My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 695-700
ตอนที่ 695
ดวงตาทั้งคู่ของชิโนซากิส่องประกายเหมือนเพิ่งเจอสมบัติล้ำค่า “ผลงานชิ้นนี้นั้นเหนือกว่าขีดจำกัดในวงการตอนนี้ และมันยังมีสไตล์เป็นของตัวเอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันไขว่คว้าหาอยู่เหรอ?”
เขาศึกษาต้นฉบับที่บนโต๊ะ และแค่พลิกดูก็ทำให้ตัวเขาสั่น ตัวละครเรียบง่าย แต่ราวกับมีชีวิตขึ้นมาในมือของศิลปิน เขาดูเหมือนจะสามารถเขียนความซับซ้อนของใจมนุษย์ออกมาจากปลายปากกาได้ ไม่มีฉากนองเลือดและไม่มีสัตว์ประหลาดน่าคลื่นไส้ เขาก็แค่วาดมนุษย์ในสายตาของตนเอง และมันก็ทำให้รู้สึกตัวชาจากความกลัว
“นี่มันตรงกันข้ามกับสไตล์ปัจจุบันโดยสิ้นเชิง มันเหมือนศิลปินนั้นใช้มุมมองของผีวิเคราะห์สถานการณ์ของมนุษย์” ชิโนซากินั้นอยู่ในวงการมาเกินทศวรรษแล้ว และเขาก็เป็นที่ยอมรับในด้านความอาวุโส ช่วงไม่กี่ปีมานี้ เขาได้พยายามเปลี่ยนสไตล์ของตัวเอง เขาไปหาศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคน แต่ไม่มีใครสร้างผลกระทบต่อเขาได้มากเท่ากับผลงานที่อยู่ตรงหน้าเขานี่
“ฉันต้องการเจอศิลปินคนนี้! ฉันต้องได้พบนักวาดการ์ตูนคนนี้ที่อาศัยอยู่ในบ้านผีสิงนี่!”
ชิโนซากินั้นเป็นมืออาชีพโดยแท้จริง เขาพบคุณค่าของต้นฉบับนี้ในการมองแค่แวบเดียว เขาอยากจะเรียนรู้ และมันก็ไม่ใช่ว่าความคิดที่จะอ้างเอาต้นฉบับนี้มาเป็นของตัวเองจะไม่ผ่านเข้ามาในใจเขา แต่ว่า เขาก็รีบสลัดความคิดชั่วร้ายนั้นทิ้งไป นักวาดการ์ตูนคนนี้ผู้อาศัยอยู่ในบ้านผีสิงนี่อย่างมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างผลงานนั้นควรได้รับความเคารพ นี่เป็นศิลปินที่แท้จริงอีกคนหนึ่ง
ความกลัวและความตื่นเต้นเอ่อเต็มในใจเขา และกระทั่งชิโนซากิก็ไม่รู้ว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เขาพลิกดูต้นฉบับทั้งหมดและให้ความเห็นอย่างมืออาชีพ และเขาก็ชื่นชมมันมากทีเดียว
“โชคไม่ดี ที่มีต้นฉบับอยู่เพียงแค่นี้ ฉันอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้” ชิโนซากิกลายเป็นแฟนคลับ เขาพึมพำกับตัวเอง ตอนที่เขาพูดจบ ลิ้นชักชั้นล่างสุดของโต๊ะก็เลื่อนเปิดออกเล็กน้อย สีของลิ้นชักนั้นต่างไปจากโต๊ะที่มันสอดอยู่ อันที่จริง หากมองใกล้ ๆ แล้วชิโนซากิก็พบว่ามันมีรูปร่างต่างไปจากลิ้นชักอื่น มันเหมือนกับว่ามันถูกยัดเยียดให้อยู่ที่นี่
“ลิ้นชักประหลาดจัง” มันเหมือนมีบางอย่างชักนำมือของชิโนซากิให้เอื้อมไปดึงลิ้นชักเปิดออก ด้านในนั้นมีต้นฉบับและการ์ตูนเล่มที่วาดด้วยมืออยู่กองหนึ่ง
“เยอะมาก! เขาทำงานอยู่ในนี้นานเท่าไหร่แล้ว?” ชิโนซากินั่งลงบนพื้น และยิ่งเขาอ่าน เขาก็ยิ่งงุนงง “แต่ละชิ้นล้วนมีคุณภาพสูงที่สุด คนวาดต้องพิจารณาผลงานตัวเองหนักแค่ไหนถึงได้บรรลุมาตรฐานอย่างนี้? แต่ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินเรื่องอาจารย์ผู้นี้ในวงการมาก่อนเลย? ศิลปินคนนี้เข้าวงการตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เขาเริ่มความเร็วในการเปิดดูต้นฉบับ เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเอาต้นฉบับทั้งหมดนี้ไปกับตัวเองแล้วค่อย ๆ ศึกษามันช้า ๆ ที่บ้าน
“คุณคะ ตอนนี้ด้านนอกเงียบแล้ว พวกเราจะออกไปดูหน่อยไหมคะ?” เสี่ยวเซี่ยที่ดีขึ้นแล้วพบว่าชิโนซากินั้นไม่สนใจโลกภายนอกเลยแค่ไหนตอนที่เธอฟื้นขึ้นมา
“รอก่อน ไม่ต้องรีบ พอหมดเวลา บอสก็คงมาหาพวกเราเอง สำนวนนั่นว่าอะไรนะ? อ่า ใช่ ซุ่มรอ!”
ชิโนซากินกวาดตามองหลายหน้าอย่างรวดเร็ว เขาต้องการรู้ว่าในต้นฉบับนั้นเขียนเอาไว้กี่เรื่อง “ตอนที่พวกเราออกไปจากที่นี่ ฉันต้องการติดต่อกับบอสนั่น! ถ้าฉันไม่ได้เจอศิลปินคนนี้กับตัว ฉันก็ยินดีจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ตามที่เขาเรียกร้องเพื่อต้นฉบับทั้งหมดนี่!”
โดยไม่รู้ตัวเลย ชิโนซากิเอื้อมมือไปที่ก้นลิ้นชักและเขาก็หยิบหน้าสุดท้ายขึ้นมา กระดาษเป็นสีเหลือง เป็นสัญญาณบอกความเก่าของมัน แต่ว่า ลายเส้นบนนั้นช่างสดใหม่ เหมือนเพิ่งถูกวาดขึ้นมา!
“เขาทำอย่างนี้ได้ยังไงกัน?” ชิโนซากิมองหน้ากระดาษอย่างงุงงง เขาคือตัวละครที่เพิ่งถูกวาดเข้าไปในหน้ากระดาษนี้!
ตัวละครเหมือนจริงที่มีสไตล์การวาดอันประหลาดและมุมมองที่ศิลปินเลือกช่างน่าสงสัย มันเหมือนเขาซ่อนอยู่ในลิ้นชักขณะวาดหน้านี้ ชิโนซากิเหลือบมองเข้าไปในลิ้นชักที่เขาดึงเปิดออกโดยไม่รู้ตัว และตรงนั้นมีใบหน้าซีด ๆ กำลังมองเขาอยู่ด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างคาดหวัง
“งั้น… นี่ก็คือ…” ดวงตาของเขากลอกขึ้นด้านบนและชิโนซากิก็หมดสติไปบนพื้น
เสี่ยวเซี่ยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ผละออกจากประตูและรีบร้อนมาที่ชิโนซากิ “คุณคะ ตื่นสิ! เกิดอะไรขึ้นกับคุณน่ะ?”
ตอนที่มีสองคน อย่างน้อยพวกเขาก็มีกันและกัน ตอนนี้เธอถูกทิ้งเอาไว้คนเดียว ความหวาดกลัวในใจเธอพุ่งขึ้นเป็นหลายเท่าอย่างไม่ยอมหดหาย ตอนที่กำลังจะหมดสติไปนั้น เสี่ยวเซี่ยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เธอดึงโทรศัพท์ออกมาโทรหมายเลขฉุกเฉิน แต่ว่า ตอนที่เธอปลดล็อกหน้าจอ โทรศัพท์ของเธอก็ถูกมืออีกข้างคว้าเอาไว้
เธอหันไปและเห็นประตูห้องถูกเปิดออกครึ่ง ๆ และมีคนสามคนยืนอยู่ข้างหลังเธอ!
