My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 690-694
ตอนที่ 690
“นายหลับไประหว่างเข้าชมครั้งก่อน? เป็นไปได้ยังไง?” จางเฟิงยังไตร่ตรองคำพูดของหวังตั้นอยู่ตอนที่ถูกดันให้เดินไปข้างหน้า แต่ว่า หลังจากได้ยินว่าพวกหวังตั้นสร้างข่าวลือประหลาดพวกนั้นทั้งหมดขึ้นมาเอง มันก็ย่อมทำให้จางเฟิงไม่รู้สึกกลัวเท่าก่อนหน้า เขาชอบกีฬาเอ็กซ์ตรีมและยังสามารถรับความกดดันได้มากกว่าคนทั่วไป ที่ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นเขาจะมากลัวอะไรที่ไม่มีจริงได้อย่างไร?
สิ่งต่าง ๆ ในบ้านผีสิงนั้นไม่ใช่ของจริง เทียบกับการดำน้ำลึกหรือว่าการเอาชีวิตรอดในป่าแล้ว บ้านผีสิงนั้นมีอันตรายต่ำที่สุด เขารู้ดีว่าการมาบ้านผีสิงนั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต
ในเมื่อไม่มีอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แล้วจะมีอะไรให้กลัวกัน?
หลังจากพิจารณาเรื่องนี้ในใจแล้ว จางเฟิงก็มั่นใจมากขึ้น และฝีเท้าของเขาก็ยังต่างไปจากก่อนหน้า เขาไม่ได้ระแวดระวังเท่านั้นอีกแล้ว “ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว พวกเราก็เดินให้เร็วหน่อยจะได้จบการสัมผัสประสบการณ์ครั้งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ บ้านผีสิงนี่ อันที่จริงแล้วก็ทั้งสวนสนุกนี่ น่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว ถ้ามีโอกาส ฉันจะเชิญพวกนายไปสวนสนุกไฮเทคเจนเนอเรชั่นที่ห้าที่เพิ่งเปิดใหม่ในจิ่วเจียงตะวันออก”
ตอนที่จางเฟิงพูดอย่างนั้น เขาก็ไม่ลืมหันกลับมายิ้มให้แฟนสาวของหวังตั้น เหมือนเขาพยายามส่งสัญญาณบางอย่างให้เธอ จางเฟิงที่มีบันทึกผู้ป่วยแปะอยู่ที่กลางหลังเป็นคนแรกที่เข้าไปในชั้นใต้ดินชั้นที่สอง แสงสลัวยิ่งกว่าเดิม ไม่มีไฟฉาย พวกเขาก็แทบมองไม่เห็นรอบ ๆ ตัว
“หลีจิ่วกับโฮสต์คนนั้นออกไปแล้วเหรอ? ทำไมพวกเราถึงไม่ได้ยินเสียงอะไรจากพวกเขาเลย?” จางเฟิงผลักประตูที่ใกล้ตัวที่สุดเปิด มันเปิดสู่ห้องพักผู้ป่วยอีกห้องหนึ่ง ฟูกสกปรกกองอยู่บนเตียง และยังมีรอยเลือดและเศษเฝือกตกอยู่บนพื้น
“ห้องผู้ป่วยห้องนี้ดูต่างไปจากห้องอื่นอยู่นะ มันเหมือนมีคนอยู่ที่นี่เมื่อเร็ว ๆ นี้” จางเฟิงอยากจะเริ่มวิเคราะห์ตามแบบหวังตั้น แต่ว่าเขามองไม่เห็นร่องรอยอะไรเลยจริง ๆ ดังนั้นจึงได้แต่อาศัยสัญชาตญาณของตนเอง
“พวกเราจะเข้าไปดูไหม?” แฟนสาวของหวังตั้นยังดูค่อนข้างผวา เธอยังคงคิดถึงขาสีเทา ๆ คู่นั้นที่เธอเห็นก่อนหน้านี้
“ในเมื่อนายเชื่อว่ามีคนอยู่ที่นี่มาก่อน งั้นมันก็อาจจะเป็นหลีจิ่วกับนักไลฟ์สตรีมคนนั้น พวกเขาอาจจะเจออะไรที่นี่ พวกเราควรจะเข้าไปดูนะ” หวังตั้นพูดขณะกระตุ้นให้จางเฟิงเข้าไปในห้อง
กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ และกลิ่นสาบ จางเฟิงวางมือเอาไว้เหนือริมฝีปาก และคิ้วของเขาก็ขมวดลึก เขากดความรู้สึกคลื่นไส้เอาไว้และดึงผ้าปูเตียงออก ใต้ผ้าปูเตียงนั้นเป็นรอยเลือดรูปร่างมนุษย์และไม้เซลฟี่
“ทำไมของนี่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” จางเฟิงหยิบไม้เซลฟี่ขึ้นมา “นี่ดูไม่เหมือนของตกแต่งในบ้านผีสิง มันเป็นของนักไลฟ์สตรีมคนนั้นหรือเปล่า?”
ตอนที่เขาพูด ก็มีเสียงตุบเบา ๆ ดังมาจากตู้เสื้อผ้าที่ข้าง ๆ ตัวเขา มันเหมือนมีใครสักคนบังเอิญชนเข้ากับเครื่องเรือนตอนที่กำลังรีบ
“นั่นอะไรน่ะ?” ถึงแม้ว่าเขาจะคอยบอกตัวเองว่าไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องกลัว ตอนที่อยู่ในสถานการณ์อันตรายจริง ๆ จางเฟิงก็อดใจเต้นเร็วขึ้นไม่ได้ เขาเดินไปทางตู้ช้า ๆ และดึงประตูตู้เปิดออกให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้านในตู้นั้นมีชุดผู้ป่วยที่เก่าและขาดวิ่นกับสมุดบันทึกขาด ๆ เล่มหนึ่ง
“นี่ง่ายเกินไปแล้ว! ฉันเจอคำใบ้แล้ว!” จางเฟิงตื่นเต้นสุด ๆ ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าการมาบ้านผีสิงนั้นสนุกอย่างไร มันก็คือการสำรวจลึกลงไปในความหวาดกลัวและสิ้นหวัง เมื่อคนหนึ่งพบขุมทรัพย์เข้าตอนที่เส้นประสาทตึงเครียดที่สุด มันก็จะก่อให้เกิดความยินดีอันอธิบายไม่ออกมาไม่ถูก
เขาพลิกสมุดบันทึก แต่ว่าจางเฟิงรู้ว่าความสามารถในการวิเคราะห์ของตนเองนั้นไม่ดีเท่าหวังตั้น ดังนั้นจึงเรียกฝ่ายหลังมาอ่านบันทึกด้วยกัน บันทึกเป็นรายละเอียดของการค้นพบอย่างช้า ๆ ของผู้ป่วยคนหนึ่งถึงปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลนี้ ทุกคืน จะมีเด็กชายเล็ก ๆ คนหนึ่งมาเล่นซ่อนหากับเขา ประโยคเหล่านี้นั้นเข้าใจง่าย และเขียนขึ้นโดยคนธรรมดาไม่ใช่นักเขียน แต่ว่า ถ้อยคำเรียบง่ายเหล่านี้กลับก่อให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นในหัวใจของคนอ่าน
“เล่นซ่อนหา?” จางเฟิงนั้นไม่ใช่อัจฉริยะ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาโง่ ตอนที่เขาเห็นชื่อเกมที่บันทึกพูดถึง เขาก็นึกถึงบันทึกผู้ป่วยที่เดิมติดอยู่บนหลังของหวังตั้นได้ทันที ถ้าหากบันทึกผู้ป่วยนั้นเป็นอย่างที่หวังตั้นพูด เป็นแค่การเล่นตลกไร้อันตราย อย่างนั้นเขารู้ล่วงหน้าได้อย่างไรว่าจะมีเกมอันตรายอย่างเล่นซ่อนหาดำเนินอยู่ในโรงพยาบาลประหลาดนี่?
เมืองไร้นามนั้นเปิดสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก และพวกเขาก็เป็นผู้เข้าชมกลุ่มแรก หวังตั้นนั้นย่อมไม่สามารถตระเตรียมสิ่งนี้เอาไว้ล่วงหน้าได้ นอกเสียจาก… หวังตั้นจะรวมหัวกับบอสของบ้านผีสิงนี่!
ความกระวนกระวายที่จางเฟิงกดเอาไว้ก่อนหน้านี้นั้นตีกลับมาอย่างรุนแรงเพราะเขานึกได้ว่าบันทึกผู้ป่วยแผ่นนั้นตอนนี้ติดอยู่บนหลังของเขา เมื่อเข้าใจได้ว่าของสิ่งนี้จะนำมาซึ่งความเลวร้ายอย่างไร จางเฟิงก็กระแทกสมุดบันทึกปิด “รายละเอียดของบ้านผีสิงนี่ทำได้ดีทีเดียว พวกเราอยู่ในนี้สักพักแล้ว ดังนั้นพวกเราควรจะกลับออกไปได้แล้ว ตอนนี้ฉันก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วเหมือนกัน”
“แต่ว่าพวกเรายังไม่ได้ทำอะไรเลย? ทำไมนักศึกษาครุศาสตร์การกีฬาและสุขภาพอย่างนายถึงเหนื่อยเร็วขนาดนี้? เป็นเพราะว่านายรู้สึกไม่สบายมาก ๆ ใช่ไหม? นายอยากนั่งพักก่อนไหม?” หวังตั้นถามอย่างเป็นห่วงสุดแสน และนั่นก็มีแต่ทำให้จางเฟิงอยากจะชกหน้าเขาเท่านั้น
“ไม่ใช่อย่างนั้น อ้อ ใช่แล้ว!” จางเฟิงหยิบไม้เซลฟี่ที่ทิ้งเอาไว้บนเตียงขึ้นมา “โฮสต์คนนั้นน่าจะกังวลที่ทำของสิ่งนี้หาย พวกเราควรจะเอามันไปด้วยแล้วไปรอเขาที่ข้างนอก”
เขาถือไม้เซลฟี่เอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และมืออีกข้างเอื้อมไปด้านหลังตัวเอง จางเฟิงคิดจะดึงกระดาษนั่นออกจากแผ่นหลังของเขา แต่แล้วก็เกิดบางอย่างที่น่าประหลาดใจขึ้น มือของเขาเอื้อมออกไป แต่ว่าบันทึกผู้ป่วยที่น่าจะอยู่บนหลังของเขาหายไปแล้ว!
“เชี่ยไรเนี่ย?” มองข้ามไหล่ไป เขาก็เห็นแขนช้ำ ๆ คู่หนึ่งยื่นออกมาจากในตู้ ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีขาสวมชุดผู้ป่วยเก่ากะรุ่งกะริ่งอยู่นั้นกำลังติดบันทึกผู้ป่วยสีเหลืองจำนวนหนึ่งเอาไว้ที่บนเอวและขาของจางเฟิง!
บันทึกผู้ป่วยแต่ละแผ่นนั้นมีข้อความเดียวกันเขียนเอาไว้ “ถึงตาฉันเป็นผีตามหานายแล้ว!”
มันไม่ชัดเจนนักว่ามีบันทึกผู้ป่วยติดอยู่บนร่างของเขากี่แผ่น จิตใจของจางเฟิงนั้นว่างเปล่า สมองของเขาที่ขาดการฝึกฝนก็เต็มไปด้วยคำถามมากมายไม่จบสิ้น!
ผู้ชายคนนี้มาจากไหน? ทำไมเขาถึงสวมชุดผู้ป่วยที่ฉันเห็นก่อนหน้านี้? ‘ถึงตาฉันเป็นผี’ หมายความว่ายังไง? ฉันไปสัญญาเล่นเกมนี้กับแกเมื่อไหร่?
สีหน้าของเขาบิดเบี้ยว และหัวใจของจางเฟิงก็แทบจะเต้นหลุดออกจากปาก สมองของเขาปิดการทำงานไปสามวินาทีก่อนที่ร่างกายของเขาจะมีปฏิกริยา เขากรีดร้องอย่างหวาดกลัวแล้วกระโจนขึ้นไปในอากาศ ในตอนนี้สมองของเขาก็ยังว่างเปล่าอย่างที่มันเป็น หลังจากที่เขาตกลงพื้น เขาก็พยายามผลักหวังตั้นออกให้พ้นทางและวิ่งออกจากประตูไป แต่ว่า หวังตั้นและแฟนสาวนั้นออกไปจากห้องก่อนแล้ว
ตอนที่จางเฟิงอ่านบันทึก หวังตั้นก็สังเกตเห็นแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จากปลายสายตาของเขา เขาเห็นชุดผู้ป่วยที่ด้านในตู้เสื้อผ้าเริ่มขยับด้วยตัวมันเอง ต่างไปจากจางเฟิง หวังตั้นนั้นตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เขาเข้าใจดีว่าฉากระดับ 3.5 ดาวอันตรายได้แค่ไหน
ตอนนั้น เขาก็เตรียมวิ่งหนีแล้ว ตอนที่จางเฟิงหันไปรอบ ๆ และพูดอะไรบางอย่าง หวังตั้นก็เห็นแขตสองข้างยื่นออกมาจากข้างในตู้ แต่ด้วยความนับถือในตัวจางเฟิง เขาไม่ได้ขัดชายหนุ่มผู้นั้นตอนที่เขากำลัง ‘วิเคราะห์’ อยู่ เขารู้ว่ามันจะเป็นการไม่เคารพกันอย่างมากที่ไปขัดจังหวะ ดังนั้นจึงฟังการวิเคราะห์ของจางเฟิงอย่างอดทน
ตอนที่จางเฟิงรู้ตัว หวังตั้นก็คว้าข้อมือแฟนสาวไว้แล้ว พวกเขาออกจากประตูและวิ่งไปหลายเมตร เขารู้สึกเหมือนได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตมากมายในบ้านผีสิงของเฉินเกอ
ฉันไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนนาย ดังนั้นทางเลือกเดียวที่จะเอาชนะนายได้ก็คือวิ่งเร็วกว่านาย
นี่ไม่ใช่ว่าเขามีพลังชีวิตบ้าบออะไรหรอก หวังตั้นแค่เข้าใจว่าคนที่วิ่งช้าสุดมักจะไปจบลงที่โรงพยาบาลเท่านั้น
ปัง!
