Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 166 พี่เลี้ยงโลลิ
ถึงแม้ว่าหนิงเคอเค่อจะยังอ่านกระดาษในมืออยู่ แต่สายตาเธอก็เหลือบไปดูเซียวหลิงเป็นระยะ ๆ
“กำกับดูแลปริมาณขนม…ขององค์หญิง…หลิง…”
“กำกับดูแลไม่ให้องค์หญิงหลิง…เลียปากขวดขณะดื่มนมเปรี้ยว… อย่าให้เธอเลียนิ้วกับถุงมันฝรั่งทอด…”
ในตอนแรกเซียวหลิงก็ไม่ได้สนใจอยากจะฟังนักหรอก แต่จู่ ๆ เธอก็ลุกพรวดขึ้นมาราวกับมีใครเอาไฟมาจุดเผาผมเธอเสียอย่างนั้น แต่นั่นก็เพราะเธอได้ยินถึงบางสิ่งบางอย่างที่ฟังดูแปลก ใบหน้าสวยแสดงอาการเขินอายออกมาแล้วรีบวิ่งมากระชากกระดาษแผ่นนั้นออกจากมือหนิงเคอเค่อไปด้วยความกระวนกระวาย
“ไร้สาระไปแล้ว! เจ้าพี่บ้านั่นเขียนอะไรให้เธอน่ะ!?”
หนิงเคอเค่อกลัวเกินที่จะขัดขืนไม่ให้เซียวหลิงแย่งกระดาษในมือเธอไปได้ จึงทำได้แค่เพียงมองอีกฝ่ายด้วยความหวาดหวั่นเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็จำข้อมูลที่อยู่ในกระดาษแผ่นนั้นได้เกือบทั้งหมดแล้ว นอกจากงานหลักที่เป็นการสอนพิเศษให้เซียวหลิงกับทำงานบ้านบางอย่าง ที่เหลือก็เป็นการดูแลพฤติกรรมการกินอยู่ของเซียวหลิง รวมไปถึงการควบคุมน้ำหนักและพักผ่อนด้วย
ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำนั้น เซียวหลิงที่กำลังเขินอายสุด ๆ หันไปตำหนิหนิงเคอเค่อแทน เธอบอกอีกฝ่ายไว้ว่าคำพูดของเธอถือเป็นทุกสิ่ง เธอสำคัญที่สุดและเธอคือมติสุดท้ายหากจะมีข้อโต้แย้งกัน หากเธอพูดอะไร ทุกอย่างก็ต้องเป็นอย่างที่เธอว่า
เด็กสาวผู้น่าสงสารได้แต่สั่นอยู่กับที่และไม่กล้าที่จะเถียงใด ๆ ต่อหน้าเซียวหลิง เธอพยักหน้าและแอบโล่งใจอยู่ลึก ๆ ดูเหมือนว่าเซียวหลิงจะยอมรับความจริงแล้วว่าตนจะต้องอยู่ที่นี่กับหนิงเคอเค่อ
ไม่นานนัก เซียวเฟิงก็ทำอาหารกลางวันเสร็จ ในขณะที่เซียวหลิงไม่ลังเลที่จะสวาปามอาหารตรงหน้าราวกับปอบลง หนิงเคอเค่อกลับไม่กล้าแม้แต่จะนั่งร่วมโต๊ะกับทั้งสองตั้งแต่ต้น เธอตระหนักได้ถึงหน้าที่ของตนที่เป็นพี่เลี้ยง ทั้ง ๆ ที่หน้าที่การทำอาหารนี้ต้องเป็นของเธอแท้ ๆ แต่มันกลับกลายเป็นว่าเธอต้องให้เจ้าบ้านเป็นคนทำให้กิน ด้วยความกลัว หญิงสาวจึงยืนก้มหน้าอยู่เช่นนั้นโดยที่ไม่กล้าทำอะไร
