก็คงสูญเสียพนักงานไปเกินครึ่ง”
จำนวนคำสาปที่วิญญาณสามารถกลืนกินและย่อยได้นั้นจำกัด ถ้ามันเกินขีดจำกัด วิญญาณก็จะกลายไปเป็นคำสาปใหม่ นอกจากนี้ หลังจากกลืนกินคำสาปแล้ว ความรู้สึกด้านลบในหัวใจของพวกมันก็จะเพิ่มมากขึ้นและกลายเป็นถูกครอบงำ เมื่อเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น มันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยังรักษาหน้าที่ที่บ้านผีสิงไว้ได้ เมื่อไม่มีนักแสดง เฉินเกอก็ต้องปิดฉากใต้ดินทั้งหมดที่บ้านผีสิงลงชั่วคราว
หากบ้านผีสิงไม่สามารถให้บริการได้ตามปกติ ก็จะส่งผลเสียต่อสวนสนุกนิวเซนจูรี่ ระหว่างช่วงเวลาอันสำคัญที่สวนสนุกแห่งอนาคตกำลังจะเปิดนั้น สิ่งนี้ก็เหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ลาหลังหัก
มองผิวเผินแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนกำลังจะดีขึ้น แต่มีแค่เฉินเกอที่รู้ถึงความยากในกระบวนการทั้งหมดนี้ ถ้าเขาประมาท ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาก็จะสลายกลายเป็นควันไป
“เงานั่นเลือกที่จะถอยและรีบไปทางอพาร์ทเม้นท์ผี หมายความว่ากลุ่มของถงถงนั้นได้บางอย่างที่สำคัญกับเงานั่นมากมาแล้ว นี่น่าจะเป็นข่าวดีของฉันเหมือนกัน” เฉินเกอมองว่าทุกอย่างที่ถ่วงเงานั่นได้เป็นเรื่องดีทั้งนั้น
ด้านหลังเขา คุณหมอเกาเริ่มไล่ตามมา แต่ว่า สถานการณ์ของชายคนนั้นสามารถอธิบายได้แค่ประหลาดนัก เฉินเกอไม่รู้ว่าทำไมคุณหมอเกาถึงยืนกรานจะไล่ตามเขาอย่างไม่ลดละ “ไม่ใช่ว่าพวกเราทำความเข้าใจกันไปแล้วก่อนที่เขาจะเลือกฆ่าตัวตายหรือไง? ฉันยังสัญญาจะช่วยเขาดูแลลูกสาวของเขา เกาหรูเซว่ ด้วยซ้ำ”
ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ คุณหมอเกานั้นก็แทบจะสูญเสียสติไปแล้ว ตอนนี้เมื่อเขาตายไปแล้วและมาพัวพันอยู่ในคำสาปมากมายของเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ แน่นอนว่า เฉินเกอย่อมไม่อยากอยู่พูดคุยกับชายคนนี้
“ไม่มีเวลาวางแผนแล้ว– ฉันจะลากทุกคนไปที่อพาร์ทเม้นท์ผี ถ้ามีการต่อสู้ อพาร์ทเม้นท์ผีก็อาจจะถูกทำลาย บางที ฉันอาจจะทำลายแผนการของเงานั่นได้ด้วย” เฉินเกอนำอยู่ด้านหน้า คุณหมอเกาและเสี่ยวปู้ ทั้งคู่ต่างมุ่งตรงไปยังอพาร์ทเม้นท์ผี เงานั่นสังเกตเห็นแล้วและโมโห มันรู้ว่าเฉินเกอนั้นอยู่ในเมืองหลี่ว่าน แต่มันไม่รู้ว่าเป้าหมายแท้จริงของคุณหมอเกาคือเฉินเกอ
สัมผัสได้ถึงความอาฆาตแค้นอันหนาหนักเฉียบคม เฉินเกอก็มองไปรอบ ๆ และเห็นเงานั่นมุ่งไปตามถนนที่ขนานกับถนนที่เขาอยู่ เฉินเกอชี้ไปด้านหลังตัวเองแล้วก็ทำท่าบอกเงานั่น “แกเดาถูกแล้วแหละ เป็นฉันเองที่ชักนำเขามาที่นี่”