ประตูห้องพักผู้ป่วยกระแทกกับผนังอย่างแรง ตอนที่หวังตั้นและแฟนสาวออกจากห้อง พวกเขาก็พบว่ามีขาสีเทาคู่นึ่งยืนอยู่ที่ตรงมุมบันได และที่เพิ่มความกลัวในหัวใจของเขาได้อย่างมากในพริบตา มีขาอีกคู่ปรากฏขึ้น และภายในแค่ 0.1 วินาที ก็มีขาคู่ที่สามปรากฎขึ้น
เมื่อทางไปบันไดถูกขวางเอาไว้ หวังตั้นและแฟนสาวก็ได้แต่วิ่งลึกเข้าไปในโรงพยาบาล ตอนนั้น จางเฟิงก็พุ่งออกมาจากห้องพักผู้ป่วยด้วยเหมือนกัน เขาวิ่งเร็วมากและยังวิ่งอย่างตามืดบอดจนเกือบจะชนเข้ากับกำแพง ก่อนที่เขาจะทันมีสติขึ้นมาอย่างหวุดหวิด เขาก็เห็นผู้ป่วยที่มีผิวสีเทาหลายคนปรากฏตัวอยู่ใกล้ ๆ บันได
เพราะรูปร่างหน้าตาของเขาดีและยังมีพื้นหลังครอบครัวร่ำรวย จางเฟิงจึงไม่เคยประสบกับปัญหาในชีวิตจริง ๆ เลยสักครั้ง และเขาก็ยังเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ในตอนนี้ ในบ้านผีสิงแห่งนี้ เขาก็เป็นดาวเด่นด้วยเหมือนกัน ผู้ป่วยหลายคนที่มีแขนขาบิดเบี้ยวล้วนมองมาที่เขาอย่างสนใจเป็นอย่างยิ่ง
แผ่นหลังของเขานั้นมีบันทึกผู้ป่วยติดเอาไว้เต็ม น้ำตาเริ่มคลอตาจางเฟิง ในที่สุดเขาก็นึกถึงความเอื้อเฟื้อของหวังตั้นขึ้นมาได้ และเขาก็วิ่งตรงไปหา พอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง หวังตั้นก็วิ่งเร็วขึ้นอีก พวกเขาวิ่งไปตามทางเดินและไปถึงที่ช่องบันไดทางด้านขวาของโรงพยาบาล
ถึงอย่างไรจางเฟิงก็เป็นนักศึกษาการกีฬา และก็ใช้เวลาแค่ไม่นานเขาก็ไล่ตามหวังตั้นทัน ผู้ป่วยทั้งกลุ่มก็ตามหลังพวกเขามาด้วยเหมือนกัน และพวกเขาก็ดูจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
“พวกเราวิ่งไปด้วยกันอย่างนี้ไม่ได้! พวกเราจะถูกจับตัวได้กันหมด!” หวังตั้นร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน ในช่วงเวลาอันสำคัญนี้ เขาก็กลายเป็นผู้นำ “เร็ว! ที่แยกถัดไป ตอนที่พวกเราไม่อยู่ในสายตาพวกเขาแล้ว พวกนายสองคนไปซ่อนในห้องพักผู้ป่วยที่สองด้านทางเดิน แล้วฉันจะพยายามล่อพวกเขาไปเอง!”
“หวังตั้น…” แฟนสาวของเขามองเขาอย่างเป็นห่วง และเหมือนจะอยากพูดอะไรสักอย่าง
“ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว เร็ว!” เสียสละ ไม่เห็นแก่ตัวเลยสักนิด หวังตั้นกลายเป็นฮีโร่ที่ไม่มีใครเทียบได้ จางเฟิงเองก็ประหลาดใจกับความแมนของหวังตั้นเพราะเขาเองไม่คิดจะอาสาทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด
หลังจากเลี้ยวที่ตรงมุม จางเฟิงก็มุดเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่งโดยไม่เสียเวลาสักนิด ตอนที่เขากำลังจะปิดประตูนั่นเอง เขาก็เห็นหวังตั้นจับมือแฟนสาวเอาไว้แล้ววิ่งต่อไป พวกเขาพุ่งไปยังทางออกและไม่ได้มีทีท่าจะหยุดวิ่ง
และที่ทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้นไปอีก ผู้ป่วยที่มีร่างกายบิดเบี้ยวและมีรอยประหลาดอยู่บนใบหน้านั้นไม่ได้สนใจจะตามหวังตั้นและแฟนสาวไปเลย กลับกัน พวกเขาทั้งหมดแออัดกันอยู่หน้าห้องของเขา!
ดวงตามากมายจับจ้องอยู่ที่บันทึกผู้ป่วยที่ติดอยู่ทั่วตัวเขา และจางเฟิงก็เข้าใจความจริงของสถานการณ์แล้ว ตอนที่ใบหน้าซีด ๆ เหล่านั้นทะลักเข้ามาในห้อง เสียงกรีดร้องที่ทำให้เลือดแข็งตัวก็ดังก้องไปทั่วโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน
“หวังตั้น! ไอ้เฮงซวย แกวางกับดักฉัน!”
…
ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สามของโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน นักไลฟ์สตรีมถือกระเป๋าที่ซิปรูดเปิดอยู่ของตนเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง และมืออีกข้างกำโทรศัพท์เอาไว้ “นี่มันแปลก ไม้เซลฟี่ของฉันไปไหนกัน? ถ้าไม่มีมัน มุมกล้องก็จะไม่กว้างพอจะเห็นทั่ว ๆ และมันยังรบกวนประสบการณ์การมองเห็นถ้าเริ่มไลฟ์”
“นายลืมเอามาหรือเปล่า?” หลีจิ่วเดินอยู่ข้าง ๆ เขา พวกเขาดูเหมือนจะมีแรงจูงใจอื่นในการเข้ามาบ้านผีสิงครั้งนี้
“เป็นไปไม่ได้” เขาค้นกระเป๋าอีกรอบ
“เลิกหาเถอะ พวกเราต้องเริ่มแล้ว ฉันได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาอีกแล้ว ฉันเชื่อว่านักศึกษาพวกนั้นน่าจะถูกนักแสดงของบ้านผีสิงจับตัวได้แล้ว” หลีจิ่วเอาแต่หันไปมองห้องพักผู้ป่วยที่เรียงรายอยู่ริมผนัง “พวกเรากำลังจะไลฟ์สดอยู่ในบ้านผีสิงเพื่อเปิดเผยความลับของที่นี่ ถ้าพนักงานมาเห็นเข้า พวกเขาต้องมาห้ามเราเอาไว้แน่ ๆ”
“ก็ให้พวกเขาทำสิ พวกเขาจะทำอะไรได้? พวกเขาแตะต้องพวกเราต่อหน้ากล้องได้เหรอ?” สีหน้าของโฮสต์นั้นทะมึน และมันก็ต่างไปจากตอนที่เขาอยู่ต่อหน้ากล้องอย่างสิ้นเชิง “นอกจากนี้ ฉันหวังให้พวกเขาแตะต้องตัวพวกเรา อย่างนั้นพวกเราก็จะมีหลักฐานเอาไว้จัดการกับบอสนั่น”
“สวนสนุกแห่งอนาคตต้องการรู้ความลับเบื้องหลังความนิยมของที่นี่ แต่ฉันรู้สึกว่าบอสนั่นมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง” หลีจิ่วกระซิบกระซาบ
“ฉันกำลังจะเริ่มไลฟ์แล้ว นายต้องหยุดสันนิษฐานอย่างไม่มีหลักฐาน” โฮสต์ดึงหยกคุณภาพย่ำแย่หลายชิ้นออกมาจากกระเป๋า หยกพวกนั้นดูเหมือนกันไปหมด แต่ว่าบางอันมีรอยแตกอยู่บนผิว โฮสต์คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจดึงชิ้นที่มีรอยแตกเก้าสายเหมือนมันกำลังจะแตกออกเป็นชิ้น ๆ ออกมาแล้วสวมมันเอาไว้รอบคอ
หลังจากเตรียมการเรียบร้อยแล้ว เขาก็ล็อกอินเข้าไปในแอคเคานท์สำหรับไลฟ์ของตนเอง “พวกเราจะเริ่มต้นตามที่วางแผนเอาไว้ พวกเราจะเผยความลับของบ้านผีสิงแห่งนี้ และนายก็ต้องให้ความร่วมมือกับฉันอยู่เบื้องหลังเพื่อสร้างเอฟเฟ็กต์น่ากลัวสักหน่อย ด้วยความนิยมที่บ้านผีสิงนี้มีบนอินเตอร์เนต ฉันแน่ใจว่าไลฟ์จะดึงดูดความสนใจของคนดูจำนวนมาก”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจำบทได้ขึ้นใจแล้ว– ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน” หลีจิ่วให้สัญญาณกับโอสต์และเดินเข้าไปในเงามืด เขารักษาระยะห่างห้าเมตรเอาไว้ โฮสต์เปิดแอพขึ้นมาและเปลี่ยนกล้องให้จับภาพใบหน้าของตัวเอง ตอนที่ไลฟ์เริ่มต้น เขาก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง
ความทะมึนบนใบหน้าของเขาหายไป และเขาก็ทำเหมือนตัวเองกำลังตื่นตระหนกและกังวล หลังจากไลฟ์เริ่มเชื่อมต่อได้นิ่งแล้ว เขาก็พึมพำด้วยน้ำเสียงรีบร้อน “สวัสดีครับทุกคน ผมหวงหลาง ต้าหลางเกอของพวกคุณ คนที่รู้จักผมจะรู้ว่าผมน่ะมีสายเลือดนักทำนายที่เก่งกาจและน่าภาคภูมิใจ ผมใช้เวลาหลายปีในการเรียนรู้วิชาทำนายจากปู่ของผม ดังนั้นผมจึงรู้เรื่องเฟิงฉุย ปากว้า และอื่น ๆ อยู่มากทีเดียว
“พวกเราเคยไปบ้านผีสิงกันมาหลายที่แล้ว และพวกเราก็เจอเข้ากับบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่ไม่มีอะไรเทียบได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้”
โฮสต์หนุ่มที่เรียกตัวเองว่าหวงหลางนั้นตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้ว หลังจากที่เขาเกริ่นนำจบ เขาก็ดึงกล้องออกไปห่าง ๆ แล้วพูดต่อ “ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านผีสิงของสวนสนุกนิวเซนจูรี่จิ่วเจียงตะวันตก ใช่ บ้านผีสิงที่เป็นที่รู้จักกันบนอินเตอร์เนตว่าให้ประสบการณ์การเข้าชมที่น่ากลัวที่สุด ที่ซึ่งยังไม่มีใครสามารถพิชิตได้!”
เสียงของเขามีความภาคภูมิใจอยู่บาง ๆ “ฉากที่ผมอยู่ในตอนนี้น่าจะเป็นฉากที่พวกคุณส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคย เพราะว่านี่คือฉากระดับ 3.5 ดาว ฉากที่มีความยากสูงที่สุดในบ้านผีสิงแห่งนี้! พวกคุณหลายคนคงจะถาม ว่าทำไมผมถึงได้สิทธิพิเศษเข้าท้าทายฉากระดับ 3.5 ดาวได้เลย? นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้ แต่เป็นสิ่งที่พวกคุณต้องค้นหาเอานะครับ”
หวงหลางมีรอยยิ้มปริศนาบนริมฝีปาก เขาปรับน้ำเสียง และใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังอีกครั้ง “ถ้าพูดกันจริง ๆ แล้ว บ้านผีสิงนี้ก็ต่างไปจากที่อื่นจริง ๆ ตอนที่ผมเข้ามาที่นี่ครั้งแรก ก็เกิดบางอย่างขึ้นกับจี้หยกที่เป็นสมบัติของตระกูลของผม ทุกคนครับ ดูนี่สิ”
หวงหลางดึงจี้หยกออกมาจากใต้คอเสื้อ “ตอนที่พวกเราเข้าไปที่สุสานหนานหลิงในซินไห่ครั้งก่อน หยกนี่มีรอยแตกเจ็ดเส้น แต่ดูนี่สิ! ตอนที่ผมเข้ามาในบ้านผีสิงแห่งนี้ ผมก็นับได้ว่ามีรอยแตกอยู่บนหยกถึงเก้าเส้น! นี่เป็นคำเตือนจากบรรพบุรุษของผม! บ้านผีสิงนี่อันตรายมาก!”
จากนั้นเขาก็เก็บจี้หยกลงไปและแสดงต่อ “แต่ถึงมันจะอันตรายอย่างระบุไม่ได้ ผมก็ยังรับความเสี่ยงนี้เพื่อเปิดเผยความลับของบ้านผีสิงที่สมจริงที่สุดให้เพื่อน ๆ ที่รักของผมได้เห็น!”
ตอนที่ 691
ชั้นใต้ดินชั้นที่สามนั้นเปียก ปิดทึบ และแสงสลัวราง โฮสต์หวงหลางถือโทรศัพท์ของเขาเอาไว้และเริ่มสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘เปิดเผยความลับ’
“ผมจะไม่แนะนำบ้านผีสิงแห่งนี้เพิ่มเติมนะครับ เพราะแค่ค้นชื่อของที่นี่บนออนไลน์ พวกคุณก็จะพบตำนานมากมายนับไม่ถ้วน แต่ว่ามันก็ยากที่จะบอกว่าเรื่องไหนจริงและเรื่องไหนปลอม
“มีเรื่องผีมากมายที่ขยายออกไปจากแต่ละฉากของที่นี่ อย่างเช่น ตุ๊กตาที่จะตามคุณไปทุกที่ หุ่นนักเรียนที่ปรากฏตัวขึ้นตอนไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ปากกาลูกลื่นที่จะสาปแช่งคุณเมื่อคุณถามเรื่องความรัก และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง
“มีเรื่องผีมากกว่านั้น และผมเชื่อว่าทุกคนคงจะอยากรู้ ว่ามีกี่เรื่องที่จริง และมีกี่เรื่องที่ปลอม? วันนี้ ผมนำทุกคนมาที่บ้านผีสิงแห่งนี้เพื่อหาคำตอบด้วยตัวเอง”
เขาดึงกระดาษขาวแผ่นหนึ่งกับปากกาลูกลื่นด้ามหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเขาและเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยว่าง ๆ ห้องหนึ่ง “เรื่องเกี่ยวกับผีปากกานั้นโด่งดังที่สุดบนอินเตอร์เนต ตามข่าวลือ เป็นผู้ชายที่ชื่อเฟยโหยวเหลียนเป็นคนแรกที่ใช้ความจริงใจของเขาเชื้อเชิญให้ผีปากกาปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นคนแรกที่ได้พบกับผีปากกาในบ้านผีสิงแห่งนี้ และเขาก็เป็นผู้เข้าชมคนแรกที่ถูกส่งไปที่โรงพยาบาลหลังจากเข้าชมบ้านผีสิง ตอนนั้น ผู้เข้าชมหลายคนเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ ดังนั้นมันน่าจะเป็นเรื่องจริง”
ชำเลืองมองตรงส่วนพูดคุยแล้วหวงหลางก็วางปากกากับกระดาษลงบนเตียง เขาทำสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้ ผมจะเล่นเกมนี้ด้วยตัวเอง ใช่ พวกคุณได้ยินถูกต้องแล้ว ผมจะไลฟ์เกมผีปากกาในบ้านผีสิงที่เต็มไปด้วยเรื่องผีนี่ให้พวกคุณดู!”