ในท้ายที่สุด ความหิวก็ไม่สามารถระงับได้ มันแสดงให้เห็นชัดเจนว่าหนิงเคอเค่อไม่ได้กินอะไรดี ๆ มาหลายวันแล้ว ด้วยกลิ่นหอมยั่วยวนของอาหารตรงหน้า ท้องของเธอมันก็ร้องดังสนั่นออกมาโดยที่เธอไม่สามารถหยุดมันได้ เด็กสาวนั่งลงไปในที่สุดแล้วจึงเริ่มกินข้าวกับเซียวเฟิงและเซียวหลิงอย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ตักอาหารเข้าปากไปคำแรก น้ำตาของหนิงเคอเค่อมันก็ไหลพรากออกมา ซึ่งมันทำให้เซียวเฟิงตกใจมาก ๆ เขาคิดว่าอาหารของเขาจะไม่ถูกปากเธอเสียอีก
แต่ก่อนที่ความเข้าใจผิดมันจะบานปลายไปมากกว่านั้น หนิงเคอเค่อก็ค่อย ๆ อธิบายพร้อมกับร้องห่มร้องไห้ไปด้วยว่าอาหารมื้อนี้อร่อยมาก ๆ มันอร่อยกว่าทุกมื้อที่เธอกินตลอดหลายวันมานี้เลย ซึ่งพอได้ยินดังนั้น เซียวเฟิงก็ค่อยโล่งอกขึ้นมา
หนิงเคอเค่อปาดน้ำตาและกินอาหารตรงหน้าเธอต่อไปช้า ๆ จนเสร็จ ก่อนจะรับหน้าที่ไปล้างจานด้วยความแข็งขัน แน่นอนว่าระหว่างที่เธอล้างจานนั้น ก็มีเสียงจานแตกมากมายดังออกมาจากในครัว แต่เซียวเฟิงเลือกที่จะไม่ใส่ใจ
“เอิ่ม…เอ่อ…”
ด้วยนิ้วที่บิดกันไปมา หนิงเคอเค่อเดินออกมาหาเซียวเฟิงที่โซฟาหลังจากล้างจานเสร็จแล้ว เธอมองไปยังเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขออะไรบางอย่างออกมา “เอ่อ…ขอโทษนะคะ…คุณพอจะจ่ายเงินเดือนล่วงหน้าให้ฉันได้ไหมคะ?”
“เอ๊ะ?” เซียวเฟิงถึงกับจังงังไปครู่หนึ่งก่อนจะสบตามองไปยังดวงตาที่หวาดหวั่นของเธอตรงหน้านี้อย่างใจเย็น
“เอ่อ คือว่าฉันต้องใช้เงินเดือนจริง ๆ น่ะค่ะ…แล้ว…แล้วก็ฉันก็ไม่ใช่คนไม่ดี…ฉันจะไม่หนีหายไปไหนแน่นอนค่ะ!…ฉันจะทำงานให้คุณอย่างสุดใจเลย!” หนิงเคอเค่อรีบพูดต่อ ถึงแม้น้ำเสียงของเธอจะยังแหบเบาและฟังดูร้อนรนก็ตาม
“โอเค” เซียวเฟิงไม่ได้ถามอะไรมากและพยักหน้ายินยอม เขาคว้าเอาบัตรเครดิตที่ไม่ค่อยได้ใช้นักออกมา ส่งมันให้เธอ จากนั้นก็ใช้ระบบแลกเปลี่ยนเหรียญทองที่ผูกกับบัตรเครดิตใบนี้ไว้เพื่อแลกเอาเหรียญทอง 50 เหรียญจากในเกมเข้าสู่บัตร และมันก็กลายเป็นเงินที่สูงถึง 5,000 หยวนเลยทีเดียว
“ในบัตรใบนี้มีค่าจ้างของเธออยู่ ทั้งหมด 5,000 หยวน นี่เป็นเงินเดือนเดือนแรกของเธอ”
ตั้งแต่ที่ระบบแลกเปลี่ยนเงินตราในมิธเปิดใช้งานได้ ธนาคารทั่วทั้งโลกต่างก็เปิดระบบถอนเงินจากในเกมกันหมด ดังนั้นมันจึงสะดวกสบายมากสำหรับเซียวเฟิงในตอนนี้
“ขอบคุณค่ะ! ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ!” หนิงเคอเค่อมองเซียวเฟิงด้วยความซาบซึ้งใจ เธอโค้งขอบคุณให้เขาอยู่หลายครั้งจนหน้าอกที่ใหญ่เกินตัวของเธอมันเคลื่อนขึ้นลงเป็นคลื่นอยู่ต่อหน้าเซียวเฟิงอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นเธอก็พูดต่อขึ้นมาด้วยความกังวลใจ
