My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 719-726
ตอนที่ 719
โทรศัพท์ในหนังสั่น ชิวเหมยหยุดจัดของแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เธอรับสายโดยไม่ดูหมายเลขโทรเข้า “ฮัลโหล นั่นใครคะ?”
“พวกเราเพิ่งคุยกันบนอินเตอร์เนต ผมเห็นคุณทิ้งเบอร์โทรศัพท์เอาไว้บนหน้าส่วนตัว ดังนั้นจึงโทรมา” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากอีกปลายสาย คนผู้นี้นั้นดูเหมือนยังไม่แก่ชรานัก เสียงของเขานั้นยังฟังดูเหมือนเป็นหนุ่มอยู่
“พวกเราเพิ่งคุยกันบนอินเตอร์เนต?” ชิวเหมยดึงโทรศัพท์ออกมาดูหน้าจอ “คุณคือคนที่ไม่มีอยู่จริง!”
“นั่นเป็นชื่อออนไลน์ของผม”
“ทำไมคุณถึงตั้งชื่ออย่างนั้น?”
“นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือผมต้องคุยกับคุณ” ชายหนุ่มคนนั้นลดเสียงลงราวกับว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้เสียงของเขาดูเป็นผู้ใหญ่และลึกลับมากขึ้น
“เบอร์ที่ฉันทิ้งเอาไว้บนหน้าส่วนตัวน่ะเป็นเบอร์จริง แล้วมันจะน่าประหลาดใจตรงไหนที่นายโทรมา? นายโทรหาเด็กสาวคนอื่น ๆ ด้วยเบอร์ของพวกเธอมาก่อนใช่ไหม แล้วก็ลงท้ายด้วยการถูกหลอก?” เหวินอวี้ไม่คิดจริงจังไปกับชายหนุ่มด้วย
“ผมโทรหาคุณด้วยโทรศัพท์ของคนที่ตายไปแล้วการที่คุณสามารถรับสายนี้ได้แสดงว่าสิ่งที่คุณพูดมีบางส่วนเป็นเรื่องจริง”
“นายมีวิธีการพิสูจน์คำพูดของคนอื่นที่ประหลาดดีนะ” ท่าทีของเหวินอวี้เย็นชาขึ้นกว่าเดิม น่าแปลก เธอไม่ได้ประหลาดใจกับสิ่งที่ชายหนุ่มพูด “ว่ามาสิ โทรหาฉันมีอะไร?”
“ผมแค่อยากจะช่วยชีวิตคุณเฉย ๆ– ผมกลัวว่าคุณจะได้ทำภารกิจฆ่าตัวตาย” เสียงของชายหนุ่มไม่ได้แก่แต่กลับฟังเหมือนเขาผ่านอะไร ๆ ในชีวิตมาเยอะ
“ภารกิจฆ่าตัวตาย?”
“ทำไมคุณถึงจะอยากกลับไปในเมื่อคุณหนีออกมาได้แล้ว? ผมรู้ว่าคุณจำหลายอย่างไม่ได้ แต่คุณได้เคยคิดไหมว่าความทรงจำเหล่านั้นคือสิ่งที่คุณใช้แลกกับการหนีออกมา?” ชายหนุ่มพยายามโน้มน้าวเธอ “เพื่อที่จะหนีออกมา ความทรงจำของคุณถูกยึดไป แต่ว่า เพื่อที่จะได้รับความทรงจำที่หายไปกลับคืนคุณยินดีที่จะกลับไป คุณเคยได้ยินอะไรที่โง่กว่านี้อีกไหมบนโลกนี้?”
“ฉันไม่ได้จะกลับไปตามหาความทรงจำของฉัน ฉันจะไปที่นั่นเพื่อตามหาคน” เหวินอวี้ปลดล็อกลิ้นชักและมองสมุดจดที่ในนั้น “เหวินอวี้เป็นชื่อของร่างนี้ แต่ว่านั่นไม่ใช่ชื่อของฉัน”
ปลายนิ้วของเธอไล้ไปตามปกของสมุด และมันก็ลูบผ่านชื่อชิวเหมย
“ผมไม่สนใจว่าคุณจะกลับไปทำอะไร แต่ผมไม่แนะนำให้กลับไปที่นั่น จำเอาไว้! อย่ากลับไปที่นั่น!” มีเสียงบางอย่างหนัก ๆ ถูกลากดังมาจากอีกปลายสายโทรศัพท์ จากนั้นโทรศัพท์ก็ถูกตัดไปอย่างรีบร้อน
“ฉันรู้ว่าที่นั่นอันตรายมาก แต่บางอย่างมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้” ตัวละครหลักจัดเอกสารที่หัวเตียงและจากนั้นก็ขึ้นไปนอนบนเตียง กอดโทรศัพท์เอาไว้ เธอพยายามติดต่อคนที่ไม่มีอยู่จริง แต่ไม่มีการตอบกลับ
“ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยนี้ที่ฉันเจอบนออนไลน์ ล้วนบอกว่าเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนและสร้างขึ้นโดยผู้บริจาคคนหนึ่ง แต่ว่าตามรูปที่บนออนไลน์แล้ว ขนาดของมันนั้นใหญ่กว่าโรงเรียนทั่วไป มันยังใหญ่กว่ามหาวิทยาลัยทั่วไปด้วย”
เหวินอวี้วางแผนจะไปดูที่มหาวิทยาลัยนี้ เธอดึงกระดาษกับปากกาออกมาจดข้อมูลทั้งหมดที่เธอพบในโทรศัพท์
“บางรูปนั้นมีลายน้ำติดเอาไว้ ดังนั้นน่าจะไม่ใช่ของปลอม แต่ทำไมรูปอื่น ๆ ถึงดูประหลาดขนาดนี้?”
บางทีอาจจะเป็นเพราะมุมกล้องหรือว่าเพราะลักษณะของตึก แต่ว่าในบางรูป ไม่ว่าจะถ่ายตอนกลางวันหรือกลางคืน ในห้องก็มืดสลัวดูน่ากลัว เด็กสาวปิดไฟหัวเตียงเหลือไว้แค่โคมไฟข้างเตียง เธอนอนอยู่บนเตียงและเริ่มรวบรวมข้อมูล เห็นเด็กสาวบนจอแล้ว เฉินเกอก็นึกถึงตัวเอง ก่อนที่จะเริ่มภารกิจแต่ละครั้ง เขาก็มักจะรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเหมือนเหวินอวี้
“เรื่องผีนี่ทำให้ฉันนึกถึงตัวเองมาก” เวลาผ่านไป และเหวินอวี้ก็ค่อย ๆ ผลอยหลับไปบนเตียง ปากกาหลุดออกจากมือของเธอตกลงไปที่พื้น มันกลิ้งไปไกลจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ
เธอทำงานตอนกลางวันและอ่านหนังสือตอนกลางคืน เหวินอวี้เหนื่อยมาก และเธอก็หลับสนิทมาก กล้องถูกดึงถอย และมันก็ไปจับอยู่ที่เหวินอวี้ที่กำลังหลับ มันยากที่จะบอกว่าผู้กำกับต้องการทำอะไร เขาถ่ายเหวินอวี้ที่กำลังหลับยาวเป็นสิบวินาที
พนักงานของเฉินเกอนั้นไม่ได้ออกมาพูดหนังบ่อยนัก พวกเขามองหน้าจอด้วยความสงสัยอย่างเปิดเผย พวกเขาจดจ่อและพยายามไล่ตามจังหวะของผู้กำกับ พยายามเข้าใจมุมมองของเขา
“ฉันยอมรับว่าเด็กสาวคนนี้ค่อนข้างน่ารัก แต่ไม่ใช่ว่าฉากนี้จะยาวไปสักหน่อยหรือไง?” ในที่สุดไป๋ชิวหลินก็พูดออกมา “ตอนที่เธอลืมตา รอบตัวเธอมีบรรยากาศของความอาฆาตแค้น แต่ว่าน่าแปลก หลังจากที่เธอหลับตาลง บรรยากาศแบบนั้นกลับหายไปหมดเลย”
“ผู้กำกับเก่งมาก จากหนังสั้นเรื่องก่อนหน้านี้ของเขา ผมรู้ว่าเขาไม่ถ่ายอะไรที่ไม่มีประโยชน์ ต้องมีจุดประสงค์อะไรสักอย่าง” เฉินเกอรออย่างอดทน และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็พบบางอย่าง “ที่มุมล่างซ้ายของจอ ใช่! นั่น ตรงที่ปากกากลิ้งไปหยุดอยู่เมื่อกี้นี้”
ประตูห้องน้ำถูกเปิดทิ้งเอาไว้ และปากกาก็ไปหยุดอยู่ตรงนั้น แสงเดียวในห้องนั้นมาจากโคมไฟข้างเตียง เพราะมุมกล้อง จึงเห็นได้ว่าห้องน้ำนั้นไม่ได้มืดสนิท และมีลำแสงอ่อนจางสายหนึ่งกระทบที่กระจกในห้องน้ำ
หนังดูเหมือนจะหยุดไปเมื่อตัวละครหลักหลับสนิทแต่เมื่อมองไปแล้ว ความรู้สึกไม่ถูกต้องบางอย่างกลับเพิ่มขึ้น เหตุผลก็เพราะฉากนั้นไม่ได้นิ่งจริง ที่มุมจอ ในห้องน้ำ มีบางอย่างเคลื่อนไหว!
ภาพบนจอนั้นดูอบอุ่น– แสงสีเหลืองนวล ผ้าห่มนุ่มฟู และคนงามหลับใหล แต่ว่า เมื่อมองไปที่ตรงมุมจอและเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในห้องน้ำ ความแตกต่างนี้ทำให้คนดูขนลุก
ในห้องน้ำสลัว ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดแดงยืนอยู่หน้ากระจก เธอบิดคอไปมาแต่ดวงตากลับจับจ้องเขม็งอยู่ที่กล้อง!
ใบหน้านั่นซ่อนอยู่ในความมืด และเมื่อผู้ชมมองไป มันก็รู้สึกเหมือนใบหน้านั่นกำลังจับจ้องที่พวกเขาผ่านหน้าจอ
“ฉันรู้แล้วว่าต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”
ไม่ว่าหนังจะมีบรรยากาศอบอุ่นแค่ไหน แต่ถึงที่สุดแล้วมันก็ยังเป็นหนังสยองขวัญ ปากกาที่บนพื้นนั้นขยับได้ด้วยตัวเอง ผู้หญิงที่ในห้องน้ำนั้นหายไปจากกระจกแล้ว และยังมองเห็นได้ว่าผู้หญิงชุดแดงคนนั้นเดินเข้าไปในห้อง
ส่วนใหญ่ของจอนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงก็คือเงาสะท้อนของกระจกในห้องน้ำ
ห้องเช่าก็ใหญ่แค่นี้ ไม่มีห้องนั่งเล่นและเตียงก็อยู่ติดกับห้องน้ำ ภาพบนจอยังคงอบอุ่น แต่บางครั้งก็มีเสียงแปลก ๆ
ปากกากลิ้งไปบนพื้น และจิ้งจกที่บนกำแพงก็ไต่หนี แสงไฟจากโคมไฟข้างเตียงก่อให้เกิดเงา แต่ว่าเงานั่นไม่ได้เป็นของเจ้าของห้องที่กำลังหลับอยู่
กระดาษที่บนโต๊ะพลิกและล็อกของลิ้นชักก็ขยับเหมือนมีคนพยายามเปิดมัน
ครู่ต่อมา ทุกอย่างก็กลับไปเงียบสงบ แต่จากนั้นภาพที่น่ากลัวที่สุดก็ปรากฏขึ้น
หมอนบนเตียงยุบลงเหมือนมีคนนอนลงที่ข้าง ๆ ตัวละครหลัก
ตอนที่ 720
ภายใต้แสงสลัว มีเงาปรากฏที่บนกำแพง แต่ว่าในห้องนี้มีคนอยู่แค่คนเดียว สองข้างกายของเหวินอวี้นั้นยุบย่นลงไปขณะที่เส้นผมของเธอสยายออกเป็นแพ– มันเหมือนมีบางอย่างกดอยู่บนร่างของเธอ
“ชิวเหมย ชิวเหมย… ชิวเหมย!” เหวินอวี้จู่ ๆ ก็สะดุ้งตื่น เธอหอบหายใจเข้าและมองไปรอบ ๆ สีหน้าสับสน แสงสลัวจากโคมไฟข้างเตียงส่องไปทั่วห้อง ทำให้มันมีบรรยากาศที่ดูเป็นกันเอง เครื่องเรือนส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในที่ที่มันควรอยู่– ไม่มีร่องรอยของการมีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย
“เรื่องที่แย่ยิ่งกว่าฝันร้ายก็คือตื่นขึ้นมากลางดึกและพบว่าค่ำคืนยังอีกยาวนาน” เหวินอวี้หยิบเอกสารที่บนเตียงขึ้นมาและมองไปรอบ ๆ “ปากกาไปไหนแล้วล่ะ?”
