My Vampire System - ตอนที่ 36
ขณะที่ควินน์มองไปยังร่างของลูปที่อยู่บนพื้น เขารู้รับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่แปลกประหลาด ปัจจุบัน HP ของเขาคือ 10 และร่างกายก็ถูกเลือดเชื้อเชิญให้เดินเข้าไป เมื่อใดก็ตามที่พลังชีวิตของเขาอยู่ในระดับต่ำ เขาก็จะได้รับความหิวโหยที่มากขึ้นทีละนิด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนอกจากนั้น ก็คือเขี้ยวทั้งสองซี่ของเขาเริ่มงอกยาวออกมาด้วย
เมื่อเขี้ยวงอกออกมา มันจะเจาะคอของเหยื่อได้ง่ายขึ้น แม้ว่าควินน์จะสามารถดื่มเลือดจากบาดแผลเปิดของลูปที่ไหลออกมาได้เลย มันก็จะให้แต้มสถานะพิเศษกับเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ควินน์ต้องการเติมเสบียงของเขาให้เต็มด้วยสกิลกักเก็บโลหิต
ตอนที่ฝังเขี้ยวเข้าไปในคอของเหยื่อ เขารู้สึกราวกับรู้ตำแหน่งที่ยอดเยี่ยม นั่นจึงทำให้เขาดูดเลือดได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ควินน์ยกร่างของลูปขึ้นมาจากพื้น ใบหน้าของพวกเขาอยู่ไม่ห่างกัน
‘ฉันไม่รู้หรอกว่านี่มันดีหรือไม่ดี แต่ฉันพบว่ามันง่ายขึ้นทุกครั้งเมื่อทำเรื่องแบบนี้’
ควินน์อ้าปากอย่างเต็มที่เผยให้เห็นเขี้ยวของเขา เขาขยับปากเข้าใกล้คอของลูป จนในที่สุด เขาก็ฝังเขี้ยวลงไปยังคออีกฝ่าย ซึ่งเลือดที่ไหลเข้าปากของเขา มันช่างหอมหวานจริงๆ
[ HP : 20/ 20 ]
[ ดื่มเลือดกรุ๊ป O แล้ว ]
[ ได้รับค่าสถานะ 1 แต้มฟรี ]
[ สกิลกักเก็บโลหิตเต็มเต็มแล้ว ]
ควินน์คาดเดาอยู่ไม่กี่อย่างว่ากรุ๊ปเลือด O ทำจะอะไรได้บ้าง แต่นี่มันดีกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก ควินน์เปิดหน้าจอสถานะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และตัดสินใจจะอัพค่าสถานะในทันที
[ ความแข็งแกร่ง : 13 (3)]
[ พลังงาน : 12 ]
[ ความเร็ว : 13 ]
ควินน์ถกเถียงกับตัวเองชั่วครู่ ว่าเขาควรจะอัพไปที่พลังงานดีหรือไม่ ถ้าเขาทำเช่นนี้ ค่าสถานะของเขาก็จะเท่ากัน แต่เมื่อเขานึกถึงคนที่มีความแข็งแกร่งตอนนี้ของโลก พวกเขามักจะเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งแบบสุดโต่ง เพราะพวกที่ทำอะไรได้หลายอย่าง ก็มักจะไม่เก่งมันสักอย่างเลยในปัจจุบันนี้
ไม่เพียงแค่นั้น แต่ควินน์รู้สึกว่าเขาจะพัฒนาได้เร็วมากขึ้น หากเขาเชี่ยวชาญด้านความแข็งแกร่งหรือความเร็ว มันจะทำให้เขาสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอกว่า จากนั้นเมื่อเขาต้องการ เขาก็ค่อยเพิ่มแต้มไปที่พลังงานในภายหลัง มันไม่ใช่ว่าควินน์จะต้องเผชิญหน้ากับคนทั้งกองทัพในเร็ววัน
