My Vampire System - ตอนที่ 60
การที่เอรินเข้าหาวอร์เด็น ไม่ใช่แค่ทำให้ควินน์และคนอื่นๆเท่านั้นที่ตกใจ แต่รวมไปถึงเพื่อนๆร่วมห้องทั้งหมด สำหรับชั้นเรียนของเดล เอรินถือเป็นนักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุด แทบทุกคนต้องการให้เธอเข้าไปอยู่ในทีมของพวกเขา ทว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น เมื่อมีคนที่พยายามใกล้ชิดกับเธอ เธอก็โต้ตอบพวกเขาด้วยความเย็นชาตลอด
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สนใจอะไรเลยนอกเหนือจากความแข็งแกร่ง
“โทษทีนะ” วอร์เด็นพูด “แต่ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างทีมกับเจ้าพวกนี้”
ปฏิกิริยาของวอร์เด็นที่มีต่อเอริน มันทำให้คนอื่นๆแทบคลั่ง พวกเขาเคยเห็นวอร์เด็นต่อสู้ในวันที่ถูกนักเรียนชั้นปีที่สองล้อมเอาไว้แล้ว หลังจากที่เห็นเหตุการณ์แบบนั้น ไม่มีใครกล้าพูดเลยว่าเขาอ่อนแอไปกว่าเอริน
ถ้าพวกเขาทั้งคู่รวมพลังกันและพบคนที่แข็งแกร่งเพิ่มอีกสักสองสามคน หมายความว่าพวกเขาจะสามารถสร้างทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นเรียนได้ง่ายๆเลย
เอรินจึงมองไปที่กลุ่มของวอร์เด็น และชี้ไปที่พวกเขา ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้จักใครด้วยซ้ำ
“พวกนี้เป็นใคร?” เอรินกล่าว
“ว่าไงนะ เรามาทดสอบด้วยกัน แล้วฉันยังช่วยเธอที่หอประชุมอยู่เลย!” เรย์ร่าบ่นทันที
ความจริงแล้วเอรินไม่เคยเอาเวลาไปจดจำใบหน้าคนอื่น เธอจะสนใจแต่เฉพาะคนที่แข็งแกร่งเท่านั้น เมื่อเห็นว่าการทดสอบในวันแรกมีแต่คนอ่อนแอ เธอก็ไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไป
แต่มีอีกหนึ่งคนที่เธอจับตามองนอกจากวอร์เด็น นั่นก็คือควินน์ เธอจำได้ว่าเขาคว้างบอลอสูรสีดำอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าใส่นักเรียนชั้นปีที่สองคนหนึ่งจนกระเด็นไป และเมื่อเธอมองไปที่นาฬิกาข้อมือของเขา เธอก็เห็นว่าเขาเป็นแค่เลเวลหนึ่งเท่านั้น
“ทำไมนายถึงอยู่กับคนอ่อนแอพวกนี้ ฉันมั่นใจว่านายจะได้เกรดที่ดีขึ้นถ้านายมาร่วมทีมกับฉัน รวมไปถึงคนอื่นๆอีกไม่กี่คน”
การประเมินความสามารถในรอบแรก และการประเมินอีกครั้งในอนาคตต่อการสำรวจนอกประตูมิติ จะเป็นตัวกำหนดเกรดสุดท้ายของพวกเขา สำหรับคนที่มีครอบครัวอบอุ่นที่จะกลับไป มันไม่สำคัญมากนัก แต่กับคนอื่นๆที่มีความตั้งใจแน่วแน่ มันสามารถกำหนดอนาคตของพวกเขาได้เลย
เกรดที่พวกเขาจะได้รับเมื่อจบการศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหาร จะเป็นตัวตัดสินว่าพวกเขาจะเข้าร่วมกับบริษัทเอกชนที่มีอำนาจได้หรือไม่ หรือพวกเขาจะจบลงด้วยการเป็นเบี้ยล่างและได้รับการปฏิบัติที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่าตอนนี้