“เอ่อ…เอ่อ…ช่วงบ่ายนี้ฉันขอออกไปข้างนอกหน่อยได้ไหมคะ? ฉันจะพยายามกลับมาให้ได้ก่อนค่ำ…”
เด็กสาวเริ่มตระหนักได้ว่าตนเองเริ่มจะขอมากไปเสียแล้วตั้งแต่วันแรกในการทำงาน เพราะงั้นเธอจึงมองเซียวเฟิงด้วยความรู้สึกผิดที่อัดแน่นอยู่ในใจผนวกกับความกลัวที่ยังไม่เคยจางหายไปไหน
“โอเค” โชคยังดีที่เซียวเฟิงไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ด้วย
“ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ! คุณช่างเป็นคนที่ใจดีจริง ๆ … ฉันจะต้องตอบแทนคุณแน่ ๆ ค่ะ…”
หนิงเคอเค่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอพูดกับเซียวเฟิงด้วยความซึ้งใจก่อนจะโค้งคำนับให้เขาอีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปด้วยความเร่งรีบ
หลังจากที่หนิงเคอเค่อออกไปแล้ว เซียวเฟิงก็ลุกขึ้นยืน เธอบอกเซียวหลิงว่าจะออกไปข้างนอกนิดหน่อย แล้วรีบตามหนิงเคอเค่อออกไปอย่างลับ ๆ
เซียวเฟิงเชื่อว่าหนิงเคอเค่อไม่ใช่คนไม่ดีที่จะมาหลอกเอาเงินเขาแน่ ๆ จากพฤติกรรมของเธอ และชายหนุ่มไม่คิดด้วยว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะมีนิสัยแบบนั้นต่อให้มองจากรูปลักษณ์ภายนอก
แต่เพราะมันมีคำที่พูดกันไว้ว่า ‘กันไว้ดีกว่าแก้’ ดังนั้นเซียวเฟิงจะไม่ยอมปล่อยความเป็นไปได้ทุกอย่างทิ้งไปเด็ดขาด นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกติดตามเธอมาแบบลับ ๆ เช่นนี้
ขณะที่กำลังสะกดรอยตามอยู่นั้นเอง เขาก็มีจุดประสงค์ใหม่ขึ้นมา เพราะหนิงเคอเค่อจำเป็นต้องมาดูแลเซียวหลิงในอนาคต ถึงแม้เขาจะไม่ได้รู้เรื่องราวของเธอละเอียดไปซะทุกเรื่อง แต่อย่างน้อย ๆ ก็ขอให้รู้เรื่องพื้นฐานไว้บ้างก็ดี
เมื่อออกมาจากคฤหาสน์แล้ว หนิงเคอเค่อรีบตรงไปยังโรงพยาบาลกลางเมืองเฉิงไห่อย่างไม่รอช้า เธอเดินไปตลอดทางโดยไม่ได้ใช้รถสาธารณะเลยแม้จะได้เงินเดือนมาแล้ว แถมก้าวแต่ละก้าวของเธอยังค่อนข้างจะสั้นเสียด้วย มีบางครั้งที่เธอสะดุดล้ม แต่เจ้าตัวก็รีบพยุงตัวเองขึ้นและเดินตรงไปยังโรงพยาบาลนั้นอย่างไม่ย่อท้อ
โชคยังดีที่โรงพยาบาลกลางแห่งนี้กับเขตอุทยานไม่ได้อยู่ห่างกันมาก มันเลยทำให้เธอไม่ต้องเดินไปไกลนักจากคฤหาสน์
“คุณหมอ…คุณหมอลีคะ แม่ของฉันอาการดีขึ้นบ้างไหมคะ?”