บรรยากาศนั้นตื่นเต้นจนถึงขีดสุด หวงหลางวางโทรศัพท์ลงข้างหมอนขณะที่เขานั่งลงที่อีกด้านของเตียง เขาหยิบปากกาลูกลื่นที่เอาติดตัวมาด้วยขึ้นมา
“ทุกคนครับ ผมกำลังจะเริ่มแล้วนะ ผมหวังว่าจะไม่มีใครกะพริบตาในวินาทีต่อไปเพราะว่าผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงจูงใจขณะจรดปากกาลูกลื่นเหนือกระดาษขาวอย่างระมัดระวัง “ผีปากกา ผีปากกา คุณคือวิญญาณของผมจากชีวิตก่อน และผมคือวิญญาณของคุณในชีวิตนี้ คุณบอกได้ไหมว่าภรรยาในอนาคตของผมคือใคร?”
ในห้องพักผู้ป่วยมืด ๆ ในบ้านผีสิง ไม่มีอะไรเลยนอกจากความเงียบ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ หวงหลางนั้นเพ่งสมาธิอยู่ที่ปลายปากกาอย่างเต็มที่ หนึ่งวินาที สองวินาที ตอนวินาทีที่สาม นิ้วก้อยของหวงหลางที่ถูกฝ่ามือของเขาบังพ้นไปจากมุมกล้องก็เคาะที่ปากกา ทำให้ปากกาที่ลอยอยู่เหนือกระดาษขยับช้า ๆ
“ดูสิ เขามาแล้ว!” สีหน้าของหวงหลางนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขามองไปทางกล้องและวางนิ้วชี้ของเขาที่ริมฝีปากทำท่าให้ทุกคนเงียบ เขานั่งอยู่ที่เดิมอีกหนึ่งนาทีโดยไม่ขยับกล้ามเนื้อไหนสักนิดก่อนที่จะลุกขึ้นยืนช้า ๆ
เขาหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาแล้วพลิกไปทางกล้อง ชี้ไปที่เส้นขีดบนนั้น “พวกคุณก็เห็นกับตาตัวเองแล้ว หลังจากผมเริ่มเกม ปากกาก็ขยับด้วยตัวมันเอง! ผีปากกาปรากฏตัวขึ้นแล้ว! ส่วนที่ทำไมเขาไม่อยู่ต่อ ผมเชื่อว่าเป็นเพราะว่าเขากลัวจี้หยกของผม”
เขาหันกล้องกลับเข้าหาตัวเอง หวงหลางกระซิบอย่างหวาดกลัว “ผมรู้ว่าพวกคุณยังไม่เชื่อผม และรอยขีดนี่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรได้มากนัก แต่ว่าผมได้ใช้พลังทำนายของตรวจดูแล้วและพบว่าที่นี่มีพลังหยินมารวมตัวกันอยู่”
หวงหลางเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย “ทางเดินนี่มืดมาก บางทีอาจจะเพราะว่ามันสร้างเอาไว้ใต้ดิน เดินผ่านทางเดินนี่คุณจะรู้สึกหนาวเยือก”
หวงหลางหันกล้องไปด้านหลังตัวเอง “ตุ๊กตาและหุ่นไม่ปรากฏตัวขึ้น แต่ผมพบบางอย่างที่น่ากลัวกว่านั้น”
เขาชี้ไปที่ประตูบนทางเดิน “ตอนที่ผมเข้าไปในห้องก่อนหน้านี้ ประตูห้องพักผู้ป่วยหลายห้องนั้นเปิดแง้มเอาไว้ แต่ตอนนี้ ลองดูอีกครั้งสิครับ ประตูส่วนใหญ่ถูกเปิดกว้างแล้ว! มันเหมือนมีบางอย่างหนีออกมาจากห้องพวกนี้!”
ข้อความในส่วนพูดคุยไหลไปอย่างรวดเร็ว คนดูบางคนสังเกตเห็นความแตกต่างนี้เหมือนกันและเริ่มต้นให้ความเห็นของตัวเอง แน่นอนว่า บางคนยังสงสัยอยู่ เชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นการแสดงของหวงหลาง
“ผมรู้ว่าพวกคุณหลายคนยังไม่เชื่อผม ดังนั้นผมจะใช้วิธีการที่ปู่ของผมสอนมาหาหลักฐานให้พวกคุณดู อันที่จริง ปู่ของผมก็เตือนผมแล้วว่าให้ใช้มันเฉพาะเวลาฉุกเฉินเท่านั้น แต่ว่าทุกคนครับ ผมจะลองใช้มันดูวันนี้” อันที่จริง หวงหลางนั้นไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด เขาเตรียมบทเอาไว้กับหลีจิ่วเรียบร้อยแล้ว และเขาก็เชื่อว่าเป็นหลีจิ่วที่เปิดประตูพวกนี้
“วิธีการนี้เรียกว่า เดินผ่านประตูหยิน หรือ ป้อนข้าวหยิน นั่นเอง” หวงหลางดึงเอาถุงสีดำใบเล็ก ๆ ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า มันดูเปียกอย่างประหลาด และเปิดมันออกเผยให้เห็นข้าวขาวกองหนึ่ง “คุณจะวางข้าวหยินเอาไว้ที่ทางแยก และจากนั้นก็เดินไปตามทางเดิน ผ่านประตูบานอื่น ๆ พอคุณไปถึงประตูบานที่สี่ ก็วางข้าวไว้ที่ประตู เดินเข้าไปในห้อง แล้วย่ำเท้าสี่ครั้ง
“หลังจากนั้น ก็โปรยข้าวสองสามเมล็ดเอาไว้ในห้องแล้วเดินกลับออกไป ถ้ารูปแบบของข้าวที่นอกประตูต่างไปจากตอนที่คุณวางมันเอาไว้ก่อนหน้านี้ ก็ให้เข้าไปในห้องอีกครั้งแล้วทำซ้ำกระบวนการเดิมสี่ครั้ง ถ้าที่นี่มีผีสิงจริง ๆ ตอนที่คุณเดินเข้าไปในห้องเป็นครั้งที่สี่ คุณจะได้เห็น ‘คนแปลกหน้า’ เพราะว่าคุณไม่ได้กำลังเข้าไปในบ้านของคุณเอง– คุณเดินทางผ่านประตูหยินพร้อมกับ ‘พวกเขา’
“นี่คือวิธีการที่บรรพบุรุษของผมใช้ในการตรวจสอบบ้านผีสิง แน่นอนว่า อย่าได้ลองทำเองที่บ้าน ผมไม่อยากเห็นพวกคุณคนไหนได้รับอันตราย”
หลังจากพูดทั้งหมดนี่แล้ว หวงหลางก็เดินไปที่บันไดและวางข้าวเอาไว้เป็นกองนูนที่ปากบันได น่าประหลาด หลังจากที่เขาผละออกมา กองข้าวนั่นก็ลดขนาดลงอย่างน่าสงสัย
“และพวกเราก็จะเริ่มกันเลย” หวงหลางสูดลมหายใจลึก และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปราวกับเขากำลังจะทำสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เขาวางเมล็ดข้าวเอาไว้ที่ด้านนอกประตูห้องพักผู้ป่วยห้องที่สี่และจากนั้นก็เปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปในนั้น
เขาส่องกล้องไปรอบ ๆ ห้องเพื่อให้เห็นทุกอย่าง “ผมขอให้ทุกคนจดจำตำแหน่งของวัตถุในห้องนี้เอาไว้เพราะพวกมันอาจจะเกิดการเปลี่ยนตำแหน่งในภายหลัง”
ข้อความตรงส่วนพูดคุยแน่นเต็มไปหมด หวงหลางยึดโทรศัพท์เอาไว้บนเตียง และมันก็เป็นมุมที่ส่องไปทางประตูอย่างชัดเจนที่สุด
“ระวังด้วย อาจจะมีคนแปลกหน้าเข้าห้องมาได้ในภายหลัง” เขาเตือนและเดินออกไปจากห้อง หลังจากวางเมล็ดข้าวแล้วเขาก็ปิดประตู
ตอนที่ประตูปิด ตัดเขาออกจากกล้อง หวงหลางก็ดึงโทรศัพท์อีกเครื่องออกมาโทร หลังจากเสียงสัญญาณดังสองครั้ง เขาก็วางสาย นี่เป็นรหัสที่เขาตกลงไว้กับหลีจิ่ว เขามองไปทางที่ซ่อนของหลีจิ่ว แต่ฝ่ายหลังกลับไม่มีท่าทีจะตอบสนองอะไรกลับมา
“เขาไปไหนน่ะ? ยังแต่งหน้าอยู่เหรอ?” หวงหลางนั้นไม่กล้าหายไปจากการไลฟ์นานเกินไป สองสามวินาทีต่อมา เขาก็เปิดประตูออกแล้วเดินไปยังกล้องด้วยสีหน้ารีบร้อน “ผมคิดว่าผมได้ยินเสียงฝีเท้า! เสียงมาจากทางบันได! มีบางอย่างกำลังมา และมันก็กำลังมาหาผม!”
จากนั้นหวงหลางก็วางข้าวลงไปอีกเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง เขามองไปตามทางเดิน และมันก็เงียบสนิทราวกับทะเลสีดำ เขาใช้โทรศัพท์โทรหาหลีจิ่วอีกครั้ง สัญญาณดังสี่ครั้ง และก็ไม่มีการตอบรับ “เขาทำอย่างนี้กับฉันในเวลาแบบนี้น่ะเหรอ?”
หวงหลางเริ่มกระวนกระวายและรู้สึกเหมือนหลังคอของเขาเริ่มคันยิบ “เขาไม่รับสาย เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือเปล่า?”
เขาเกาหลังคอแรง ๆ “แล้วทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนมีใครนั่งอยู่บนบ่าฉันเลยเนี่ย?”
ตอนที่ 692
เอี้ยวคอมองแล้วหวงหลางก็ตระหนักว่าที่ด้านหลังเขานั้นไม่มีใครสักคน “แปลกจัง”
เขาพยายามบิดคอมองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในที่สุดเขาก็มองเห็นผิวหลังคอส่วนหนึ่งของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงเหมือนถูกแมลงกัด
“นั่นอะไรน่ะ?” ตอนที่เขายกโทรศัพท์ขึ้นเปิดไฟฉายส่องไปที่หลังคอตัวเองเพื่อดูให้ชัดขึ้น โทรศัพท์ในมือของเขาจู่ ๆ ก็สั่น “ชิบ! ใครโทรมาเวลาแบบนี้กัน?”
หวงหลางมองหมายเลขโทรเข้า เป็นหลีจิ่ว
เขาเดินไปข้าง ๆ หลบให้พ้นจากประตู และหลังจากแน่ใจแล้วว่าเขาไม่อยู่ในมุมกล้องแล้ว เขาก็รับสาย เขาเพิ่งกดปุ่มรับสายตอนที่เสียงประหลาดของหลีจิ่วดังเข้ามาในโทรศัพท์ของหวงหลาง “หวงหลาง มีบางอย่างผิดปกติอย่างมากในบ้านผีสิงนี่ พวกนักแสดงก็แปลก ๆ ด้วย ที่นี่มันไม่ดีมาก ๆ!”
“มาที่นี่เดี๋ยวนี้! ฉันมีคนดูอยู่บนไลฟ์สตรีมเกินหนึ่งแสนคน ถ้านายกล้าทิ้งฉันไว้ ฉันจะไม่ให้อภัยนายเลย!” หวงหลางลดเสียงต่ำเป็นการเตือนที่ดูร้ายกาจ ผู้ชายคนนี้มีบุคลิกที่ต่างออกไปจากตอนที่อยู่กับคนดูโดยสิ้นเชิง
“หยุดไลฟ์ ออกไปจากบ้านผีสิงกันก่อน ฟังฉันเถอะนะ!” เสียงของหลีจิ่วนั้นไม่ได้ต่างไปจากเสียงปกติมากนัก แต่น้ำเสียงก็ยังประหลาด
“นายรู้ไหมว่าบริษัทลงทุนไปกับการไลฟ์ครั้งนี้มากแค่ไหน? ฉันโฆษณาการไลฟ์ครั้งนี้มาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว และแฟนคลับทั้งหมดของฉันก็คาดหวังกับการไลฟ์ครั้งนี้ ฉันกำลังรอที่จะใช้โอกาสนี้ขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งของแพลตฟอร์ม และนายยังมาขอให้ฉันกลับออกไปตอนนี้?” หวงหลางเค้นเสียงรอดไรฟันออกมา “ถ้านายทำแบบนี้เพราะเรื่องเงินละก็ เอาเลย นายชนะ ตราบใดที่นายให้ความร่วมมือตามบทที่เหลือ ฉันจะจ่ายให้นายสองเท่าทันทีที่พวกเราออกไปจากที่นี่”
“มันไม่ใช่เรื่องเงิน มีบางอย่างที่นี่แตกต่างไปจากบ้านผีสิงอื่น!” จากนั้นก็เป็นเสียงสัญญาณแตกพร่า เสียงของหลีจิ่วเพี้ยนไป “ที่นี่มีผีสิงจริง ๆ!”
สายยังต่ออยู่ และโทรศัพท์ก็ไม่ได้แสดงสัญญาณว่าหลีจิ่ววางสายไปแล้ว แต่ว่าเสียงของเขานั้นหายไปไม่ได้ยิน เสียงเดียวที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ก็คือเสียงสัญญาณแหลม ๆ
“เครื่องรบกวนสัญญาณโทรศัพท์?” หวงหลางตัดสายทันที เขาวิ่งกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยและตรวจดูโทรศัพท์ที่กำลังใช้ในการไลฟ์ เทียบกับหลีจิ่วแล้ว เขากังวลเกี่ยวกับการรบกวนการไลฟ์ของเขามากกว่า
“เขาไปไหนแล้ว? เขาหายไปแล้วน่ะ? โฮสต์ถูกผีจับตัวไปแล้วเหรอ?”
“ถ้านายท้าทายพวกเขามากพอ พวกเขาย่อมตอบโต้กลับนายในที่สุด ตามที่ฉันคาดเดานะ ครั้งนี้เขากินคำใหญ่เกินกว่าจะเคี้ยวได้* ฉันเคยไปที่บ้านผีสิงนี่มาก่อน ความสยองขวัญที่นั่นไม่ใช่สิ่งที่นายจะจินตนาการได้ ตอนนั้น พวกเราไปท้าทายบ้านผีสิงกันเจ็ดคน และพวกเราเหลือแค่สองคนที่ยังยืนไหว”
“นายพูดเล่นใช่ไหมน่ะ?”