ผู้ชายที่ทางซ้ายนั้นมีใบหน้าขาวซีด ผู้ชายทางขวานั้นหน้าอกย้อมเป็นสีแดงและมือข้างหนึ่งของเขาถูกตัดออกไปเสมอข้อมือ เสี่ยวเซี่ยเคยเห็นผู้หญิงที่ตรงกลางมาก่อน– เธอก็คือผีที่หนีออกมาจากห้องน้ำก่อนหน้านี้
“ไม่ต้องกลัว พวกเรา…” ชายวัยกลางคนใบหน้าซีดขาวเริ่มพูด และเสี่ยวเซี่ยก็ฟุบไปกับพื้นที่ข้าง ๆ ชิโนซากิ สำหรับผู้เข้าชมที่เข้ามาที่บ้านผีสิงของเฉินเกอเป็นครั้งแรกนั้น ฉากระดับ 3.5 ดาวนั้นยากเกินไป
“ฉันไม่ได้คิดจะหลอกให้เธอกลัวเลยนะ” เหล่าโจวมองต้วนเยว่และไป๋ชิวหลินอย่างกระอักกระอ่วน ทั้งสองคนเองก็มีสีหน้าค่อนข้างจนปัญญาเหมือนกัน
“อันที่จริง มันก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเรา นี่เป็นความผิดของเอี๋ยนต้าเหนียนที่แสดงตัวออกมา และนั่นก็ทำให้ผู้ชายคนนั้นหมดสติไป” ไป๋ชิวหลินช่วยจัดท่าเสี่ยวเซี่ยกับชิโนซากิให้สบายมากขึ้น และความเฉยเมยที่เขาแสดงออกมาก็เป็นการบอกว่าเขาชินกับการทำเรื่องนี้แล้ว
“ฉันเห็นด้วยกับนาย ความรับผิดชอบหลักตกอยู่ที่ต้าเหนียนแล้ว” ต้วนเยว่พยักหน้า
ได้ยินทั้งสามคนคุยกัน เอี๋ยนต้าเหนียนก็คลานออกมาจากลิ้นชัก เขาต้องการแก้ต่างให้ตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร ในที่สุดแล้วเขาก็คลานไปที่ตรงมุมพลางพึมพำ “มันยากมากที่จะเจอศิลปินที่เห็นคุณค่างานของฉัน และฉันก็เพิ่งทำให้เขากลัวจนหมดสติไป”
เห็นเอี๋ยนต้าเหนียนทำท่าโทษตัวเองแล้วไป๋ชิวหลิน เหล่าโจว และต้วนเยว่ก็ทำท่าหัวเราะให้กันเงียบ ๆ ทั้งสามคนเดินไปที่ข้าง ๆ เอี๋ยนต้าเหนียนและช่วยพยุงนักวาดการ์ตูนที่กำลังเศร้าขึ้นจากพื้น
“ต้าเหนียน ยินดีด้วยนะ ในที่สุดนายก็ได้คำชื่นชมจากมืออาชีพอย่างที่นายฝันหาแล้ว” เหล่าโจวดึงเอี๋ยนต้าเหนียนมากอดเบาๆ และเขาก็พูดอย่างจริงใจ
“ฉันรู้ว่าหลายปีที่ช่วยนายตรวจต้นฉบับจะไม่เสียเปล่า ฉันรู้ว่านายจะประสบความสำเร็จในที่สุด” ต้วนเยว่เขย่าไหล่เอี๋ยนต้าเหนียน
“แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่าลืมพวกเราตอนที่นายร่ำรวยและมีชื่อเสียงขึ้นมา!” ไป๋ชิวหลินที่ปกติแล้วพูดน้อยและวางตัวห่างเหินมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอยู่ตอนนี้
พวกเขาทั้งสี่นั้นอยู่ในห้องเดียวกัน และยังผ่านช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาด้วยกัน พวกเขาไม่ได้สาปแช่งโลกนี้หรือว่าถูกความเกลียดชังครอบงำหลังตายลง กลับกัน พวกเขาเลือกที่จะช่วยเหลือและสนับสนุนกันและกัน
เอี๋ยนต้าเหนียนนั้นพูดไม่เก่ง เขาไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกของตัวเองอย่างไร และเขาก็ทำได้แค่พยักหน้ารัว ๆ
“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก พวกเราเข้าใจ”
“ต้าเหนียน ทางที่ดีนายกลับเข้าไปในลิ้นชักของนาย ทิ้งสองคนนี้ไว้ให้พวกเราจัดการ
“พวกเราต้องพาพวกเขาไปห้องเก็บศพใต้ดินเดี๋ยวนี้ ถ้าพวกเราช้าเกินไปอาจจะทำให้พวกเขาแย่ได้”
หลังจากเอี๋ยนต้าเหนียนกลับเข้าไปในหนังสือการ์ตูน และทั้งสามคนก็มองหน้ากัน
“ต้าเหนียนไม่จำเป็นต้องให้พวกเราสามคนปกป้องแล้ว”
“ใช่ ฉันอยากรู้ว่าพวกเราสามคนจะหายตัวไปไหมเมื่อความปรารถนาของต้าเหนียนได้รับการเติมเต็ม อย่างไรเสีย พวกเราก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว” เหล่าโจวคุยกับไป๋ชิวหลิน
“จะกังวลเรื่องนั้นอะไรตอนนี้? มาช่วยฉันก่อน!” ต้วนเยว่ลากชิโนซากิออกมาจากห้อง “ฉันแอบได้ยินเด็กสาวคนนี้บอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นนักวาดการ์ตูนเฮ็นไต*ชื่อดัง เขาดูเหมือนจะได้รับความนับถือมากในด้านนี้ พวกนายสองคนรู้ไหมว่าเฮ็นไตคืออะไร?”
TL note: เฮ็นไต* (ญี่ปุ่น 変態 หรือ へんたい โรมาจิ: hentai) เป็นคำที่หมายถึง “การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย” หรือ “ความผิดปกติ” หรืออาจจะแปลว่า “แปลงร่าง” ได้ด้วย แต่ว่า ปกติใช้ในความหมายไม่ค่อยดี หมายถึงสื่อการ์ตูนและเกมที่มีลักษณะลามกอนาจาร มีฉาก xxx ในรูปแบบต่าง ๆ แต่ถ้าในญี่ปุ่นเอง จะเรียกการ์ตูนและเกมแนวนี้ว่า 18Kin (Erotic anime)
ตอนที่ 696
“ไม่รู้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเคยได้ยินคำนั้นเหมือนกัน” ไป๋ชิวหลินหันไปหาเหล่าโจว “เหล่าโจว นายมีความรู้มากที่สุดในพวกเราแล้ว นายรู้ไหมว่าเฮ็นไตคืออะไร?”
เหล่าโจวส่ายหน้าและกุมคางขณะวิเคราะห์ “บางทีอาจจะเป็นการ์ตูนแนวใหม่ ถ้ามีโอกาส พวกเราลองถามบอสดู”
“ความคิดไม่เลว ถ้าบอสเฉินรู้ว่างานของต้าเหนียนได้รับความชื่นชอบจากปรมาจารย์ เขาต้องดีใจมากแน่ ๆ” ต้วนเยว่ลากชิโนซากิออกจากห้อง เหล่าโจวและไป๋ชิวหลินแบกเสี่ยวเซี่ย และทั้งกลุ่มไม่ช้าก็ออกจากเขตที่พักอาศัย ไม่กี่นาทีหลังจากที่พวกเขาออกไป ก็มีเสียงฝีเท้าก้องมาตามทางเดิน
“จินหยวน? เว่ยจินหยวน?” เสียงแหลมดังมาจากประตู ประตูถูกผลักเปิดออก และหลี่ซางอิ๋นก็ชะโงกเข้ามาในห้องนั่งเล่น “เทปที่บนประตูถูกฉีกออก ดังนั้นพวกเขาน่าจะอยู่ที่นี่”
หลี่ซางอิ๋นนั้นสำรวจตึกติดกันแล้ว หลังจากที่ไปถึงชั้นใต้ดินชั้นที่สามเขาก็พบว่าตึกพวกนี้นั้นเชื่อมถึงกัน เกิดเป็นเขาวงกตใต้ดินขนาดใหญ่
สิ่งที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้นั้นเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ความสยองขวัญของจริงถูกฝังเอาไว้ใต้ดิน การเข้าชมบ้านผีสิงธรรมดาทั่วไปนั้นอย่างมากก็ให้เข้าชมพร้อมกันแค่ห้าคน และการสำรวจก็จำกัดเอาไว้ที่ยี่สิบนาที ส่วนการเข้าชมแบบของเฉินเกอซึ่งอนุญาตให้เข้าพร้อมกันได้สิบคนและมีเวลาจำกัดสี่สิบนาทีนั้นหายได้ยากมาก
หลี่ซางอิ๋นไม่เข้าใจจนกระทั่งเห็นฉากใต้ดิน ที่นี่ใหญ่มากจนสามารถให้ผู้เข้าชมเข้าพร้อมกันได้ยี่สิบคนด้วยซ้ำ
ตอนที่เว่ยจินหยวนร้องของความเมตตา หลี่ซานอิ๋นนั้นกำลังเดินลึกเข้าไปใต้ดิน ตอนที่เขาได้ยินเสียงร้อง เขาก็รีบมุ่งหน้ามาทางเสียง แต่โชคร้าย เขามาช้าไปก้าวหนึ่ง เดินมาตามทางเดินที่เหมือนกันไปหมดอย่างนี้ เขาก็กลัวว่าตัวเองจะหลงทาง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินย้อนกลับไปตามทางที่ตัวเองเข้ามาก่อนจะมาตรวจดูสาเหตุเบื้องหลัง ‘อุบัติเหตุ’ ของเว่ยจินหยวน
“ห้องนี้ก็ว่างเปล่าเหมือนกัน ฉันเข้ามาที่นี่ยี่สิบนาทีแล้ว และฉันก็ยังไม่เจออะไรเลย ที่นี่มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์หรือไง?”
ฉากใหญ่มาก ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่ต้องการนักแสดงจำนวนมากมาเติมเต็มพื้นที่ว่าง หลี่ซางอิ๋นนั้นคิดว่าเขาโชคไม่ดีเพราะว่าไม่เจอนักแสดงเลยสักคน
“ฉันหาใครมาถามก็ยังไม่ได้เลย” หลี่ซางอิ๋นเดินไปตามทางเดินสีหน้าไม่พอใจ “ฉันจะมัวเดินวนไปมาแบบนี้ไม่ได้ ดูเหมือนว่าต้องตามหานักแสดงเองเสียแล้วแหละ”
ตั้งแต่ที่เขาเกิดมา น้อยครั้งมากที่เขาจะรู้สึกกลัว ตอนที่เขายังเด็ก พ่อกับแม่ของเขาเคยพาเขาไปพบหมอ และหลังจากการตรวจ หมอก็พบว่าสมองของเขานั้นต่างไปจากปกติ
ในส่วนของสมองกลีบหน้านั้นทำงานได้ดีมาก แต่ว่าส่วนนอกของลิมบิกและสมองกลีบหน้าผากนั้นพัฒนาไม่เต็มที่ ถึงแม้ว่าเขาจะดูเป็นปกติดี แต่วิธีการคิดและการมองโลกของเขานั้นต่างไปจากคนส่วนใหญ่
เขาพยายามที่จะเลียนแบบคนธรรมดาให้ดีที่สุด แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเสียสมาธิไป ตัวตนแท้จริงของเขาก็จะผุดขึ้นมา เขาได้พยายามทำงานหลายอย่างมาก่อนหน้านี้ แต่ก็มักจะถูกไล่ออกด้วยเหตุผลประหลาด จนกกระทั่งเข้าร่วมกับสถาบันฝันร้ายที่ซินไห่
ซ่อนตัวอยู่ในความมืดและบ้านผีสิงที่น่าขนลุก ในที่สุดเขาก็สามารถสลัดการปลอมแปลงทิ้งและได้เป็นตัวเขาที่แท้จริง
หลี่ซางอิ๋นเกาหลังคอเดินออกมาจากเขตที่พักอาศัย เขากวาดตามองรอบ ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก “บอสบอกคำใบ้ให้พวกเราสี่อย่าง แต่ฉันติดต่อกับผู้เข้าชมคนอื่น ๆ ไม่ได้ แล้วฉันจะเจอคำใบ้ได้ยังไง? เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาตอนที่ฉันออกไปสำรวจด้วยตัวเองกันนะ?