“ฉันไม่สนใจเรื่องเกรด ฉันแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานในตอนที่ฉันอยู่ในโรงเรียนนี้” วอร์เด็นตอบ
แต่เอรินก็ยึดมั่นที่จะไม่ยอมแพ้
“ก็ได้ ฉันจะยอมรับผู้หญิงคนนี้ และเด็กผู้ชายที่แข็งแกร่งคนนั้น แต่ฉันไม่มีทางยอมรับเขา” เอรินพูดขณะที่ชี้ไปที่ปีเตอร์
ทันใดนั้น เสียงหัวใจของปีเตอร์เริ่มเต้นดังขึ้น ความกลัวเข้าครอบงำเขาหลังจากได้ยินเอรินพูดแบบนั้น ถ้าหากเขาไม่ได้อยู่ในทีมของวอร์เด็นจริงๆ ปีเตอร์จะต้องเดือดร้อนแน่ๆ
“แล้วทำไมเราถึงต้องการคนอย่างเธอด้วยล่ะ?” วอร์เด็นสวน
“เดี๋ยวก่อน” เรย์ร่าขัดจังหวะ “ฉันคิดว่าเธอจะเป็นส่วนเสริมที่ดีของทีมได้นอกจากนาย วอร์เด็น ไม่ใช่ว่าทักษะของนายต้องพึ่งพาคนรอบข้างงั้นเหรอ เท่าที่ฉันจำได้สัตว์อสูรไม่มีพลังพิเศษอะไรเลย ดังนั้น นายก็ต้องพึ่งความสามารถของพวกเรา ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้มีทักษะที่แข็งแกร่งขนาดนั้นนะ”
“เรย์ร่า ฉันเข้าใจที่เธอพูด แต่ครั้งนี้ฉันเห็นด้วยกับวอร์เด็น” ควินน์ตอบ “ฉันไม่สนหรอกว่าเธอจะแข็งแกร่งแค่ไหน เธอไม่ควรจะเข้ามาและไล่ใครสักคนออกไป ถึงเธอจะร่วมทีมกับเราได้ แต่ปีเตอร์ก็ต้องอยู่ด้วยเท่านั้น”
มันเป็นเรื่องดีที่มีมิตรภาพอันแข็งแกร่ง แต่ต้องสูญเสียมิตรภาพนี้ไปอย่างแน่นอน ถ้าควินน์ไล่เพื่อนของเขาออกจากทีมและเอาคนแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้มาแทนที่ปีเตอร์ เขาก็คงรู้สึกแย่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ถูกปฏิบัติราวกับอึเพียงเพราะตัวเขาอ่อนแอ ซึ่งเขาก็ไม่อยากจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
เอรินเริ่มมองไปรอบๆห้อง ก่อนจะหันกลับมามองวอร์เด็นอีกครั้ง เธอนึกย้อนกลับไปถึงวิธีการที่วอร์เด็นจัดการกับโมโม่ว่าเขาต่อสู้ได้ดีเพียงใดก่อนที่ชายคนนั้นจะใช้อาวุธวิญญาน หลังจากที่มองไปจนทั่วทั้งห้องแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีใครสักคนในชั้นเรียนของเดลที่เหมาะสมเท่าเขาอีก
“ตกลง ฉันจะร่วมทีมด้วย แต่ฉันอยากให้เราทั้งห้าคนทำการทดสอบอีกครั้ง เพื่อดูว่าเรายืนอยู่ในสถานะไหนกันบ้าง?” เอรินเอ่ย “บางทีเราอาจจะไปที่ศูนย์ฝึกซ้อม และแสดงพลังที่มีอยู่ทั้งหมด”
เรย์ร่ากับควินน์มองหน้ากันด้วยสายตาที่เป็นกังวล
พวกเขาทั้งห้าคนมุ่งหน้าไปที่ศูนย์ฝึกซ้อม ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกันกับเรย์ร่าได้แอบมองควินน์เป็นครั้งแรก ในค่ำคืนนั้น