เงานั่นกัดฟันอย่างโกรธแค้น แต่มันรู้ว่าเฉินเกอนั้นมีการปกป้องจากวิญญาณสีเลือดตนหนึ่งอยู่ มันไม่สามารถจัดการกับเฉินเกอด้วยเวลาอันสั้นได้ ดังนั้น มันตัดสินใจปรับเป็นกลยุทธิ์ ‘ไม่เห็นผีสางอะไรทั้งนั้น’ ขณะเร่งความเร็วพุ่งไปยังอพาร์ทเม้นท์ผี
“ดูเหมือนว่าถงถงกับพวกจะสร้างปัญหาใหญ่ให้เงานั่นจริง ๆ” เฉินเกอให้สัญญาณเสี่ยวปู้กับฟ่านฉงเดินหน้าไปด้วยกัน เขาวิ่งไปเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามตามเงานั่นไป ไม่ช้า ภาพประหลาดภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ในเมืองหลี่ว่าน
ในฐานะผู้ร้าย เงานั่นถูกมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งที่แบกกระเป๋าสองใบเหมือนเพิ่งกลับมาจากไปช้อปปิ้งครั้งใหญ่ไล่ตาม ผู้ชายคนนั้นมีวิญญาณสีเลือดที่บ้าคลั่งไล่ตามหลังมา และที่ด้านท้ายของภาพประหลาดนี้ก็คือชายร่างอ้วนที่ดูเหมือนจะล้มพับไปตอนไหนก็ได้เพราะขาดอากาศหายใจและเด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ไม่มีแขนและขา
เงานั่นกังวลเกี่ยวกับอพาร์ทเม้นท์ผีมากเกินกว่าจะสนใจเฉินเกอ ดังนั้น สำหรับคนนอกแล้ว มันเหมือนกับว่าเฉินเกอกำลังไล่ตามเงานั่นอยู่ อพาร์ทเม้นท์ผีนั้นอยู่ในเขตที่พักหมิงหยางนอกเมืองหลี่ว่าน ตอนที่เฉินเกอมาถึงชานเมืองหลี่ว่าน เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหมอกเลือดที่นี่นั้นหนาตัวขึ้น
“หมอกเลือดนอกเมืองเล็ก ๆ ดูเหมือนจะต่างไปจากที่ในเมือง มันเหมือนหมอกพวกนี้มีบางอย่างที่พิเศษ” เฉินเกอใช้ใจสัมผัสหมอกประหลาดพวกนี้ และเขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังเรียกชื่อของเขามาจากทางตะวันตก เขามองไปในทิศทางนั้นและพบว่าที่รอบ ๆ นั้นเป็นสวนสนุกนิวเซนจูรี่
เงานั่นไม่ได้ให้เวลาเฉินเกอหยุดเพื่อคิดนานนัก มันข้ามถนนที่ไม่มีไฟจราจรและพุ่งเข้าไปในเขตที่พักอาศัย หมอกเลือดปิดบังร่องรอยของมันและเพราะอย่างนั้น เงานั่นจึงหายลับไปต่อหน้าต่อตาเฉินเกอ
เงานั่นหายไปแล้ว แต่ว่าคุณหมอเกานั้นยังตามหลังเฉินเกออยู่ เขาต้องหาทางดึงดูดความสนใจของคุณหมอเกา เฉินเกอหันกลับไปมอง– ดวงตาข้างหนึ่งของคุณหมอเกานั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เส้นด้ายสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพันเกี่ยวอยู่กับหลอดเลือดมากมาย และพวกมันก็ไหลเข้าไปในดวงตาของเขาราวกับน้ำตาสีเทา
“คุณหมอเกายิ่งประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ เสี่ยวปู้เคยบอกว่าวิญญาณสีเลือดที่ย่อยกินคำสาปเข้าไปมากเกินไปจะกลายไปเป็นคำสาปเสียเอง และวิญญาณยิ่งแข็งแกร่ง คำสาปที่มันเป็นก็จะยิ่งน่ากลัวมากขึ้น! ถ้าคุณหมอเกาถูกคำสาปพวกนั้นครอบงำ วิญญาณดวงนี้ที่เป็นวิญญาณสีเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดจะกลายไปเป็นคำสาปชนิดไหนกัน?
“ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว!” เฉินเกอเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังและตะโกนเรียกชื่อของเอี๋ยนต้าเหนียน “คุณสัมผัสถึงตำแหน่งของเหล่าโจวได้หรือเปล่า? เร็วเข้า!”
เหล่าโจวนั้นอาศัยอยู่ในหนังสือการ์ตูนของเอี๋ยนต้าเหนียนมาหลายปี และพวกเขาก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน อันที่จริง เฉินเกอก็แค่ลองดู– เขาไม่รู้หรอกว่ามันจะได้ผลหรือไม่
แรงกดดันจากวิญญาณสีเลือดนั้นแทบทำให้หายใจไม่ออก เพราะเข้าใจในความหนักเบาของสถานการณ์ หนังสือการ์ตูนในกระเป๋าสะพายเริ่มพลิกเปิดเอง จากนั้นปากกาลูกลื่นที่มีเทปกาวแบบใสพันอยู่ก็เริ่มวาดรูปหนึ่งที่หน้ากระดาษเปล่า เหล่าโจวและเหมินหนานนั้นซ่อนอยู่ในห้องหนึ่ง และที่ด้านนอกหน้าต่างที่ข้างกายพวกเขานั้นสามารถมองไปเห็นสถานีขนส่งที่ชานเมืองหลี่ว่าน
“งั้นพวกเขาก็อยู่ที่นั่นสินะ?” เฉินเกอเงยหน้ามองตึกทั้งสี่หลังของเขตที่พักหมิงหยางก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทางตึกหนึ่งที่ทางซ้ายสุด เขาเคยเข้าไปในตึกนี้พร้อมกับหัวหน้าเอี๋ยนมาก่อน เขาจำได้ว่าเห็นสถานีขนส่งผ่านหน้าต่างบานหนึ่ง ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ผีปากกาก็ร่วมมือกับเอี๋ยนต้าเหนียนมอบเงื่อนงำสำคัญให้กับเฉินเกอ เฉินเกอมุ่งหน้าไปยังตึกหลังนั้นและเรียกซู่อินออกมา
“เหล่าโจว! เหมินหนาน!” เขาร้องเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เมื่อเสียงหลุดออกจากปากของเขา เฉินเกอก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ตึกที่ตรงหน้าเขานั้นต่างไปจากตึกในชีวิตจริง!
ในชีวิตจริง เขตที่พักหมิงหยางนั้นเป็นโครงการร้าง หน้าต่างบางบานยังไม่ได้ติด และพื้นก็เป็นแค่ปูนและยังไม่ได้ตกแต่ง แต่ว่า ตึกที่เฉินเกอเห็นนี้สะอาด พื้นปูกระเบื้องผนังทาสีแล้ว และยังมีกระทั่งไฟติดอยู่ตามบันไดและทางเดิน
“ประตูที่เสี่ยวปู้เปิดนั้นอยู่ในเมืองหลี่ว่าน และเธอก็บอกมาแล้วว่าพลังของเธอมาไม่ถึงที่นี่ ดังนั้นเขตที่พักหมิงหยางนั้นจึงไม่ได้สร้างขึ้นตามความทรงจำของเธอ ถ้าอย่างนั้น ทำไมที่นี่ถึงได้ต่างจากสภาพของมันในชีวิตจริง?” ถ้าไม่เพราะว่ามีคุณหมอเกาไล่ตามเขาอยู่ เฉินเกอก็คงไม่คิดจะเข้าไปในสถานที่ประหลาดเช่นนี้อย่างวู่วาม
โลกที่ด้านหลังประตูนั้นสะท้อนโลกจริง บอกถึงฝันร้ายของใครคนหนึ่ง เมื่อมองใกล้ ๆ เขาก็พบว่าบนกำแพงยังมีรูปมากมาย มีเด็ก สัตว์ และของเล่นต่าง ๆ