“เว่ยจินหยวนไม่ใช่คนขี้ขลาด และเขายังใช้เวลาทำงานอยู่ในบ้านผีสิงเกือบทั้งวัน มันผิดปกติมากที่เขาจะกรีดร้องอย่างนั้น หรือว่าข่าวลือเรื่องบ้านผีสิงนี่จะเป็นความจริง?”
หลี่ซางอิ๋นขมวดคิ้ว และเมื่อเขาคิดเรื่องอื่น เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นพุ่มไม้ที่ข้าง ๆ เขตที่พักอาศัยขยับไหว
และเขายังไม่ได้สังเกตเห็นผู้ชายส่วนเสื้อคลุมยาวถือกรรไกรด้ามหนึ่งตามหลังเขามาด้วย
…
ป้ายแขวนอยู่เหนือทางเข้าโรงแรมสว่างขึ้นและเผยให้เห็นชื่อของโรงแรม สายลมเย็นพัดเอื่อยไปตามถนนเงียบสนิท แสงไฟกะพริบ เงาของจางจิงจิ่วเหยียดยาวกว่าที่มันควรจะเป็น
“เล่นเป็นเจ้าของโรงแรมนี่ต้องทำยังไงนะ?”
เขาสวมชุดที่เฉินเกอดึงออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อของเหล่าวิญญาณ เขานั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ มือเท้าคางและพยายามคิด
“ในเมื่อฉันตัดสินใจทำงานที่นี่แล้ว ฉันก็ควรจะพยายามให้ถึงที่สุด มือกรรไกรน่ะมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติ หรือฉันควรจะพูดว่า เขาฝึกฝนเพื่อหน้าที่นี้มาเป็นเวลานาน เพื่อที่จะบรรลุระดับมืออาชีพอย่างเขา ฉันยังต้องเรียนรู้อีกมาก”
จางจิงจิ่วมองซ้ายมองขวา หลังจากแน่ใจแล้วว่ารอบด้านไม่มีผู้เข้าชม เขาก็แอบดึงโทรศัพท์ออกมาค้นบนออนไลน์เพื่อหาคำแนะนำในการเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ เขากำลังตั้งใจเรียนรู้ตอนที่เสียงฝีเท้าดังมาจากทางถนน ผู้ชายและผู้หญิงอย่างละคนกำลังวิ่งมาจากทางแยกพร้อมกับสีหน้าตระหนก
“มีแสงไฟ! ทำตามที่บอสสั่ง! พวกเราต้องไปหาที่ที่มีแสงไฟ!” ผู้ชายคนนั้นยังดูค่อนข้างมีสติ เขาลากเพื่อนผู้หญิงมาด้วยขณะวิ่งตรงมายังทางเข้าโรงแรม พวกเขาวิ่งเหมือนตัวเองเป็นผู้แข่งขันวิ่งแข่งหนึ่งร้อยเมตร พวกเขาล้มไปกับพื้นเมื่อมาถึงทางเข้า
“หยุดก่อน ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว” เด็กสาวโบกมือไปมา ผู้ชายคนนั้นก็ถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้วเช่นกัน เขากระอักไอและสูดเอาอากาศเข้าปอดอย่างกระหายขณะที่หัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ฉันมีลูกค้าแล้ว!” จางจิงจิ่วจัดเสื้อผ้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ต้อนรับลูกค้าในบ้านผีสิง ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างกระวนกระวายอยู่บ้าง เขาเก็บโทรศัพท์ลงไป แล้วเดินไปที่ประตูทักทายพวกเขา “พวกคุณ… ต้องการความช่วยเหลือไหม?”
จางจิงจิ่วนั้นไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น แต่ว่าเขารู้สึกสงสารผู้เข้าชมทั้งสองคน และเขาก็อดที่จะยื่นมือออกไปช่วยไม่ได้
ได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังมาจากด้านหลัง ชายคนนั้นก็สะดุ้งผุดลุกขึ้นจากพื้นแล้วก็เซไปด้านหลังหลายก้าวก่อนที่จะยั้งตัวเองไว้ได้ เห็นปฏิกริยาของผู้ชายคนนั้นที่เหมือนกับเป็นหนูวิ่งมาเจอแมวจางจิงจิ่วก็ส่ายหน้ายิ้ม ๆ ผู้ชายคนนั้นต้องผ่านความสิ้นหวังมาขนาดไหนถึงได้ทำให้เขามีปฏิกริยาแบบนั้นกับการทักทายง่าย ๆ
“อย่าเข้าไปใกล้นะ! เขาเป็นพนักงานที่นี่!” ชายหนุ่มทำเหมือนกำลังอยู่ในสงคราม ผู้หญิงที่ข้าง ๆ เขารีบลุกขึ้นยืนแล้วขยับเข้าไปหาชายหนุ่ม
“ผมเป็นพนักงานที่นี่ แต่ว่ามาจากฝ่ายอื่น” จางจิวจิ่งไม่รู้จะอธิบายตัวเองว่ายังไง “ทำไมคุณไม่เข้าไปพักข้างในก่อนล่ะ? ในโรงแรมมีน้ำขวดบริการนะ”
“คุณคิดว่าผมจะเชื่อกับดักที่เห็นอยู่โต้ง ๆ อย่างนี้เหรอ?” ชายหนุ่มถอยออกไปจนหลังเกือบจะชนเข้ากับกำแพงของ ‘บ้านสุนัข’ ที่อีกฝั่งถนน
“คุณไม่เข้าใจคำพูดง่าย ๆ นี่เหรอ? ผมเป็นพนักงานใหม่ และบอสยังไม่ได้มอบหมายงานให้ผมหลอกผู้เข้าชม ฉากย่อยที่ผมรับผิดชอบน่ะเป็นจุดพักเดียวให้ผู้เข้าชมเข้าไปพัก” จางจิงจิ่วโบกมือให้พวกเขา “บอสเป็นห่วงว่าพวกคุณผู้เข้าชมจะไม่สามารถทนรับความกดดันของฉากที่ตึงเครียดนี่ได้ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจัดที่นี่เอาไว้ให้คุณได้พัก”
จางจิงจิ่วไม่ได้โกหก เขาแค่ไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของโรงแรมที่เขาได้รับมอบหมายให้ดูแล
อันที่จริงแล้ว โรงแรมเมืองหลี่ว่านนั้นเป็นสถานที่ที่พิเศษมาก ในเมืองหลี่ว่านจริง ๆ แล้วนั้น โรงแรมเป็นทั้งสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดและอันตรายที่สุด
เหมือนกับโรงแรมเมืองหลี่ว่านในบ้านผีสิงของเฉินเกอ เมื่อเจ้าของคือจางจิงจิ่ว มันก็จะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเมืองเล็ก แต่เมื่อบทบาทนั้นถูกฟางหยวนยึดไป โรงแรมก็จะมีบรรยากาศที่ต่างออกไป
ตอนที่ 697
จางจิงจิ่วนั้นเป็นนักแสดงที่ใจดีที่สุดและใสซื่อที่สุดในบ้านผีสิง อันที่จริง เขาก็เคยคิดที่จะหลอกผู้เข้าชมเหมือนเพื่อนร่วมงานของเขา เขาคิดกลับไปถึงความทรงจำของเขาถึงเจ้าของโรงแรมตัวจริงและเกมบ้าคลั่งเล็ก ๆ ที่เขาเคยเจอ
แต่ว่า นี่เป็นการทำงานวันแรกของเขา เขายังไม่ทันได้เตรียมใจ ตอนที่เขาเห็นสภาพน่าสงสารของผู้เข้าชมที่เข้ามา เขาก็เอาตัวเองไปทำร้ายคนพวกนี้อีกไม่ได้
“เข้ามาสิ ที่นี่จะเป็นที่พักของคุณชั่วคราว” จางจิงจิ่วคิดว่าในเมื่อเขาไม่สามารถหลอกผู้เข้าชมได้ เขาอย่างน้อยที่สุดก็ควรให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความจริงใจของตน นั่นเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดของผู้ที่ทำงานในธุรกิจให้บริการ
เด็กสาวลังเล แต่ว่าชายหนุ่มนั้นเตรียมจะกลับออกไป
“อย่าไปที่นั่น!” แต่ละถ้อยคำของจางจิงจิ่วทำให้นักศึกษาชายก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรเลยจริง ๆ ผมแค่คิดว่าคุณอาจจะต้องการสถานที่พักชั่วคราว” จางจิงจิ่วต้องการช่วยพวกเขาจากใจจริง ทำไมมันถึงได้ยากอย่างนี้
“หวังตั้น พวกเราควรจะเชื่อเขาไหม?” เด็กสาวกระซิบเข้าไปในหูชายหนุ่ม
“ไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนก่อนหน้าเลยหรือไง? พนักงานที่นี่ทุกคนล้วนเป็นหมาป่าห่มหนังแกะหรือปิศาจในคราบมนุษย์! ทำไมเธอถึงใสซื่อจนคิดจะเชื่อพวกเขาฮึ?” นักศึกษาชายลากร่างกายอ่อนล้าของตนวิ่งไปยัง ‘บ้านสุนัข’ ที่ตรงข้ามโรงแรม