เธอลงจากเตียงไปเก็บปากกาที่ตกไปไกล จากนั้นเธอก็เก็บปากกาและกระดาษเข้าไปในแฟ้มที่ในกระเป๋า
“ได้เวลากลับไปนอนแล้ว พอพระอาทิตย์ขึ้นฉันก็จะไปดูที่โรงเรียนนั่น”
ปีนกลับขึ้นเตียงแล้วเหวินอวี้ก็ปิดโคมไฟข้างเตียง พอห้องจมลงสู่ความมืด กล้องก็จับภาพผู้หญิงชุดแดงกำลังยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำได้
ตอนที่ไฟดับไป เธอก็เดินออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง เธอยังอยู่ในห้อง แต่ในเมื่อตอนนี้ห้องนั้นจมอยู่ในความมืด ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นเธอ
วิธีการที่หนังเรื่องนี้พูดถึงผีนั้นน่าสนใจทีเดียว บางทีบ้านผีสิงของฉันอาจจะได้แรงบันดาลใจ มอบความรู้สึกแปลกใหม่ให้ผู้เข้าชมผ่านการใช้ความแตกต่างอย่างชาญฉลาดนี้
ความปรารถนาอยากเจอผู้กำกับของเฉินเกอนั้นเพิ่มมากขึ้น ถ้าเขาร่วมมือกับผู้กำกับ เฉินเกอรู้สึกว่าเขาสามารถเพิ่มระดับความสยองของบ้านผีสิงของเขาขึ้นไปสู่ระดับใหม่ได้
หน้าจอมืด– จนแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ว่า นี่ก็ทำให้ผู้ชมได้จินตนาการไปอย่างกว้างไกล เพราะทุกคนรู้ว่า ในความมืด นอกจากตัวละครหลักที่หลับอยู่นั้นยังมีผีชุดแดงอยู่ด้วย ทั้งฉากนั้นถูกถ่ายเอาไว้แบบม้วนเดียวจบ ไม่มีการตัดต่อ และนั่นก็ทำให้หนังเรื่องนี้นั้นให้ความรู้สึกเหมือนจริง
หลายวินาทีให้หลัง ฉากนี้ก็จบลง และพระอาทิตย์ก็ขึ้น ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิม ตัวละครหลักไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติไป เหมือนกับความทรงจำจากเมื่อคืนนั้นอันที่จริงเป็นเพียงแค่ฝันร้าย
“ฉันละเหงื่อตกแทนเด็กนั่นเลย” เหล่าโจวตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ
“นายยังมีเหงื่อออกได้ด้วยเหรอ?” ต้วนเยว่กลอกตาใส่เขา
“ถ้าเธอไม่เชื่อฉันอย่างนั้นลองจับฝ่ามือฉันดูสิ?” เหล่าโจวกางมือให้ต้วนเยว่แต่ว่าฝ่ายหลังนั้นมองมุกเก่า ๆ นี่ออกและเธอก็ปัดมือข้างนั้นทิ้ง
พนักงานล้วนอินไปกับหนัง มีแค่เฉินเกอที่คิดถึงอย่างอื่น เขาได้ดู เพื่อนร่วมโต๊ะ มาก่อน และหลังจากเทียบ เพื่อนร่วมโต๊ะ กับ นาม เขาก็พบเรื่องน่าสงสัยมากมาย
“ตัวละครหลักทั้งสองเรื่องถูกเรียกว่า เหวินอวี้ ดังนั้นพวกเธอน่าจะเกี่ยวข้องกับดวงตาข้างซ้าย แต่ว่า ความแตกต่างก็คือ ใน เพื่อนร่วมโต๊ะ ตัวละครหลักยังเรียนมัธยม แต่ใน นาม ตัวละครหลักทำงานแล้ว หนังทั้งสองเรื่องนี้ถ่ายทอดช่วงเวลาที่ต่างกันในชีวิตของตัวละครเดียวกัน
ตามข้อมูลของดวงตาข้างซ้ายในเพื่อนร่วมโต๊ะ ร่างของเหวินอวี้น่าจะมีดวงวิญญาณของเด็กสาวหลายคนใช้มาก่อนแล้ว แต่นั่นหมายความว่ารายละเอียดหลายอย่างไม่เข้ากับในเรื่อง นาม
ตอนเริ่มเรื่อง ชื่อที่บนสมุดบันทึกของตัวละครหลักก็คือชิวเหมย แต่เมื่อผีผู้หญิงปรากฏตัวขึ้นและกดร่างของตัวละครหลักลงไป ชื่อที่ถูกเรียกกลับเป็นชื่อชิวเหมย
ตอนนี้วิญญาณที่ติดอยู่ในร่างของเหวินอวี้ดูเหมือนจะเป็นชิวเหมยเหมือนกัน
ตอนจบของเพื่อนร่วมโต๊ะ ชิวเหมยนั้นรับโทรศัพท์จากเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ของเธอ และเธอก็เชิญเพื่อนของเธอไปที่บ้าน ดังนั้นพูดตามทฤษฎีแล้ว วังวนใหม่ได้เริ่มต้นไปแล้ว แต่ว่า หลังจากดูเรื่องนาม เฉินเกอก็พบว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายอย่างนั้น
ชิวเหมยดูไม่เหมือนว่าจะหาแพะรับบาปและดำเนินวังวนนั้นต่อ ผ่านมาหลายปีแล้ว เธอก็ยังทนรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอจากดวงตาข้างซ้ายเพียงคนเดียว
หนังสองสามเรื่องนี้ที่ถ่ายทำเกี่ยวกับดวงตาข้างซ้ายนั้นดูเหมือนจะมีเหวินอวี้เป็นตัวเอก แต่ความจริงแล้ว ตัวละครหลักคือชิวเหมยที่ควบคุมร่างของเหวินอวี้ ร่างกายคือเหวินอวี้ แต่ว่าดวงวิญญาณคือชิวเหมย
เฉินเกอพบว่าตั้งแต่ต้นของเรื่องนาม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นอัจฉริยะทางด้านการถ่ายทำ แต่เขาเป็นคนที่ให้ความสนใจกับรายละเอียด เขามีดวงตาคู่หนึ่งที่สามารถมองผ่านเปลือกนอกเข้าไปเห็นความจริง
หนังดำเนินต่อไป ห้องนี้ในตอนเช้านั้นสว่างไสวและสะอาด ใครจะคิดว่าที่นี่จะเป็นที่อยู่อาศัยของผีตนหนึ่งกัน? ตัวละครหลักส่งใบลาออกไปแล้ว เมื่อถึงวันใหม่ เธอก็ไม่จำเป็นต้องไปทำงานแต่ว่าหิ้วกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเอกสารต่าง ๆ ขึ้นรถประจำทางไปยังจิ่วเจียงตะวันตกตามที่อยู่ที่เธอได้มาจากออนไลน์
“นี่คือมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงนั่นเหรอ?” หลังจากหามาตลอดทั้งเช้า ในที่สุดเหวินอวี้ก็ไปถึงที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง “ฉันกำลังหาโรงเรียน แต่ทำไมที่อยู่ที่เจอบนอินเตอร์เนตถึงกลายเป็นโรงพยาบาลไปได้?”
ตึกที่รอบ ๆ ดูค่อนข้างเก่า ถึงแม้เหวินอวี้จะเป็นคนจิ่วเจียง เธอก็ไม่รู้เลยว่ามีโรงพยาบาลแบบนี้อยู่ในจิ่วเจียงด้วย
“เข้าไปได้ไหมน่ะ?” เหวินอวี้พยายามเปิดประตูและพบว่าประตูถูกล็อกจากด้านใน เธอเอนตัวแนบกระจกและมองเข้าไปในโรงพยาบาล กระเบื้องเงาวับ เก้าอี้ไม่มีฝุ่น ผนังยังขาวและใหม่ นอกจากความเงียบอันประหลาดแล้วที่นี่ก็ดูไม่ต่างไปจากโรงพยาบาลทั่วไปเลย
“โรงพยาบาลนี่ไม่มีกระทั่งชื่อ ฉันตรวจดูบนออนไลน์ไม่ได้ต่อให้อยากจะดูก็ตาม”
เหวินอวี้เดินไปที่อีกด้านของโรงพยาบาล และที่ประตูด้านหลัง ผู้ชายสวมผ้าปิดปากและเสื้อคลุมสีขาวคนหนึ่งกำลังเดินออกมา
“คุณหมอคะ คุณช่วยหนูหน่อยได้ไหม?” เหวินอวี้วิ่งเข้าไปหา แต่หลังจากที่หมอคนนั้นได้ยินเสียงเธอ แทนที่เขาจะหยุดเขากลับเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม
“คุณหมอคะ?” เหวินอวี้งุนงงกับปฏิกริยาเช่นนี้ และเธอก็ออกวิ่งไปดักหน้าเขาเอาไว้ ผู้ชายคนนั้นคำรามอย่างหมดความอดทน เขาเกือบจะหันตัวไปทางอื่นแต่เหมือนเขาตระหนักได้ถึงบางอย่าง ทั้งร่างของเขาแข็งทื่อ เขาจ้องมองเหวินอวี้อย่างพิจารณา
ผู้ชายคนนี้สูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร รูปหล่อและร่างสูงใหญ่ แต่ว่าระหว่างคิ้วของเขาดูหมองคล้ำ สายตาของเขาเย็นเยียบ และยังมีบรรยากาศรอบตัวที่เหมือนบอกคนอื่นไม่ให้เข้าใกล้เขามากเกินไป
เหวินอวี้รู้สึกกระอักกระอ่วนกับท่าทีของเขา หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอถึงได้ถาม “หวัดดีค่ะ หนูมาที่นี่เพื่อสมัครเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง หนูเอาเอกสารที่ต้องใช้มาด้วยแต่ว่าหามหาวิทยาลัยไม่เจอ แต่ว่าที่อยู่ที่หนูได้มามันพาหนูมาที่นี่”
“มหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง?” ดวงตาของหมอคนนั้นไม่ขยับไปจากใบหน้าของเหวินอวี้ “มหาวิทยาลัยนั่นปิดตัวไปแล้ว ทางที่ดีเธอไปหาที่เรียนที่อื่นเถอะ”
จากนั้นหมอคนนั้นก็หันเตรียมจากไป เหวินอวี้เกาหัวและจากนั้นก็ร้องออกไปอย่างลังเลอยู่นิด ๆ “รอเดี๋ยวค่ะ พวกเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนไหมคะ?”
หมอคนนั้นเดินห่างออกไปเหมือนไม่ได้ยินเธอ
“ใบหน้าของคุณคุ้นตามากค่ะ หนูแน่ใจว่าหนูเคยเจอคุณมาก่อน!” เหวินอวี้วิ่งตามเขาไป “คุณชื่ออะไรคะ?”
ถูกเหวินอวี้ตามมาไม่ลดละ ในที่สุดหมอคนนั้นก็หยุดเท้าและกล้องก็ขยายใบหน้าของเขาให้ชัดขึ้น คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน หมอคนนั้นมองเหวินหวี้ และเขาก็พึมพำออกมาเบา ๆ “ฉันชื่อฉางกู”
ตอนที่ 721
ได้ยินคำตอบแล้ว เฉินเกอก็เพ่งสายตามองพิจารณาชายคนนี้เพิ่ม ชื่อของผู้กำกับก็คือฉางกูเหมือนกัน ดูเหมือนว่าหนังพวกนี้จะบันทึกเหตุการณ์ที่เขาได้ประสบมา
มองใบหน้าของชายในหนังแล้วเฉินเกอก็เกาคางตัวเอง ในหนัง เขาให้ตัวเองหน้าตาดี ดูไว้ตัว ซึ่งทำใหัฉันเข้าใจผู้ชายคนนี้ในมุมมองใหม่ ๆ
หลังจากพิจารณาใบหน้าของชายคนนี้อยู่นาน เฉินเกอก็รู้สึกเหมือนเขาดูคุ้นตาอย่างประหลาด จู่ ๆ เขาก็หันไปมองชายตาบอดที่นั่งอยู่ข้างเขา รูปร่างของสองคนนี้คงแตกต่างกันมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่บรรยากาศสิ้นหวังที่รอบดวงตานั้นเหมือนกันอย่างน่าตกใจ และเครื่องหน้าบางชิ้นยังคล้ายกันด้วย
พวกเขาเป็นคนคนเดียวกันใช่ไหม?
