My Vampire System - ตอนที่ 1
“ระวังหกล้มหัวทิ่มตายนะควินน์!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งตะโกนขึ้นยังโถงทางเดิน
ขณะที่ควินน์กำลังเดินไปเรื่อยๆตามทางเดินในโรงเรียน การกลั่นแกล้งนั้นได้กลายเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเขา ซึ่งมันค่อนข้างรบกวนใจเขาในทุกๆวัน แต่เขาไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองนอกจากตอบโต้เพียงเล็กน้อย
ควินน์หยุดเดินก่อนจะดันแว่นตาขึ้นมาสวมกับกรอบหน้าอีกครั้ง เขาจำเป็นต้องมีแว่นอันใหม่เพราะเมื่อมองดูของเดิม ก็บอกได้เลยว่าสภาพมันถูกใช้งานมาอย่างหนัก ขาแว่นถูกพันไปด้วยเทปกาวและมันไม่พอดีกับใบหน้าของเขาอีกแล้ว
ควินน์หันตัวไปอีกทางทันทีพลางชูนิ้วกลาง
“พนันได้เลย ว่าแกไม่มีทางรู้ว่าฉันชูนิ้วอะไรอยู่!”
เด็กหนุ่มคนนั้น กำหมัดแน่นแล้วพุ่งตรงมาที่ควินน์
“แกมันไอ้กระจอก! เมื่อไหร่แกจะเรียนรู้ซักที ว่าไม่ควรอยู่บนโลกนี้!”
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็วางมือทั้งสองข้างประกบเข้าหากัน ปรากฏแสงสว่างจ้าลักษณะเป็นกลุ่มก้อนพลังสีเขียว เมื่อเขาอยู่ห่างจากควินน์เพียงไม่กี่เมตร เด็กหนุ่มก็ขว้างมือของเขาออกไปข้างหน้า และแสงสว่างนั้นก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือเขา
ไม่มีหนทางไหนที่ควินน์จะหลบพ้น ลำแสงนั้นรวดเร็วเกินกว่าที่เขาจะหลีกหนี สิ่งเดียวที่ทำได้ มีเพียงกัดฟันและทนรับความเจ็บปวด ทันทีที่แสงนั้นปะทะควินน์ ร่างของเขาก็ถูกส่งลอยเหนืออากาศกระแทกเข้ากับกำแพงทางเดิน
“เกิดอะไรขึ้น!?” นักเรียนที่อยู่ระแวกนั้นพูดขึ้นมา “นั่นพวกเขาทะเลาะกันในวันสุดท้ายที่เรียนเหรอ?”
เหล่านักเรียนมากมายออกมาข้างนอกทันที เนื่องจากพวกเขาสนใจสิ่งที่เกิดขึ้น หนึ่งในนักเรียนหญิงรีบวิ่งตรงมายังกำแพงที่พังคลืน ก่อนตรวจเช็คความปลอดภัยของนักเรียน
เรือนผมสีดำหยักของควินน์ถูกฝุ่นคลุ้งจับหลังจากกำลังถูกจ้อง ในที่สุดเมื่อฝุ่นนั้นจางหาย และเด็กสาวเห็นว่าเขาคือใคร เธอก็ถอยห่างแล้วกลับไปทำธุระของเธอต่อไปราวกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอพยายามจะช่วยตานั่น”
“ฉันไม่รู้นี่นา ว่าเป็นเขา” เด็กสาวโต้ตอบด้วยแก้มที่แดงจัด
หลังจากนั้น ควินน์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วหยิบแว่นตาที่หล่นอยู่กับพื้น กรอบแว่นข้างหนึ่งดูเหมือนจะแตกไปแล้ว
‘ช่างเหอะ… มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว’
นี่คือวันสุดท้ายของการเรียนสำหรับควินน์และเขาก็คาดหวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง ควินน์รู้สึกไม่สบายและค่อนข้างเหนื่อยแต่เขาไม่ใช่คนที่จะอดทนต่อเรื่องพวกนี้เช่นกัน เขาเคยเห็นคนเลือกที่จะก้มหน้าและทนต่อการถูกกลั่นแกล้ง แต่การที่ฝืนอดทนต่อคนเหล่านั้นมันเลวร้ายยิ่งกว่าสิ่งที่เขาเจอเสียอีก
ควินน์ไม่ได้สนใจที่จะอยู่โรงเรียนเฉกเช่นนักเรียนคนอื่นๆ ขณะที่เขาเดินผ่าน เขาเห็นกลุ่มนักเรียนกำลังจับกลุ่มพูดคุยกัน บางคนก็หัวเราะ บางคนก็เสียน้ำตาราวกับจะไม่ได้พบเจอกันอีกครั้ง แต่ควินน์ไม่ได้รู้สึกอินในเรื่องนั้น และเขาไม่ต้องการมันด้วย