ตอนที่เด็กสาวเห็นคู่หูของตัวเองถอย เธอก็ทำตาม
เห็นผู้เข้าชมทั้งสองคนเข้าไปใน ‘บ้านสุนัข’ อย่างเต็มใจ รอยยิ้มบนใบหน้าของจางจิงจิ่วก็ยากที่จะอธิบาย เขาไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี “ฉันเป็นหมาป่าห่มหนังแกะหรือปิศาจในคราบมนุษย์งั้นเรอะ ฮึ? ดูเหมือนว่าฉันจะทำให้ความเป็นมืออาชีพโดยรวมของพนักงานที่นี่ลดลงวูบเลยแฮะ”
…
“หวังตั้น ฉันวิ่งไม่ไหวแล้วจริง ๆ พักสักเดี๋ยวเหอะนะ” แฟนสาวของหวังตั้นเอนตัวพิงกำแพงเพื่อพัก ลมหายใจสม่ำเสมอขึ้นเธอถึงได้ตระหนักขึ้นมาเป็นครั้งแรกว่าการมาชมบ้านผีสิงนั้นเหนื่อยขนาดไหน
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาพัก บ้านหลังนี้ทำให้ฉันรู้สึกขนลุก” สัญชาตญาณของหวังตั้นตอนนี้นั้นเฉียบคมอย่างไม่นาเชื่อหลังจากเข้าชมบ้านผีสิงของเฉินเกอหลายครั้งเข้า เขากวาดตามองสวนเล็ก ๆ ก่อนที่สายตาของเขาจะไปจับอยู่ที่บ้านสุนัขที่ทำจากไม้
“พวกเราไม่เคยเจออะไรที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงที่อื่นเลย ดังนั้นนี่น่าจะมีจุดสยองขวัญซ่อนอยู่” หวังตั้นรู้สึกเหมือนมีลูกไฟลุกโชนอยู่ในหน้าอก แต่เขาก็ไม่กล้าช้าลง ไม่มีที่ไหนในฉากที่ปลอดภัย การหยุดพักนั้นมีแต่หมายถึงการถูกจับตัวได้
เขาผ่อนลมหายใจ เอนตัวพิงกำแพงและมองออกไปข้างนอก
โรงแรมที่ฝั่งตรงข้ามนั้นยังสว่างไสวด้วยแสงไฟ แต่ว่าพนักงานคนนั้นกลับไม่ได้เดินออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ก่อนหน้า เขาอาจจะยังรอให้พวกตนกลับไป ถนนนั้นมืด และเขาก็สาบานเลยว่าเห็นเงาหลายเงาลอยวูบผ่านไป ครู่หนึ่งเลยที่เขาเชื่อว่าเขาเห็นมีคนกำลังโบกมือให้พวกตนจากอีกฝั่งถนน
โรงแรมไม่ปลอดภัย ถนนก็ไม่ปลอดภัย และตอนนี้พวกเขาก็ถึงขีดจำกัดทางกายแล้ว พวกเขาวิ่งไม่ไหวแล้ว
“พวกเรายอมแพ้ดีไหม?” แฟนสาวของหวังตั้นแนะนำ น้ำตาคลอตา และเครื่องสำอางของเธอก็เละเทะไปหมดแล้ว
“ฉันเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีสักครั้งเลยที่ฉันได้เดินออกไปด้วยเท้าตัวเอง เวลาเข้าชมเกือบจะหมดแล้ว ดังนั้นยอมแพ้ตอนนี้ก็เสียเปล่าอยู่นะ” เมื่อคิดว่าแฟนสาวของตนเหนื่อยขนาดไหน หวังตั้นก็ตัดสินใจแอบอยู่ในนี้ชั่วคราว “พวกเราซ่อนตัวอยู่ในตึกเปล่าก่อนหน้านี้และไม่เกิดอะไรขึ้น หวังว่ามันจะเป็นแค่จินตนาการของฉันว่าที่นี่ต่างไปจากที่อื่น”
ปิดประตูเข้าสวนแล้วหวังตั้นกับแฟนสาวก็เดินเข้าไปใน ‘บ้านสุนัข’ ประตูเปิดดังเอี๊ยดอ๊าดและกระดิ่งลมที่แขนอยู่เหนือประตูก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเหมือนกำลังเตือนเจ้าของบ้านว่าเขามีแขก
“ดูมีรสนิยมดีทีเดียวที่แขวนกระดิ่งลมเอาไว้เหนือทางเข้า” หวังตั้นมองเข้าไปในห้อง ที่นี่นั้นตกแต่งแบบญี่ปุ่น ทางเดินอยู่ตรงกลางแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ประตูที่เปิดเอาไว้ครึ่ง ๆ นำเข้าสู่ห้องที่แต่ละฟากทางเดิน พื้นนั้นปูกระเบื้องและรองเท้าแตะใส่ในบ้านหลายคู่ก็ถูกวางเอาไว้ตรงทางเข้า
“หวังตั้น นายได้กลิ่นไหม? กลิ่นเหมือนน้ำหอมปรับอากาศ” แฟนสาวของหวังตั้นดึงเสื้อเขาของขณะเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง “บ้านผีสิงอื่น ๆ มักจะตั้งใจใช้กลิ่นแย่ ๆ เพื่อสร้างความสยองขวัญแต่ที่นี่กลับลงทุนไปกับน้ำหอมปรับอากาศมากมาย ราวกับกลัวว่ากลิ่นเหม็นเน่าจะทำให้ผู้เข้าชมคลื่นไส้”
“เดี๋ยวนะ!” หวังตั้งชะงักทันที เขาหันหน้ากลับไปมองแฟนสาวของตัวเอง “เมื่อกี้นี้เธอว่าอะไรนะ?”
“บ้านนี้มีแต่กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศเต็มไปหมด…”
“ฉันบอกเธอแล้วว่าที่นี่มันไม่ปกติ! พวกเราต้องกลับออกไป พวกเราต้องหาที่อื่นซ่อนตัว” หวังตั้นเพิ่งก้าวเท้าเข้าไปในห้อง พวกเขายังไม่ทันเดินไปในทางเดินด้วยซ้ำ และพวกเขาก็เตรียมจะกลับออกไปแล้ว
“น้ำหอมปรับอากาศมันผิดยังไงเหรอ?” แฟนสาวของหวังตั้นยังจับจุดเชื่อมโยงกันไม่ได้
“กลิ่นนี่ไม่มีในบ้านหลังอื่น มันมีเฉพาะที่นี่ และกลิ่นยังเข้มมาก มันหมายความได้แค่มีคนจงใจใช้กลิ่นปกปิดกลิ่นที่แท้จริงของที่นี่!” เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาตามหน้าผากของหวังตั้น “เดือนที่แล้ว ระหว่างเรียนกับเจ้าหน้าที่ชันสูตรลิ่ว มีคดีหนึ่ง หลังจากผู้ต้องสงสัยแยกชิ้นส่วนศพแล้วเขาก็ซ่อนชิ้นส่วนร่างกายเอาไว้ในหลาย ๆ ห้องในบ้านของเขา และแต่ละวันเขาก็ค่อย ๆ แอบเอาชิ้นส่วนเล็ก ๆ ออกไปทิ้ง เพราะกลัวว่ากลิ่นจะเปิดเผยความลับของเขาออกมา เขาเลยสั่งซื้อน้ำหอมปรับอากาศจำนวนมากเพื่อปกปิดกลิ่นเน่าเปื่อยของซากศพ ตอนที่เจ้าหน้าที่รักษากฎหมายพบชิ้นส่วนร่างกาย หมอลิ่วก็พบร่องรอยของน้ำหอมปรับอากาศหลงเหลืออยู่บนชิ้นส่วนร่างกายพวกนั้น และพวกเขาก็ติดตามคดีจากร่องรอยนั่นกลับไปยังฆาตกร”
หวังตั้นไม่เคยคิดเลยว่าความรู้ที่เขาได้เรียนในชั้นเรียนจะสามารถเอามาใช้ระหว่างการเข้าชมบ้านผีสิง ถ้าเขาเรียนด้านอื่นมันก็คงไม่เป็นไร แต่ว่าเขาเรียนนิติวิทยาศาสตร์น่ะสิ
“นายหมายความว่ากลิ่นน้ำหอมปรับอากาศนี่ไว้ปกปิดกลิ่นศพงั้นเหรอ?” แฟนสาวของหวังตั้งก็เริ่มตระหนกแล้วเหมือนกัน ก็ใครมันจะยังใจเย็นอยู่ได้เมื่อมาเจอกับคดีฆาตกรรมเข้าระหว่างการเข้าชมบ้านผีสิง?
“ไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อปกปิดกลิ่นเน่าเปื่อยเท่านั้น มันอาจจะเป็นกลิ่นอื่นก็ได้” หวังตั้นนั้นไม่ใช่เด็กหนุ่มวู่วามและหัวร้อนคนเดิมอีกต่อไปแล้ว ประสบการณ์ภายในบ้านผีสิงของเฉินเกอทำให้เขากลายไปเป็นชายหนุ่มที่กล้าหาญ
เมื่อดึงประตูเปิด เสียงกระดิ่งลมก็ดังขึ้นอีกครั้ง เดิมที หวังตั้นไม่ได้คิดอะไรเรื่องกระดิ่งลมนี่ แต่ตอนที่เสียงกระดิ่งจางหายไป ก็มีเสียงอ่อนแรงของผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้น “ช่วยผม พาผมไปกับคุณด้วย”
หวังตั้นยืนอยู่ที่ประตูแล้วหันกลับไปมอง ในทางเดินมืด ๆ ไม่มีใคร
“เธอได้ยินเสียงผู้ชายร้องขอความช่วยเหลือไหม?” หวังตั้นหันไปถามแฟนสาว และเธอก็ส่ายหน้า
“เป็นเพราะว่าฉันกระวนกระวายเกินไปจนเริ่มได้ยินเสียงหลอนงั้นเหรอ?” เขาดึงประตูปิด
ตอนที่ประตูแตะถูกกระดิ่งลม เสียงผู้ชายคนนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ได้โปรดอย่าทิ้งผมไว้ที่นี่! ช่วยผมด้วย!”