บนจอ ฉางกูร่างสูง หน้าตาหล่อเหลา และนิ่งเฉย แต่ว่าชายตาบอดข้างเฉินเกอนั้นชรา น่าเกลียด และขาดสารอาหารเหมือนป่วยด้วยโรคร้ายแรง
ตามข่าวลือที่บนอินเตอร์เนต ฉางกูน่าจะตายไปในกองเพลิงหรือถูกขังเอาไว้ในหนังของตัวเอง…
เฉินเกอคิดกลับไปถึงข้อมูลที่เขาเจอบนออนไลน์ และดวงตาของเขาก็ตกลงที่ดวงตามืดบอดของชายข้างตัวที่หลับแน่น
เป็นไปได้ไหมว่าเขาเป็นคนสร้างข่าวลือพวกนั้นขึ้นมาเอง? เขาต้องการหายตัวไปจากสายตาของสาธารณะชน?
เฉินเกอกอดเจ้าแมวขาวเอาไว้พลางพิจารณาทุกอย่างอย่างสงบ ไม่ว่าชายตาบอดจะเป็นฉางกูหรือไม่ มันก็ไม่สำคัญ อย่างไรเสีย เขาก็จับจองโรงละครส่วนตัวนี่เอาไว้แล้ว ในหนัง ฉางกูนั้นตัวสูงใหญ่ ต่างไปจากชายตาบอดข้างตัวเฉินเกอโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่เพราะเฉินเกอนั้นให้ความสนใจกับรายละเอียด เขาก็คงเชื่อมโยงมันไม่ได้
หนังยังดำเนินต่อ เหวินอวี้ตามฉางกูไป บางทีมันอาจจะเป็นสัญชาตญาณของผู้หญิงหรืออะไรสักอย่าง แต่ว่าเธอรู้สึกว่าฉางกูผู้นี้นั้นสำคัญกับเธอมาก แต่ว่า เห็นได้ชัดว่าฉางกูนั้นจงใจรักษาระยะห่างกับเหวินอวี้ จากปฏิกริยาหลายอย่างของเขา มันไม่ใช่เพราะเขาเกลียดเธอ
สีหน้าของเขาตอนที่มองเหวินอวี้นั้นประหลาดมาก ส่วนใหญ่แล้วมันเหมือนมองคนแปลกหน้า แต่บางครั้ง มันกลับปรากฏร่องรอยอ่อนโยนออกมา ทั้งสองคนยืนอยู่ที่ประตูหลังโรงพยาบาลพูดคุยกัน พวกเขาเพิ่งคุยกันได้ไม่กี่คำตอนที่มีเสียงฝีเท้าดังมา และชายวัยกลางคนค่อนข้างอ้วนคนหนึ่งก็วิ่งออกมา
เห็นเขาแล้ว ฉางกูก็ถอดเสื้อคลุมของเขาออก โยนมันไปด้านข้าง และจากนั้นก็วิ่งเข้าไปในตรอกใกล้ ๆ ไม่ว่าเหวินอวี้จะร้องเรียกเขาเท่าไหร่เขาก็ไม่หันกลับมา
“เธอเห็นผู้ชายผอม ๆ สูง ๆ คนหนึ่งวิ่งมาทางนี้ไหม?” หลังจากชายวัยกลางคนคนนั้นออกมาจากประตูหลัง สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังเสื้อคลุมสีขาวที่บนพื้น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
“ผู้ชายคนนั้นเป็นหัวขโมย ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า! เขามักจะแอบเข้าไปในโรงพยาบาลของเขา!” ชายวัยกลางคนคำรามลอดไรฟัน
“หัวขโมย? เขา… เขาไม่ใช่หมอเหรอคะ?” เหวินอวี้มองเสื้อคลุมที่ชายคนนั้นหยิบขึ้นมาแล้วเธอก็ตกใจ
“อย่าไปเชื่อคำพูดที่ออกจากปากเขา ผู้ชายคนนั้นเป็นหัวขโมย เป็นคนขี้โกหก แล้วยังเป็นบ้าด้วย เพื่อความปลอดภัย เธออยู่ให้ห่างจากเขาจะดีกว่า” ชายวัยกลางคนเตือนแล้วก็จะเดินกลับไป
“รอเดี๋ยวค่ะ” เหวินอวี้รั้งเขาเอาไว้ “หนูมาที่นี่เพื่อสมัครเข้ามหาวิทยาลัย คุณเคยได้ยินชื่อมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงไหมคะ? ที่อยู่บนออนไลน์ที่หนูได้มาพาหนูมาที่นี่”
“เคยมีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ที่นี่มาก่อน แต่ว่ามันทิ้งร้างไปนานแล้ว ใบปลิวที่เธอเห็นน่าจะเป็นของเมื่อหลายปีก่อน” ชายวัยกลางคนดูค่อนข้างเป็นมิตร เขาหยุดเพื่อตอบคำถามของเหวินอวี้
“ทิ้งร้างไปแล้ว? อย่างนั้น คุณรู้ไหมคะว่าทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนั้น?” ในที่สุดเหวินอวี้ก็พบคนที่เชื่อถือได้ ดังนั้นเธอจึงถามต่อ
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าเธอน่าจะรู้เรื่องมากขึ้นถ้าไปที่เขาหยงหลิง ตอนนั้นมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงแยกออกเป็นสองวิทยาเขต วิทยาเขตปกติและโรงเรียนภาคค่ำ” เขาไม่ได้ปิดบังข้อมูลอะไรและบอกทุกอย่างที่รู้ออกมา “วิทยาเขตปกติสำหรับนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาแล้ว และโรงพยาบาลของเราก็เป็นส่วนหนึ่งของวิทยาเขตนี้ มันไม่ได้ต่างไปจากมหาวิทยาลัยปกติ
“การเปิดโรงเรียนภาคค่ำน่ะเป็นการตัดสินใจที่ผิด จิ่วเจียงก็ใหญ่แค่นี้ ดังนั้นจึงมีจำนวนนักเรียนที่ไปเรียนได้จำกัด นักเรียนจากพื้นที่อื่นข้างนอกก็น้อยครั้งที่จะข้ามเมืองมาเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก เมื่อมีนักเรียนน้อย พื้นที่ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ใช้งาน ดังนั้นฝ่ายการจัดการจึงเปลี่ยนมันไปเป็นโรงเรียนภาคค่ำ
“วิทยาเขตภาคค่ำอยู่ติดกับวิทยาเขตปกติ แต่ว่ามันใกล้กับเขาหยงหลิงมากกว่า โรงเรียนภาคค่ำของมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงนั้นเน้นรับสมัครผู้ใหญ่ที่อยากจะศึกษาต่อและพวกหนุ่มสาวที่อยากจะกลับไปเรียนต่อหลังจากหยุดเรียนไป”
หลังจากหมอคนนี้อธิบาย เขาก็เดินเข้าไปในเงาเพื่อไม่ให้แสงแดดสาดส่องใส่ “ฉันก็จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่ว่าเธอสามารถอ่านข้อมูลพวกนี้ได้ในห้องเอกสารของโรงพยาบาล ตอนนี้พวกเรามีคนไม่มาก ดังนั้นฉันจะพาเธอไปที่นั่นแล้วกัน”
“คุณจะพาหนูไปที่ห้องเอกสาร?” เหวินอวี้มองโรงพยาบาลที่ว่างเปล่า ด้านในสะอาดมากและเงียบมากเหมือนไม่มีใครอยู่เลยสักคน “ได้ค่ะ…”
ก่อนที่จะทันพูดจบ เหวินอวี้ก็ยกมือขึ้นปิดดวงตาข้างซ้าย เมื่อครู่นี้จู่ ๆ มันก็เหมือนมีเข็มจิ้มลูกตาของเธอซึ่งไม่เกิดขึ้นมานานแล้ว
“หนูขอโทษนะคะ แต่ว่าหนูรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หนูจะกลับมาใหม่วันหลัง แต่ก็ต้องขอบคุณมากนะคะสำหรับความช่วยเหลือ” เหวินอวี้ยังกุมอยู่ที่ดวงตาของเธอแล้วกล่าวขอบคุณหมอตรงหน้า
“ยินดี ๆ” ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วหันกลับเข้าไปในโรงพยาบาล
“บนโลกนี้ก็ยังมีคนดี ๆ อยู่มาก” เหวินอวี้มองเข้าไปในตรอกแคบ บางอย่างไม่ถูกต้อง มันบ่ายแล้ว แต่ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย มันเหมือนคนที่นี่รู้ว่าควรจะอยู่ห่างจากตรงนี้
“โรงเรียนภาคค่ำก็อยู่แค่นี้แล้ว แต่ในเมื่อหมอไม่ได้ให้ตำแหน่งที่อยู่แน่นอนมา ฉันก็คงต้องเดินหาต่อ” เพราะความสงสัยบางอย่าง เหวินอวี้เดินเข้าไปในตรอก หลังจากที่เดินเข้าไปไม่กี่ก้าวก็มีคนเรียกชื่อเธอจากตรงมุม
“เธอไม่ต้องหาต่อหรอก– เธอหาโรงเรียนนั่นไม่เจอ” ฉางกูเอนตัวพิงกำแพงอยู่ หมอวัยกลางคนเพิ่งบอกเหวินอวี้ว่าฉางกูนั้นเป็นคนโกหกและเป็นคนเสียสติ ดังนั้นตอนที่เธอเห็นฉางกูปรากฏตัวขึ้น เธอก็กลัวที่จะต้องเข้าใกล้เขา
อย่างไรเสีย ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ดูน่าเชื่อถือกว่าหมอวัยกลางคน และสิ่งที่เฉินเกอกูทำก่อนหน้านี้ก็น่าสงสัยจริง ๆ
เห็นท่าทางของเหวินอวี้เปลี่ยนไป ฉางกูก็หรี่ตาแล้วเดินเข้าไปหาเธอ “เจ้าสิ่งนั้นที่ออกมาจากโรงพยาบาลเมื่อกี้ มันบอกอะไรเธอ?”
“เจ้าสิ่งนั้น?” เมื่อฉางกูเดินเข้าไปหาเธอ เหวินอวี้ก็ก้าวเท้าถอยไปก้าวหนึ่ง “เขาบอกว่าคุณเป็นขโมย”
“เธอจะเชื่อผีหรือว่าเชื่อคนเป็น ๆ?” ฉางกูยืนอยู่ตรงหน้าเหวินอวี้และเขาก็ดูคล้ายกับเหวินอวี้มาก
“ผี?”
“ใช่ ผีที่สามารถเคลื่อนไหวได้ตอนกลางวัน” ฉางกูบีบเหวินอวี้จนมุม “มันบอกเธอใช่ไหม ว่าฉันเป็นขโมย เป็นคนโกหก แล้วก็เป็นคนบ้า?”