[ ความเร็ว : 14 ]
ควินน์ยืนมองร่างกายของทั้งสองคนนั้นอย่างประหลาดใจว่าเขาทำไปได้ยังไง เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเขาลงมือได้เร็วมากพอในระหว่างที่ต่อสู้กับเฟย เขาเชื่อว่าเขาไม่เคยเห็นในสิ่งที่เขาทำกับเฟยเช่นนี้มาก่อน แต่เขาจะไม่ยอมพูด ว่ามันไม่เหมือนกับลูปเอาเสียเลย
จากนั้นควินน์เริ่มตรวจสอบร่างกายของเฟย เขาสังเกตว่ารอยกัดที่ควินน์ทำไว้ได้หายไปแล้ว
‘หมอบอกว่าเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นกับเรย์ร่า มันเป็นผลจากทักษะของฉันรึเปล่า?’ ควินน์คิดในใจ ‘เอ่าล่ะ ปัญหานั้นแก้ไปแล้ว ตอนนี้ฉันจะทำยังไงกับแกดี?’ ควินน์กำลังไตร่ตรองขณะที่มองร่างกายของลูป
แม้ว่าควินน์จะสวมหน้ากาก แต่ก็มีโอกาสที่ใครสักคนจะนึกออกว่าเป็นเขา ท้ายที่สุด มันจะมีนักเรียนสักกี่คนที่ใช้ถุงมืออสูรเป็นอาวุธ รวมไปถึงยังมีความแค้นที่จะโจมตีพวกเขาทั้งสองคน
อย่างไรก็ตาม ควินน์ไม่ได้กลัวว่าพวกนี้จะค้นพบตัวตัวที่แท้จริงของเขา เพราะสุดท้ายโรงเรียนก็ไม่ได้สนใจว่าควินน์จะต่อสู้กับใครจนตายไปข้าง การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติในโรงเรียนเตรียมทหาร
ควินน์ไม่กลัว หากลูปจะป่าวประกาศบอกทุกๆคนในสิ่งที่เขาได้เห็น แม้ว่าเขาทำ ก็ไม่มีใครจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูด เพราะตลอดมาของประวัติศาสตร์ทักษะและความสามารถทั้งหมด ไม่เคยมีรายงานไหน เกี่ยวข้องกับทักษะของใครบางคนที่ต้องกินอะไรสักอย่างเพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเอง ขุมพลังนั้นมาจากภายในจิตใจเสมอ
และถ้าไม่มีร่อยรอยบนคอเพื่อจะพิสูจน์ พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติราวกับคนบ้าเพราะว่าไม่มีหลักฐานใดๆ
ในขณะที่ควินน์กำลังจมอยู่ในความคิด เขาก็ตกใจเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูดาดฟ้าเปิดอีกครั้ง
ควินน์เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงอย่างฉับพลันเพื่อพยายามหนีจากเหตุการณ์ตรงนี้ แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดกะทันหัน เมื่อเขาเห็นว่าเป็นคนที่คุ้นเคยเปิดประตูเข้ามา
“นายอยู่ที่นี่เอง!” เรย์ร่าพูด จากนั้นเธอก็ก้มลงมองและสังเกตเห็นร่างของสองคนนั้นที่แน่นิ่งอยู่บนพื้น
“รีบไปจากนี่กันเถอะ ไม่กี่วินาทีพวกทหารยามจะมาที่นี่!”