“ความเข้าใจในคำว่าสยองขวัญของพวกนายจะได้นิยามใหม่เมื่อไปที่นั่น นายเคยเห็นบ้านผีสิงที่ไหนเตรียมรถเข็นเอาไว้ขนลูกค้าที่หมดสติไหมล่ะ? นายเคยเจอบ้านผีสิงที่มีห้อง VIP สำหรับผู้เข้าชมที่หมดสติที่โรงพยาบาลท้องถิ่นไหม? นายเคยไปบ้านผีสิงที่ไหนที่พนักงานทุกคนรู้วิธีการกู้ชีพกรณีฉุกเฉินไหม? ฉันเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน และฉันก็ไปเจอกับตัวเองแล้ว คอยดูไปเถอะ มันกำลังจะน่าสนใจมากขึ้นแล้ว”
ข้อความยังถูกส่งขึ้นหน้าจอเรื่อย ๆ พอเห็นว่าการไลฟ์ไม่ได้หยุดชะงักไป หวงหลางก็ถอนหายใจโล่งอก เขาเค้นรอยยิ้มออกมาแล้วกลับเข้าไปในรัศมีกล้อง “ผมแค่ออกไปดูนิดเดียวเท่านั้น และเมล็ดข้าวที่ทิ้งไว้บนพื้นเกิดการเปลี่ยนตำแหน่งจริง ๆ ตอนที่พวกเราเดินเข้ามาในห้องนี้ มีคนเดินผ่านประตูไป”
หลีจิ่วนั้นกลับออกไปคนเดียว ทิ้งเขาเอาไว้ในนี้ ดังนั้นหวงหลางจึงไม่ทำตามบทแล้ว หวงหลางมองหน้าจอและบางครั้งเขาก็เกาหลังคอตัวเอง เขากดความรำคาญเอาไว้ในใจและพึมพำด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายอย่างประหลาด “บางทีคุณอาจจะคิดว่าผมโกหก หรือบางทีคุณอาจจะเชื่อว่าผมกำลังโกหกคุณอยู่ แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลยจริง ๆ ตั้งแต่ที่ผมก้าวเท้าเข้ามาในบ้านผีสิงนี่ ผมก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด และยังมีความรู้สึกเหมือนมีใครบางคนตามหลังผมอยู่…”
เขากำลังพูดพร่ำเพื่อซื้อเวลาให้ตัวเองคิดหาวิธีดำเนินการต่อไปให้ได้ แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ พื้นที่พูดคุยในไลฟ์ของเขาจู่ ๆ ก็เต็มไปด้วยข้อความวิ่งขึ้นมา!
พริบตาเดียว แอพก็เริ่มสะดุดเพราะข้อความจำนวนมหาศาล นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับอะไรอย่างนี้เหมือนกัน
“เกิดอะไรขึ้น?” หวงหลางยืนอยู่ที่เดิม กดเริ่มหน้าใหม่หลายครั้งก่อนที่พื้นที่สนทนาจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แต่ว่า เพราะข้อความจำนวนมากเกินไป ส่วนวิดีโอจึงยังไม่เข้าที่เข้าทาง
“ดูด้านหลังคุณสิ!”
“เชี่ยเอ๊ย! นั่นน่ากลัวชิบ!”
“มีหน้าคนอยู่บนหน้าต่าง! หันไปดูสิ! โฮสต์!”
“นอกประตู เขาอยู่ด้านนอกประตู!”
“แม่มึ๊ง! พวกมันเป็นของจริง! พวกมันกำลังมาแล้ว!”
ข้อความทะลักเข้ามา และวิดีโอก็เต็มไปด้วยข้อความจนมองไม่เห็นโฮสต์แล้ว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หวงหลางได้รับความนิยมและจำนวนคนดูมากเท่านี้ เขาไม่ฟังคำแนะนำที่บอกให้มองไปข้างหลังตัวเอง กลับกัน เขาไปดูจำนวนคนดูไลฟ์ของเขา เพียงแค่ไม่กี่นาที จำนวนคนดูของเขาก็พุ่งไปถึงสามแสนห้าหมื่นคน และยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความเร็วน่าตกตะลึง
ถ้ามีคนดูครบเจ็ดแสน ฉันก็จะได้ไปยืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดบนแพลตฟอร์ม ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็ไม่ยากเกินไปแล้ว
หวงหลางยังไม่ได้หันหลังกลับไปดู หลังจากเขาให้สัญญาว่าจะจ่ายสองเท่า ในที่สุดหลีจิ่วก็กลับมาช่วยเขา ทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุมของเขา และแน่นอนว่า เขาไม่ลืมเรื่องสีหน้าที่เหมาะสม
อ่านข้อความแล้ว หวงหลางก็ปรากฏตัวขึ้น เขาตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัวอย่างจงใจและมีจุดมุ่งหมาย มีแค่มุมปากของเขาเท่านั้นที่คอยแต่จะยกขึ้นไป “ผีปรากฏตัวขึ้นจริง ๆ? อย่าพยายามหลอกผมเลย! ปู่ของผมห้ามพวกเราเปิดประตูหยิน นี่จะทำไปสู่ผลสะท้อนอันรุนแรงมาก!”
จำนวนคนดูเพิ่มขึ้นเป็นจรวด เพราะบ้านผีสิงส่วนใหญ่ล้วนเก็บการตกแต่งภายในของตนเอาไว้เป็นความลับ น้อยครั้งมากที่จะมีการไลฟ์สตรีมในบ้านผีสิง นอกจากนี้ หวงหลางยังเลือกบ้านผีสิงที่เป็นที่นิยมที่สุดบนออนไลน์ในการไลฟ์ของเขา และยังมีเหตุผลเบื้องหลังความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นของเขาด้วย
เขามีแฟนคลับอยู่ไม่น้อย และด้วยการจัดการของบริษัทของเขา ร่วมกับความนิยมของบ้านผีสิงของเฉินเกอที่บนอินเตอร์เนต ทั้งหมดนี้รวมกันนั้นส่งผลลัพธ์เกินกว่าที่ทุกคนคาดเดาเอาไว้ ผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มทะลักเข้ามาในห้องไลฟ์ของเขา และข้อความก็เริ่มถล่มพื้นที่พูดคุย
“ผีมีจริง! หลางต้าเกอเจอผีจริง ๆ!”
หัวข้อพูดคุยนี้ทะยานขึ้นติดอันดับของเวบไซต์ในทันที และนั่นก็ดึงดูดผู้เข้าชมให้เข้ามาในไลฟ์ของเขามากขึ้น
หวงหลางนั้นดีใจอยู่ลึก ๆ แต่ว่าเขาก็ยังสวมหน้ากากหวาดกลัวเอาไว้ “อย่าตื่นตระหนกไป โดยเฉพาะเวลาอย่างนี้ พวกเราไม่ควรตื่นตระหนก อย่ากังวล บรรพบุรุษทั้งหมดของผมล้วนเป็นนักทำนาย และเพราะอย่างนั้น ผมจึงมีประสบการณ์ในการรับมือกับปัญหาอย่างนี้!”
ยิ่งเขาพูดอะไรอย่างนี้ เหล่าคนดูก็ยิ่งมีปฏิกริยา หลายคนบอกให้เขาหันกลับไป และอีกหลายคนบอกให้เขาวิ่งหนี สรุปว่ามีผีอยู่ที่ข้างหลังเขาจริง ๆ นะ!
หวงหลางนึกขอบคุณทักษะการแต่งหน้าของหลีจิ่วอยู่ลึก ๆ ด้วยผลลัพธ์เช่นนี้ การจ่ายสองเท่าก็นับว่าคุ้มค่าจริง ๆ ร่างกายของเขาโซเซไปมาซ้ายทีขวาที แล้วยังรวมกับที่เขากำลังตัวสั่นอย่างหวาดกลัว ข้อความบอกให้เขาออกไปจากที่นี่มากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งจะอยู่ที่นี่มากขึ้นเท่านั้น
เขาไขว้แขนเอาไว้ที่หน้าอกเป็นท่าประหลาด หวงหลางตะโกนเข้าไปในกล้องโดยไม่หันกลับไปมองรอบตัว “ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว วิ่งหนีก็สายเกินไป สงบใจไว้! พวกเราต้องสงบใจเข้าไว้!”
เขาปรบมือทั้งสองข้างเข้าหากัน และหวงหลางก็คำรามออกมาเสียงดัง “ไม่ว่าที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกเราจะเป็นใคร ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องกลัว! ค้นหาความสงบในหัวใจ สวรรค์จับตามองพวกเราอยู่เสมอ!”
เมื่อเขาพูดออกไปแล้ว สายตาของหวงหลางก็เบนไปทันที สีหน้าหวาดกลัวที่เขาใช้อยู่หายไปอย่างช้า ๆ
“ไม่ต้องกลัว ยิ่งพวกเรากลัวแค่ไหน พวกมันก็จะยิ่งรังแกพวกเรา!” หวงหลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงกล้าหาญ “ไม่ต้องห่วง ผมไม่เคยโดดเดี่ยว มีพวกคุณทั้งหมดอยู่ด้วย พวกเราจะรอดไปด้วยกัน อย่าลืมทิปโฮสต์ของคุณสำหรับความกล้าหาญของเขานะครับ และอีกหนึ่งนาที พวกเราจะบุกออกไปกำจัดผีร้ายนี่เสีย!”
เห็นเงินที่คนดูส่งให้เขาแล้วความยินดีก็แผ่ไปทั่วหัวใจของหวงหลาง และกระทั่งแก้มของเขาก็แดงระเรื่อขึ้น เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับประตูและพูดออกมา “อย่างที่คุณปู่ของผมเคยพูดเอาไว้ ต้องสงบใจเอาไว้ให้ได้! ทำใจให้กระจ่างและฝึกปากว้านใจ เหล่าทหารหาญจะปรากฏตัวที่เบื้องหลังพวกเรา!”
เขาชี้นิ้วสองนิ้วไปทางหน้าต่าง กระทั่งในเวลาเช่นนี้ หวงหลางยังไม่ลืมที่จะปรับกล้องให้ตัวเองกับหน้าต่างและประตูห้องพักผู้ป่วยปรากฏในจอ ประตูห้องพักผู้ป่วยปิดลงพร้อมกับเสียงครูด และใบหน้าซีด ๆ ก็แอบมองผ่านหน้าต่างเข้ามา
นี่เป็นความซีดขาวที่ไม่สามารถใช้วิธีการแต่งหน้าทำขึ้นได้ มันเป็นความขาวที่ดูไร้ชีวิตชีวา คนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นเหมือนอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว แต่ก็เหมือนกับจะล่องลอยหายไปตอนไหนก็ได้
ใบหน้าที่ไม่รู้จัก ดวงตาที่ไร้ม่านตาสีดำคู่นั้น เสียงครูดของประตู ริมฝีปากแห้งผาก และเส้นผมสีดำที่ยาวลงมาปกคลุมใบหูทั้งสองข้างเอาไว้…
ตอนที่หวงหลางเห็นใบหน้านี้ ร่างกายของเขาก็ผงะไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว และจากนั้นความรู้สึกชื่นชมในตัวหลีจิ่วก็พลุ่งขึ้นในใจ เขาเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง นี่ดีเกินไปแล้ว!
เมื่อแขนของเขาสั่น การไลฟ์ก็สั่นไปด้วย แน่นอนว่ายังมีผู้ที่สงสัยและคิดว่านี่เป็นกลเม็ดหนึ่งของพนักงานบ้านผีสิง คนดูบางคนแนะนำให้เรียกตำรวจส่งผู้รักษากฏหมายไปที่บ้านผีสิงเพื่อช่วยชีวิตหวงหลาง
ความสงสัยเหล่านี้นั้นเป็นที่คาดเดาได้ แต่ว่าหวงหลางนั้นไม่สนใจคนที่อยากจะเรียกตำรวจ เขาอยู่ในระหว่างการแสดงละครร่วมกับหลีจิ่ว แล้วเขาจะดำเนินต่อไปได้อย่างไรหากมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง? เพียงแค่ไม่ถึงครั่งชั่วโมงนี้ จำนวนคนดูก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายแสนคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับหวงหลางและกระทั่งโฮสต์คนอื่น ๆ ของแพลตฟอร์มมาก่อน
“ไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณตำรวจหรอกครับ อย่างน้อยที่สุดผมก็เป็นทายาทของนักทำนายที่สืบเชื้อสายกันมายาวนาน วันนี้ ผมจะแสดงพลังแท้จริงที่ผมได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษให้พวกคุณเห็นครับ ถ้ามันได้ผล ผมก็หวังว่าทุกคนจะลบความเห็นแย่ ๆ เกี่ยวกับยันต์ของผมที่ในร้านในเถาเป่าออกไป” เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังแล้วหยิบชาดที่บดเอาไว้บางส่วนออกมา ตอนที่เขากระโดดขึ้นไปและแตะปลายนิ้วของเขาลงที่หน้าผากของใบหน้าที่กั้นไว้ด้วยกระจกบาง ๆ “ฟังคำขอร้องของฉัน จักรพรรดิแห่งท้องนภา! ไปซะ เจ้าผีร้าย! เจ้าสู้พลังของฉันไม่ได้!”
เสียงของเขาก้องอยู่ในห้องพักผู้ป่วย หวงหลางใช้ชาดเขียนสัญลักษณ์ที่ไม่มีใครเข้าใจลงบนกระจก จากนั้นเขาก็โซเซถอยหลังขณะหอบหายใจเอาอากาศเข้าไปเหมือนเพิ่งทำบางอย่างที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากไป “ตอนนี้ทุกอย่างน่าจะไม่เป็นไรแล้ว”
หวงหลางเงยหน้าขึ้นมองไปที่หน้าต่าง และใบหน้ามนุษย์ที่นอกหน้าต่างก็ยังอยู่ตรงนั้น ดวงตาที่มีสีขาวล้วนนั้นเต็มไปด้วยความงุนงงเหมือนกำลังมองคนโง่คนหนึ่ง
เกิดบ้าอะไรขึ้นอีก? หวงหลางกัดฟันอย่างโมโห จากบทที่พวกเขาตกลงกันไว้ หลีจิ่วต้องถอยกลับไปแล้วตอนนี้ แต่ ‘หลีจิ่ว’ นั้นกลับไม่ให้ความร่วมมือเลย นี่เขากำลังเรียกร้องเงินมากขึ้นหรือไง? ให้เขาหนึ่งนิ้ว และเขาก็จะเรียกร้องหนึ่งหลา!
หัวใจของเขานั้นเดือดดาลเพราะความโกรธเกรี้ยว แต่อย่างไรเสีย หวงหลางก็เป็นนักไลฟ์สตรีมที่มีประสบการณ์จากเมืองซินไห่ เขาสามารถปรับตัวไปตามสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นอีก “ฟังคำขอร้องของข้า เทพธิดาแห่งความเมตตา! ชำระล้างบาปของเหล่าวิญญาณร้าย กลับไปยังที่ที่เจ้ามาซะ!”