เหวินอวี้คิดว่าฉางกูน่ะน่ากลัวมาก แต่เธอก็ยังพยักหน้า
“มันเชิญเธอเข้าไปในโรงพยาบาลใช่ไหม?” เหวินอวี้คิด หมอคนนั้นเสนอจะพาเธอเข้าไปในห้องเก็บเอกสาร
“โชคดี ที่เธอไม่ได้ตามเข้าไป ถ้าเธอตามเข้าไป เธอก็คงไม่สามารถหนีออกมาทั้งเป็นได้หรอก” ฉางกูส่งบันทึกการรักษาแผ่นหนึ่งให้เหวินอวี้ บนนั้นมีรูปขาวดำของหมอคนนั้นอยู่
ตอนที่ 722
ฉางกูเล่าเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ ให้เหวินอวี้ฟัง หมอคนก่อนหน้านี้โดยทางเทคนิคแล้วเขาโกหกเหวินอวี้ แต่ว่าเขาก็หลุดรายละเอียดที่สำคัญมากออกมาสองอย่าง
อย่างแรก โรงพยาบาลนั้นปิดตัวลงเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนหน้านี้และไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริง ที่น่าสงสัยก็คือ หลังจากโรงพยาบาลปิดตัวไปแล้ว คนที่อยู่ใกล้ ๆ นี่ก็ยังเห็นโรงพยาบาลทำการตามปกติมีคนเดินไปเดินมาทั้งกลางวันกลางคืน
สอง หมอคนนี้เองก็น่าสงสัย เขาต่างไปจากผีทั่ว ๆ ไป เขาสามารถเคลื่อนไหวได้ในตอนกลางวันและยังไม่กลัวแสงอาทิตย์ ฉางกูนั้นไม่ได้บอกอย่างละเอียดว่าหมอคนนั้นเป็นตัวตนแบบไหนกันแน่– เขาแค่บอกเหวินอวี้ว่าสิ่งนั้นหรือคนผู้นั้นที่ทำให้ดวงตาข้างซ้ายของเธอเจ็บปวดน่าจะมาจากมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง
คำอธิบายระหว่างวิทยาเขตปกติกับวิทยาเขตภาคค่ำของหมอคนนั้นก็เป็นความจริง แต่วิธีการเข้าไปในวิทยาเขตร้างนั้นไม่ใช่เข้าลึกไปในภูเขาหยงหลิง
ฉางกูนั้นเหมือนเป็นคนที่มีความผิดติดตัวหนีคดี พอเขาพูดถึงตรงนี้ เขาก็หันหลังกลับจากไป ทิ้งเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งเอาไว้ให้เหวินอวี้และบอกเธอว่า ถ้าเธอต้องการไปมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง ตอนกลางคืน ก็ให้เธอโทรศัพท์ไปที่เบอร์นี้
ฉากนั้นจบลงที่ตรงนี้ ภาพสะดุดเล็กน้อย และเมื่อภาพกลับมา ท้องฟ้าในฉากก็มืดแล้ว
มีคนตัดเนื้อหาส่วนหนึ่งออกไป หรือว่าคนที่ในหนังไม่ต้องการให้ฉันเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น?
ในความมืด เหวินอวี้ถือโทรศัพท์กับกระเป๋าสะพายหลังเอาไว้ มองไปตามตรอก เธอหยุดอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกับเมื่อเช้านี้ เธอกดโทรและกระซิบสองคำก่อนที่จะตัดสายอย่างรวดเร็ว “มาแล้ว”
สิบนาทีให้หลัง หน้าต่างทางซ้ายของโรงพยาบาลก็ถูกผลักเปิดจากด้านใน และหมอร่างผอมสูงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีขาวก็โบกมือให้เหวินอวี้ หลังจากเหวินอวี้แอบเข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว หมอคนนั้นก็ให้เธอเปลี่ยนไปใส่ชุดพยาบาลจากนั้นก็นำเธอออกจากห้อง ภาพที่เห็นหลังจากนั้นแปลกมาก และมันก็มีความเป็นผู้กำกับฉางกูอยู่เต็มไปหมด
ในโรงพยาบาล ผู้คนเต็มไปหมด บางคนกำลังรอหมอ บางคนกำลังรอรับยา มีผู้ป่วยที่มีเฝือกอยู่ที่ขาเดินผ่านไปช้า ๆ และทุกอย่างก็ดูเหมือนโรงพยาบาลทั่วไป ความแตกต่างเดียวก็คือไม่มีไฟดวงไหนเปิดเลย ผู้ป่วยและหมอทุกคนเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด ความมืดดูเหมือนจะไม่ได้มีผลกระทบกับพวกเขามากนัก พวกเขาดูไม่เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่มีชีวิต เงาเคลื่อนไปในความมืดราวกับฉายให้เห็นถึงอีกโลกที่ต่างไป
“มาตรงนี้” หมอนำเหวินอวี้เข้าไปในห้องผ่าตัดจากนั้นก็ล็อกประตู
“ตอนนี้ คุณก็บอกฉันได้แล้วใช่ไหมคะถึงวิธีที่จะเข้าไปในโรงเรียนนั่น?” เหวินอวี้ถอดผ้าปิดปากออกแล้วสูดลมหายใจลึก หมอผู้ชายก็ถอดผ้าปิดปากของตัวเองเช่นกัน และเขาก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉางกู เขาคว้าแขนเหวินอวี้และนำเธอไปที่โต๊ะผ่าตัด
โต๊ะผ่าตัดดูต่างไปจากโต๊ะผ่าตัดทั่วไป เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่ามีไว้ทำการผ่าตัดชนิดใดแน่
“วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็คือแก้จากต้นตอ และนั่นก็คือ…” ฉางกูหยิบมีดผ่าตัดคมกริบขึ้นมาจากถาด “เอาดวงตาข้างซ้ายของเหวินอวี้ออกและหาเจ้าของใหม่ให้มัน”
เสียงของฉางกูนั้นน่ากลัว และมันก็ทำให้เหวินอวี้ผงะถอยไปจนกระแทกเข้ากับโต๊ะที่ด้านหลัง “คุณจะควักตาฉันออกไป?”
“มันคือดวงตาของเหวินอวี้ เธอไม่ใช่เหวินอวี้ เธอเป็นเหยื่อที่ถูกกักเอาไว้ในร่างนี้ ฉันจะคืนอิสระให้เธอ แต่ฉันต้องการความร่วมมือจากเธอด้วย”
“หมอคนนั้นพูดถูก คุณมันบ้าไปแล้ว!” เหวินอวี้คว้ากระเป๋าตัวเองแล้วมุ่งหน้าไปยังประตู “ฉันจะกลับออกไปเดี๋ยวนี้!”
“ถึงเธอจะเห็นเงาที่ด้านนอกนั่นแล้วก็ยังไม่เชื่อฉันอีกเหรอฮึ? เงาพวกนั้นทำเหมือนพวกเขายังมีชีวิตเป็นปกติ ฉันแน่ใจว่าเธอเห็นพวกเขาชัดกว่าที่ฉันเห็น ดังนั้นเธอน่าจะ…”
“คุณไม่ใช่ฉัน คุณจะรู้ได้ยังไงว่าฉันเห็นอะไร?”
เหวินอวี้ไปถึงประตูแต่ถูกฉางกูขวางเอาไว้ “ฉันไม่ใช่เธอ แต่ว่าฉันคุ้นเคยกับเจ้าของร่างแท้จริงของเธอ! ฉันเป็นพี่ชายของเหวินอวี้!”
ได้ยินคำประกาศนี้ เหวินอวี้ก็นิ่งไป เธอมองฉางกูอยู่นานมากก่อนที่จะพูดขึ้น “แต่ฉันไม่เคยได้ยินเหวินอวี้พูดถึงว่าเธอมีพี่ชายเลยสักครั้ง”
คำตอบของเธอนั้นเป็นการยืนยันทางอ้อมว่าเธอไม่ใช่เหวินอวี้
“เธอมองเห็นคนตายด้วยดวงตาข้างซ้ายของเธอ และฉันเชื่อว่าเธอเห็นคนตายทั้งหมดที่บ้านนั่นแล้ว ก่อนที่เหวินอวี้จะเสียสติไป ฉันเป็นคนพาเธอหนีเอง” ฉางกูหงุดหงิด ตอนที่เขากำลังจะอธิบายความจริงทั้งหมด หนังก็ถูกตัดไป
หนังสยองขวัญถูกตัดไปตอนที่อยู่ในโรงละครมืด ๆ ตอนตีสามนั้นย่อมบ่งบอกได้ว่ามีบางอย่างที่น่ากลัว แต่ไม่มีคนดูคนไหนหวาดกลัว
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? เทปถูกตัดเหรอ? บอส!”
“นี่เป็นโรงหนัง ไม่ใช่อินเตอร์เนตคาเฟ่แถวโรงเรียนเสียหน่อย ใจเย็นน่า”
“แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นอ้ะ?”
เหล่าพนักงานถกเถียงกัน มีเพียงคนเดียวที่ไม่สนุกสนาน และนั่นก็คือชายตาบอดที่ข้าง ๆ ฟางหยวน เสียงแหลม ๆ ก้องไปมาในโรงละคร และสายลมเย็นก็พัดมา แต่ว่าชายตาบอดนั้นอยู่ท่าเดิม ศีรษะก้มต่ำ เหมือนเขาหลับไปแล้ว
พวกเขารออยู่สามนาทีเต็มกว่าหนังจะกลับมาฉาย แต่ว่า ฉากก็เปลี่ยนไปอีกครั้งแล้ว และภาพยังชัดขึ้นกว่าเดิมด้วย มันทำให้รู้สึกเหมือนหนังถูกเปลี่ยนไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ไม่มีใครอยู่ในห้องฉายหนังแต่ว่าหนังที่พวกเรากำลังดูอยู่เปลี่ยนไปด้วยตัวเอง ผู้ที่ซ่อนอยู่ในโรงละครนี่น่าจะรู้สึกเหมือนถูกคุกคามและจงใจปิดบังบางอย่างเอาไว้” ยิ่งพวกเขาอยากซ่อน เฉินเกอก็ยิ่งอยากจะขุด จากมุมมองของเขา มีแค่รู้ทุกอย่างเขาถึงจะสามารถหาต้นกำเนิดของปัญหาและช่วยพวกเขาแก้ปัญหาได้
หนังเปลี่ยนไปฉายภาพบ้านใหญ่โตหลังหนึ่ง เหวินอวี้นอนแผ่อยู่ที่โต๊ะกินข้าว ศีรษะของเธอมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ และมันก็รัดแน่นอยู่บนดวงตาข้างซ้ายของเธอ ชายหนุ่มที่หลังโก่งนิด ๆ นั่งอยู่ที่โต๊ะด้วย ใบหน้าของเขาก็มีผ้าพันแผลพันเอาไว้เช่นกัน และมันก็พันแน่นอยู่บนดวงตาข้างซ้ายเหมือนกันด้วย
ผู้ชายคนนั้นมองเหวินอวี้เงียบ ๆ หลายวินาทีให้หลัง ผ้าพันแผลรอบดวงตาข้างซ้ายของเหวินอวี้ก็ชุ่มไปด้วยเลือด เลือดซึมออกมาบนผ้าพันแผลสีขาวเหมือนดอกไม้เลือดกำลังคลี่บาน
“นี่เป็นสัปดาห์ที่สองหลังจากการเปลี่ยนดวงตาแล้ว ทำไมมันถึงยังไม่ได้ผล? พวกเราเป็นพี่น้องโดยสายเลือดและมีเลือดหมู่เดียวกัน– ทำไมถึงมีความต่อต้านของร่างกายเยอะขนาดนี้?” ผู้ชายคนนั้นเริ่มกระวนกระวาย และเมื่อใดก็ตามที่มีเลือดซึมออกมาจากเบ้าตาของเหวินอวี้ ผ้าพันแผลรอบใบหน้าของเขาก็จะชุ่มไปด้วยเลือดเหมือนดวงตาของเขานั้นตอบรับสัญญาณบางอย่างที่เหวินอวี้ส่งออกมา
รอบดวงตานั้นมีเส้นประสาทมากมายและมันก็ทำให้ชายคนนี้เจ็บปวดอย่างสุดแสน
ร่างกายของเขาสั่น และมือของเขาก็กำขอบโต๊ะแน่น “ความเจ็บปวดนี่รุนแรงกว่าเมื่อวาน บาดแผลไม่มีท่าทีจะฟื้นฟูเลยสักนิด! ปัญหาคืออะไรกันแน่?”