ควินน์ใช้เวลามากเกินไป เขาไม่ได้วางแผนที่จะต่อสู้กับคนถึงสองคน เมื่อนักเรียนคนไหนถูกทำให้สลบภายในโรงเรียนหรือถูกทำร้ายจนร่างกายลุกไม่ไหว นาฬิกาข้อมือจะบอกพิกัดสถานที่ในโรงเรียน และแจ้งเตือนพวกทหารยามว่านักเรียนพวกนั้นกำลังบาดเจ็บอยู่
เมื่อข้อความถูกส่งออกไป พวกทหารรักษาความปลอดก็จะพาร่างของนักเรียนพวกนี้นำส่งโรงพยาบาล
ไม่มีใครรู้ว่ามันทำงานยังไงเพราะมันน่าทึ่งมาก นาฬิกานี้ยังสามารถบอกได้ว่าชีวิตของใครสักคนเหลือมากน้อยแค่ไหน มีข่าวลือมากมายกระจายออกไป ว่านี่เป็นความสามารถดั้งเดิมของผู้สร้างนาฬิกาข้อมือเหล่านี้
ควินน์และเรย์ร่าวิ่งลงบันไดอย่างเร่งรีบ แต่พวกเขาก็ต้องหยุดชะงัก ขณะที่ได้ยินเสียงฝีเท้าตามทางที่ขึ้นมา
“ไม่นะ! เราไปทางนี้ไม่ได้” เรย์ร่าจึงเริ่มมองไปรอบๆดาดฟ้า “ฉันมีแผนแล้ว อุ้มฉันไว้แล้วกระโดดลงไป”
“เธอจะบ้ารึไง!” ควินน์พูด “ถึงฉันจะแข็งแรงก็เถอะ อย่างน้อยขาฉันต้องหักแน่ๆ แม้ว่าฉันจะรักษาตัวเองได้ มันก็เจ็บอยู่ดีนะ!”
” เชื่อฉันสิ เร็วเข้า ฉันจะใช้พลังของตัวเอง”
ควินน์รีบอุ้มเรย์ร่าด้วยแขนทั้งสองข้างแม้จะมีการทักท้วง เรย์ร่าตัวเบากว่าที่เคยอุ้มมากเพราะความแข็งแกร่งของเขา ควินน์กระโดดขึ้นไปยืนบนรั้วกั้นพลางก้มมองลงไป อาคารเรียนนี้สูงอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างน้อยคงประมาณสี่ชั้นได้
“ฉันเชื่อใจเธอนะ” ควินน์พูดเสียงเบาขณะที่เขากระโจนออกจากอาคาร
จังหวะที่ทั้งคู่กำลังดิ่งลงมาจากดาดฟ้าด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ เรย์ร่าหลับตาแล้วรวบรวมสมาธิ เหงื่อเริ่มออกมาที่หน้าผาก ทันใดนั้น ความเร็วของทั้งสองก็เริ่มลดลง กระทั่งในที่สุดพวกเขาก็ถึงพื้นอย่างปลอดภัย
“เฮ้ นี่มันเจ๋งชะมัด เธอบินได้ด้วย?” ควินน์ถามด้วยความตกตะลึง
“เปล่าสักหน่อย ทักษะพิเศษของฉันไม่แข็งแกร่งขนาดนั้นนะ” เรย์ร่าตอบ “มากสุดก็แค่ทำให้เราตกลงมาช้ากว่าเดิม ไปเถอะ รีบกลับหอพักของเรากัน”
ขณะที่ทั้งสองคนเดินกลับไปที่ห้อง ควินน์ก็อธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนดาดฟ้า
“เดี๋ยวก่อน นายไม่กลัวว่าลูปจะบอกใครสักคนกับเรื่องที่เกิดขึ้นงั้นเหรอ?”