ปลายทางของเด็กสาวคือออฟฟิศของแผนกระบบประสาทและสมองของโรงพยาบาลกลาง บางทีผู้ที่อยู่ในห้องนี้อาจจะมีตำแหน่งสูงส่ง เพราะงั้นภายในออฟฟิศขนาดใหญ่นี้จึงมีเพียงเขาผู้สวมแว่นและเสื้อกาวน์สีขาวอยู่เท่านั้น
“เคอเค่อ มาแล้วเหรอ? นั่งพักก่อนสิ วันนี้อาการแม่ของหนูประคองตัวได้ดีนะ ถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่ชัวร์ว่าเธอจะฟื้นมาเมื่อไหร่ แต่ฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่งเธอจะต้องฟื้นขึ้นมาแน่ ๆ ”
ชายผู้สวมแว่นคนนี้คือคุณหมอลี แววตาของเขาดูเปล่งประกายเมื่อได้เห็นหนิงเคอเค่อเข้ามาพบ เขารีบลุกแล้วหาที่นั่งให้เธอทันที
“ดีจังเลยค่ะ…ดีจริง ๆ …”
หนิงเคอเค่อลูบอกของตนเพื่อปลอบใจด้วยความโล่งอก เธอพยายามหายใจเพื่อลดอาการหอบเหนื่อยหลังจากเดินทางไกลมา
…
สายตาของคุณหมอลีนั้นเหมือนจะถูกหน้าอกคู่โตของหนิงเคอเค่อล่อลวงไปเสียแล้ว เขาพูด “เคอเค่อ ทุก ๆ วันที่แม่ของหนูยังไม่ฟื้นขึ้นมา ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษามันจะเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ รวมไปถึงค่าผ่าตัดครั้งก่อนหนูก็ยังไม่ได้จ่าย ฉันกลัวว่าสักวันหนึ่งเธอจะประคองค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไว้ไม่ได้เอานะ”
คุณหมอลีเอนหลังพิงไปที่เก้าอี้และยกขาขึ้นไขว้ สายตาภายใต้แว่นนั้นเหลียวมองไปยังใบหน้าที่สวยใสของหนิงเคอเค่อก่อนจะสลับไล่ไปตามเรือนร่างอันเย้ายวนเกินวัยของเธอ “ฉันเองก็เข้าใจว่าหนูยังเป็นแค่นักเรียน เพราะงั้นหนูคงจะแบกรับค่ารักษา ค่ายาไปได้ไม่นานหรอก เพราะงั้นหนูตัดสินใจเรื่องที่ฉันเคยพูดไว้ก่อนหน้าหรือยังล่ะ? เมื่อไหร่ก็ตามที่หนูย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านของฉัน ไม่เพียงแต่ฉันจะสามารถดูแลหนูได้ แต่ฉันยังสามารถช่วยจ่ายค่ารักษาให้แม่หนูได้อีกด้วยนะ”
ชายผู้นี้แสดงออกถึงความประสงค์ร้ายออกมาอย่างชัดเจน และเขาก็เชื่อด้วยว่าหนิงเคอเค่อจะต้องเข้าใจถึงสิ่งที่เขาพูดแน่ ๆ เพราะเด็กสมัยนี้น่ะโตเร็วจะตายไป
“คุณหมอลีคะ คุณหมอใจดีกับฉันมาก ๆ เลย และเพราะความใจดีที่ช่วยชะลอหนี้ค่ารักษาของคุณแม่ฉันได้ขนาดนี้ แต่ฉันไม่อยากจะรบกวนคุณหมอไปมากกว่านี้แล้วล่ะค่ะ ตอนนี้ฉันหางานได้แล้ว เพราะงั้นฉันจะรีบหาเงินมาจ่ายให้เรื่อย ๆ นะคะ”
เธอไม่เพียงปฏิเสธปากเปล่า แต่ยังหยิบเอาบิลที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลส่วนหนึ่งให้คุณหมอลีไปด้วย การกระทำนี้ทำเอาเขาเหวอไปเลย
“หา?”