เขาเปิดตู้ที่ในห้องนั่งเล่นซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์นานาชนิด ตอนที่เขาค้นไปทั่ว เหวินอวี้ก็ยังอยู่ที่โต๊ะนั่นไม่กระดุกกระดิกเหมือนเธอทำวิญญาณหลุดหายไป
ตอนที่ 723
ผู้ชายคนนั้นค้นทั่วตู้ ดวงตาของเขามองเห็นแค่ข้างเดียว ความเจ็บปวดพุ่งตรงเข้าสมองของเขา และกริยาของเขายิ่งมาก็ยิ่งควบคุมไม่ได้ แขนของเขาถูกอะไรไม่รู้บาด เกิดเป็นแผลยาวดูน่าขนลุก
เลือดไหลลงไปตามแขนของเขาก่อนที่จะหยดลงบนพื้นกระเบื้องสะอาด ภาพของผู้หญิงชุดแดงคนหนึ่งปรากฏขึ้นในแอ่งเลือด เลือดเริ่มเปลี่ยนไปเหมือนมีคนกำลังเขียนอักษรเลือด
“ด้วยวิธีการของแก แกไม่มีวันหาทางไปโรงเรียนนั่นเจอ แกทำล้มเหลวแล้ว แกโกหกฉัน แกให้อิสระฉันไม่ได้ และตอนนี้ชีวิตของแกก็กำลังนับถอยหลังเพราะเรื่องนั้นแล้ว”
ความเจ็บปวดรุมเร้าชายหนุ่มมากขึ้น ของในตู้หล่นลงพื้น เขาหลับตา และโลกก็มืดลง ร่างของเขากระแทกเข้ากับเครื่องเรือน และแขนของเขาก็กวัดไกวไปมาอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาดูเหมือนกำลังจะจมน้ำ ยาและอุปกรณ์อื่น ๆ กระจายเต็มพื้น ชั้นหนังสือล้มลงมา และตำราหลายเล่มที่เกี่ยวกับดวงตาก็หล่นลงมาที่ข้างเท้าของเขา
“ของเหลวในดวงตาซึมออกมา ขอบแผลเปื่อยยุ่ย เส้นประสาทกำลังจะตาย และความไวแสงลดลง มันกระทบกับดวงตาเดิมของฉันด้วย มันเหมือนมีบางอย่างสู้กับมันอยู่ และมันก็ลืมตายากขึ้นเรื่อย ๆ!” ดวงตาของชายผู้นั้นปิดแน่น เขาเป็นเพียงคนเดียวในห้อง แต่เขาตะโกนสุดเสียงเหมือนกำลังพูดกับคนอื่น “แต่เธอไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ มันก็มีโอกาสที่จะดีขึ้นได้!”
ดวงตานั้นเป็นหน้าต่างของจิตใจ เมื่อดวงตาของคนผู้หนึ่งลืมเปิดไม่ได้ โลกที่ด้านในก็กลายเป็นมืดดำ ผู้ชายคนนั้นราวกับสัตว์ร้ายสักตัว ร้องคำรามจากความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วร่างจนกระทั่งล้มลงด้วยความอ่อนแรงและหมดสติไปที่ข้าง ๆ โต๊ะกินข้าว
แสงที่ในห้องกะพริบและสลัวลง ห้องดูเหมือนจะเปลี่ยนไป รอยเลือดที่บนพื้นเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มเหมือนสะเก็ดแผลแห้ง ๆ ในความเงียบสงัดนี้ ผู้หญิงสวมเสื้อคลุมสีแดงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในห้อง
เธอดูต่างไปจากเหวินอวี้ แต่ว่ากลับไปคล้ายกับชิวเหมยจากในเรื่อง เพื่อนร่วมโต๊ะ ผู้หญิงคนนี้เดินไปยืนอยู่ระหว่างชายหนุ่มกับเหวินอวี้เงียบ ๆ เธอหยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่ตกลงมาจากชั้นหนังสือขึ้นมา ปกมีเลือดเปื้อน และเมื่อพลิกเปิดหน้าปก ที่หน้าแรกนั้นมีชื่อหนึ่งเขียนเอาไว้ด้วยสีแดง– ชิวเหมย
ครึ่งแรกของสมุดบันทึกนั้นเขียนด้วยปากกาสีดำ แต่ว่าครึ่งหลังเป็นสีแดงทั้งหมด เธอพลิกไปที่สองสามหน้าสุดท้าย
สามสิบพฤศจิกายน: ผู้หญิงในชุดแดงคอยมารบกวนการผ่าตัด เหมือนกับหากเปลี่ยนดวงตาแล้วเธอจะหายไปตลอดกาล ดูเหมือนว่าฉางกูจะไม่ได้โกหกฉัน– ในที่สุดฉันก็จะหนีพ้นจากการทรมานของผีตนนี้
หนึ่งธันวาคม: ผู้หญิงในชุดแดงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หลายปีก่อน ก็เป็นเธอที่ลากฉันเข้ามาในร่างเหวินอวี้ให้ฉันกลายเป็นเหวินอวี้คนต่อมา เธอไม่ใช่เพื่อนฉัน ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่ใกล้ ๆ ฉัน
สองธันวาคม: การผ่าตัดเสี่ยงเกินไปและนั่นก็ยังไม่นับการรบกวนจากสิ่งเหนือธรรมชาติด้วย เหมือนคนบ้า เธอเอาแต่พยายามจะหยุดการผ่าตัดนี้ มันเหมือนว่าวิธีการของฉางกูจะสามารถหยุดความเจ็บปวดทั้งมวลได้จริง ๆ
สามธันวาคม: ตราบใดที่ผียังอยู่ที่นี่ การผ่าตัดก็ไม่สามารถดำเนินไปได้ตามปกติ ดังนั้นพวกเราจึงทำได้แค่ขังเธอไว้ ฉันไม่พูดกับเธอมาหลายปีแล้ว ดังนั้นคราวนี้ ฉันคิดว่าฉันคงจะต้องเล่นเกมกับเธอเสียหน่อย
สี่ธันวาคม: การผ่าตัดสำเร็จ ผีร้ายชุดแดงที่เอาแต่ตามฉันนั้นหายไปแล้ว แต่ว่าฉันก็ไม่เคยคิดว่ามันจะหายไปด้วยวิธีการเช่นนี้ หลังจากผ่าตัด ฉันกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือดตนใหม่
ห้าธันวาคม: ครั้งแรกที่ฉันเชื่อถือใครสักคนนอกเหนือไปจากย่าของฉัน ฉันก็สูญเสียอิสรภาพของตนเองและกลายไปเป็นแพะรับบาป ครั้งที่สองที่ฉันเชื่อถือคนอื่น ฉันสูญเสียกระทั่งเปลือกที่ฉันซ่อนตัวอยู่ แล้วตอนนี้ฉันจะทำอะไรได้? เชื่อเขาเป็นครั้งที่สาม? หรือว่า…
บันทึกจบลงที่ตรงนี้ ผู้หญิงในชุดแดงวางสมุดกลับลงไป เธอเอนตัวไปด้านข้าง มองพิจารณาฉางกู เส้นผมสีดำของเขาไหวขึ้นนิด ๆ ราวกับมีลมเป่า ดวงตาข้างขวาของผู้หญิงคนนี้นั้นแดงก่ำ แต่ว่าดวงตาข้างซ้ายนั้นเป็นโพรงสีดำ กระทั่งเธอกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือด เธอก็ไม่สามารถฟื้นฟูดวงตาข้างซ้ายของเธอได้
แสงที่ในห้องสลัวลงอีก และเสียงลูกแก้วกระทบกันก็ดังมาจากบนเพดาน เสียงน้ำดังมาจากในห้องน้ำ และปากกาก็กลิ้งไปบนพื้น มีดปอกผลไม้บนโต๊ะกาแฟขยับได้ด้วยตัวเอง มือซีดขาวข้างหนึ่งเอื้อมออกมาจากใต้เสื้อสีแดงและผู้หญิงคนนั้นก็จับใบมีดเอาไว้ด้วยสองนิ้ว
เธอยืนอยู่ตรงหน้าชายที่หมดสติและชูมีดให้แกว่งไกวอยู่เหนือศีรษะเขา เล็งไปยังดวงตาข้างขวาของเขาซึ่งไม่ได้มีผ้าพันแผลหุ้มอยู่ ตอนที่เธอกำลังจะปล่อยนิ้ว จู่ ๆ เธอก็หยุดเหมือสัมผัสถึงบางอย่างที่ในห้องได้
เธอหันกลับ และเส้นผมของเธอก็แยกออก ตรงที่ควรเป็นลูกตาของเธอที่กลวงเปล่านั้นมองตรงเข้ามาในกล้อง เหมือนเธอกำลังมองมาที่ผู้ชมที่หน้าจอ ในโรงเริ่มมีการเคลื่อนไหวประหลาด– มีเสียงฝีเท้าแทรกเข้ามาในเสียงเพลง
มีเสียงประหลาดดังอยู่ในบ้านที่บนจอด้วยเหมือนกัน มันดังมาจากส่วนลึกของตู้ จากใต้เตียง และจากด้านหลังประตู มันดังต่อเนื่องเรื่อย ๆ และยังสร้างความรู้สึกเหมือนมีเสียงแบบเดียวกันนั้นเกิดขึ้นในชีวิตจริงด้วย!
หูของแต่ละคนนั้นบอกไม่ได้อีกต่อไปแล้วว่าเสียงมาจากบนจอหรือว่าด้านหลังตัวเอง
แสงไฟจู่ ๆ ก็กะพริบ และผู้หญิงที่อยู่ใกล้จอ เธอเคลื่อนไหวไม่ช้าเลย เธอดูเหมือนกำลังยืนนิ่งอยู่ แต่หนึ่งนาทีให้หลัง ตอนที่เฉินเกอเพ่งตามองอีกครั้ง ระยะห่างระหว่างเธอกับหน้าจอก็หดลงมากขึ้น!
ความประหลาดที่ในจอและนอกจอเริ่มซ้อนทับกันช้า ๆ และมันก็สร้างความรู้สึกประหลาดในหมู่ผู้ชม มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังจมเข้าไปในหนัง กลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน หรือหน้าจอหนังนั้นค่อย ๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจริงอย่างช้า ๆ และผีที่ด้านในนั้นก็จะออกมาจริง ๆ
เสียงเพลงดังขึ้น และมันก็เหมือนมีคนเป่าลมเข้าไปในหูพวกเขาทุกคน
ผู้หญิงคนนั้นมาถึงที่ขอบจอแล้ว และแสงไฟในโรงละครก็สลัวที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็น เบ้าตากลวงเปล่านั้นแนบติดอยู่กับจอ และความว่างเปล่านั่นก็จับจ้องตรงมาที่ผู้ชมที่หน้าจอ
มีดปอกผลไม้ที่มีเลือดชุ่มเล็งออกมาข้างนอกและกลิ่นเลือดก็กำจายไปทั่วโรงละครที่ปิดทึบ แรกเลย เป็นเสียงที่ซ้อนทับกัน ต่อมาก็กลิ่นเลือด ตอนที่ผู้ชมรู้สึกสับสนกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น วิญญาณสีเลือดก็แนบตัวติดกับหน้าจอ
เลือดเหนียว ๆ ไหลย้อยลงไปตามหน้าจอและซึมออกมาบนยกพื้นที่ด้านหลังจอ ตอนที่ผู้ชมรู้สึกตัว ใบหน้าน่ากลัวนั่นก็โผล่ออกมาจากหน้าจอแล้ว!
เพลงประกอบนั้นถึงจุดสำคัญพอดี เหมือนคันศรถูกรั้งตึง กลิ่นเลือดหนาหนัก และฉากที่น่ากลัวที่สุดในโรงหนังในที่สุดก็มาถึง
ผีจากในหนังคลานออกมาจากจอ! เรื่องผีกลายเป็นจริงแล้ว!
ลมหายใจของเขาเปลี่ยนเป็นกระชั้น และเฉินเกอก็กำที่พักแขนแน่น ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดเปลี่ยนไปเป็นสีแดงทันที!
“วิญญาณสีเลือดจากในหนังออกมาแล้ว!” เขาผุดลุกขึ้นและในเวลาเดียวกับที่วิญญาณปรากฏ เขาก็ร้องเสียงดัง “จับเธอไว้! อย่าปล่อยให้เธอหนีกลับเข้าไปในหนังได้!”