คราวนี้ หวังตั้นแน่ใจว่าเขาได้ยินเสียง เขาเงยหน้าขึ้นและพยายามมองหาที่มาของเสียง
“กระดิ่งลม?” เสียงผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะดังมาจากด้านในกระดิ่งลม หวังตั้นเปิดประตูอีกครั้งและเขาก็เอื้อมมือออกไปคว้ากระดิ่งลมเอาไว้ เขาสั่นมันเบา ๆ และที่ด้านในผนังของกระดิ่งลม ใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ตอนที่ 698
ผู้ชายที่ซ่อนอยู่ในกระดิ่งลมนั้นดูอ่อนแอ หวาดกลัว ขี้ขลาด และยังน่าสงสารเหมือนสัตว์เล็ก ๆ ตัวหนึ่งที่ถูกเจ้าของทรมาน หวังตั้นไม่สามารถอธิบายความอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในตัวเขาได้ ตอนที่เขาเห็นใบหน้าในกระดิ่งลมนั้น ปฏิกริยาแรกของเขาไม่ใช่หวาดกลัว แต่เป็นสงสารผู้ชายคนนั้น
“เรื่องคงไม่เรียบง่ายอย่างนั้น” หวังตั้นถือกระดิ่งลมเอาไว้ในมือ และหลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง “นี่ไม่ใช่ว่าพยายามจะใช้ประโยชน์จากความสงสารของพวกเราใช่ไหม? บ้าชะมัด ฉันเกือบจะหลงกลแล้ว!”
เขาสอดนิ้วเข้าไปในกระดิ่งลมแล้วจิ้มหน้าผู้ชายคนนั้น ปลายนิ้วของเขาปัดผ่านใบหน้านั่น “ฉันรู้ นี่ก็แค่แผนการหนึ่ง”
“ช่วยผม! อย่าทิ้งผมไว้! ได้โปรดพาผมไปกับคุณด้วย! ผมขอร้อง! ผมขอร้อง!” คำขอร้องของผู้ชายคนนั้นเข้าหูหวังตั้น หวังตั้นสั่นกระดิ่งลมและมองมันใกล้ ๆ “ฉันบอกไม่ได้เลยแฮะว่าเสียงนี่มาจากไหน กระดิ่งลมนี่ไฮเทคอย่างไม่น่าเชื่อเลย”
“หยุดสั่น! หยุดสั่นได้แล้ว! คุณกำลังจะทำให้หมายักษ์นั่นรู้ตัว!”
“หมายักษ์?” เสียงฝีเท้าดังมาจากบันไดที่นำไปชั้นใต้ดิน กลิ่นเหม็นเน่าที่ต่างออกไปลอยเต็มอากาศ กระทั่งน้ำหอมปรับอากาศจำนวนมากก็ยังไม่สามารถกลบกลิ่นนี้ได้
“วิ่งหนีเร็ว! พาผมไปด้วย! หมากำลังมาแล้ว!” ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นซีดเผือดลงทันตา และเขาก็กลัวมากจนใบหน้าบิดเบี้ยวดูไม่ได้ หวังตั้นนั้นเดิมทีไม่ได้กลัวขนาดนั้น แต่เพราะได้รับอิทธิพลจากผู้ชายที่ในกระดิ่งลม หัวใจของเขาเริ่มสั่น
“ในตึกทั้งหมดที่นี่ มีเพียงตึกเดียวที่มีบ้านหมาอยู่ ดังนั้นที่นี่น่าจะเกี่ยวข้องกับหมาสักตัว เป็นไปได้ไหมว่ามีหมาดุร้ายดูแลที่นี่อยู่จริง ๆ” สัตว์นั้นต่างไปจากนักแสดงที่เป็นคน พวกมันควบคุมไม่ได้ง่าย ๆ เมื่อเกิดดุร้ายขึ้นมา หวังตั้นเชื่อว่ากระทั่งเฉินเกอก็คงไม่เลี้ยงหมายักษ์เอาไว้ในบ้านผีสิงหรอก “หมาน่าจะหมายถึงอย่างอื่น”
ก่อนที่หวังตั้นจะเข้าใจความหมาย กลิ่นเหม็นเน่าก็ตีเข้าจมูกเขา เงาของผู้ชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่สุดทางเดิน เขารูปร่างปานกลางและใบหน้ายังอยู่ในเงามืด กลิ่นดูเหมือนจะแผ่ออกมาจากตัวเขา
“วิ่ง! วิ่งหนีเอาชีวิตรอด!” ผู้ชายในกระดิ่งลมกรีดร้อง
“นั่นคือหมาที่ว่าเหรอ?” ลำแสงหลายสายส่องเข้ามาในห้องจากหน้าต่างที่เปิดอยู่ หวังตั้นมองใบหน้าผู้ชายคนนั้นอย่างละเอียด เขาดูคล้ายกับผู้ชายที่อยู่ในกระดิ่งลม “กระทั่งหน้าตายังคล้ายกันมาก นี่น่าจะเป็นกับดัก หนึ่งคนสร้างบรรยากาศและอีกคนรอโอกาสลงมือ พวกเขาร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย กดดันให้ผู้เข้าชมตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง!”
หวังตั้นพยายามวิเคราะห์ฉาก เขารู้สึกเหมือนตัวเองเข้าใจแผนการคร่าว ๆ ที่บ้านผีสิงของเฉินเกอใช้
“คุณกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ? ผมแค่อยากออกไปจากที่นี่! ผมต้องการออกไปจากที่นี่!”
“ผู้ชายตรงหน้าพวกเราน่าจะไม่มีชีวิต มันเหมือนหุ่นสักแบบมากกว่า หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ความสยองขวัญที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ ‘หมา’ นั่น ตัวตนของมันก็แค่สร้างความกดดันแบบหนึ่ง ถ้าฉันทำตามที่ผู้ชายในกระดิ่งลมสั่งจริง ๆ ฉันเกรงว่าพวกเราจะเดินเข้าสู่กับดักของบอสอย่างช้า ๆ แทน!”
คำอธิบายของหวังตั้นทำให้ผู้ชายในกระดิ่งลมพูดไม่ออก เขาฝากความหวังเอาไว้ที่เหล่าผู้เข้าชม แต่ว่าผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของเขาผิดไปทั้งหมดเลย
“ผม…”
“ฉันไม่ใช่คนที่ฉันเคยเป็นแล้ว ฉันไม่ได้ถูกหลอกง่าย ๆ แล้ว คราวนี้ ฉันจะเดินกลับออกไปด้วยสองขาของตัวเอง!” โดยไม่เสียเวลาลังเล หวังตั้นดึงกระดิ่งลมลงมาจากผนังและหันหลังวิ่ง
ตอนที่เขาลงมือ หุ่นในทางเดินก็ก้มลงวางแขนขากับพื้น มันพุ่งเข้าหาหวังตั้นราวกับสุนัขหิวโหย!
ถ้าเขาไม่ได้ออกจากห้องตั้งแต่ก่อนหน้านี้แต่เลือกที่จะสำรวจลึกเข้าไปข้างใน เขาก็คงจะจบสิ้นแล้ว หวังตั้นและแฟนสาวของเขาวิ่งนำอยู่ข้างหน้าขณะที่หุ่นครึ่งคนครึ่งสุนัขวิ่งตามหลังพวกเขามา มันพุ่งผ่านความมืดและพุ่งออกจากบ้านมา สัตว์ประหลาดนี่ดูเหมือนจะไม่ถูกจำกัดเอาไว้ในฉาก มันสามารถเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ เมืองเล็ก ๆ นี่ได้อย่างอิสระ!
“มันกำลังตามพวกเรามา!” น้ำเสียงหวาดกลัวของผู้ชายดังเข้ามาในหูหวังตั้น
“มันออกจากฉากย่อยของมันได้เหรอ?” หวังตั้นประหลาดใจ เขาและแฟนสาวหมดแรงแล้ว พวกเขาน่าจะวิ่งไปได้ไม่นานเท่าไหร่ เห็นระยะห่างระหว่างพวกเขาหดสั้นลง หวังตั้นและแฟนสาวก็สุ่มหาตึกหลังหนึ่งแล้วพุ่งเข้าไปในนั้น
ปัง!
ประตูถูกกระแทกปิดอย่างแรง และสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งสุนัขก็ดูเหมือนจะพยายามไล่จับพวกเขาอย่างดื้อรั้น
“หวังตั้น ตอนนี้พวกเราควรจะทำยังไง?” หวังตั้นมองสัตว์ประหลาดที่คลั่งอยู่ด้านนอกประตู และเขาก็รู้สึกกลัว แต่ว่าไม่ได้เผยออกมาที่สีหน้า เขาบังคับให้ตัวเองดูสงบขณะพูด “อย่างที่ฉันคิดเลย– กระดิ่งลมกับหุ่นนี่ร่วมมือกัน! เหตุผลเดียวที่มันไล่ตามพวกเราก็เพราะคำสั่งของกระดิ่งลม!”
“ผมสั่งมันเรอะ?”