ในที่สุดเมื่อเขากลับถึงบ้าน ควินน์ก็มีงานที่ต้องทำโดยด่วน,ควินน์อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ที่มีขนาดเท่าห้องนอนเดี่ยวซึ่งมีที่ว่างพอสำหรับเตียงและโต๊ะเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีทีวีที่ติดอยู่กับผนัง แต่ควินน์เปิดมันเพื่อให้ห้องมีเสียงบ้าง ไม่ได้สนใจที่จะดูเลย
รัฐบาลให้อพาร์ทเมนท์แก่เขาเพราะเขาไม่มีครอบครัวหรือญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิต และเด็กหนุ่มมีอายุเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น บนเตียงของเขามีกระเป๋าลากใบใหญ่ๆ ที่เก็บสิ่งของมากมายไว้อย่างเรียบร้อย
เมื่อควินน์ก้าวเข้ามาในห้องของตัวเอง เขารีบเปิดลิ้นชักโต๊ะทันทีโดยมีหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในนั้น มันเป็นหนังสือเล่มหนาใหญ่ที่มีน้ำหนักถึงครึ่งกิโลกรัม ปกหนังสือเป็นสีดำ และตรงกลางมีวงแหวนที่มีเส้นขีดไปมา
“วันนี้มาลองกันอีกครั้ง” ควินน์พูดขณะที่วางหนังสือลงบนโต๊ะ
หลังจากนั้นเขารีบตรงดิ่งไปที่กระเป๋า ก่อนนำหลอดทดลองเล็กๆที่มีของเหลวสีใสอยู่ภายในออกมา
“การทดลองครั้งที่ 112 กรดไฮโดรคลอริก แล้วมาดูกันว่าจะเป็นยังไง”
ควินน์ค่อยๆ เริ่มเทของเหลวในหลอดทดลองนั้นอย่างช้าๆ ให้หยดลงไปบนหนังสือ
“จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีปฏิกิริยา” ควินน์ยังคงเทของเหลวในหลอดทดลองต่อไป แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาดั่งเดิม
เขาค่อยๆตรวจสอบ หนังสือเล่มนั้นอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เพื่อดูว่ามีความเสียหายใดๆเกิดขึ้นบ้าง แต่ไม่เลย.. หนังสือนั้นยังคงอยู่สภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ล้มเหลวอีกแล้ว ทำไมถึงเปิดมันไม่ได้? ทำไมแม่กับพ่อถึงเก็บมันเอาไว้?”
หนึ่งร้อยสิบสองครั้ง กับวิธีการต่างๆ ที่ควินน์พยายามจะเปิดหนังสือ หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่จะเปิดไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้รับความเสียหายจากพยายามเปิดด้วยวิธีใดๆเลย ควินน์ทำทั้งเผาหนังสือ พยายามที่จะตัด หรือละลายมัน…. แต่สุดท้ายกลับก็ไม่มีอะไรคืบหน้า
หลังจากนั้น ควินน์จึงตัดสินใจเดินไปที่เตียงแล้วทิ้งตัวลงนอน, และจึงกดเปิดทีวี เขาไม่เคยให้ความสนใจกับสิ่งที่กำลังฉายอยู่บนทีวี เพียงแต่เสียงเหล่านี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหงาน้อยลง
ทันใดนั้นทีวีก็เข้าสู่การนำเสนอข่าว
“สนธิสัญญาสันติภาพกับเผ่าพันธุ์ดัลกิ กินเวลานานกว่าห้าปีแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ได้ออกมาบอกว่า ความตึงเครียดกำลังเพิ่มขึ้นอีกครั้งและเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่จะเกิดขึ้น … “
การกล่าวถึงสงครามมักปรากฏอยู่บนหน้าจอที่วีเสมอ ตั้งแต่วันนั้น เมื่อสามสิบปีก่อนเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้รับการมาเยือนจากเผ่าพันธุ์ ดัลกิ, พวกมันมีความคลายคลึงกับมนุษย์มาก ยกเว้นหางที่มีลักษณะคล้ายมังกรและผิวหนังที่เป็นเกร็ดนั่น
พวกมันเรียกร้องเอาทรัพยากรจากมนุษย์ในทันทีที่มาถึง และต้องการบังคับให้พวกเขายอมเป็นทาส แน่นอน ว่าเหล่ามนุษย์ตัดสินใจที่จะต่อสู้ แต่พวกเขากลับพบว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ของตนเองนั้นไร้ประโยชน์ กระสุนปืนไม่สามารถเจาะทะลุผิวหนังของมัน ถึงเราจะมีรถถัง แต่พวกมันกลับมีเรือเหาะ