หลังจากพึมพำบทสวด หวงหลางก็กระโดดไปมาทั่วห้อง และตอนที่มือของเขาพ้นจากกล้อง เขาก็ยื่นสามนิ้วไปยังใบหน้าที่บนหน้าต่าง เขาโบกสามนิ้วของเขาไปมา เป็นการบอกว่าเขายินดีจ่ายให้หลีจิ่วสามเท่า!
จ่ายสามเท่าเลยนะ ตอนนี้นายก็ควรจะพอใจได้แล้ว!
ใบหน้าที่บนหน้าต่างนั้นดูไม่เหมือนจะรู้วิธีการจัดการกับสถานการณ์นี้เหมือนกัน เห็นสามนิ้วของหวงหลางโบกไปมาตรงหน้าเขา เขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่างและหายตัวไปอย่างช้า ๆ
หลังจากหลีจิ่วหายตัวไปจากสายตา หวงหลางก็หัวเราะเยาะให้กับความละโมบของหลีจิ่ว หน้าด้านและไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย แต่บนใบหน้าของเขากลับไม่ได้มีแววอาฆาตแค้น เขาหยุดทำท่าทางและหมุนกล้องไปทางประตูอีกครั้ง
“พวกคุณเห็นไหม! เจ้าสิ่งนั้นหายไปแล้ว!”
ในส่วนพูดคุยดูดีใจ และหวงหลางเองก็ยินดีกับความสงบชั่วครู่นี้ “เมื่อครู่นี้ เป็นผีตัวน้อย ๆ ที่ตามผมออกมาจากประตูหยินครับ อย่างที่พวกคุณได้เห็น นั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่การแต่งหน้าจะทำได้ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เจ้าสิ่งนั้นยังลอยอยู่กลางอากาศด้วย”
มีบางคำถามจากผู้ชมเพราะว่าพวกเขาไม่ได้เห็น ‘ผี’ หายตัวไป แต่ว่าหวงหลางเลือกที่จะไม่สนใจคำถามพวกนี้ทั้งหมด “ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว จากที่คุณปู่สอนผมมา วิญญาณสองสามดวงแรกที่หนีออกมาจากประตูหยินจะไม่ได้กล้าหาญมากนัก หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้วก็จะไม่กลับมาอีก”
หวงหลางเช็ดเหงื่อที่ไม่ได้มีอยู่บนหน้าผากของตัวเองแล้วพูดต่อ “เมื่อครู่นี้มันอันตรายจริง ๆ นั่นแหละ ต้องขอบคุณที่ผมรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เอาละ พวกเราจะออกไปจากที่นี่และดำเนินการเปิดเผยความลับของพวกเราต่อ…”
เขายิ่งพูด หวงหลางก็ยิ่งรู้สึกไม่ค่อยดี หน้าจอเริ่มสั่นอีกครั้ง และพื้นที่พูดคุยก็ถูกถล่มอีกครั้ง ความรู้สึกเลวร้ายผุดขึ้นในใจเขา หวงหลางเงยหน้าขึ้นมองและพบว่าใบหน้าผีนั่นกลับมาอีกแล้ว!
แม่งเอ๊ย! แกจะเอาอย่างนี้เหรอ? หวงหลางกัดฟัน ‘หลีจิ่ว’ นอกบทได้ แต่เขาทำไม่ได้
เขาถอยหลังไปหลายก้าว และหวงหลางก็ทำเหมือนกับเขารู้สึกอับอาย เขาหันไปหากล้องและพูด “นี่ไม่ดีแล้ว! ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่ผีน้อยที่หนีออกมาจากประตูหยินแล้วครั้งนี้! พลังหยินในบ้านผีสิงนี่รุนแรงเกินไป!”
เขาจ้องมองใบหน้าที่บนหน้าต่างอย่างโกรธแค้น “คราวนี้ ผมคงจะหนีได้ไม่ง่ายนัก แต่ไม่ต้องห่วงเพราะว่าปู่ของผมยังมอบเครื่องรางที่ทรงพลังให้กับผมอีกหลายชิ้น!”
เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วดึงเครื่องรางชิ้นหนึ่งที่มีพื้นหลังสีแดงตัวอักษรสีดำออกมา หวงหลางดูต่างไปจากก่อนหน้า เขาส่งความเกลียดชังทั้งหมดที่เขามีไปยังหลีจิ่วและพูด “เครื่องรางนี้เป็นของที่แพงที่สุดในร้านของผมในเถาเป่า และยังมีจำนวนจำกัดบนโลกนี้! พวกมันล้วนเป็นสิ่งที่ปู่ของผมทิ้งเอาไว้! ไม่มีเวลาจะเสียแล้ว เป็นความผิดของผมเองที่อัญเชิญผีตนนี้เข้ามาในโลกของพวกเรา ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรผมก็จะขับไล่มันกลับไปยังปรโลกให้ได้!”
หวงหลางถือเครื่องราวเอาไว้แล้วหมุนตัวไปรอบ ๆ “ฟังคำขอร้องของข้า ผู้ปกครองแห่งปรโลก รับดวงวิญญาณเร่ร่อนดวงนี้ของท่านกลับไปเสีย อย่าได้ทิ้งเอาไว้บนโลกมนุษย์อีกต่อไป!”
ตอนที่เขาท่องมนต์จบ หวงหลางก็เหยียดสี่นิ้วไปยังใบหน้าที่บนหน้าต่าง เพราะประสบการณ์ก่อนหน้านี้ คราวนี้ใบหน้านั่นเข้าใจความหมายของหวงหลางได้ในทันทีหลังจากเห็นสี่นิ้ว เขาพยักหน้าเงียบ ๆ และหายตัวไป ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันได้อย่างแนบเนียน หลังจากใบหน้านั่นหายไป หวงหลางก็เล่นละครจบและติดยันต์เอาไว้ที่บนหน้าต่างอย่างโอ้อวด!
“ไม่ต้องกังวลแล้วคราวนี้! มียันต์ของผมที่คุณปู่ให้มา มันต้องกลับมาไม่ได้แล้วแน่นอน!” หวงหลางถอนหายใจลึก การไลฟ์ครั้งนี้ยากกว่าที่เขาคาดเอาไว้ เต็มไปด้วยการทดสอบมากมาย เขาเหลือบมองไปยังหน้าต่างด้วยท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย เขากลัวว่า ‘หลีจิ่ว’ จะกลับมาอีก ดังนั้นจึงเตรียมกลับออกไปอย่างเร่งร้อน
“เอาละ พวกเราควรจะไปแล้วตอนนี้” หวงหลางหยิบโทรศัพท์ เปิดประตูแล้วเดินออกไป
ในทางเดินใต้ดินสายลมเย็นพัดมา และเสียงหัวเราะของเด็กก็ดูราวกับจะสะท้อนไปมาอยู่ในทางเดิน
เมื่อหวงหลางออกจากห้องพักผู้ป่วย เขาก็รู้สึกเย็นวาบไปตามสันหลัง เขาหมุนโทรศัพท์ และพบว่าพื้นที่พูดคุยนั้นวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้งแล้ว คราวนี้ ไม่ใช่แค่ไลฟ์ของเขาแล้ว แต่ทั้งแพลตฟอร์มล้วนชะงักไปจากการหลั่งไหลเข้ามามากเกินของข้อมูล
จำนวนคนดูนั้นทะลุสถิติสูงสุดตลอดมาของแพลตฟอร์มในพริบตา
“คราวนี้มีอะไรอีก?” หวงหลางหันมองรอบ ๆ และตอนที่สายตาของเขามองเห็น อากาศเย็นเยือกก็ราวกับจะไต่ขึ้นมาจากเท้าของเขาจนถึงหนังศีรษะ
ที่ยืนอยู่ห่างจากเขาไม่กี่ก้าวด้านหลังนั้นเป็นผีในชุดผู้ป่วยสี่คนยืนเรียงกันเป็นแถว!
ร่างกายของพวกเขานั้นบิดเบี้ยวจนดูไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไปแล้ว และสีหน้าบนใบหน้าของพวกเขายังยิ่งเน้นย้ำความไม่ใช่มนุษย์!
พวกเขาทั้งหมดมองหวงหลางเงียบ ๆ จากนั้นผู้ป่วยที่ตรงกลางก็ชี้ที่ตัวเอง และจากนั้นก็ชี้ไปยังผีทั้งสามที่ข้างตัวเขาก่อนที่จะยกแขนไปทางหวงหลางและชูสี่นิ้วให้เขา
TL note: *กินคำใหญ่เกินกว่าจะเคี้ยวได้ ทำสิ่งที่ยากเกินความสามารถ
ลืมแจ้งจากบทก่อนหน้า หลางต้าเกอ = พี่ใหญ่หมาป่า หวงหลาง = หมาป่าเหลือง
ตอนที่ 693
สี่?
ตอนที่ชายประหลาดในชุดผู้ป่วยชูสี่นิ้วให้เขา หวงหลางก็รู้สึกเหมือนเลือดในร่างของเขาพุ่งเข้าไปในหัวใจ ทำให้มันทำงานหนักเกินไป ความเจ็บปวดแผ่ออกมาจากหน้าอกของเขา และเขาก็รู้สึกหัวเบาหวิวขึ้นมา ถ้าเขาไม่ได้กำลังไลฟ์อยู่ละก็ เขาก็คงโยนโทรศัพท์ทิ้งไป หันหนีไปอีกทาง วิ่งเอาชีวิตรอด
ใจเย็นไว้! แกอยู่ในบ้านผีสิง! นี่ล้วนเป็นนักแสดงทั้งนั้น! ทุกอย่างปกติดี ทุกอย่างเป็นปกติดี! หวงหลางพยายามโน้มน้าวตัวเอง แต่ร่างกายของเขากลับเริ่มหลุดออกจากการควบคุม ขาของเขาสั่นอย่างห้ามไม่ได้
ผู้ชายที่ปกติแล้วพูดเก่งกลับหมดคำจะพูดไป อากาศเย็นเยียบลูบไล้ร่างกายแข็งทื่อของเขา และเขาก็รู้สึกได้ว่าตัวละครทั้งสี่ที่รวมกันอยู่ตรงหน้าเขานั้นช่างโดดเด่นอย่างเหลือเชื่อ
กระทั่งสำหรับคนที่เกิดมารูปร่างไม่ปกติ ก็ยังไม่เติบโตขึ้นมาในสภาพประหลาดอย่างนี้ แขนขาของพวกเขานั้นบิดเบี้ยวด้วยมุมประหลาด กระดูกของพวกเขานั้นไม่ได้เรียงกันในรูปแบบปกติของมนุษย์ บางคนยังถูกควักตาออกไปและเหลือเอาไว้แค่รูดำ ๆ สองรูบนกะโหลกศีรษะของพวกเขา คนอื่น ๆ มีดวงตาที่ไร้ม่านตาที่บางครั้งก็กลิ้งไปรอบ ๆ ในเบ้าตา ผู้ป่วยทั้งสี่นั้นยืนเรียงกันเป็นแถวตรง แสงสลัวสาดลงมาบนร่างพวกเขา และหวงหลางก็เพิ่งตระหนักได้ว่าพวกเขาทั้งสี่ไม่มีเงา!
“อย่าเข้ามาใกล้นะ!” เสียงกรีดร้องเล็ดรอดออกจากริมฝีปากของเขา ในตอนนี้หวงหลางนั้นสูญเสียความเยือกเย็นที่แสดงตอนอยู่ในห้องไปแล้ว ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเขาไม่ได้สื่อสารอยู่กับหลีจิ่วแต่เป็นนักแสดงที่ในบ้านผีสิง หลังจากเข้าใจจุดนั้นแล้ว อีกคำถามก็ผุดขึ้นมาในวินาทีต่อมา
แล้วหลีจิ่วหายไปไหนกัน?
เขาจำได้ว่าเขาคุยโทรศัพท์กับหลีจิ่วก่อนหน้านี้ ผู้ชายคนนั้นฟังดูต่างไปจากปกติ เหมือนเขากำลังเจอปัญหาร้ายแรง
หลีจิ่วทำงานที่บ้านผีสิงมาหลายปี เขายังเป็นนักออกแบบอุปกรณ์และของตกแต่งในวงการนี้ ทำให้เขาพูดอย่างนั้นได้ มันย่อมมีความหมายเดียวก็คือที่นี่มีผีสิงจริง ๆ!
เหงื่อเย็น ๆ หยดลงมาตามใบหน้าเขา ก่อนที่หวงหลางจะมาที่นี่ เขาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องผีจากบ้านผีสิงของเฉินเกอมากมาย และในตอนนี้ เรื่องผีทั้งหมดก็ผุดขึ้นในใจเขา โอบล้อมเขาเอาไว้ในความหวาดกลัวไร้ที่สิ้นสุด
ฉันควรจะออกไปจากที่นี่ตั้งแต่ที่มีโอกาส!
ทว่า น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว ตัวละครทั้งสี่เริ่มขยับ ร่างกายบิดเบี้ยวของพวกเขาโซเซไปมาขณะที่สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปช้า ๆ จนกระทั่งพวกเขาทำเสียงไม่พอใจอย่างน่ากลัวและพุ่งเข้าใส่หวงหลางพร้อมเสียงคำรามลั่น!
นี่ไม่ใช่มนุษย์! บ้านผีสิงนี่มีผีสิงจริง ๆ!
หวงหลางอ้าปาก แต่ว่าไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกมา ความหวาดกลัวทะลักออกจากดวงตาของเขา และเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหมดสติจากการขาดออกซิเจน
“ต้าหลาง ทำไมนายถึงวิ่งออกไปเองเล่า? ตั้งแต่แรก นายก็เอาแต่พูดกับตัวเอง นี่มันไม่เหมือนในบทที่พวกเราซ้อมกันมาเลยนะ!”
ประตูห้องพักผู้ป่วยห่างไปไม่กี่เมตรจากหวงหลางถูกผลักเปิดออกในตอนนั้นเอง ตามมาด้วยสิ่งที่หวงหลางต้องการ หลีจิ่วเดินออกมาหลังจากแต่งหน้าให้ดูน่ากลัว
ได้ยินเสียงหลีจิ่ว หัวใจที่เหมือนถูกแช่แข็งของหวงหลางก็ราวกับได้เห็นแสงตะวันอบอุ่น และสมองของเขาก็เริ่มทำงานและควบคุมร่างกายของเขาได้อีกครั้ง เขาหันกลับไปและเห็นหลีจิ่ว เขาสูดลมหายใจเย็นเยือกและกำลังจะกรีดร้องขอความช่วยเหลือตอนที่โทรศัพท์ในมือของเขาสั่นขึ้นมา
เขาก้มหน้าลงไปดูตามนิสัย และหวงหลางก็เห็นชื่อคนโทรเข้ามา– หลีจิ่ว
หลีจิ่วโทรหาฉัน? อย่างนั้นหลีจิ่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันคือใครกัน?