หวังตั้นไม่ได้ให้โอกาสกระดิ่งลมได้อธิบายตัวเอง เขาชูกระดิ่งลมขึ้นแล้วขว้างมันออกไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่เขาวิ่งมา
“เดี๋ยว! รอเดี๋ยวก่อน!” ที่กลางอากาศ กระดิ่งลมกรีดร้องขอความเมตตา แต่ว่าไม่มีใครสนใจเขาอีกต่อไป ดวงตาของสัตว์ประหลาดไล่ตามกระดิ่งลม และมันก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจในตัวหวังตั้นเลยสักนิด
มันวิ่งไปในทิศทางตรงข้ามกับหวังตั้น มันคาบกระดิ่งลมเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ได้กระดิ่งลมหลบหนีอีกครั้ง สัตว์ประหลาดไม่ได้เอากระดิ่งลมกลับไปที่เดิม แต่ว่าแขวนเอาไว้รอบคอตัวเอง
เห็นสัตว์ประหลาดหยุดไล่ตามพวกเขาแล้ว หวังตั้นก็ค่อนข้างตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้ความฉลาดและความกล้าหาญของตัวเองเอาชนะบ้านผีสิงของเฉินเกอได้
“บ้านผีสิงของบอสเฉินเอาชนะได้ ถ้ามีความกล้าและให้ความสนใจกับรายละเอียด ก็มีโอกาสที่จะเคลียร์ฉากได้” หวังนั้นจู่ ๆ ก็ได้รับความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาก เขามองเวลา กำลังคิดว่าบางทีการเข้าชมครั้งนี้อาจจะทำให้ตัวเขาเองบรรลุอีกระดับหนึ่งได้
“ในที่สุดสัตว์ประหลาดนั่นก็ไปแล้ว” แฟนสาวของหวังตั้นวางมือเอาไว้เหนือหน้าอกตัวเอง “พวกเรายอมแพ้ตอนนี้เลยดีไหม? ถ้าพวกเราอยู่ต่ออีก ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่มีทาง เหลืออีกแค่ราว ๆ สิบนาทีเท่านั้น พวกเราต้องอยู่รอดให้ได้จนจบ!” หวังตั้นและแฟนสาวคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่ว่าประตูห้องนอนแง้มเปิดด้วยตัวเอง เสียงกล่องดนตรีลอยออกมา และเสียงเด็กหญิงพึมพำบางอย่างดังสอดแทรกมากับเสียงเพลง
“แม่กับพ่อเข้าไปในห้องใต้ดิน หลังจากพ่อออกมา พ่อก็ล็อกประตูเอาไว้ พ่อแบกถุงดำใบใหญ่มาด้วย พ่อลูบหัวหนูและบอกว่า ‘เด็กที่ไม่เชื่อฟังจะถูกผีพาตัวไป’
“หนูนอนอยู่บนเตียง คิดถึงที่แม่เคยบอก
“ก่อนขึ้นเตียง หนูต้องดึงผ้าห่มขึ้นดู ก่อนขึ้นเตียง หนูต้องปิดหน้าต่าง ก่อนขึ้นเตียง หนูต้องดูในตู้ ก่อนขึ้นเตียง อย่าลืมดูใต้เตียง… ถ้าหนูนอนคนเดียว
“พ่อแบกถุงออกจากบ้าน ทิ้งหนูไว้
“หนูดูใต้ผ้าห่ม ดูนอกหน้าต่าง ดูในตู้ ดูใต้เตียง แต่หนูหาแม่ไม่เจอ”
เสียงดนตรีประหลาดรวมกับเสียงไร้เดียงสาของเด็กหญิงสร้างความรู้สึกน่าขนลุก เสียงใหม่นี่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้น ทำให้ทั้งหวังตั้นและแฟนสาวปิดปากลงทันทีขณะหันไปมองห้องนอนพร้อมกัน
กล่องดนตรียังเล่นอยู่ และเสียงผู้หญิงอีกเสียงก็ดังขึ้น
“ดวงตาแดงก่ำกำลังจับตามองหนูอยู่ หนูไม่เห็นแม่ แต่แม่เห็นหนู
“แม่ขยับตัวไปตามสายตาหนู แม่ซ่อนอยู่ใต้เตียง อยู่ในตู้ อยู่หลังหน้าต่าง ก่อนจะคลานอยู่ในผ้าห่มหนู
“แม่นอนอยู่ด้านหลังหนูและเหนือตัวหนู แต่ว่าหนูก็ยังมองไม่เห็นดวงตาแดงก่ำของแม่”
ตอนที่ 699
เสียงของทั้งเด็กหญิงและผู้หญิงอีกคนดูปกติ แต่หลังจากรวมกับบรรยากาศประหลาดรอบ ๆ และทำนองอันแปลกประหลาด ทุกอย่างก็มีความหมายต่างออกไป
“ท่อนแรกร้องโดยเด็กผู้หญิง เธอกำลังตามหาแม่ของเธอ และครึ่งหลังนั้นน่าจะเป็นคนแม่ร้อง พวกเขาอยู่ในห้องเดียวกันแต่ว่าลูกสาวมองไม่เห็นแม่ของเธอ และแม่ของเธอก็สัมผัสแตะต้องลูกสาวของเธอไม่ได้ นี่หมายความได้แค่ว่าพวกเขาคนหนึ่งนั้นตายแล้วและกลายไปเป็นผี” การวิเคราะห์ของหวังตั้นเฉียบคมและตรงประเด็น แฟนสาวของเขาตัวสั่นไปแล้ว
“ห้องนี้ก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน พวกเราควรกลับออกไป”
“ไม่” หวังตั้นไม่เลือกกลับออกไปเหมือนก่อนหน้านี้ เขาส่ายหน้าอย่างตัดสินใจแล้ว “ก่อนที่เสียงของผู้หญิงและเด็กจะดังขึ้น เธอได้ยินเสียงกล่องดนตรีไหม?”
“กล่องดนตรี?” แฟนสาวของหวังตั้นงุนงง “ฉันว่าฉันได้ยินนะ แต่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับที่พวกเราจะกลับออกไปเหรอ?”
“จากคำใบ้ที่บอสเฉินให้ หนึ่งในนั้นเกี่ยวกับกล่องดนตรีที่เล่นเองได้ มีคำใบ้ซ่อนอยู่ในห้องนี้!” ดวงตาของหวังตั้นเป็นประกายอย่างมั่นใจเหมือนภารกิจของพระเจ้าได้ตกลงมาบนบ่าของเขาแล้ว “บอสเฉินให้คำใบ้พวกเราสี่อย่าง และถึงแม้ว่าพวกเราจะเข้ามากันสิบคน แต่ว่ายังไม่มีคำใบ้ไหนถูกพบ อันที่จริง พวกเราทั้งหมดสูญเสียการติดต่อกันไปแล้ว
“แน่นอนว่า ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกเขาหาเรื่องใส่ตัว แต่ลองคิดดู พวกเราก็ยังเป็นกลุ่มเดียวกัน ถ้าพวกเราเลือกที่จะยอมแพ้เพราะเพื่อนร่วมทีมเป็นจุดอ่อน สุดท้ายแล้วก็เป็นพวกเราที่ถูกดูถูกไปด้วย!”
หวังตั้นปลดมือแฟนสาวที่จับแขนเขาเอาไว้ลงและเดินเข้าไปในห้องนอนก้าวหนึ่ง
“อย่าเข้าไปเลย! ถูกดูถูกแล้วยังไง? ไม่ใช่ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเสียหน่อย พวกเราควรจะหยุดในตอนที่ยังหยุดได้” แฟนสาวของหวังตั้นพยายามโน้มน้าวเขา
“คำใบ้อยู่ด้านหลังประตูนี่แล้ว เธอจะเลือกที่จะเป็นคนขี้ขลาดไปตลอดชีวิตหรือว่าเลือกที่จะเป็นฮีโร่ในไม่กี่นาทีนี้?” หวังตั้นชำเลืองมองโทรศัพท์ “พวกเราเหลือเวลาไม่ถึงสิบนาทีแล้ว ฉันอยากจะทำสิ่งที่ฉันไม่เคยทำมาก่อน”
เขากัดฟัน ผลักประตูห้องนอนเปิดออกแล้วกวาดตามองรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว หน้าต่างปิดอยู่ และดูเหมือนจะมีเงากลุ่มหนึ่งซ่อนอยู่ด้านหลังม่านหนา ลิ้นชักที่โต๊ะเครื่องสำอางถูกเปิดเอาไว้ครึ่ง ๆ และเก้าอี้ยังล้มตะแคงอยู่บนพื้น ที่นอนบนเตียงเดี่ยวนั้นถูกดึงห้อยออกมาปิดไม่ให้เห็นพื้นที่ใต้เตียง ผ้าปูที่นอนก็ยับย่นอยู่บนฟูกแต่กลับมีรูปร่างคล้ายกับมีคนแอบอยู่ข้างใต้นั้น
เครื่องเรือนทั้งหมดที่เพลงพูดถึงนั้นปรากฏอยู่ในห้องนี้ มันทำให้เพลงนั้นดูเหมือนจริง
“เสียงดูเหมือนจะดังมาจากในตู้” สภาพในห้องนอนนั้นประหลาด ดวงตาของหวังตั้นกลอกไปมาขณะที่เขาขยับไปทางตู้ช้า ๆ ตอนที่จับอยู่ที่ขอบตู้ เขากำลังจะดึงประตูเปิดออกตอนที่มีเสียงเคาะเบา ๆ ดังมาจากที่ด้านหลังเขา
“นั่นใครน่ะ?” หัวใจของเขาเกือบกระโจนออกจากคอหอย เขาหันกลับไปมองและเห็นว่าเป็นแฟนสาวของเขาที่ขยับไปยังประตูห้องนอน เธอบังเอิญกระแทกโดนประตู
“หวังตั้น ไปเถอะ ที่นี่มีบางอย่างไม่ถูกต้อง” แฟนสาวของหวังตั้นเร่งอย่างกระวนกระวาย อันที่จริงเธอไม่ได้ยึดติดกับหวังตั้น เธอก็แค่ไม่กล้ากลับออกไปเองคนเดียว
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” หวังตั้นสูดลมหายใจลึกเพื่อสงบใจ และเขาก็ดึงตู้เปิดออก กลิ่นราจาง ๆ ลอยออกมา ไม่ช้าหวังตั้นก็เจอกล่องดนตรีวางเอาไว้ที่ชั้นสองของตู้ มันดูเป็นของโบราณ งานทำมือ และน่าจะมีราคาทีเดียว
“มันดูสวยดีทีเดียว” หวังตั้นหยิบกล่องดนตรีขึ้นมา “นี่เป็นหนึ่งในคำใบ้ที่บอสเฉินให้ แต่ว่าคำใบ้ทางหนีออกจากที่นี่อยู่ไหนกัน?”