ผู้ชายและผู้หญิงทุกคนได้รับคำสั่งให้ต่อสู้เพื่อโลกของตัวเอง และนั่น รวมไปถึงพ่อและแม่ของควินน์ด้วย สงครามดำเนินมานับหลายๆปี โดยที่ควินน์โตขึ้นและไม่รู้ว่าพ่อแม่ตัวเองนั้นเป็นเช่นไร
เมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังตกอยู่ในความพ่ายแพ้ มีเพียงไม่กี่คนที่ตัดสินใจออกโรงต่อสู้ ผู้คนเหล่านี้มีความสามารถพิเศษ พวกเขาเริ่มแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาได้รับพลังดังกล่าว โดยหวังว่าจะเปลี่ยนทิศทางของสงครามและ ใช่ มันได้ผล แต่ถึงกระนั้น ดัลกิ ก็ยังคงแข็งแกร่งจึงนำไปสู่การเริ่มต้นของสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างกันตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้ว
แต่แน่นอน ว่าความโลภของมนุษย์นั้น มีมากกว่าความสำคัญของมวลมนุษยชาติ แทนที่จะแบ่งปันพลังเหล่านี้กับทุกคน เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจสูง กลับตัดสินใจที่จะเก็บความสามารถพิเศษเอาไว้เป็นของตัวเอง เฉพาะผู้ที่มีทรัพย์สินจำนวนมากเท่านั้น ที่จะได้เรียนรู้ทักษะที่ทรงพลังเหล่านี้ขณะที่มนุษย์คนอื่นๆ ถูกทิ้งให้อยู่ในภายใต้อาณัติการปกครอง
ควินน์ไม่ได้รับอะไรเลยตั้งแต่พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิต รัฐบาลตกลงที่จะจ่ายค่าที่พักอาศัยให้กับเขาในขณะที่เขายังคงศึกษาอยู่ในโรงเรียน, ตั้งแต่ครั้งที่พ่อแม่ของเขาตายตอนเขาอายุสิบขวบ ได้มีเจ้าหน้าที่นำหนังสือเล่มนี้มามอบให้เขาที่หน้าประตู เขาบอกว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่ทั้งคู่เหลืออยู่ หลังจากที่พวกเขาเสียชีวิตไป
“ทำไมโลกช่างไม่ยุติธรรมเลย”
ควินน์ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเริ่มเดินไปที่โต๊ะทำงานของเขา เขาหยิบแว่นตาของตัวเองที่ยังคงพัง และตัดสินใจว่าจะต้องซ่อม เขาสังเกตว่าเลนส์มันหลุดออกมาเล็กน้อย จึงพยายามดันกลับเข้าไปยังกรอบแว่น
“ไม่เอาน่า กลับเข้าไป!” เขาตะโกนเมื่อดันมันสุดแรง
ทันใดนั้นเลนส์แว่นตาก็ถูกบี้จนแตก และหนึ่งเศษกระจกก็บาดลึกที่นิ้วโป้งของเขา
“ทำไมโลกถึงเกลียดฉันนักนะ”
ควินน์เริ่มเก็บกวาดเศษชิ้นส่วนเล็กๆของกระจกทันที และได้สังเกตว่ามีเศษแก้วร่วงหล่นบนปกหนังสือของเขา เมื่อควินน์หยิบเศษแก้วนั้นออก เลือดของเขาก็ไหลออกจากนิ้วโป้ง หยดลงที่กลางหน้าปกหนังสือ
วงแหวนรอบจุดศูนย์กลางของหนังสือ เริ่มเปล่งประกายและทันใดนั้นหนังสือก็เริ่มลอยตัวขึ้นไปบนอากาศ
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!”
หนังสือเล่มนั้นกำลังเปล่งประกายอย่างเจิดจ้าและสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ ในที่สุดหนังสือก็ถูกเปิดออก และหน้าหนังสือเปิดไปเรื่อยๆ ควินน์ไม่อาจละสายตาจากความเปล่งประกายนั้น ราวกับตกอยู่ในภวังค์ที่ล้ำลึก ลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏในหนังสือ เป็นภาษาที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกว่าเขาสามารถเข้าใจมันได้
เมื่อหนังสือเล่มหนานั้นเปิดไปจนหน้าสุดท้าย มันก็เริ่มค่อยๆหายไปกลายเป็นฝุ่น ในขณะเดียวกันวิสัยทัศน์ของควินน์ก็เริ่มพร่ามัว ร่างกายเริ่มอ่อนเพลียและดวงตาคู่ปิดลงช้าๆ
[ขอแสดงความยินดีที่คุณได้รับมอบ แวม…. ]
เขาไม่สามารถครองสติให้ได้นานพอจะฟังคำสุดท้ายของประโยคได้ ควินน์สลบไปแล้ว