ตอนที่ 724
การปรากฏตัวของวิญญาณสีเลือดในภารกิจระดับสองดาวนั้นเป็นสิ่งที่เฉินเกอก็ไม่ได้คาดคิดเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่มีทางเลือก– พนักงานทั้งหมดที่เขาสามารถพึ่งพาได้ล้วนอยู่กับเขา ไป๋ชิวหลินและผีน้ำทั้งคู่เป็นกึ่งวิญญาณสีเลือด และด้วยความช่วยเหลือจากพนักงานคนอื่น ๆ รั้งวิญญาณสีเลือดจากในหนังเอาไว้ย่อมไม่เป็นปัญหา
เฉินเกอนั้นก็แค่ต้องการรั้งวิญญาณสีเลือดเอาไว้ครู่หนึ่ง ร่างกายของเขาเอนไปทางชายตาบอดข้างตัว เขามีแผนการอยู่ในใจแล้ว
พนักงานล้วนตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่เจอเข้ากับเรื่องเช่นนี้– นี่เป็นความตื่นเต้นที่ไม่ใช่หนังสามมิติทั่วไปจะสามารถลอกเลียนแบบออกมาได้ กลิ่นเลือดกระจายอยู่ในโรงละครส่วนตัวปิดทึบ และเสียงคำรามต่ำในไม่ช้าก็เปลี่ยนไปเป็นเสียงร้องโหยหวน
เลือดไหลลงมาตามหน้าจอ และผู้หญิงในชุดแดงก็เดินออกมา เสียงเลือดหยดไม่ได้หยุดลง เธอหันหน้าที่ดวงตาข้างหนึ่งหายไปมาและดวงตาข้างที่เหลืออยู่ก็จับจ้องอยู่ที่หญิงสาวที่นั่งอยู่แถวหน้าที่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ น้ำและเลือดเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้าของเธอ และผมเปียก ๆ ของเธอก็แนบติดกับผิวซีด ๆ ผ่านม่านผมก็จะมองเห็นประกายของดวงตาที่บวมอืดจากการแช่อยู่ในน้ำนานเกินไป!
ที่นั่งเปียกชุ่ม และแอ่งน้ำบนพื้นก็ขยายกว้างออกไป พวกเธอคนหนึ่งอยู่บนยกพื้น อีกคนอยู่ด้านล่าง
สำหรับฝ่ายหนึ่ง นี่เป็นการดูหนังครั้งแรกของเธอ และจิตใจอันเรียบง่ายของเธอก็กำลังทำความเข้าใจในแนวทางของศิลปะชิ้นนี้ อีกฝ่ายกำลังงุนงงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เจอกับผู้ชมเช่นนี้ เธอมองกลับมาด้วยสีหน้าสับสน เหมือนสงสัยว่าอันที่จริงแล้วเธอยังอยู่ในหนังใช่หรือไม่
ดวงตาขอบผู้หญิงในชุดแดงในที่สุดก็ขยับไปจากผีน้ำ แต่ตอนที่เธอเห็นผู้ชมที่เหลือในโรงละคร ความงุนงงของเธอก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ด้านหลังผีน้ำนั้นเป็นคุณหมอแถวหนึ่ง เสื้อกาวน์สีขาวของพวกเขานั้นปลิวไหวอยู่ใต้ที่นั่ง และนอกจากความเมินเฉยแล้วก็ไม่มีสีหน้าอื่นใดให้สังเกตเห็นได้
ถัดจากหมอเป็นชายที่สวมกางเกงยีนส์เก่า ๆ มือข้างหนึ่งยัดเอาไว้ในกระเป๋าขณะที่อีกข้างยกขึ้นขวางหน้าเฉินเกอเอาไว้ และที่น่าประหลาด ยังมีมืออีกข้างพาดอยู่บนไหล่เขาด้วยท่วงท่าสบาย ๆ
เสียงกรีดร้องส่วนใหญ่นั้นมาจากเหล่านักเรียนที่ในห้อง พวกเขาก่อความวุ่นวายใหญ่โต แต่ว่านั่นก็แค่แสดงไปอย่างนั้น ยิ่งพวกเขาเสียงดัง พวกเขาก็ยิ่งเข้าใกล้หน้าจอไปเรื่อย ๆ
ผู้เข้าชมแถวสุดท้ายลุกขึ้นยืน และพวกเขาก็ดูประหลาดยิ่งกว่า ในมุมทางซ้ายมือดูเหมือนจะมีคู่รักคู่หนึ่ง ใบหน้าของผู้ชายนั้นขาว และผู้หญิงดูบอบบางเหมือนเธอจะหมดสติไปเมื่อไหร่ก็ได้ กลับกัน ชายร่างอ้วนสูงสองเมตรเบียดตัวอยู่ที่อีกมุมหนึ่ง และเขาก็พยายามเก็บกลิ่นเหม็นของตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ถัดจากชายร่างอ้วนเป็นชายร่างผอมสูงที่มีเชือกคล้องอยู่รอบคอ คราวนี้ ผู้ชมนั้นแตกต่างกันออกไปจนผู้หญิงในชุดแดงนิ่งอึ้งไปครู่สั้น ๆ หลังจากออกจากจอมา
มี ‘ทุกคน’ อยู่ที่นี่ เฉินเกอจึงใจเย็นเป็นที่สุด ต้้งแต่ที่ผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัว เขาก็มองตามเธอด้วยดวงตาหยินหยาง ให้ความสนใจอย่างเต็มที่ ไม่ช้าเขาก็พบว่าตอนที่ผู้หญิงคนนี้ออกจากจอมา สีแดงบนชุดของเธอก็ซีดลงเล็กน้อย และเห็นได้ชัดที่สุดที่ตรงรอบหัวใจ– เลือดที่ตรงนั้นเกือบจะแห้งและหายไป
วิญญาณสีเลือดตนนี้ดูเหมือนจะสามารถปลดปล่อยพลังเต็มที่ของเธอได้ตอนที่อยู่ในหนังเท่านั้น เมื่อเธอออกมา พลังของเธอก็ลดลงเป็นอย่างมาก
เมื่อเข้าใจเช่นนี้ เฉินเกอก็มั่นใจมากขึ้น อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นแค่ฉากระดับสองดาว
ผีน้ำและไป๋ชิวหลินเผชิญหน้ากับผู้หญิงโดยตรงขณะที่ผีตนอื่น ๆ นั้นช่วยกันขวางหน้าจอเอาไว้ ตอนที่การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นนั้น เฉินเกอก็ยกค้อนที่อยู่ในมือข้างหนึ่งและหันไปหาชายตาบอดที่นั่งอยู่ข้างเขา
“ฉางกู หนังเก่า ๆ ที่เกี่ยวข้องกับดวงตาข้างซ้ายยังอยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าคุณกับชิวเหมยจะล้มเหลวในการตามหาเหวินอวี้ตัวจริง” ทุกคำของเฉินเกอนั้นแทงเข้าหัวใจของฉางกูเหมือนเล็บแหลม ๆ เปลือกตาของเขากระตุก และเขาก็ก้มหน้าต่ำลงไปอีก
“พวกเราคุยเรื่องนี้กันได้อย่างเป็นมิตร อันที่จริง ผมกำลังตามหาโรงเรียนผีนั่นและผมก็มีหนทางแล้ว” เฉินเกอนั้นเป็นคนเปิดเผย ในสถานการณ์ที่ยังตัดสินอะไรไม่ได้ เขาก็แบ่งปันข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนแห่งปรโลกและแสดงให้เห็นว่าเขายินดีให้ความร่วมมือ
“ฉางกู หลังจากดูหนังที่คุณกำกับแล้ว ผมรู้ว่าคุณเป็นคนฉลาดและมีพรสวรรค์ แต่ดูคุณตอนนี้สิ
“คุณยอมแพ้แล้วเหรอ? คุณยินดีแอบซ่อนตัวอยู่ในฮอลิเดย์วิลล่าร้างต่อไปจนตลอดชีวิตที่เหลืออย่างนี้เหรอ? จนกระทั่งตายคุณก็หาเหวินอวี้ไม่พบ? คุณยอมผิดสัญญากับชิวเหมยแล้วเหรอ?
“คุณทุ่มเทชีวิตให้กับการทำงาน และหนังพวกนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ ผมอินไปกับหนังของคุณ และผมก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ ผมเข้าใจความเจ็บปวดของคุณ และผมก็ดูออกว่าทำไมคุณถึงได้ทิ้งชีวิตของคุณแล้วตอนนี้
“ผมเข้าใจคุณ และเพราะอย่างนั้น ผมอยากจะร่วมมือกับคุณ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจะมายอมแพ้!”
ตอนที่ดูหนัง เฉินเกอก็พอจะเข้าใจกระบวนการทั้งหมด เขาเล็งไปที่จุดอ่อนในหัวใจของฉางกูและพยายามทำลายเปลือกนอกที่เย็นชาของเขา
“วิญญาณของเหวินอวี้ยังหาไม่เจอ บางทีเธออาจจะยังติดอยู่ในโรงเรียนร้างนั่น ผมแน่ใจว่าร่างกายของเธอนั้นแย่ลงไปทุกวัน ร่างกายที่ไม่มีดวงวิญญาณจะเป็นอย่างไรเล่า? ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณสองคนหลังจากนั้น แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมแน่ใจ มันยังไม่สายเกินไป ทุกอย่างยังแก้ไขได้!”
ฉางกูเริ่มหวั่นไหวแล้ว เฉินเกอเห็นโอกาสนี้และเสริม “คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงตามหาโรงเรียนนั่น?”
เขาก้มลงไปมองเข้าไปตรงดวงตาฉางกู “ผมเป็นเจ้าของบ้านผีสิงที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่จิ่วเจียงตะวันตก ประมาณหกเดือนก่อน พ่อกับแม่ของผมหายตัวไป และมีร่องรอยมากมายบ่งชี้ว่าพวกเขาไปที่โรงเรียนนั่น!”
เปลือกตาของฉางกูกระตุกกว่าเดิม หน้าอกของเขากระเพื่อมไม่เป็นจังหวะ และในที่สุดเขาก็ถามคำถามกลับมา “พ่อกับแม่ของคุณไปที่โรงเรียนนั่นจริงเหรอ?”