“นี่ดูเหมือนเป็นเด็กวาด นี่แปลกมาก มันเหมือนความรู้สึกตอนที่ฉันก้าวเข้าไปในบ้านเด็กจิ่วเจียงครั้งแรก”
ไม่มีการตอบรับจากเหล่าโจวหรือว่าเหมินหนาน คุณหมอเกานั้นตามเขามาติด ๆ เฉินเกอนั้นไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นเรื่องฉลาดที่จะมุ่งหน้าขึ้นบันไดไป เขาอาจจะติดอยู่ที่นี่ถ้าคุณหมอเกาตัดสินใจขวางบันไดเอาไว้
“ฉันควรจะจำกัดการสำรวจของฉันเอาไว้ที่ชั้นแรกและชั้นที่สอง” ด้วยสภาพร่างกายของเฉินเกอตอนนี้ ตราบใดที่เขาระมัดระวังให้มาก เขาย่อมไม่บาดเจ็บจากการกระโดดลงมาจากชั้นที่สอง แต่ว่าเขาก็ไม่มั่นใจว่าาเขาจะยังปลอดภัยดีถ้ากระโดดจากชั้นสาม
่”คุณหมอเกายังอยู่ค่อนข้างห่าง ความเร็วของเขากำลังลดลง แต่เรื่องดีอย่างหนึ่งก็คือหลังจากเงานั่นออกจากเมืองหลี่ว่านมา เสี่ยวปู้ก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สีแดงบนชุดของเธอสดใสขึ้นเรื่อย ๆ”
ขณะที่เฉินเกอเรียกชื่อเหมินหนานและเหล่าโจว เขาก็พุ่งเข้าไปในตึก เมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นประตูปิดอยู่ เขาก็จะตวัดค้อนเข้าใส่โดยไม่หยุดคิด
เมื่อประตูเปิดออก ภาพที่ด้านหลังประตูก็ทำให้เฉินเกอประหลาดใจ ไม่มีผี ไม่มีภาพน่ากลัว มีแค่เด็กสองสามคนกำลังวาดรูปอยู่ ดวงตาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ไม่รู้ว่าอะไรคือความเกลียดชังและความเจ็บปวด พวกเขากำสีเทียนเอาไว้ในมือและมองเฉินเกออย่างสงสัย
เด็กพวกนี้คือผ้าขาวผืนหนึ่ง เฉินเกอไม่ได้ชื่นชมความไร้เดียงสาของพวกเขา แต่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่สำคัญถูกขโมยไปจากพวกเขา พวกเขาสูญเสียบางอย่างที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ เมื่อมองพวกเขา มันเหมือนมองหุ่นเชิดรูปคนมากกว่า
‘คนร้าย’ พร้อมกับอาวุธหน้าตาน่ากลัวบุกเข้าไปในห้อง แต่พวกเขากลับไม่มีปฏิกริยาอะไรเลย พวกเขายังถือสีเทียนเอาไว้ด้วยสีหน้าว่างเปล่า มองมาที่เฉินเกออย่างโง่งม
“เงานั่นน่าจะทำบางอย่างกับพวกเขา!” เฉินเกอรู้ว่าเขตที่พักหมิงหยางนั้นคืออพาร์ทเม้นท์ผีที่เงาสร้างขึ้น เขาเคยคิดว่าที่นี่จะเป็นที่อยู่ของผีและวิญญาณน่ากลัว ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าเขาใสซื่อขนาดไหน เงานั่นไม่ได้ใจดีพอที่จะให้พวกวิญญาณอาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นผู้พักอาศัยที่แท้จริงของเขตที่พักหมิงหยางก็คือเด็กพวกนี้ที่มีคุณค่าบางอย่างกับเงานั่น