สิ่งเหล่านี้มันได้ทำลายฝันอันสวยหรูของคุณหมอลีไปเลย เขามองบิลค่ารักษาพวกนั้นอย่างไร้สติ หลังจากที่หนิงเคอเค่อออกไปแล้ว สติที่หายไปก็กลับมาพร้อมกับสีหน้าทุกข์ใจ
“ใครมันชิงตัดหน้าไปก่อนวะ! ฉันเกือบจะได้ตัวยัยนั่นมาแล้วเชียว!? ใครมันบังอาจเสนอหน้าเข้ามายุ่งกัน!!”
หมอลีพยายามข่มความโกรธของตนเองเอาไว้และพูดเสียงเบา มันไม่ง่ายเลยสำหรับเขาที่จะเล่นบท ‘คนดี’ แบบนี้ เขาพยายามหาหนทางที่จะทำให้แม่ของหนิงเคอเค่อสามารถเป็นหนี้โรงพยาบาลได้ เพราะงั้นจึงใช้วิธีการขุดหลุมพรางทีละขั้น ๆ และรอให้หนิงเคอเค่อกระโดดลงมาด้วยตนเอง ทั้ง ๆ ที่มันราบรื่นมาตลอด จู่ ๆ ก็มีใครไม่รู้เข้ามาทำลายแผนของเขาทิ้งทั้งหมด
“ได้งานแล้วคืออะไรกัน! ต่อให้เพิ่งได้งานก็ไม่น่าจะมีเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลหรือเปล่าวะ!? แบบนี้มันก็ชัดแล้วไม่ใช่เหรอว่ามีคนที่คิดเหมือนฉันแล้วดันทำสำเร็จไปก่อนหน้าแล้ว!”
“แกเป็นใคร!? เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณหมอลีเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าภายในออฟฟิศที่ควรมีแค่เขาอยู่คนเดียวกลับไม่เป็นอย่างที่ควรเป็นอีกต่อไปแล้ว ชายอีกคนหนึ่งจู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิด!