“ใช่ และเพื่อตามหาพวกเขา ผมไปที่โรงเรียนมัธยมมู่หยาง โรงเรียนเอกชนจิ่วเจียงตะวันตก วิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียง และที่อื่น ๆ ผมรวบรวมเงื่อนงำบางส่วนได้” เฉินเกอแบ่งปันประสบการณ์ของเขา ถ้าประสบการณ์ของฉางกูนั้นเป็นเรื่องเล่า อย่างนั้นประสบการณ์ของเฉินเกอก็เป็นตำนาน
เฉินเกอบอกทุกอย่างออกไปให้ฉางกูฟังเหมือนเด็กที่แสนซื่อตรงคนหนึ่ง ไม่โกหกเลยสักคำ หลังจากได้ฟังเรื่องของเฉินเกอ ฉางกูก็รู้สึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขานั้นไม่ควรค่าให้พูดถึงด้วยซ้ำ และยังไม่มีเหตุผลให้เขาต้องยอมแพ้
“พวกเราร่วมมือกันได้ นั่นเป็นสถานการณ์ได้กับได้ ลองคิดดู”
เฉินเกอลุกขึ้น ลากค้อนเดินออกไปจากที่นั่นไปที่ยกพื้น ตรงหน้าผู้หญิงคนนั้น เขาโยนค้อนไปข้าง ๆ ยกแขนขึ้น และพูดพร้อมกับดวงตาที่อ่อนโยน “วิญญาณทั้งหมดที่เคยครอบครองดวงตาข้างซ้ายล้วนสูญเสียตัวตนและเปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาด แต่ว่าคุณเป็นข้อยกเว้นเดียว ตลอดหลายปีมานี้ คุณคงทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวเงียบ ๆ
“คุณเองก็เป็นเหยื่อคนหนึ่ง แต่ว่าคุณก็เป็นวีรสตรีด้วย
“ตอนที่ความโชคร้ายหล่นใส่ใครคนหนึ่ง ความมืดดำในหัวใจของพวกเขาก็จะสาปแช่งโลกนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่ความสงสารแต่ว่าคือคนที่เข้าใจ
“แต่ว่าคนที่อ่อนโยนนั้นเลือกที่จะทนรับทุกอย่างเงียบ ๆ ช่วยปกปิดบาดแผลของโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบและตอบคืนความโชคร้ายเหล่านั้นด้วยความเมตตาและความอบอุ่น”
เฉินเกอเดินขึ้นไปบนยกพื้นและไปหยุดอยู่ไม่ห่างจากผู้หญิงคนนั้น
“ไม่ว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ คุณก็เป็นคนที่อ่อนโยนอย่างนั้นคนหนึ่งนะ ชิวเหมย”
ตอนที่ 725
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ชิวเหมยได้รับคำชื่นชมเช่นนี้ พ่อกับแม่ของเธอติดคุกตั้งแต่เธอยังเด็ก และก็เป็นย่าของเธอที่ดูแลเธอมา เพราะขาดความเอาใจใส่และความรักจากพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก นิสัยของชิวเหมยจึงต่างไปจากคนอื่นอยู่เสมอมา เธอเป็นคนตรงไปตรงมา และบางครั้งอาจจะบอกว่าเธอป่าเถื่อนและไร้มารยาท
เมื่อเธออายุมากขึ้น นิสัยของเธอก็โตขึ้น เมื่อเธอตัดสินใจจะบอกลาตัวเองในอดีตและพยายามดูสักครั้งในชีวิต เธอก็เจอกับเหวินอวี้ ก่อนที่ดอกไม้จะทันได้คลี่บาน มันก็ถูกตัดออกมาเสียก่อน แต่เพราะความลำบากในสมัยเด็ก ชิวเหมยจึงไม่ได้พ่ายแพ้ไปในทันที เธอยังรักษานิสัยของเธอเอาไว้ได้ และนั่นเป็นเหตุผลให้เฉินเกอชื่นชมเธอ
หลังจากได้ดูหนังของฉางกู เฉินเกอก็ยังไม่เข้าใจนักว่าทำไมเหวินอวี้ถึงได้รับคัดเลือกเข้าไปที่โรงเรียนแห่งปรโลกและยิ่งไม่รู้เลยว่าดวงตาข้างซ้ายปรากฏขึ้นมาได้ยังไง เขาไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเหวินอวี้กับพี่ชายของเธอว่าเป็นอย่างไร แต่เขารู้ดีว่า เรื่องทั้งหมดนี้ ชิวเหมยเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ควรถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องที่สุด
ผู้ชมประหลาดปรากฏตัวในโรงละคร และที่ประหลาดกว่าผู้ชมทั้งกลุ่มก็คือชายหนุ่มที่ยังมีชีวิตอยู่ที่เดินขึ้นมาบนยกพื้น ดวงตาข้างขวาของชิวเหมยลืมขึ้นช้า ๆ ดวงตาแดงก่ำนั้นบ่งบอกความสับสน เธอได้รับการปลอบโยนจากถ้อยคำของชายคนนี้ แต่บางอย่างมันก็ไม่ได้เหมาะกับเธอนัก
ตอนที่เธอบิดคอมองไปรอบ ๆ ชิวเหมยจ้องฉางกูที่นั่งอยู่ที่นั่งตรงกลาง เหมือนกับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ฉางกูเงยหน้าขึ้นทั้งที่ก้มหน้าต่ำมาโดยตลาด เหมือนเขาตัดสินใจแล้ว เขาถอนหายใจเบา ๆ เปลือกตาของเขาสั่น และในที่สุดฉางกูก็ลืมตาขึ้น
“เธอเป็นใคร?” ดวงตาข้างซ้ายของฉางกูนั้นมีขนาดใหญ่เท่าดวงตาของคนทั่วไป แต่ว่ารอบลูกตานั้นมีวงแหวนสีแดงล้อมอยู่ ดวงตาข้างขวาของเขาซึ่งควรจะปกติ กลับดูน่ากลัวกว่า ม่านตาเหมือนจะละลายหายไปและสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือลูกตาที่มีรอยแตกพาดผ่านไปทั่ว
“ดวงตาข้างซ้ายของฉันคือดวงตาของเหวินอวี้ แต่ว่าการผ่าตัดไม่สำเร็จ ดวงตาข้างนี้จึงมองเห็นแค่สีที่ต่างออกไปจากธรรมดา บางครั้งฉันก็มองเห็นบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็นได้เพียงผาด ๆ”
ตอนที่ฉางกูพูด เขาก็มองตรงไปยังชิวเหมยที่ตรงหน้าจอ หลังจากผ่าตัดไม่สำเร็จ พลังของดวงตาข้างซ้ายก็เหลืออยู่เพียงบางส่วน “ดวงตาข้างขวาของฉันนั้นบอดไปแล้ว และฉันก็ไม่สามารถบอกเหตุผลชัดเจนได้ว่าทำไม บางทีมันอาจจะเป็นคำสาปของดวงตาข้างซ้าย” ฉางกูไออย่างหนักก่อนที่จะหลับตาลงอีกครั้ง แต่หลังจากลืมตาขึ้นเพียงแค่ไม่กี่วินาที ดวงตาข้างซ้ายของเขาก็เริ่มมีเลือดไหลออกมา
“ดูเหมือนว่าการคาดเดาของฉันจะถูกต้อง” เฉินเกอยังยืนอยู่บนยกพื้น ระหว่างเขากับชิวเหมยนั้นห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว
“ไม่ว่าคุณจะถูกหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว” เป็นนานกว่าฉางกูจะหยุดไอ “ผมร่วมมือกับคุณได้ แต่คุณคิดว่าผมจะเชื่อสิ่งที่คุณพูดได้ยังไง?”
เฉินเกอนั้นกลัวว่าฉางกูจะไม่ยอมพูดคุยมากกว่า ตราบใดที่มีโอกาส เขาก็ยังคิดจะเป็นเพื่อนกับคนผู้นี้ เขาดึงโทรศัพท์ออกมา เฉินเกออ่านข่าวท้องถิ่นของจิ่วเจียงออกมาดัง ๆ “ผมไม่จำเป็นต้องโกหกคุณ นี่เป็นข่าวที่ยืนยันคำอ้างของผมได้ ถ้าคุณยังไม่เชื่อผม คุณค้นในออนไลน์เองเกี่ยวกับบ้านผีสิงของผมก็ได้”
เฉินเกอแสดงความจริงใจ แต่ว่าฉางกูก็ไม่เชื่อเขาโดยง่าย คนผู้นี้ที่อาศัยข่าวอาชญากรรมยืนยันตัวตนของตนเองย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ๆ ร่วมมือกับคนผู้นี้ก็เหมือนผูกมิตรกับเสือ– อาจจะถูกกินในครู่ถัดมาก็ได้
“ถ้าคุณยินดีร่วมมือ คุณสามารถกลับไปบ้านผีสิงกับผมได้เลยวันนี้ ทุกประโยคที่ผมพูดเป็นความจริง” เวลานับถอยหลังของโรงเรียนแห่งปรโลกกำลังจะหมดลงแล้วและเฉินเกอก็กลัวจะพลาดมันไป “นี่เป็นประโยชน์กับพวกเราทั้งสองคน ผมจะให้เวลาคุณทั้งเช้าเพื่อคิดดู ผมจะกลับมาอีกทีคืนพรุ่งนี้
“สภาพของเหวินอวี้นั้นน่าจะไม่ดีนัก ผมเป็นห่วงพ่อกับแม่ผมเหมือนกัน อันที่จริง พวกเราก็มีเป้าหมายเดียวกัน แต่ว่า ผมไม่เคยบังคับให้คนอื่นต้องทำสิ่งที่พวกเขาไม่อยากทำ ถ้าคุณตกลง อย่างนั้นผมก็จะกลับมาอีกทีคืนพรุ่งนี้แล้วแบ่งปันทุกอย่างที่ผมรู้กับคุณ”
ยืนอยู่บนยกพื้น ในดวงตาของเฉินเกอมีความอ้างว้างที่บรรยายออกมาไม่ได้ “พวกเราเป็นคนแบบเดียวกันไม่มีใครช่วยพวกเราได้แล้วบนโลกนี้นอกจากตัวพวกเราเอง”
เห็นความโดดเดี่ยวในดวงตาของเฉินเกอ ฉางกูก็กุมดวงตาที่มีเลือดไหลเอาไว้ มองไปยังห้องที่เต็มไปด้วยผี เขารู้สึกเหมือนเป็นพวกเดียวกับเฉินเกอขึ้นมา “ให้ผมคิดดูก่อน…”
“ไม่มีปัญหา นี่เป็นความปรารถนาอย่างจริงใจของผมที่จะช่วยคุณเพราะว่าผมรู้ว่าการช่วยคุณก็คือการช่วยตัวผมเอง” เฉินเกอนั้นเป็นพวกที่คิดถึงภาพรวม และนั่นก็สะท้อนออกมาในวิธีการคิดของเขา “เหวินอวี้และโรงเรียนนั่นเป็นสิ่งที่คุณเป็นกังวลถึงที่สุด ผมรู้ว่าผมมาเยือนที่นี่อย่างกะทันหันไปสักหน่อย และผมก็เข้าใจความสงสัยและระแวงของคุณที่มีต่อผม เพื่อลดช่องว่างระหว่างพวกเรา ผมยินดีให้วิญญาณสีเลือดตนนี้ตามผมกลับบ้าน ผีนั้นอ่านใจคนเก่งที่สุด คุณสามารถให้เธอคอยจับตามองผมอย่างใกล้ชิดและดูว่าผมโกหกคุณหรือเปล่า”
“คุณยินดีให้ผีตามคุณกลับบ้าน?” นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉางกูเจอกับคำร้องขอเช่นนี้
“ถ้าคุณเป็นห่วงความปลอดภัยของชิวเหมย ผมสามารถขอให้เพื่อนผมคนหนึ่งอยู่ที่นี่เป็นตัวประกันก็ได้” เฉินเกอคิดว่าเขาไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล สำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นี่เป็นการกระทำที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว
“ให้เพื่อนของคุณอยู่ที่นี่เป็นตัวประกัน?” ฉางกูตัวสั่น ถ้าพวกเขาอยู่ที่นี่จริง ๆ ก็ยากที่จะบอกแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวประกัน “ไม่จำเป็น ผมเชื่อคุณ”
ฉางกูอยากจะพูดบางอย่างแต่ว่าเฉินเกอหันไปหาชิวเหมยแล้ว
“ครั้งแรกที่คุณเชื่อใจคนอื่น คุณสูญเสียอิสระของตัวเอง ครั้งที่สองที่คุณเชื่อคนอื่น คุณสูญเสียชีวิต วันนี้ คุณได้รับตัวเลือกครั้งที่สาม” เฉินเกอนั้นเป็นแค่คนธรรมดา ยืนอยู่ต่อหน้าชิวเหมย เขากลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว เสียงของเขานั้นทรงพลังและอบอุ่น
“มาสิ ผมจะช่วยให้คุณเห็นอีกด้านหนึ่งของโลก” เฉินเกอเปิดหนังสือการ์ตูน ตอนที่เด็กสาวยังลังเลอยู่ ก่อนที่เธอจะทันเข้าใจสถานการณ์ เธอก็ถูกดึงเข้าไปในหนังสือแล้ว ชิวเหมยไม่ได้ต่อต้าน ตอนที่เฉินเกอปิดหนังสือการ์ตูน โทรศัพท์เครื่องดำก็สั่น
เฉินเกอดึงมันออกมาดูข้อความใหม่
“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณที่ค้นพบวิญญาณสีเลือดหายาก– ชิวเหมย!
“ชิวเหมย (วิญญาณสีเลือด): เธอเปลี่ยนไปเป็นวิญญาณสีเลือดเพราะเหตุผลพิเศษและไม่ได้มีความอาฆาตแค้นมากนัก เธอครอบครองพลังของวิญญาณสีเลือดเฉพาะเมื่ออยู่ในภาพยนตร์ หลังจากออกจากภาพยนตร์ พลังของเธอจะลดลงเป็นอย่างมากและเธอก็ไม่สามารถใช้พลังพิเศษของตัวเองได้
“พลังพิเศษของชิวเหมย: ??? (จะปลดล็อกหลังจากเป็นพนักงานของบ้านผีสิงอย่างเป็นทางการ)”
หลังจากอ่านข้อความแล้วเฉินเกอก็ประหลาดใจ ชิวเหมยเป็นวิญญาณสีเลือดที่พิเศษมากจริง ๆ
ไม่ใช่ว่าพนักงานพิเศษเช่นนี้คือสิ่งที่ฉันกำลังมองหาหรอกเหรอ? เฉินเกอเก็บโทรศัพท์แล้วโบกมือให้ฉางกูด้วยท่าทางดีใจมาก
ฉางกูที่นั่งอยู่กลางโรงละครกุมดวงตาข้างซ้ายที่มีเลือดไหลเอาไว้ ในตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนตัวเองพลาดอะไรบางอย่างไป
ตอนที่ 726
ฉางกูตกลงร่วมมือกับเฉินเกอ และพวกเขาก็ทำข้อตกลงคร่าว ๆ หลังจากสัญญาว่าจะมาหาใหม่อีกครั้งคืนถัดไป เฉินเกอก็ผลักเปิดประตูโรงละครส่วนตัว ท้องฟ้าด้านนอกสว่างขึ้นแล้ว ทันทีที่เฉินเกอก้าวเท้าออกจากโรงละคร โทรศัพท์เครื่องดำก็สั่นอีกครั้ง
“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ คุณดูหนังในโรงละครแห่งซากจบ ขอแสดงความยินดีที่ทำภารกิจระดับสองดาวส่วนแรก– ดวงตาข้างซ้าย สำเร็จ!