ตอนนี้ ทั้งห้องเต็มไปด้วยผู้คนมากมายจากชั้นเรียนที่แตกต่างกัน พวกเขาทั้งหมดได้รับแจ้งเกี่ยวกับการทดสอบที่จะกำลังจะมาถึง จึงตัดสินใจค้นคว้าเกี่ยวกับทักษะต่างๆของกันและกันเอาไว้
นี่จะช่วยให้พวกเขามีโอกาสสูงขึ้นในการเอาชนะ และจับสัตว์อสูรให้ได้มากที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดในโรงเรียนนี้ให้ได้
“แล้ว เธออยากให้พวกเราทำอะไร?” วอร์เด็นถาม
“ฉันเห็นพลังทั้งหมดของนายแล้ว แต่ฉันจำไม่ได้เลยเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นและผู้ชายอีกสองคน บางทีเธอควรจะเริ่มอย่างแรกด้วยเครื่องมือวัดพละกำลัง”
เรย์ร่าทำตามที่บอก และเดินไปยังเครื่องมือวัดพละกำลังที่มีลักษณะเหมือนกลองเป็นทรงกลมขนาดใหญ่ เธอตั้งสมาธิและเหวี่ยงกำปั้นของเธอออกไป ในขณะเดียว เธอก็ใช้พลังจิตควบคุมของเธอเพิ่มผละกำลังให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตัวเลขค่อยๆเพิ่มขึ้นบนหน้าจอแสดงผลของเครื่องมือนั้น จนกระทั่งในที่สุด มันก็ถึงหมายเลข 8
“บ้าจริง เหมือนกับรอบที่แล้วเลย ดูเหมือนฉันจะทำได้ไม่ดีเท่าไหร่” เรย์ร่าบ่น
“สำหรับเลเวลสองถือว่าสกอร์ค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าหากตัดสินจากการใช้อาวุธธนู เธอก็สามารถโจมตีระยะไกลได้ และการที่มีคนแบบเธออยู่ในทีมนั้นค่อนข้างมีประโยชน์” เอรินกล่าว
จากนั้นเธอก็เดินไปหาเด็กผู้ชายทั้งสองคน ควินน์และปีเตอร์
“ฉันหวังว่าพวกนายทั้งสองคนจะได้สกอร์เท่าๆกันกับเธอนะ”
ควินน์เริ่มไม่พอใจกับคำพูดสบประมาททั้งหมดของเอริน แต่เขาทำได้เพียงสูดหายใจเข้าไปลึกๆและอดกลั้นมันไว้ เมื่อมีเธออยู่ในทีมจะให้คนอื่นๆประสบปัญหาน้อยลง ยิ่งถ้าพวกเขาเอาชนะสัตว์อสูรได้และได้รับพวกคริสตัลต่างๆมา มีความเป็นไปได้สูงมากที่ทีมอื่นจะหมายหัวพวกเขา และพยายามขโมยมันไป
แต่แค่มีเอรินอยู่ในทีมก็จะหยุดเหตุการณ์เหล่านั้นได้
ปีเตอร์เดินไปที่เครื่องมือและถือไม้เท้าที่ทำจากโคลนเอาไว้
“ดูเหมือนเขาจะยังอยู่แค่เลเวล 1” เอรินพูด
ผู้ใช้ทักษะธาตุดินเลเวล 1 ไม่สามารถควบคุมดินจากผืนดินได้ ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้คือการเปลี่ยนรูปร่างดินที่อยู่ในมือเท่านั้น โดยพวกเขาจะควบคุมดินที่สัมผัสอยู่แทนที่จะเป็นดินทั้งหมดรอบๆตัวเอง
ขณะที่ปีเตอร์กำลังเดินไปต่อยเครื่องมือวัดพละกำลัง ดินรอบๆไม้เท้าก็หลอมรวมเข้ากำปั้นของเขา เมื่อทำการชกไปที่เครื่องมือนั้นตัวเลขมันก็เพิ่มสูงขึ้น จนในที่สุด มันก็หยุดที่เลข 8 เช่นเดียวกับเรย์ร่า
“แล้วนายล่ะ รออะไรอยู่?” เอรินพูดขณะที่มองไปยังควินน์