เขาแตะปุ่มรับสายด้วยมือสั่น ๆ หวงหลางใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
“ต้าหลาง? ฉันติดต่อจินหยวนกับเย็นชาไม่ได้เลย! ตอนนี้ฉันแอบอยู่ใกล้ ๆ กับทางออก นายมาหาฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ! มีบางอย่างผิดปกติมาก ๆ ในบ้านผีสิงนี่!” เสียงของหลีจิ่วดังออกมาจากโทรศัพท์– มันเต็มไปด้วยความกังวลและกระวนกระวาย “ฉันไม่ได้ล้อเล่นกับนายนะ! นายต้องกลับออกมา! เดี๋ยวนี้!”
“ฉันรู้ว่านายไม่ได้ล้อเล่นกับฉัน…” หวงหลางมองโทรศัพท์อย่างโง่งมและจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหลีจิ่วที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา “แต่ปัญหาก็คือ… ตอนนี้มีนายสองคน!”
ความกลัวอันอธิบายไม่ได้คืบคลานเข้ามาในร่างของเขาอย่างพรวดพราด และนี่ก็เกินขีดจำกัดของหวงหลาง เขากรีดร้องแล้วพุ่งตัวเข้าใส่หลีจิ่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเหมือนชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับการโจมตีครั้งนี้ มีปิศาจอีกสี่ตนอยู่ด้านหลังเขา และตรงหน้าเขามีแค่ตนเดียว ในตอนนี้ สัญชาตญาณของหวงหลางนั้นบอกให้เขาเลือกทางนี้
“นี่นายบ้าไปแล้วเหรอ? ฉันคือหลี…” ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ หวงหลางที่สติพังทลายไปแล้วก็มาถึงที่ข้างตัวเขาแล้ว เขาคว้ากระเป๋าสะพายหลังและเหวี่ยงใส่หลีจิ่วอย่างแรง หลีจิ่วนั้นวุ่นวายอยู่กับการแต่งหน้าอยู่ดังนั้นจึงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาถูกกระเป๋าของหวงหลางกระแทกเข้าที่หน้าในสภาพของผู้บริสุทธิ์และไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ฉันคือหลีจิ่ว! เชี่ยเอ๊ย! นายทำลายเมคอัพของฉันหมดแล้ว!” หลีจิ่วเอื้อมมือออกไปคว้าหวงหลางเอาไว้ แต่ฝ่ายหลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง อย่างไรเสีย ในใจของเขา เขากำลังถูกผีทำร้าย ดังนั้น หวงหลางจึงดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งเพื่อจะหนี พอดิ้นหลุด หวงหลางก็ทิ้งกระเป๋ากับโทรศัพท์ของตัวเองที่ยังไลฟ์อยู่ไป เขากลิ้งเกลือกไปตามทางเดิน กรีดร้องไปตลอดทาง
“หวงหลาง!” หลีจิ่วกุมจมูกที่บาดเจ็บของตัวเอง เสียงของเขาขึ้นจมูกยิ่งกว่าเดิมหลังจากโดนทำร้าย เขาค่อนข้างเป็นห่วงหวงหลางดังนั้นจึงไล่ตามหลังเขาไปอย่างรวดเร็ว ผู้เข้าชมทั้งสองคน คนหนึ่งวิ่งอยู่ข้างหน้าและอีกคนไล่ตามไปด้านหลัง หายลับไปจากทางเดินชั้นใต้ดินที่สาม
พนักงานทั้งสี่คนในชุดผู้ป่วยค่อย ๆ ช้าลง พวกเขามองหน้ากัน และพวกเขาก็รู้สึกถูกกีดกันจากความสนุกนี้
ดวงตาสีขาวเปลี่ยนเป็นปกติ และ ‘ผู้ป่วย’ ที่ตรงกลางก็มีผมสีดำอยู่บนศีรษะของเขา ความโกรธในใจของเขายังไม่ทันหายไปเลย ตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก ผู้เข้าชมก็ชูสามนิ้วให้เขา หลังจากที่เขารวบรวมพนักงานสามคนได้แล้ว ผู้เข้าชมกลับชูสี่นิ้วแทน
ตอนนี้ที่เขารวบรวมพนักงานได้สี่คน หลังจากทำตามคำขอร้องอย่างไร้เหตุผลของชายคนนั้นแล้ว ผู้ชายคนนั้นกลับจากไปโดยไม่ขอบคุณเขาสักคำ นี่ช่างสิ้นเปลืองเวลาของพนักงานเสียจริง!
นี่มันเกินไปแล้ว! ไม่เคารพกันเลย! เขาจะไม่ให้อภัย!
บาดแผลร้ายแรงน่ากลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีด ๆ พนักงานที่กำลังโกรธทั้งสี่คนสลัดการปลอมตัวทิ้งอย่างโมโห และพวกเขาก็เผยสีหน้าแท้จริง ที่มุมปากของพวกเขาฉีกออก และพวกเขาก็คำรามเสียงต่ำ จากนั้นทั้งตึกก็ราวกับจะมีชีวิตขึ้นมา และด้านหลังห้องพักผู้ป่วยที่เปิดเอาไว้ครึ่ง ๆ ก็มีแขนสีเทาหลายข้างเอื้อมออกมาจากในความมืด
…
โซ่ลากไปกับพื้นเกิดเป็นเสียงเย็นเสียดกระดูก เงาที่ถูกดึงให้ยาวขึ้นจากแสงนั้นยืนอยู่หน้าทางเข้าโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่านคนเดียว
“พวกเขาแยกกันแล้ว?” เฉินเกอที่สวมชุดคุณหมอนักเจาะกะโหลกถือค้อนเอาไว้ในมือข้างหนึ่งและหยุดอยู่ที่หน้าประตูโรงพยาบาล เขาก้มหน้ามองข้อความที่ถงถงส่งถึงเขา
“มีคนไลฟ์สตรีมอยู่ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สามของโรงพยาบาลครับ!”
“ฉันอนุญาตให้ถ่ายรูป ฉันอนุญาตให้ถ่ายวิดีโอ และตอนนี้พวกนายยังเริ่มไลฟ์สตรีมในบ้านผีสิงของฉันใช่ไหม? นายคิดว่าฉันใจดีถึงขนาดให้อิสระพวกนายขนาดนั้น? พวกนายลืมไปแล้วหรือว่าใครเป็นบอสของที่นี่?” เฉินเกอนั้นเป็นคนดีโดยเนื้อแท้ และมันก็ยากมากที่เขาจะโกรธนอกจากจะมีคนละเมิดขีดจำกัดล่างของเขา
หนามที่บนค้อนลากไปกับพื้น และเฉินเกอที่สวมหน้ากากหนังอยู่ก็เดินไปที่ชั้นใต้ดินที่สามของโรงพยาบาล
“พวกเขาไปไหนแล้ว?” ทางเดินมืด และไม่มีใครอยู่รอบ ๆ แต่ว่าอุณหภูมินั้นต่ำอย่างน่าสงสัย เฉินเกอดึงโทรศัพท์ออกมาคิดจะถามถงถงตอนที่เขามองเห็นกระเป๋าสีดำใบหนึ่งกับโทรศัพท์ถูกทิ้งเอาไว้นอกห้องพักผู้ป่วยที่สี่
“กระเป๋าสีดำ? ฉันจำได้ว่าผู้เข้าชมคนหนึ่งสะพายมันมา เขาน่าจะเข้ามาพร้อมไอ้คนทุเรศนั่น” เฉินเกอไม่ได้ไปเก็บของขึ้นมาในทันที “ถ้ากระเป๋ากับโทรศัพท์ถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่แต่ว่าคนหายไป ก็มีความหมายเดียวว่าพวกเขาทิ้งเอาไว้เพราะความหวาดกลัว ฉันเขียนเอาไว้ในกฎของพนักงานว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องออมมือถ้าเจอกับคนที่ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปหรือว่าบันทึกวิดีโออยู่ในบ้านผีสิง เจ้าของโทรศัพท์คือโฮสต์คนนั้นใช่ไหม? เป็นไปได้ว่าโทรศัพท์ที่ถูกทิ้งเอาไว้นี้จะยังกำลังไลฟ์อยู่?”
หลังจากผ่านภารกิจทดลองมากมายมาแล้ว ความสามารถในการสังเกตของเฉินเกอก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ยืนอยู่พ้นจากมุมกล้อง เขาถอดชุดคุณหมอนักเจาะกะโหลกออกแล้วจากนั้นก็เดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ กระเป๋าสะพายสีดำ
“ใครมันทิ้งของเอาไม่ไว้สนใจอยู่ตรงนี้เนี่ย? ขอบคุณที่พวกเรามีกล้องวงจรปิดที่สามารถรับรองความปลอดภัยของผู้เข้าชมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์” หลังจากพูดอย่างนั้นแล้ว เฉินเกอก็หันไปหาโทรศัพท์ที่นอนอยู่ข้าง ๆ “โทรศัพท์ใครอีกเนี่ย?”
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและห้องพูดคุยนั้นยังติดขัดอยู่ จากที่หวงหลางหายตัวไป ความนิยมของไลฟ์สตรีมนี้กลับไม่ลดลง และยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย และเขาก็อยู่ห่างจากการขึ้นถึงจุดสูงสุดเพียงไม่กี่ก้าว
“ไลฟ์สตรีม?” เฉินเกอเคยไลฟ์สตรีมมาก่อนเหมือนกัน ตอนที่เขาทำภารกิจที่หอผู้ป่วยสาม เขายังได้รับการสอนกลเม็ดในการไลฟ์เล็ก ๆ น้อย ๆ มา “สวัสดีตอนบ่ายครับทุกคน ผมเฉินเกอ บอสของบ้านผีสิงที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ จิ่วเจียงตะวันตก ทุกคนบอกผมได้ไหมว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น?”
ตอนที่เขาแนะนำบ้านผีสิงของเขาออกสู่สาธารณะ เฉินเกออยากจะใส่ที่อยู่เต็ม ๆ ของบ้านผีสิงลงไปแทบตายเพื่อไม่ให้มีความเข้าใจผิดพลาดอะไร เวบไซต์ยังอืด และหลังจากกดโหลดหน้าใหม่สองสามครั้ง เฉินเกอก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดได้คร่าว ๆ
โฮสต์ที่เป็นเจ้าของไลฟ์สตรีมนี้คือหวงหลาง ชื่อเล่นว่าหลางต้าเกอ เขาอ้างว่าตัวเองเป็นทายาทของนักทำนายชื่อดัง และดูเหมือนว่าเขาจะเจอผีจริง ๆ เข้าระหว่างการไลฟ์ครั้งนี้ จากนั้น เขาก็กลัวมากจนทิ้งโทรศัพท์และหนีไปเอง
ตอนที่เฉินเกอเห็นข้อความมากมายอ้างว่าบ้านผีสิงของเขามีผีสิงจริง ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนถูกเปิดโปงอย่างประหลาด แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นจำนวนคนดูในไลฟ์นี้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายเหมือนมองเห็นสมบัติล้ำค่า
“อันที่จริง พวกคุณทุกคนถูกหวงหลางหลอกเอาแล้วละ จะมีผีจริง ๆ ได้ยังไงในโลกนี้? ผมเชื่อว่าเขาอยู่เบื้องหลังทุกอย่างที่คุณเห็นก่อนหน้านี้” เมื่อเฉินเกอพูดอย่างนั้น เขาก็ถูกแฟนคลับผู้ภักดีของหวงหลางไม่พอใจ
เฉินเกอไม่โกรธ เขาหยิบกระเป๋าของหวงหลางขึ้นมาและไม่ช้าก็พบปัญหา “ก่อนหน้านี้ มีคนบอกว่ามีมรดกตกทอดจากตระกูล จี้หยกที่หวงหลางสวม และยังมีรอยแตกขึ้นมาเมื่อเขาเจอวิญญาณร้าย หยกนั่นมีรอยแตกเก้าเส้นทันทีที่เขาเข้ามาในบ้านผีสิงของผม งั้นดูนี่นะครับ…”
เฉินเกอดึงหยกที่หน้าตาเหมือนกันพวงหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพาย และหลายอันยังมีรอยแตกอยู่ก่อนแล้ว “นี่เป็นหยกคุณภาพแย่มาก ทั้งพวงนี่ราคาไม่เท่าไหร่เอง”
เฉินเกอแฉออกมาต่อหน้าคนดูตั้งมาก นั่นเป็นความเปิดเผยและชัดเจนของเฉินเกอ
เขาวางหยกพวงนั้นกลับเข้าไปในกระเป๋าและเปิดช่องกระเป๋าอื่น มันเต็มไปด้วยกระดาษยันต์ที่มีพื้นหลังสีแดงตัวอักษรสีดำ บางอันยังมีป้ายราคาติดเอาไว้ “พวกนี้เป็นยันต์ที่บรรพบุรุษของเขาทิ้งเอาไว้ให้ใช่ไหม? อย่างที่คิดเลย มีอยู่ไม่มากนักบนโลกนี้ ดูนี่สิ ราคาแผ่นละห้าสตางค์เอง เขาขายบนเถาเป่าแผ่นละเท่าไหร่นะ?”
เมื่อความจริงถูกแผ่ออกมาต่อหน้าต่อตาทุกคน พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องโต้แย้งอะไรแล้ว เฉินเกอเก็บของของหวงหลางและหันไปหากล้อง “เจอผีจริง ๆ ในบ้านผีสิง? ทั้งหมดนั่นเป็นการแสดงที่หวงหลางกำกับเองทั้งหมด ถ้าพวกคุณอยากจะเห็นผีจริง ๆ และดูไลฟ์เรื่องเหนือธรรมชาติ ผมแนะนำให้คุณกดติดตามผมดีกว่า”
เฉินเกอไม่รู้สึกละอายที่จะใช้โอกาสนี้โฆษณา “แอคเค้าท์ของผมคือ บ้านผีสิงจิ่วเจียงตะวันตก และรูปโปรไฟล์ก็คือทางเข้าบ้านผีสิงของผม เมื่อก่อนผมก็เคยไลฟ์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ไลฟ์มาสักพักแล้วเพราะว่าช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง ต่อไปถ้ามีโอกาส ผมจะพาทุกคนไปไลฟ์เรื่องเหนือธรรมชาติชองจริง ค้นหาเรื่องผีจริง ๆ ที่แอบซ่อนอยู่ในเงามืดของเมืองนี้!”