เสียงร้องเพลงของผู้หญิงและเด็กหญิงยังดำเนินต่อ หวังตั้นค่อย ๆ ชินกับเสียงนั้น แต่เขาไม่ได้รู้สึกเลยว่าเสียงเพลงนั้นเข้ามาใกล้เข้าเรื่อย ๆ แล้ว
“ฉันต้องพังเปิดมันออกหรือเปล่า?” ตอนที่เพลงเล่นจบ ตุ๊กตาที่บนกล่องดนตรีก็หยุดหมุน กล่องที่ปิดอยู่นั้นเผยให้เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งโผล่ออกมาจากด้านหลังฝาปิด
“เจอแล้ว!” หวังตั้นหยิบกระดาษขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“คุกใต้ดินหลังตู้ ตู้เย็นที่มุมห้องครัว และห้องเก็บศพที่ท้ายโรงพยาบาล หนึ่งในนั้นนำไปสู่ทางออก หนึ่งในนั้นนำไปสู่ชีวิตใหม่ และอีกสองทางนำไปสู่ความตาย ทำไมไม่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของโชคชะตา? (กรุณาวางกระดาษนี้เอาไว้ที่เดิมหลังจากอ่านจนแล้ว ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะเจอเข้ากับบทลงโทษที่ไม่มีผู้ใดบอกได้)”
หวังตั้นนั้นตื่นเต้นตอนที่พบคำใบ้ แต่หลังจากอ่านแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง “นี่ล้วนขึ้นกับโชค ถ้าเลือกถูก อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเลือกผิด อย่างนั้นก็จบกันพอดี”
หวังตั้นนั้นคุ้นเคยกับบอสเฉิน ตัวเลือกที่ถูกต้องอาจจะไม่ได้นำไปสู่ทางออกจริง ๆ แต่ว่าตัวเลือกที่ผิดนั้นจะนำความสิ้นหวังมาให้พวกเขาอย่างแน่นอน
“ยอมแพ้เสียตอนนี้หมายความว่าความพยายามทั้งหมดของพวกเราก็สูญเปล่า ฉันจะลองดูไม่ว่าจะยังไงก็ตาม!” หวังตั้นให้กำลังใจตัวเอง เขาเก็บกระดาษเอาไว้ในกล่องดนตรี แต่ว่า ตอนที่นิ้วของเขาแตะถูกฝากล่อง กล่องดนตรีที่หยุดเล่นไปแล้วก็เริ่มเล่นขึ้นอีกครั้ง
ฝาเปิดออก และตุ๊กตาสองตัวก็หมุนไปบนแท่น แต่น่าแปลก มีกระดาษอีกชิ้นหนึ่งเสียบเอาไว้ระหว่างตุ๊กตาทั้งสอง
“คำใบ้ที่สอง?” หวังตั้นเอื้อมมือไปเอากระดาษนั่นออกมา แต่ว่าตอนที่แขนของเขายื่นเข้าไปในตู้ ความเย็นก็พุ่งผ่านปลายนิ้วของเขา
“อะไรกัน…” มือของเขาถูกมือซีด ๆ ข้างหนึ่งจับเอาไว้ เขามองเข้าไปในตู้และเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ขดอยู่ลึกในตู้
“เด็กที่ไม่เชื่อฟังจะถูกผีพาตัวไป!” เพลงที่เด็กหญิงร้องจู่ ๆ ก็เร็วขึ้นและเธอก็คลานออกมาจากตู้
“เธอมาจากไหนกัน?” หวังตั้นดึงมือตัวเองกลับและคิดที่จะถอยออกมาตอนที่ร่างของเขาชนเข้ากับบางอย่าง เขาหันกลับไปและสบกับดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง
“แม่ขยับตัวไปตามสายตาหนู แม่ซ่อนอยู่ใต้เตียง อยู่ในตู้ อยู่หลังหน้าต่าง ก่อนจะคลานอยู่ในผ้าห่มหนู แม่นอนอยู่ด้านหลังหนูและเหนือตัวหนู และตอนนี้ในที่สุดหนูก็เห็นดวงตาแดงก่ำของแม่!”
ใบหน้าของผู้หญิงที่เน่าเปื่อยจนเกือบจะหมดแล้วเอนเข้ามาใกล้หวังตั้น หวังตั้นตกใจมากจนเกือบเป็นลม เขากัดลิ้นแล้วบังคับให้ตัวเองตื่นเอาไว้
“ถอยไปนะ!” หวังตั้นไม่กล้าลืมตา เขาสะบัดแขนปัดป่ายไปด้านหลังแล้วพุ่งไปยังทิศทางที่เชื่อว่าเป็นทางออก ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัวขึ้นตอนแรก แฟนสาวของหวังตั้นก็ถอยออกไปอย่างตกตะลึงก่อนแล้ว ทั้งคู่วิ่งออกจากห้องผีสิงตามหลังกันและกัน
บางทีกำปั้นที่เหวี่ยงไปมั่ว ๆ ของหวังตั้นอาจจะไปล่วงเกินพวกผีเข้าเพราะว่าแม่และลูกสาวคู่นั้นลอยออกจากห้องไล่ตามหลังพวกเขา หวังตั้นและแฟนสาวของเขาวิ่งพรวดไปตามถนนเป็นรอบที่สามโดยไม่หยุดพักหายใจ!
“ตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหน?” แฟนสาวของหวังตั้นกรีดร้องไปตามถนน
ลิ้นของหวังตั้นยังเจ็บหนึบ และเขาก็เค้นคำพูดออกมา “ฉันเห็นคำใบ้แล้ว! มีจุดที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นทางออกสามจุด! ตามฉันมา!”
ทั้งจิตใจและร่างกายของเขานั้นถึงขีดจำกัดหมดแล้ว แต่ว่าเขาก็อยู่ใกล้ทางออกจนหวังตั้นแทบจะสัมผัสได้ สมองของเขาทำงานมากขึ้นกว่าปกติ “ตู้เป็นของที่พื้นฐานเกินไปและยากที่จะหาตู้ที่ถูกต้องเจอ! พวกเราไม่เคยเห็นตู้เย็นหรือว่าห้องครัวเลย! ดังนั้น พวกเราจึงมีแค่ทางเลือกสุดท้าย– ห้องเก็บศพที่ท้ายโรงพยาบาล!”
หวังตั้นย้อนกลับไปทางเดิน พาแฟนสาวกลับไปยังโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน
“โอกาสหนึ่งในสาม! ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะโชคไม่ดีขนาดนั้น! คราวนี้ฉันจะเคลียร์ฉากนี้!”
ตอนที่ 700
กลับไปยังที่ที่ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น หวังตั้นตัดสินใจใช้ความมุ่งมั่นสุดท้ายของตนพิสูจน์ทุกอย่าง “คราวนี้ ฉันต้องทำได้สำเร็จ!”
เขาลากแฟนสาวกลับไปยังที่ที่พวกเขามา ใช้พลังงานทุกหยาดหยดที่พวกเขาเหลืออยู่ พวกเขาวิ่งไปราวกับชีวิตแขวนอยู่กับเรื่องนี้ จางจิงจิ่วนั่งอยู่ที่ทางเข้าโรงแรม อ่านบทความในโทรศัพท์ถึงการเป็นนักแสดงที่ดีตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้ารัวเร็วมาก เขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ และเห็นหวังตั้นกับแฟนสาววิ่งผ่านเขาไป สภาพย่ำแย่ยิ่งกว่าก่อนหน้า
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสนุกกันจริง ๆ กรีดร้องและวิ่งตะบึงไปดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการระบายความกดดันภายในและบางทีนี่อาจจะเป็นจุดประสงค์ของการมีอยู่ของบ้านผีสิง” จางจิงจิ่วสรุปกับตัวเอง เขาเข้าใจว่าหน้าที่ของเขานั้นไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่มันดูเหมือนจะเป็น– มันต้องมีความหมายซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง
หวังตั้นและแฟนสาวของเขาวิ่งกลับไปยังโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน พวกเขาพุ่งเข้าไปในตึกเหมือนกับนี่เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขา ห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดทิ้งเอาไว้ครึ่ง ๆ และผู้ป่วยที่ถือบันทึกประวัติผู้ป่วยอยู่ก็พบว่าทั้งสองคนนี้ช่างคุ้นตา พวกเขาประหลาดใจกับความกล้าหาญของหวังตั้น และเพราะความประหลาดใจ ผู้ป่วยจึงเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนที่พวกเขาหลอกผู้เข้าชม พวกผีจะสามารถเก็บเกี่ยวอารมณ์ด้านลบที่พวกเขาต้องการได้ แต่ที่สำคัญที่สุด ก็ยังเป็นความสนุกในการหลอกคนอยู่ดี
“อย่าหันกลับไปมอง! ถ้าลังเลก็จะล้มเหลว!” หวังตั้นและแฟนของเขาวิ่งลงบันไดไปไปถึงชั้นใต้ดินที่สามอย่างรวดเร็ว
“นี่น่าจะเป็นที่ที่คำใบ้พูดถึงตอนที่มันบอกว่าท้ายโรงพยาบาล” หวังตั้นจับมือแฟนสาวเอาไว้ขณะพุ่งผ่านทางเดินไป ตอนที่พวกเขาผ่านห้องหนึ่งที่ประตูทาสีแดงเอาไว้ พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ตามหลังพวกเขาอยู่หายวับไปในทันที กลุ่มผู้ป่วยที่เดิมตามพวกเขามา ทำไมจู่ ๆ ก็ล้มเลิกความตั้งใจไปล่ะ?