ชายคนนั้นคือเซียวเฟิง เขามองคุณหมอลีอย่างไม่แยแส ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ ๆ แต่รู้ตัวอีกทีคุณหมอลีก็สลบคาโต๊ะไปเสียแล้ว
ร่างของเซียวเฟิงหายไปจากห้องนั้นอีกครั้งโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไร ในขณะที่คุณหมอลีก็ได้กลายเป็นคนป่วยแผนกของตนเองที่ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยจากเหตุการณ์ช็อกที่เกิดขึ้นปุปปับเช่นนี้
ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะรับหนิงเคอเค่อเข้ามาดูแลแล้ว เซียวเฟิงจะไม่ยอมให้ใครก็ตามมาคิดร้ายกับเด็กสาวคนนี้ได้อีก
เซียวเฟิงเดินไปทั่วโรงพยาบาล ในขณะที่หนิงเคอเค่อมุ่งตรงเข้าไปยังห้องพักฟื้นห้องหนึ่ง และอยู่ภายในนั้นกว่าครึ่งค่อนชั่วโมงหลังจากที่เธอจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปแล้ว จากนั้นถึงจะกลับไปยังคฤหาสน์ของเซียวเฟิงในภายหลัง
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวออกจากห้องพักนั้นแล้ว เซียวเฟิงจึงเดินเข้าไปดูบ้าง ภายในนั้นมีหญิงสาวที่สวยมากคนหนึ่งซึ่งดูคล้ายกับหนิงเคอเค่อ กำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียง
เขาไม่ได้รู้ศัพท์ทางการแพทย์มากนัก แต่ดูจากบันทึกการรับยาของเธอ ก็พอจะรู้ได้ว่าหญิงสาวคนนี้อาการค่อนข้างหนักจนไม่สามารถระบุได้เลยว่าจะฟื้นอีกเมื่อไหร่ สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงนอนอยู่ที่นี่และรับการรักษาควบคู่กับการให้อาหารผ่านสายยางจนกว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาอีกทีหนึ่ง
คิดจากชุดที่หนิงเคอเค่อสวมกับใบหน้าที่งดงามของเธอที่นอนอยู่บนเตียงนี้ ยังไง ๆ ก็ไม่ใช่ครอบครัวธรรมดาแน่ ๆ บางทีอาจจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเธอทั้งสองจนทำให้ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม เซียวเฟิงไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบจุ้นจ้านเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว เพราะงั้นเขาจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
หนิงเคอเค่อใช้เงินทั้ง 5,000 หยวนที่ได้มาจากเซียวเฟิงจ่ายค่าพยาบาลทั้งหมดไป กระนั้นมันก็ยังมีค่าใช้จ่ายอีกส่วนหนึ่งที่ยังจ่ายไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงยังเป็นหนี้โรงพยาบาลอยู่ดังเดิม เซียวเฟิงเดินเข้าไปยังห้องการเงินและจ่ายเงินจำนวน 10,000 หยวนไว้ให้กับโรงพยาลเพิ่มก่อนจะกลับคฤหาสน์ของตนไปเช่นกัน
แม้ว่าจะออกมาทีหลัง แต่เซียวเฟิงก็กลับมาถึงคฤหาสน์ก่อนหนิงเคอเค่อ ชายหนุ่มหาตัวเซียวหลิงและขอให้เธอช่วยจัดห้องให้หนิงเคอเค่อด้วยพร้อมทั้งเน้นย้ำให้เธอไม่กลั่นแกล้งอะไรอีกฝ่าย จากนั้นเขาถึงจะกลับเข้าห้องของตนไปเพื่อออนไลน์
กว่าจะจัดการเรื่องของหนิงเคอเค่อได้นั้นใช้เวลาเกือบจะทั้งวัน แต่ก็ยังดีที่ผลลัพธ์มันออกมาในระดับที่น่าพึงพอใจ เซียวเฟิงอยากจะหาใครสักคนมาคอยดูแลเซียวหลิงแทนตนอยู่แล้ว และหนิงเคอเค่อก็สามารถตอบโจทย์ได้ในทุก ๆ ด้าน ที่เหลือก็แค่หวังให้ทั้งสองคนนี้สามารถอยู่ด้วยกันได้ตลอดก็พอ
มันอาจจะมีผลต่อชื่อเสียงของเขาบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ หากคนอื่นรู้ว่าเขาจ้างเยาวชนมาเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งถ้ามีคนรู้เช่นนั้น เซียวเฟิงก็คงจะรู้สึกอึดอัดใจด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้วจะต้องไม่ให้ใครรู้เด็ดขาด ทางที่ดีก็เลิกพูดเรื่องนี้ไปเลย
สิ่งที่เซียวเฟิงไม่ได้บอกใครเลย ไม่ว่าจะเฉียนโตวโตวหรือหนิงเคอเค่อก็ตาม นั่นคือ เขาเตรียมคนที่จะสามารถดูแลเซียวหลิงไว้แล้วตามแผนการเดิมหลังจากที่เขาจากไป…