เฉินเกอดึงโทรศัพท์ออกมาล็อกอินเข้าไปในแอคเค้าท์สตรีมของตัวเองที่เขาไม่ได้ใช้นานแล้ว และเขาก็โฆษณาตัวเองอย่างหน้าไม่อายในไลฟ์ของหวงหลาง หลังจากเขาเสร็จเรื่องแล้ว จำนวนผู้ติดตามของแอคเค้าท์นี้ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว และอันที่จริง คนดูบางส่วนของหวงหลางก็จำเขาได้
“หลังจากรอบนี้แล้ว จำนวนคนดูสามารถเพิ่มขึ้นอีกสองแสนห้า” อีกบริษัทที่ลงทุนไปกับหวงหลางอย่างมากเปิดพื้นที่ให้เขา และแพลตฟอร์มเองก็ให้การสนับสนุนหวงหลางอยู่ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ดังนั้น เฉินเกอจึงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้สูญเปล่าไป
หลังจากเขาโฆษณาแอคเค้าท์ส่วนตัวของตัวเองแล้ว ก็ได้เวลาโฆษณาบ้านผีสิงของเขาบ้าง บางทีอาจจะเพราะแพลตฟอร์มที่เฉินเกอใช้นั้นคนละเจ้ากับของหวงหลาง การโฆษณาอย่างเปิดเผยนี้ก็ทำให้แพลตฟอร์มไม่พอใจ และก็ใช้เวลาไม่นานเลยที่อีกฝ่ายจะแบนห้องไลฟ์ของหวงหลางชั่วคราว
เห็นหน้าจอมืดไปแล้ว เฉินเกอก็รู้สึกเสียใจและว่างเปล่าอยู่บ้าง “อย่างที่รู้กันนั่นแหละ โอกาสเป็นของคนที่เตรียมพร้อม ฉันน่าจะพูดให้เร็วกว่านี้ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
ปิดโทรศัพท์ของหวงหลางแล้วเฉินเกอก็เข้าไปดูจำนวนผู้ติดตามของเขาซึ่งยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเขาก็ยิ้มออกมา “น้องชายคนนี้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ฉันเลยนะ ฉันควรจะต้องขอบคุณเขาด้วยตัวเอง”
เก็บกระเป๋าสะพายกับโทรศัพท์ไปไว้ทางหนึ่ง แล้วเฉินเกอก็สวมชุดคุณหมอนักเจาะกะโหลก หน้ากากหนังมนุษย์ และยกค้อนหนัก ๆ ขึ้น
เพื่อขอบคุณหวงหลาง เฉินเกอตัดสินใจจะตามเขาไปด้วยเอง เพื่อแสดงความซาบซึ้งด้วยตัวของเขาเอง
ตอนที่ 694
ในที่สุด เฉินเกอก็เจอหลีจิ่วกับหวงหลางในห้องเก็บศพของโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน ตอนที่เขาไปถึง ทั้งสองคนก็หมดสติไปแล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณที่สัญญาณชีพของพวกเขายังคงที่ดีอยู่ พวกเขาไม่ได้ต้องการการดูแลจากแพทย์ในทันที รอยฝ่ามือของเด็กชายที่หลังคอหวงหลางก็หายไปแล้ว ถงถงคือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้– เขายังเป็นผู้จัดการกับการโทรศัพท์ระหว่างสองคนนี้ด้วย
“ไปเอารถเข็นจากห้องเก็บศพใต้ดินมาให้ฉันหน่อยสิ” เฉินเกอลากค้อนและหันไปออกคำสั่งผู้ป่วยที่ยืนระวังอยู่ข้าง ๆ หลีจิ่ว “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่โทษนายหรอก นายหลอกผู้เข้าชมที่ยังฝ่าฝืนกฏและใช้โทรศัพท์ในบ้านผีสิงหลังจากการตักเตือนหลายครั้งได้ตามสบาย นอกจากนี้ ฉันยังเชื่อว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อก่อเรื่อง ดังนั้นถ้ามองในแง่นี้แล้ว นายทำหน้าที่ได้ดีมาก
“พวกเรามีพนักงานที่เป็นคุณหมอที่เก่งที่สุด และฉันยังวางแผนจะลงทุนในอุปกรณ์การแพทย์ทันสมัยสักชุดหนึ่งเมื่อมีเงินพอ แบบนั้นผู้เข้าชมก็จะสามารถสนุกสุดเหวี่ยงได้โดยไม่ต้องเป็นกังวลเมื่ออยู่ในบ้านผีสิง”
เห็นความใจกว้างของเฉินเกอแล้ว ผู้ป่วยที่ยืนเอียงตัวไปมาอย่างกระวนกระวายก็รีบพยักหน้าแล้วเตรียมจะกลับออกไป
“เดี๋ยวก่อน” เฉินเกอหันไปมอง “ทำไมนายถึงรีบร้อนนัก? นี่นายคนเดียวหลอกจนสองคนนี้หมดสติไปเลยเหรอ?”
ผู้ป่วยคนนั้นมองโต๊ะผ่าศพที่ปูผ้าขาวเอาไว้แล้วหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้า
“โรงพยาบาลเอกชนเมืองจิ่วเจียงต้องมีหัวหน้า และนายก็ไม่เลวเลย ต่อไปฉันจะดูแลให้การฝึกฝนนายให้มากขึ้น” เฉินเกอไม่ได้พูดเล่น– เขาไม่เคยพูดล้อเล่น “การจะเปลี่ยนไปเป็นวิญญาณสีเลือดนั้นเป็นการเดินทางอันยากลำบาก แต่การเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือดก็ยังคงง่ายพอที่จะทำได้”
ผู้ป่วยคนนั้นนิ่งงันไป ตอนที่หลอกผู้เข้าชมก่อนหน้านี้เขาสนุกมากทีเดียว ผีทั้งกลุ่มไล่ตามทั้งสองคนอยู่เกือบสิบนาที และจนพวกเขาหมดสติไปพวกเขาถึงได้ตระหนักได้ว่าบางทีพวกตนจะล้ำเส้นไปเสียแล้ว…
ภาพของชายน่ากลัวคนหนึ่งวาบผ่านเข้ามาในใจพวกเขา และผู้ป่วยหลายคนก็สลายหายไปอย่างเร่งร้อน เหลือไว้เพียงชายผู้ซื่อตรงคนเดียวเท่านั้น อันที่จริง เขาเองก็รู้สึกผิดกับเรื่องทั้งหมดนี่อยู่บ้าง เขาได้ทำดีที่สุดแล้วในการทำตามคำเรียกร้องของผู้เข้าชม แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็พบว่าตัวเองถูกปั่นหัวเล่น นั่นทำให้ผีทั้งโรงพยาบาลบ้าคลั่งขึ้นมา ตอนนี้เมื่อผู้เข้าชมหมดสติไป เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนร้ายเบื้องหลังเรื่องนี้ ดังนั้นจึงรั้งอยู่เพื่อรับการลงโทษ
เขาพร้อมที่จะถูกลงโทษแล้ว แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ เฉินเกอไม่เพียงไม่โทษเขา แต่ยังสัญญาว่าจะช่วยให้เขาพัฒนาไปเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือด อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงวูบวาบเช่นนี้กระตุ้นความรู้สึกอันอธิบายไม่ได้ในใจของเขาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
“เอาละ เลิกยืนเฉยอยู่ได้แล้ว ช่วยไปเอารถเข็นจากห้องเก็บศพใต้ดินมาทีแล้วส่งพวกเขาออกจากฉาก”
ผู้ป่วยคนนั้นลอยออกไปด้วยท่าทางยินดี ในขณะเดียวกัน เฉินเกอก็นั่งลงที่ข้าง ๆ หลีจิ่วและหวงหลางและเริ่มการตรวจสอบ “หลีจิ่วแต่งหน้าเอาไว้ ทำไมผู้เข้าชมอย่างเขาถึงมาที่บ้านผีสิงของฉันและยังแกล้งทำตัวเป็นผีด้วย? นี่เขาพยายามหลอกพนักงานของฉันอยู่เหรอ?
“หวงหลางมาที่บ้านผีสิงของฉันและเริ่มไลฟ์สตรีม เขาวางแผนจะเปิดเผยการออกแบบบ้านผีสิงของฉันต่อหน้าคนหลายหมื่น หลีจิ่วมาที่บ้านผีสิงของฉันเพื่อปลอมตัวเป็นพนักงานเพื่อสร้างปัญหา สองคนนี้มีหน้าที่ต่างกันชัดเจน– นี่ย่อมวางแผนเอาไว้แน่นอน” เฉินเกอพบกระเป๋าเครื่องสำอางเล็ก ๆ ที่ในกระเป๋าเสื้อของหลีจิ่ว และในนั้นยังมีบัตรผ่านเข้าสวนสนุกแห่งอนาคต ตอนนี้สวนสนุกแห่งอนาคตยังไม่เปิดสู่สาธารณะ และเครื่องเล่นด้านในก็ยังห่อหุ้มเอาไว้ การจะเข้าไปที่นั่นต้องมีบัตรผ่าน
“อย่างที่ฉันคาดเอาไว้เลย พวกเขามีความเกี่ยวข้องกับสวนสนุกแห่งอนาคต” เฉินเกอเก็บทุกอย่างที่เขาเจอเข้าที่ เขาไม่ได้ยึดอะไรเอาไว้เลย “สวนสนุกแห่งอนาคตกำลังจะเปิดในไม่ช้านี้แล้ว ดังนั้นไม่มีเวลาให้เสียแล้ว ฉันต้องปล่อยฉากระดับสี่ดาวสู่สาธารณะก่อนที่พวกเขาจะเปิดให้บริการ!”
เฉินเกอลุกขึ้นแล้วลากค้อนออกไปจากโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน
…
ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สองของเขตที่พักอาศัยเมืองหลี่ว่าน ชิโนซากิและผู้ช่วยสาวของเขานั้นตั้งใจแกะเทปกาวอยู่ในห้อง นี่เป็นภารกิจที่เว่ยจินหยวนมอบให้พวกเขา แต่ว่า พวกเขาก็ต้องตกใจ หลายนาทีก่อน เสียงกรีดร้องแหลมขอความเมตตาของเว่ยจินหยวนดังมาจากส่วนลึกของตึกนี้
พวกเขาไม่มีใครกล้าหาญอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว และเสียงกรีดร้องของเว่ยจินหยวนก็ทำให้หัวใจของพวกเขาที่เต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ อยู่แล้วเต้นรัวเร็วมากขึ้น
“คุณคิดว่าพวกเราควรจะลงไปดูไหม?” เสี่ยวเซี่ยถามออกไปอย่างสุภาพแม้ว่าความไม่อยากทำจะเขียนเอาไว้บนหน้าของเธออย่างชัดเจนก็ตาม
“ปล่อยเขาไป พวกเราจะทิ้งเรื่องนี้เอาไว้ให้พวกที่เชี่ยวชาญกว่า อย่างไรเสีย เว่ยจินหยวนก็บอกว่าเขาทำงานที่บ้านผีสิง ดังนั้นฉันเชื่อว่าเขามีความสามารถในการรับมือทุกอย่างด้วยตัวเองได้” ชิโนซากิกระแอมอย่างกระอักกระอ่วน ตอนที่เขาเห็นรอยฝ่ามือที่หลังคอของเว่ยจินหยวนก่อนหน้านี้ เขาก็รู้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
“อย่างนั้นพวกเราควรจะทำอะไรดีคะตอนนี้?” เสี่ยวเซี่ยถามคำถามที่สำคัญมากออกมา ถึงแม้ว่าเว่ยจินหยวนจะดูไม่เหมือนว่าสมองจะทำงานปกติ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขา ตอนนี้เมื่อเว่ยจินหยวนถู ‘โจมตี’ ก็เหลือแค่พวกเขาสองคนที่ต้องรับมือกับสัตว์ประหลาดและผีด้วยตัวพวกเขาเอง
“พวกเราห้ามตื่นตระหนก” ชิโนซากิคิดและมีความคิดดี ๆ “พวกเราควรรออยู่ที่นี่ เว่ยจินหยวนมีคู่หูอยู่ในตึกข้าง ๆ นี่ เขาต้องมาที่นี่หลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องนี้แน่ ๆ พวกเราก็ค่อยตามเขาไป”
“ได้ค่ะ” เสี่ยวเซี่ยมองไปทางประตูที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ถัดไปนั้นเป็นทางเดิมมืด ๆ “ฉันควรจะไปปิดประตูไหม?”
“อืม พวกเราควรจะทำเป็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนี้ และพวกเราก็จะคอยดูสถานการณ์ที่ด้านนอกผ่านตาแมว
“แต่ว่าพวกเราดึงเทปที่บนประตูออกแล้วไม่ใช่เหรอ?
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจรายละเอียดพวกนั้น”
ทั้งสองคนปิดประตู คอยระวังอยู่ด้านข้าง ชิโนซากิเอนตัวแนบประตูแล้วคอยมองออกไปข้างนอกผ่านตาแมว ทั้งหมดที่เขาเห็นก็คือความมืด– ไม่มีอะไรให้ใช้เป็นข้อมูลได้เลย เสี่ยวเซี่ยเอนตัวพิงกำแพง เหงื่อเย็น ๆ คอยแต่จะไหลลงมาตามใบหน้าของเธอ เพราะอะไรไม่รู้เธอถึงได้รู้สึกวิตกกังวลอย่างไม่น่าเชื่อเหมือนว่ามีคนที่สามอยู่ในห้องกับพวกเขาด้วย
“คุณคะ คุณคิดว่าทำไมเครื่องเรือนที่นี่ถึงต้องพันเทปเอาไว้คะ?”
“ฉันก็ไม่รู้” ชิโนซากิตอบอย่างใจลอย เขาปรับท่าทาง พยายามหามุมที่ดีที่สุดผ่านช่องตาแมว
“เทปนี่ป้องกันไม่ให้สิ่งของพวกนี้แตกออก? เป็นไปได้ไหมว่าเครื่องเรือนพวกนี้เคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง? เทปนี่พันเอาไว้ไม่มีช่องว่างเลย หรือคุณคิดไหมว่ามันเป็นเพราะว่าลิ้นชักจู่ ๆ ก็เปิดออกเองได้?” เสี่ยวเซี่ยยังคงไม่รู้ถึงความน่ากลัวของสถานการณ์ที่เธอบรรยายออกมา
“เปิดได้เอง? ทำไมลิ้นชักถึงเปิดได้เองล่ะ?” ชิโนซากิหันไปมองเสี่ยวเซี่ย
“บางทีอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ในเครื่องเรือนพวกนี้ หรือบางทีอาจจะมีตัวตนที่มนุษย์มองไม่เห็นเดินผ่านเครื่องเรือนพวกนี้”
“ตัวตนล่องหน?” ใบหน้าของชิโนซากิซีดลงเล็กน้อย แต่เขาก็พยายามรักษาความมีสติเอาไว้ “ถ้าเป็นอย่างนั้น นี่ก็เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมากที่จะใส่เอาไว้ในการ์ตูนของฉัน ไม่เลวเลย พวกเรามาที่นี่แค่ไม่กี่นาที แต่ว่าพวกเราได้ความคิดดีงามสองอย่างแล้ว”
“คุณคะ ฉันคิดว่าพวกเราควรจะกลับออกไป ที่นี่ทำให้ฉันรู้สึกขนลุก” เสี่ยวเซี่ยมองไปรอบ ๆ อย่างกระวนกระวาย และเธอก็เพิ่งเห็นว่าเครื่องเล่นดีวีดีที่อยู่ในห้องนั่งเล่นที่ก่อนหน้านี้ปิดอยู่ จู่ ๆ ก็เปิดขึ้น
“นั่นเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ? ยิ่งน่าขนลุกยิ่งดี! ฉันต้องการให้คนที่บอกว่าฉันวาดการ์ตูนเป็นอยู่แนวเดียวเห็นว่าศิลปินที่แท้จริงเชี่ยวชาญทุกแนว!” ชิโนซากินั้นมีพื้นอารมณ์ร้อน และก็มีความจริงอยู่เบื้องหลังการวิจารณ์เพราะว่าการ์ตูนหลายเรื่องของเขานั้นเป็นแนวเดียวกันหมด ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งโกรธ
“ตอนที่พวกเราเข้ามาในนี้ เครื่องเล่นดีวีดีเปิดอยู่ไหมคะ?” เสี่ยวเซี่ยไม่ได้สนใจสิ่งที่ชิโนซากิพูด เธอมองเครื่องเล่นนั่นอย่างสงสัย และตอนที่เธอกำลังมองมันอยู่ สัญญาณไฟที่บนโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นก็สว่างขึ้นมาด้วยเหมือนกัน
“เร็ว ดูนั่นสิคะ!” เสี่ยวเซี่ยอ้าปากค้างอย่างตกใจ “คุณคะ! ดูเหมือนพวกเราจะไปสะดุดกับดักอะไรเข้าแล้วค่ะ!”