“ไม่เชิงหรอก มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ไม่มีหลักฐานก็ไม่มีใครเชื่อ แต่มีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่งนะ มีโอกาสสูงที่มันจะรู้ว่าเป็นฉัน แล้วมันจะกลับมาพร้อมกับพวกของมันเพื่อเอาคืน ฉันจัดการพวกมันได้ทีละคน แต่ถ้ามาเป็นกลุ่ม ฉันไม่รู้สึกเลยว่าฉันจะมีโอกาสรอด”
“ก็จริงนะ” เรย์ร่าตอบ “นักเรียนพวกนั้นมักจะตั้งกันเป็นกลุ่มเป็นแก๊งของตัวเองและปกป้องพวกเดียวกัน แล้วพวกที่เหลือก็คือพวกอ่อนแอเกินกว่าที่จะเป็นส่วนหนึ่งของคนพวกนั้น นึกออกแล้ว ทำไมนายไม่สร้างกลุ่มของนายกันล่ะ? ฉันอาจจะเป็นรองหัวหน้าก็ได้นะ แน่นอน เราจะเก็บความลับของนายเอาไว้”
“นั่นไม่ใช่ความคิดที่แย่ โดยเฉพาะหากในอนาคตเรามีเป้าหมายมากขึ้น บางที ฉันควรถามวอร์เด็น ว่าเขารู้จักใครบ้างหรือเปล่า”
สีหน้าของเรย์ร่าหม่นลงในทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น
“ไอ้บ้านั่น ฉันบอกนายแล้วว่าเขามีข่าวที่ไม่ดี ควินน์”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“จะดีที่สุดถ้านายได้ยินจากปากปีเตอร์เพื่อนของนาย บางทีนายจะได้รู้ว่ามันแย่แค่ไหน หลังจากที่เขาได้เห็นมันทั้งหมด”
****
ในสถานพยาบาล นักเรียนสองคนที่ถูกทำร้ายบนดาดฟ้ากำลังนอนอยู่บนเตียง เฮย์ลี่ย์หมอเพียงคนเดียวกำลังยุ่งอยู่เช่นเคยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางคืน เมื่อยามรักษาความปลอดภัยนำนักเรียนที่บาดเจ็บจากการถูกทำร้ายมารักษาพร้อมกันทั้งหมด
‘โรงเรียนปล่อยให้เรื่องพวกนี้ เกิดขึ้นได้ยังไง ที่แน่ๆมันมีวิธีจัดการได้ดีกว่านี้นะ’ เฮย์ลี่ย์คิด
ขณะที่เธอเดินไปตรวจเช็คร่างกายของเฟย หญิงสาวได้สังเกตว่าตอนนี้เขาหลับพักอย่างสงบ ไม่มีอะไรผิดปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอมองไปที่ลูปก็มีบางอย่างสะดุดตาของเธอเข้า
มีจุดบนคอของเด็กชายเป็นรอยเเผลที่ถูกเจาะขนาดเล็กคล้ายกับงูกัด เธอเคยเห็นอาการเหล่านี้จากนักเรียนคนอื่นๆเช่นกัน ก่อนที่เเผลนั้นจะหายไปของมันเอง
เฮย์ลี่ย์แตะไปที่นาฬิกาและรอสักพักให้มันเชื่อมต่อ
“เอ่อ..ท่านนายพลคะ ฉันเชื่อว่ามีสัตว์อสูรออกมาเพ่นพล่านรอบๆโรงเรียนค่ะ”
“ว่าไงนะ เป็นไปไม่ได้ พวกเราไม่เห็นสัญญานถึงการปรากฏสักตัวเลย” เสียงจากนาฬิกาตอบกลับมา
“แต่มีบางอย่างแปลกๆกับนักเรียนสองคนที่ฉันกังวลเล็กน้อยค่ะ” เฮย์ลีย์พูด “ได้โปรด…ช่วยตรวจสอบให้ทีนะคะ”
“ก็ได้ๆ ตามที่เธอต้องการ ฉันจะปฏิเสธลูกสาวของฉันได้ยังไง”
ทันใดนั้นเฮย์ลีย์ก็ถูกเรียก ทหารสองคนรีบเร่งเข้ามาพร้อมกับแบกนักเรียนคนหนึ่งเอาไว้ด้านหลังและพวกเขาก็เปียกโชกไปด้วยเลือด
“เร็วเข้าครับ! นักเรียนคนนี้อยู่ในสภาพวิกฤติ!” ทหารเฝ้ายามตะโกน
พวกเขาวางนักเรียนเอาไว้บนเตียงอย่างรวดเร็วและเฮย์ลี่ย์ก็ทำงานของเธอทันที หญิงสาวพยายามสุดความสามารถเพื่อใช้ทักษะพิเศษของเธอในการรักษา แต่ไม่มีประโยชน์ นักเรียนคนนี้จากไปแล้ว เขาตายแล้ว
เฮย์ลี่ย์จึงแตะนาฬิกาข้อมือของเธออีกครั้งเพื่อบันทึกรายงานเข้าสู่ระบบดิจิตอล
“รายงาน ยืนยันเวลาเสียชีวิต 21.30 น. นักเรียนชั้นปี 1 ชื่อ แบรนดอน ริชาร์ดสัน”