“มีใครเห็นคนเดินเข้ามาในนี้ก่อนหน้านี้ไหม?” เด็กไม่ตอบคำถามใด ๆ ของเฉินเกอ พวกเขามองเฉินเกออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันกลับไปวาดรูปต่อ มันเหมือนว่าจิตใจของพวกเขาถูกพรากไป ทิ้งเอาไว้แค่รูปวาดง่าย ๆ ในใจพวกเขา และจุดมุ่งหมายของการมีตัวตนของพวกเขาก็คือใช้สีที่พวกเขาถืออยู่วาดรูปเหล่านี้อย่างไม่จบไม่สิ้น เฉินเกอไปดูหลายห้อง และทุกห้องก็เต็มไปด้วยเด็กประหลาด
“ในชีวิตจริง เขตที่พักหมิงหยางนั้นเต็มไปด้วยตุ๊กตาพัง ๆ ตอนนี้พอคิดดูแล้ว ตุ๊กตาเหล่านั้นแต่ละตัวน่าจะหมายถึงชีวิตมนุษย์จริง ๆ คนหนึ่ง”
ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว เฉินเกอรีบขึ้นไปที่ชั้นสอง พอเขาเปิดประตู เขาก็ไม่ได้หยุดเรียกชื่อเหมินหนาน
“รูปที่วาดโดยผีปากกานั้นชี้มาที่ตึกนี้แน่นอน ดังนั้นมันย่อมหมายความเหล่าโจวกับเหมินหนานอยู่ที่นี่แน่นอน ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมพวกเขาถึงไม่ขานตอบฉัน? ถึงแม้พวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย พวกเขาก็น่าจะตอบอะไรฉันสักหน่อยไม่ใช่หรือไง?”
ข้อความที่ถงถงส่งมานั้นเป็นข้อความขอความช่วยเหลือ เฉินเกอรู้ว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา แต่เขาไม่คิดว่าเรื่องจะซับซ้อนขนาดนี้ เฉินเกอทุบประตูชั้นสอง– แต่ละห้องก็ยังเต็มไปด้วยเด็ก ๆ “แขนขาของเสี่ยวปู้นั้นถูกซ่อนเอาไว้บนขั้นที่สูงขึ้นไป คุณหมอเกาก็อยู่ข้างหลังไปไม่ไกล และถ้าฉันรีบขึ้นไป ฉันก็อาจจะถูกขังเอาไว้จากสองด้านคือเงาและคุณหมอเกา”
ตอนที่เขาลังเล จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากชั้นที่สี่ “เฉินเกอ! ช่วยฉัน! ช่วยฉันด้วย!”
มีคนไม่มากในเมืองหลี่ว่านที่รู้ชื่อจริงเฉินเกอ เฉินเกอหันไปมองและเห็นเจียหมิงยื่นหัวออกมาจากบันไดจนร่างของเขาเกือบจะตกลงมา สีหน้าของเขานั้นเจ็บปวดอย่างสุดแสน ดวงตาของเขาแดงก่ำเหมือนมันจะทะลักออกมา “ช่วยฉัน! พวกเราอยู่ที่นี่ทุกคนเลย!”
ตอนที่เจียหมิงพูด ก็มีเสียงอื่น เฉินเกอนั้นคุ้นเคยกับเสียงนี้– เป็นเสียงของสารวัตรหลี่ “อย่ามาที่นี่! เฉินเกอ! ออกไปจากที่นี่ทันที! บอกทุกอย่างที่เธอเห็นที่นี่ให้หัวหน้าเอี๋ยน! จำไว้! เธอต้องบอกหัวหน้าเอี๋ยน!”