“อย่าตื่นตูม” ชิโนซากิให้สัญญาณเสี่ยวเซี่ยให้สงบใจลง พวกเขาสองคนเดินเข้าไปที่โทรทัศน์ช้า ๆ
“อาจจะมีคนใช้รีโมทควบคุมมันอยู่ ฉันเคยเจอแบบนี้ในบ้านผีสิงแบบญี่ปุ่น นี่ไม่ดีเท่าไหร่ บอสบ้านผีสิงที่น่ากลัวคนนั้นกำลังจะมาทางพวกเราในไม่ช้าแล้ว!” ชิโนซากิตรวจดูโทรทัศน์ บางทีเขาอาจจะไปแตะโดนปุ่มอะไรเข้าเพราะว่าหน้าจอโทรทัศน์จู่ ๆ ก็สว่างวาบขึ้น
แสงเย็น ๆ ส่องบนใบหน้าของทั้งสองคน และพวกเขาก็หันไปทางโทรทัศน์พร้อมกัน คุณภาพของวิดีโอของโทรทัศน์เก่า ๆ นั้นไม่ดีนัก แต่ว่าทั้งสองคนก็ยังบอกได้ทันทีว่าวิดีโอบนโทรทัศน์นั้นกำลังฉายภาพห้องนั่งเล่นที่พวกเขาอยู่
ทุกอย่างนั้นเหมือนกัน มันเหมือนมีคนวางกล้องไว้บนโทรทัศน์เพื่อบันทึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องนั่งเล่น
“กล้องวิดีโอวงจรปิด? แต่ทำไมถึงมีคนติดตั้งกล้องไว้ในบ้านตัวเองล่ะ?” ชิโนซากิและเสี่ยวเซี่ยมองจอนิ่งไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว สิบวินาทีผ่านไป และทั้งสองคนก็พบว่าหน้าจอโทรทัศน์ยังคงฉายภาพเดิม วิดีโอยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร
“ในเมื่อกล้องวงจรปิดถูกติดเอาไว้ในบ้าน ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้นที่นี่ และเจ้าของบ้านก็ต้องการค้นหาความจริง” ชิโนซากิดึงลิ้นชักที่ใต้ตู้ทีวีเปิดออก ในนั้นมีแผ่นดีวีดีที่ไม่ติดป้ายอยู่ชุดหนึ่ง พวกมันดูเหมือนจะบันทึกไว้โดยเจ้าของบ้านเอง “คำใบ้ในการหนีออกไปอาจจะซ่อนอยู่ในแผ่นดีวีดีพวกนี้”
ชิโนซากิตั้งใจหาคำใบ้ในลิ้นชักขณะที่เสี่ยวเซี่ยจ้องเป๋งอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ เธอมีความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังขยับอยู่ในภาพที่ดูเหมือนนิ่งนี้
“นั่นแมลงเหรอ?” เสี่ยวเซี่ยเดินเข้าไปสองสามก้าวแล้วชะโงกหน้าเข้าไปใกล้กับจอเท่าที่ทำได้ เธอมองประตูห้องน้ำในวิดีโอ ประตูนั่นถูกเปิดเอาไว้ครึ่ง ๆ และตรงกรอบประตู มีเส้นผมสีดำสองสามเส้นให้เห็น
“นั่นดูเหมือนเส้นผม” ตอนที่โทรทัศน์เปิดขึ้นทีแรก ใกล้ ๆ กับห้องน้ำไม่มีอะไรเลย ดังนั้นเส้นผมสองสามเส้นนี้จึงเป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ใจของเสี่ยวเซี่ยเต็มไปด้วยความงุนงง เธอกำลังจะเรียกให้ชิโนซากิมาดูตอนที่เส้นผมบนวิดีโอเริ่มสะบัดด้วยตัวเอง
“เส้นผมขยับได้?” คุณภาพของวิดีโอแย่มากเธอจึงต้องชะโงกเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อมองให้แน่ใจ แต่ว่า ตอนที่เธอเอานตัวเข้าไปหาหน้าจอ ใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากในห้องน้ำ!
“อ๊า!” เสี่ยวเซี่ยกรีดร้อง และเธอก็กลัวจนผงะถอยไปล้มอยู่บนโซฟา “ผี! คุณคะ! ในทีวี! เธออยู่ในทีวี!”
ห้องไม่ได้ใหญ่มาก และมันก็เงียบมาก เมื่อเสี่ยวเซี่ยกรีดร้องทำลายความเงียบ กระทั่งชิโนซากิก็ยังค่อนข้างตกใจ เขาวางแผ่นดีวีดีที่ถืออยู่เอาไว้ลงไปและเงยหน้าขึ้นมองหน้าจอ ในโทรทัศน์ ใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยื่นออกมาจากในห้องน้ำ
ใบหน้านั่นค่อนข้างน่ารักและสิ่งที่ทำให้ชิโนซากิกลัวนั้นก็คือไม่ว่าเขาจะขยับออกห่างจากหน้านั่นแค่ไหน มันก็เหมือนใบหน้านั่นยังจ้องตรงมาที่เขา!
“ไม่เป็นไร อย่าตกใจง่ายอย่างนั้นสิ นี่ก็แค่กลพื้น ๆ ในบ้านผีสิง” แต่ว่า เสียงสั่น ๆ ของชิโนซากินั้นเผยความกลัวของเขาออกมา เขาต้องการปิดโทรทัศน์ลงไป แต่ว่าหาปุ่มปิดไม่เจอ
“คุณคะ ฉันคิดว่าพวกเราควรจะออกไปเดี๋ยวนี้และพวกเราค่อยกลับมาตอนที่มีคนมากับพวกเรามากกว่านี้” ใบหน้าของเสี่ยวเซี่ยซีดเผือดจากความหวาดกลัว แค่ครั้งเดียว และมันก็พอที่จะทำให้เธอหมดแรง เธอรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงหายไปจากร่างและเธอก็ขยับขาแทบไม่ไหวด้วยซ้ำ “นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว คุณคะ คุณจะอยู่ต่อจนกว่าจะจบก็ได้ถ้าต้องการ แต่ว่าฉันยอมแพ้แล้ว”
ตอนที่เธอพยายามจะลุกขึ้น เสี่ยวเซี่ยก็จับที่พักแขนเพื่อพยุงตัวขึ้น แต่ตอนที่เธอหันไปมอง เธอก็เห็นมัน ห่างจากเธอไปแค่สามเมตร ใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งยื่นออกมาจากในห้องน้ำ เหมือนกับภาพที่เธอเห็นในวิดีโอเปี๊ยบ!
“ฉันคิดว่าฉันเห็นภาพหลอนจากความน่ากลัวทั้งหมดนี่แล้วค่ะ” เสี่ยวเซี่ยหันไปมองที่โทรทัศน์ วิดีโอยังคงแช่อยู่ที่ภาพผู้หญิงคนหนึ่งโผล่ออกมาจากห้องน้ำ “ใช่ นี่เป็นสิ่งที่เล่นอยู่บนโทรทัศน์”
เธอหันกลับไปอีกที และผู้หญิงคนนั้นก็ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเธอจริง ๆ เธอมีใบหน้าน่ารักและร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยกรีด เลือดมากมายไหลออกจากแผลที่เปิดอยู่
ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวด้วยความกลัว ตอนที่เสี่ยวเซี่ยสูญเสียสติแล้วผงะถอยหลัง เธอก็ใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายกรีดร้อง “ผี! มีผี!”
ชิโนซากิยังคงค้นของอยู่ตอนที่ดวงตาของผู้หญิงที่ในวิดีโอนั้นก็มองตามการเคลื่อนไหวของเขา เขาเชื่อว่าบอสนั่นใช้วิธีการเดียวกับดาวินซีตอนที่เขาวาดภาพโมนาลิซ่า แต่ก่อนที่เขาจะทันได้คิดเหตุผล เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากเสี่ยวเซี่ย ตอนที่เขาหันกลับไป เขาก็ตะลึงไปด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน
พวกเขาตรวจดูในห้องหลายรอบแล้วก่อนหน้านี้– มันว่างเปล่าจริง ๆ แล้วทำไม ตอนนี้ ถึงมีผู้หญิงที่เต็มไปด้วยเลือดและบาดแผลปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาได้!
นี่ไม่ใช่แค่ความน่ากลัวแต่ว่ามันทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น!
คำเตือนจากเสี่ยวเซี่ยหมายความว่าชิโนซากิยังมีเวลาเตรียมตัวบ้าง ถึงแม้ว่าเขาจะตัวสั่นเป็นใบไม้ต้องลม เขาก็ยังไม่ได้สูญเสียการควบคุมร่างกาย ผู้หญิงคนนั้นขวางประตูห้องนั่งเล่นอยู่ และชิโนซากิก็คว้าเสี่ยวเซี่ยและวิ่งเข้าไปในห้องนอน
ปัง!
ประตูกระแทกปิด หัวใจของชิโนซากิเต้นอย่างบ้าคลั่ง และเขาก็เริ่มคิดว่าควรจะเรียกตำรวจดีหรือไม่
“ฉันควรทำยังไง? ตอนนี้ฉันควรทำยังไง?” ชิโนซากินั้นกลัวว่าเขาจะถูกลืมเอาไว้ในบ้านผีสิง ต้องขอบคุณที่เขารู้ตัวขึ้นมาในครู่ต่อมา “ใช่แล้ว ฉันอยู่ในบ้านผีสิง!”
เขาเอนตัวพิงประตูและเริ่มตะโกนออกไปเสียงดัง “พวกเรายอมแพ้แล้ว! พวกเราไม่ต้องการสัมผัสประสบการณ์แล้ว! ออกไปเถอะนะ! ช่วยออกไปแล้วทิ้งพวกเราเอาไว้!”
ไม่มีการตอบสนองจากข้างนอกประตู ไม่มีเสียงฝีเท้าด้วยเหมือนกัน ชิโนซากิพยุงเสี่ยวเซี่ย และพวกเขาก็ไม่มีใครกล้าเปิดประตู
“งั้น… พวกเราอยู่ในนี้จนกว่าบอสจะมาพาพวกเราออกไปไหม?”
หลังจากประสบการณ์นี้ ชิโนซากิก็ไม่แกล้งทำเป็นกล้าอีกแล้ว บ้านผีสิงนี่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงจิตใจมนุษย์ บ้านผีสิงอื่นนั้นจะให้ผู้เข้าชมได้ผ่อนคลายก่อน และจัดวางความสยองขวัญเอาไว้ในตำแหน่งที่ผู้เข้าชมไม่ทันคาดคิด แต่ว่าบ้านผีสิงนี้ต่างไป พวกเขาหลอกผู้เข้าชมซึ่งหน้าจนกระทั่งวิญญาณของผู้เข้าชมหลุดออกจากร่าง หลังจากที่การระมัดระวังของพวกเขาถูกทำลายโดยสิ้นเชิงแล้ว ความสยองขวัญลำดับต่อไปก็จะมาหาจากมุมที่ต่างออกไป หลอกพวกเขาอย่างต่อเนื่องด้วยความสยองขวัญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ต่อไป ฉันจะเชิญพวกนักเขียนการ์ตูนที่ดูถูกฉันมาที่นี่” ไม่มีเสียงอะไรจากที่นอกประตู และชิโนซากิก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป “ผู้หญิงคนนั้นขวางประตูเอาไว้ให้พวกเราออกไปไม่ได้ ต้องมีเหตุผลในการออกแบบอย่างนี้เป็นไปได้ไหมว่ามีคำใบ้ซ่อนอยู่ที่นี่ในห้องนอนนี้?”
ทิ้งหน้าที่เฝ้าประตูไว้ให้เสี่ยวเซี่ย ชิโนซากิเริ่มค้นห้อง เขาพบบางอย่างที่น่าประหลาดในทันที โต๊ะในห้องนอนนั้นมีปากกาดินสอที่ค่อนข้างเฉพาะหลายด้ามวางเอาไว้
“ปากกาแกรไฟต์ ปากกาลูกลื่น ปากกามาร์กเกอร์?” ชิโนซากิจดจำพวกมันได้อย่างง่ายดาย “ปากกาแกรไฟต์เอาไว้ร่างโครงร่างตัวละคร ปากกาลูกลื่นไว้สำหรับลงรายละเอียดเสื้อและขนตา ขณะที่ปากกามาร์กเกอร์ไว้สำหรับการลงเงาใหญ่ ๆ พวกนี้เป็นปากกาที่จำเป็นกับการวาดการ์ตูน! เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าของบ้านนี่เป็นนักเขียนการ์ตูนคนหนึ่ง?”
การเข้าชมบ้านผีสิงนั้นอาจจะทำให้เขาได้รู้จักเพื่อนใหม่ นี่เป็นสิ่งที่ชิโนซากิไม่คาดคิดเลย เขาเดินไปที่โต๊ะ และพลิกต้นฉบับที่บนโต๊ะดู
เดิมที่ เขาก็แค่พลิกมันดูอย่างสงสัย แต่ไม่ช้าเขาก็จมลงไปในเนื้อหานั้น
“ฉันไม่เคยเห็นงานแบบนี้มากก่อน แวบแรก มันก็ทำให้คุณรู้สึกเย็นเยือกไปตามสันหลัง คนที่วาดการ์ตูนนี่เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง! หรือว่าเขากำลังจะบุกเบิกการเคลื่อนไหวใหม่ ๆ ในวงการการ์ตูน?”