“เกิดอะไรขึ้น?” หวังตั้นนั้นคุ้นเคยกับพวกนักแสดงเกินไป เมื่อผู้เข้าชมทำให้พวกเขาโมโหขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็จะไม่หยุดจนกว่าผู้เข้าชมจะหมดสติไป นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาเข้ามาในโรงพยาบาล พวกเขาไม่ปล่อยให้เขากลับออกไปได้ง่าย ๆ แน่ครั้งนี้
“พวกพนักงานไม่ได้ใจบุญขนาดนั้น เหตุผลเดียวที่พวกเขาหยุดไล่ตามพวกเราก็เพราะว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวกว่ารอพวกเราอยู่ข้างหน้าแล้ว!” หวังตั้นรู้ดีเป็นที่สุด แต่ว่ามันก็มีทางให้มุ่งหน้าไปทางเดียวเท่านั้น สองสามห้องที่ส่วนลึกของโรงพยาบาลนั้นราวกับเป็นสถานที่ต้องห้าม มันเงียบมากจนกระทั่งเสียงเพลงแบ็คกราวน์ของบ้านผีสิงยังหายไปด้วย
“หวังตั้น…”
“ชู่” หวังตั้นเองก็ไม่สามารถหาประตูเข้าห้องเก็บศพได้ เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ตอนที่เขาหันมองไปรอบ ๆ เขาก็พบว่าประตูห้องสีแดงที่พวกเขาผ่านมาก่อนหน้านี้นั้นเปิดออกเองได้
“มีคนอยู่ที่นั่น?” สมองของหวังตั้นขาดออกซิเจนเพราะว่าเขาวิ่งไม่หยุด เขารู้สึกหัวเบาจนมองเห็นภาพพร่าเลือน
ประตูทั้งหมดที่ไกล ๆ ล้วนเป็นสีขาวและมีเพียงประตูนี้บานเดียวที่ทาสีแดง ราวกับมันกำลังเตือนทั้งนักแสดงและผู้เข้าชมไม่ให้เข้าไปใกล้เกินไป อากาศรอบ ๆ ดูบางเบา หวังตั้นอยากหาห้องเก็บศพให้เจอจะแย่อยู่แล้ว เขารู้ว่าเขาเหลือเวลาอยู่ไม่มากนักแล้ว
เขาผลักเปิดประตูหลายต่อหลายบาน แต่ว่าเขาก็ยังหาห้องเก็บศพไม่เจอ กลิ่นเลือดจาง ๆ นั้นอวลอยู่ในอากาศ หวังตั้นได้ยินเสียงที่สองปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเขา เสียงกระทบพื้นของรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่ง!
รองเท้าส้นสูงเหยียบลงไปบนพื้น แต่ว่าทุกก้าวนั้นราวกับเหยียบลงบนหัวใจของเขา ร่างกายของเขาสั่น และเสื้อผ้าของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แฟนสาวของหวังตั้นนั้นแย่ยิ่งกว่า ขาของเธอรับน้ำหนักไม่ไหวแล้วและเธอก็เอนตัวพิงอยู่กับหวังตั้น อาศัยเขาลากเธอไปข้างหน้า
“ที่ซ่อนอยู่ในห้องนี้คืออะไรกันแน่? กระทั่งตอนที่พวกเราถูกผู้ป่วยทั้งกลุ่มไล่ตามมาก่อนหน้านี้ฉันยังไม่กลัวขนาดนี้เลย! ร่างกายของฉันสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ และทุกเซลล์ในร่างกายของฉันก็กรีดร้องบอกให้ฉันวิ่งหนีไป” เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นใกล้เข้ามา ความกดดันแทบทำให้หายใจไม่ออกใกล้เข้ามา ทำให้หวังตั้นและแฟนสาวของเขาถูกบรรยากาศกดดันเอาไว้ ในที่สุดทั้งสองคนก็เลือกห้องหนึ่งเข้าไปหลบชั่วคราว
“ทางนี้!” หวังตั้นลากแฟนสาวของเขาเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย พวกเขายกมือขึ้นปิดปากเอาไว้กลัวว่าจะบังเอิญดึงดูดความสนใจของเจ้าสิ่งนั้น เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องพวกเขา
เธออยู่ข้างนอกนี่แล้ว!
ดวงตาของหวังตั้นและแฟนสาวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พวกเขาติดกับแล้ว!
หัวใจของพวกเขาเต้นแรง หวังตั้นกำลูกบิดประตูแน่นและทิ้งน้ำหนักทั้งหมดดันประตูเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่เปิดประตู!
ลูกบิดประตูถูกคนที่ด้านนอกหมุน แต่ในเมื่อหวังตั้นกำลูกบิดประตูเอาไว้แน่นและดันประตูเอาไว้ด้วยร่างของตน คนที่ด้านนอกก็ผลักประตูเปิดไม่ได้ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง คนที่ด้านนอกก็ดูเหมือนจะหมดความอดทนแล้ว เสียงรองเท้าส้นสูงก้องไปตามทางเดิน คนผู้นั้นดูเหมือนจะเดินห่างออกไปแล้ว
“พวกเราปลอดภัยแล้ว” หวังตั้นนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อเหมือนเพิ่งอาบน้ำมา “พวกเราออกไปได้แล้ว…”
ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง มันผ่านห้องพักผู้ป่วยแต่ละห้องมาหยุดอยู่ที่ด้านนอกห้องของหวังตั้นเป็นครั้งที่สอง หัวใจของหวังตั้นและแฟนสาวนั้นลอยคว้าง ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ก็คือรอ
สิบวินาที สามสิบวินาที หนึ่งนาที…
สองนาทีผ่านไป และก็ยังไม่มีเสียงจากด้านนอก หลังจากเสียงรองเท้าส้นสูงมาหยุดอยู่ที่ด้านนอกประตูพวกเขา ก็ไม่มีเสียงอะไรอีก
“คนผู้นั้นไปแล้ว หรือว่าเธอยังรออยู่ที่ด้านนอก?” หวังตั้นก้มลงไปที่พื้นและมองผ่านช่องว่างออกไป
กลิ่นเลือดรุนแรงกระทบจมูกเขา เขามองเห็นรองเท้าส้นสูงสีแดงเลือดคู่หนึ่งอยู่ที่ด้านนอกประตู!
ด้านหน้าของรองเท้าหันเข้าหาประตู และเลือดหลายหยดก็ไหลลงมาตามรองเท้า หวังตั้นมองเห็นเลือดหยดหนึ่งไหลผ่านรองเท้าก่อนจะตกกระทบกับพื้น
“ไม่ใช่สี! เป็นเลือดจริง ๆ!” หวังตั้นนั้นเรียนนิติวิทยาศาสตร์ ดวงตาของเขาเปิดกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “รองเท้าส้นสูงนี่ย้อมสีแดงด้วยเลือดจริง!”
ม่านตาของเขาหดตัวเพ่งไปที่รองเท้าส้นสูง และเลือดอีกหยดก็ไหลลงมา ตอนที่เลือดกำลังจะแตะพื้น หวังตั้นก็รู้สึกเย็นวาบที่หลังคอเหมือนเลือดหยดนั้นไม่ได้ตกลงพื้น แต่ตกลงที่หลังคอของเขา
“มันซึมออกมา?” เขาแหงนหน้าไปมองโดยไม่รู้ตัวและเห็นร่างกายครึ่งท่อนบนของผู้หญิงคนหนึ่งชะโงกเข้ามาในห้องผ่านหน้าต่างที่บนประตู เธอกำลังจับตามองพวกเขาอยู่!
ผ้าพันแผลคลี่ออกเผยให้เห็นเลือดเนื้อที่เละเทะ คำสาปและความอาฆาตแค้นหุ้มห่อร่างกาย และผู้หญิงในชุดแดงก็เอื้อมมือเข้ามาหาหวังตั้น ฝ่ายหลังจิตใจว่างเปล่าไปแล้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยใบหน้าของเธอ มือของหวังตั้นที่จับประตูอยู่อ่อนแรงลงช้า ๆ ขณะที่ร่างกายของเขาเอนไปด้านหลัง
ความทรงจำดี ๆ ทั้งหมดในชีวิตของเขาแวบผ่านจิตใจของเขา และในพริบตานั้นหวังตั้นก็สาบานว่าเขามองเห็นอาณาจักรแห่งสรวงสวรรค์
…
จางจิงจิ่วมองหวังตั้นและแฟนสาวของเขาวิ่งห่างออกไป หลังจากถอนหายใจ เขาก็กลับไปเรียนรู้การแสดง เขาลองพูดบทพูดน่ากระอักกระอ่วนอยู่ที่โต๊ะที่ว่างเปล่า เขาตั้งใจมากจนไม่ได้สังเกตเห็นเงาร่างเพรียวที่แอบอยู่ทางซ้ายของทางเข้า
“มีข่าวลือบอกว่าที่นี่เป็นที่นิยมมากก็เพราะว่านักแสดงทั้งหมดล้วนเป็นผีจริง ๆ วันนี้ ฉันคิดว่าฉันควรจะทดสอบข่าวลือนั่นดู” หลี่ซางอิ๋นก้มหน้าลงและในดวงตาของเขาก็เปล่งประกายอันตราย
TL note: เมื่อวานฝากเพื่อนลงเลยลืมบอกว่าเปิดให้อ่านฟรี
สวัสดีปีใหม่ผู้อ่านทุกท่าน ขอให้ทุกท่านมีความสุขมาก ๆ คิดหวังสิ่งใดให้สมปรารถนา
ขอบคุณที่คอยสนับสนุนกันมาตลอด 1 ปี ปีนี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยเหมือนเดิม ขอบคุณทุกท่านมาก ๆ