“สำหรับภารกิจส่วนที่สอง ตามหาพี่ชายของเหวินอวี้ ฉางกู และได้รับความชื่นชอบจากเขา!
“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณที่ทำภารกิจส่วนที่สองสำเร็จ
“สำหรับภารกิจส่วนที่สาม เดินทางไปยังโรงพยาบาลจิตเวชจิ่วเจียงเพื่อให้เห็นสีสันของความฝันของเหวินอวี้ด้วยตัวคุณเอง!
“คำเตือน! ภารกิจนี้มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนหลายอย่าง หลังจากทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับความชื่นชอบจากเหวินอวี้ ชิวเหมย และฉางกูมากขึ้น! จะสามารถปลดล็อกฉากระดับสองดาว โรงละครคนตายและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์!”
เห็นข้อความบนโทรศัพท์เครื่องดำ ความปรารถนาจะทำภารกิจระดับสองดาวให้สำเร็จของเฉินเกอก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น นอกจากจะมอบฉากระดับสองดาวใหม่ให้เขาแล้ว เขายังได้อุปกรณ์ที่มีประโยชน์อีกมากมาย ก่อนหน้านี้ เขาสัญญากับพนักงานรับโทรศัพท์สายด่วนฆ่าตัวตายว่าจะช่วยเขาถ่ายหนังเรื่องหนึ่งให้เสร็จ ตอนนี้ เขามีผู้กำกับและนักแสดงแล้ว และหลังจากทำภารกิจสำเร็จ เขาก็จะมีอุปกรณ์ที่จำเป็นด้วย
“ถึงแม้ว่าภารกิจทดลองนี้จะค่อนข้างซับซ้อน แต่รางวัลก็ดีงามตามไปด้วย ฉันอยากรู้ว่าปัจจัยที่ไม่แน่นอนที่โทรศัพท์เครื่องดำเตือนหมายถึงอะไร?” เฉินเกอนั้นเข้าใจกฎของภารกิจที่โทรศัพท์เครื่องดำให้อยู่แล้ว– รางวัลนั้นเป็นสัดส่วนกับระดับของอันตราย
“สีสันของความฝันของเหวินอวี้? ความฝันของคนเรามีสีด้วยเหรอ?” คำอธิบายของภารกิจนั้นค่อนข้างประหลาด เฉินเกอบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเหวินอวี้ในภารกิจคือเหวินอวี้ในชีวิตจริงหรือว่าวิญญาณของเหวินอวี้
“เอาเถอะ ฉันแน่ใจว่าถึงที่สุดแล้วทุกอย่างก็จะกระจ่าง ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากไป คืนพรุ่งนี้ ฉันจะพาฉางกูไปเยี่ยมเหวินอวี้ด้วยกัน” เฉินเกอไม่คิดที่จะกลับคำ ไม่ว่าจะเป็นชิวเหมยหรือเหวินอวี้ เขาเห็นคุณค่าของทั้งสองคน
ด้วยคำยืนกรานของฉางกู เฉินเกอนำพนักงานทั้งหมดของเขากลับออกมาจากฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิง เขาเดินอยู่นานกว่าจะเรียกแท็กซี่ได้คันหนึ่งที่ยอมรับเขาขึ้นรถ
เฉินเกอไม่รู้สึกเหนื่อยถึงแม้ว่าจะไม่ได้หลับเลยสักวินาที การปรากฏตัวของดวงตาข้างซ้ายทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับภารกิจระดับสี่ดาว โรงเรียนแห่งปรโลก และความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจเขา ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ จางหยางนั้นยังไม่ตื่นขึ้นก่อนที่ภารกิจโรงเรียนแห่งปรโลกจะหมดเวลาแน่ ๆ เมื่อไม่มีเธอ ความยากของภารกิจก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
เฉินเกอนั้นลังเลอยู่ว่าเขาควรจะเสี่ยงดีหรือไม่ สวนสนุกแห่งอนาคตกำลังจะเปิดแล้ว ถ้าไม่มีฉากน่าตื่นเต้นใหม่ ๆ ความนิยมของสวนสนุกนิวเซนจูรี่ที่เพิ่งมีมาก็อาจจะถูกสวนสนุกแห่งใหม่แย่งชิงไป เขาพยายามอย่างหนักก็เพื่อวันนี้ และตอนนี้ก็เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว
“ถ้าฉันสามารถหาข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับโรงเรียนแห่งปรโลกได้ระหว่างทำภารกิจดวงตาข้างซ้าย อย่างนั้นฉันก็จะไปดูรอบ ๆ โรงเรียนผีนั่นก่อนที่เวลาจะหมดลง” ยอมแพ้โดยไม่ได้ไปดูสถานที่ด้วยซ้ำนั้นเป็นสิ่งที่เฉินเกอทำไม่ได้
เฉินเกอเอนหลังพิงเบาะ มองไปยังเงาของตัวเองและก็จมลึกไปในภวังค์ เขากลับไปถึงสวนสนุกนิวเซนจูรี่ตอนแปดโมงเช้า เขาเพิ่งเข้าประตูไปก็เห็นคนสองคนเดินอยู่หน้าทางเข้าบ้านผีสิงของเขา
“ลุงซู? จิงจิ่ว? พวกคุณสองคนมาเช้านะวันนี้” เฉินเกอวางกระเป๋าลงที่เก้าอี้ไม้และเก้าอี้ก็ลั่นเอี๊ยดจากน้ำหนักกดทับ
“แกออกไปข้างนอกคนเดียวอีกแล้วเมื่อคืนนี้?” ลุงซูมองเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะพังลงไปเมื่อไหร่ก็ได้
“ผมแค่ออกไปวิ่งตอนเช้า” เฉินเกอแก้ตัวง่าย ๆ
“วิ่งกับกระเป๋าหนักขนาดนั้นน่ะนะ?” ลุงซูถอนหายใจอย่างจนปัญญา “แกไม่ใช่เด็กหนุ่ม ๆ แล้วนะ หยุดเสียเวลาเปล่ากับกิจกรรมกลางคืนได้แล้ว ทางที่ดีก็หาเมียสักคนมาทำให้ชีวิตของแกเข้ารูปเข้ารอยสักที”
“ลุงซู ลุงคงไม่ได้มาเช้าป่านนี้เพื่อแนะนำคู่หมายให้ผมนะ?” เฉินเกอมองเงาตัวเองแล้วก็ปาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามใบหน้า
“ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้น” ลุงซูถอนหายใจ “เมื่อกี้นี้ ฉันได้รับโทรศัพท์จากผู้อำนวยการลั่ว เมื่อคืน คนจากสถาบันฝันร้ายซินไห่เปิดกระทู้หลายกระทู้บนกระดานสนทนาใหญ่ที่สุดบนออนไลน์เกี่ยวกับบ้านผีสิงของแก พวกเขาตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัยของบ้านผีสิงของแก และกระทู้ก็ได้รับความนิยมเร็วมาก ผู้อำนวยการลั่วเชื่อว่ามีคนของสวนสนุกแห่งอนาคตอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่”
“สถาบันฝันร้าย? พวกเขาอีกแล้ว? ผมยังไม่ทันเรียกร้องให้พวกเขาออกมาอธิบาย และพวกเขาก็ยังมาหาเรื่องเราแล้ว?” เสียงของเฉินเกอนั้นแฝงอันตรายไว้
“แกคิดจะทำยังไง? ใจเย็นก่อนนะ! อย่าทำอะไรวู่วาม!” ลุงซูหยุดเฉินเกอไว้ทันที
“ผู้อำนวยการลั่วให้ฉันมาที่นี่แต่เช้าเพื่อเตือนแก บอกให้แกเก็บตัวเงียบ ๆ อย่าปล่อยให้พวกเขาเอาเปรียบแกได้ หลังจากพวกเราผ่านการเปิดตัวของสวนสนุกแห่งอนาคตไปได้ ทุกอย่างก็ไม่เป็นไรแล้ว”
“พวกเราทำอะไรเปิดเผยเสมอ จะมีอะไรที่พวกเขาจะเอาเปรียบเราได้กัน?”
“แกพูดไม่ผิด แต่ว่าพวกเราก็รับรองไม่ได้ว่าพวกเขาจะไม่เล่นวิธีสกปรกและแต่งเรื่องขึ้นมา” ลุงซูต้องการให้เฉินเกอระมัดระวังให้มากขึ้น
“ลุงพูดออกมาเองนะ ลุงซู พวกเขาลดตัวลงต่ำไปเพื่อสร้างปัญหาให้พวกเรา ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมคิดว่าพวกเราก็ควรจะใช้วิธีการที่ต่างออกไปรับมือกับปัญหานี้” เฉินเกอคว้ากระเป๋าหนังอึ้งแล้วมองเข้าไปข้างใน
“แกคิดจะทำอะไร?” ลุงซูรู้สึกไม่ดี
“ในเมื่อพวกเขาต้องการหาข้อบกพร่องของเราทั้งที่มันไม่มี อย่างนั้นผมก็จะไปจัดการพวกเขาซะ ทีนี้ก็จะไม่มีใครมาหาเรื่องพวกเราอีกใช่ไหม?” เฉินเกอตอบเหมือนว่าความจริงก็เป็นอย่างนี้
“จัด.. จัดการพวกเขา?” ลุงซูก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เหมือนเขาได้ยินที่เฉินเกอพูดไม่ชัดและอยากจะฟังให้ชัดเจน
“ง่ายจะตาย ผมจะไปที่ซินไห่วันนี้” เฉินเกอตบไหล่ลุงซู “ไม่ต้องห่วง ตอนนี้มีรถไฟระหว่างเมือง ไปกลับก็แค่สองชั่วโมงเท่านั้น ผมจะกลับมาก่อนมืด”
“แกคิดจริง ๆ หรือว่าฉันเป็นห่วงเรื่องนั้น?” ลุงซูผลักแขนเฉินเกอทิ้ง “นี่เป็นปัญหาทางธุรกิจ อย่าได้ทำให้มันกลายเป็น…”
“ไม่ต้องห่วง ให้ผมจัดการเอง ผมจะไม่ทิ้งหลักฐานเอาไว้”
“หลักฐานอะไร? แกอย่าไปสร้างเรื่องนะ!”
หลังจากปลอบลุงซูแล้ว เฉินเกอก็หันไปหาจางจิงจิ่ว “จิงจิ่ว ทำไมนายถึงมาเช้านักล่ะวันนี้?”
“บอส ผมจะมาลางานวันหนึ่งครับ” จางจิงจิ่วดึงโทรศัพท์ออกมา มีข้อความบนนั้น “พ่อของผมเข้าโรงพยาบาล ผมอยากไปเยี่ยม”
“ไม่มีปัญหา” เฉินเกอตอบตกลงอย่างง่ายดาย “ถ้าฉันจำไม่ผิด นายเคยบอกว่าพ่อของนายอยู่ที่เมืองซินไห่”
“ครับ”
“อย่างนั้นก็ยอดเยี่ยมเลย ฉันจะไปซินไห่กับนาย พวกเราจะนับมันเป็นการไปดูงาน” สายตาของเฉินเกอย้ายจากทั้งสองคนไปที่ขอบฟ้า “หลังจากพวกเรารอดพ้นจากการเปิดตัวสวนสนุกแห่งอนาคตไปได้และไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว พวกเราก็สามารถคิดถึงการเปิดสาขาที่ซินไห่ได้ คนที่นั่นน่าจะดีใจที่ได้รู้ว่าในที่สุดพวกเขาก็จะได้สัมผัสกับความหมายที่แท้จริงของคำว่าสยองขวัญแล้ว”