“ถ้าคุณอยากตายก็อย่าลากฉันไปด้วย! เฉินเกอ พวกเราทุกคนอยู่ที่นี่! พาพวกเราไปด้วย! ช่วยพวกเราด้วย!” เจียหมิงดูเหมือนจะประสบกับความเจ็บปวดอันไม่สามารถอธิบายได้ เขาเอาแต่พยายามยืดตัวออกมา เฉินเกอพบว่าข้อมือของเขานั้นมีกุญแจมือใส่เอาไว้ และอีกข้างนั้นก็สวมอยู่กับข้อมือของหลี่เจิ้ง
หลี่เจิ้ง เจียหมิง มือกรรไกร และคนที่เหลือที่หายตัวไปจากบ้านของฟ่านฉง ตอนนี้ พวกเขาจู่ ๆ ก็ปรากฏตัวที่นี่ นี่ทำให้เฉินเกอรู้สึกสงสัยขึ้นมา ปกติแล้ว เฉินเกอมักจะสังเกตการณ์ต่ออีกครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจ แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้นั้นผิดปกติเกินไป
คุณหมอเกากำลังไล่ตามมา และเขาจะมาถึงในไม่ช้า เขาไม่มีเวลาคิดมากนัก และร่างกายของเขาก็ขยับขึ้นบันไดไปตามสัญชาตญาณ เขาไม่สนใจชีวิตของเจียหมิง แต่ว่าเขาต้องช่วยสารวัตรหลี่ นานมาแล้ว ตอนที่เฉินเกอสู้กับสมาคมเล่าเรื่องผีเป็นครั้งแรกที่อพาร์ทเม้นท์ฟางฮวา เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้นั้นช่วยเขาเอาไว้ครั้งใหญ่ด้วยการซื้อเวลาให้เขาในช่วงเวลาที่คับขันที่สุด เฉินเกอไม่ได้เห็นตัวเองเป็นเทพเจ้า แต่ว่าเขาจดจำทุกน้ำใจที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา
“สารวัตรหลี่พูดถึงหัวหน้าเอี๋ยนก่อนหน้านี้ แต่ทำไมผมถึงต้องบอกทุกอย่างที่เห็นที่นี่ให้หัวหน้าเอี๋ยนฟังด้วย? เขาเป็นอะไรที่มากกว่าที่เห็นเหรอ?”
วิ่งไปถึงชั้นสี่ เฉินเกอเห็นหลี่เจิ้งและเจียหมิงที่ถูกคุมตัวเอาไว้ ขาและแขนของพวกเขาถูกมัดเอาไว้ เด็กหลายคนผลักพวกเขาเข้าไปอยู่ตรงกลางบันได เมื่อพวกเด็ก ๆ เห็นเฉินเกอ พวกเขาก็กระจายตัวออก
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่น่ะ?” เฉินเกอตัดเชือกและช่วยหลี่เจิ้งลุกขึ้น เขากำลังจะถามคำถามอื่น ๆ ตอนที่เสียงประหลาดดังมาจากชั้นบน เขาเงยหน้าขึ้นมองและเห็นร่างกายครึ่งหนึ่งของมือกรรไกร ชายขี้เมาและคุณหมอถูกผลักเข้าไปในช่องบันไดและเด็กพวกนั้นก็กอดขาพวกเขาเอาไว้
พวกเขาทั้งสามคนอยู่บนชั้นที่เจ็ด ไม่ใกล้เกินไปและไม่ไกลเกินไป
“เงานั่นบังคับให้ฉันต้องขึ้นไปชั้นบนใช่ไหมฮึ?” เฉินเกอเข้าใจความตั้งใจของเงานั่นได้ทันที
“ทิ้งพวกเราไว้! คุณต้องออกไป! นี่เป็นกับดัก!” ชายชี้เมาตะโกน น้ำเสียงฟังดูกล้าหาญทีเดียว
“ถ้ามีแค่เงาเดียว เขาก็คงไม่สามารถควบคุมคนมากมายในเวลาเดียวกัน…” ตอนที่เฉินเกอกำลังคิด เสียงตูมดังลั่นมาจากข้างนอกตึก โซ่ที่เต็มไปด้วยใบหน้ามนุษย์กระแทกเข้ากับผนังตึก
“คุณหมอเกามาถึงแล้ว” เฉินเกอกำหมัด เรียกซู่อินออกมา เขาให้วิญญาณถือใบปลิวเอาไว้แล้วมุ่งหน้าไปยังตึกอื่นเพื่อชักนำคุณหมอเกาไป
“คุณคิดว่าฉันไม่มีวิญญาณสีเลือดตนอื่นนอกจากซู่อินหรือไง?” เฉินเกอดึงค้อนออกมาแล้วเริ่มออกวิ่งขึ้นบันไดไปเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะมีไพ่ตายมากกว่าที่ฉันมี! หลังจากฉันจัดการกับแก ฉันจะไปพบปะเพื่อเก่าของฉัน คุณหมอเกา”