Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 409 เสี่ยวเสวีย
บทที่ 409 เสี่ยวเสวีย
บทที่ 409 เสี่ยวเสวีย
เสี่ยวเสวียที่เป็นสัตว์เลี้ยงระดับเทพเจ้า สถานะสูงขึ้นมากแล้วในตอนนี้ สกิลของเธอก็ได้รับการอัปเกรดเพิ่มเป็นอย่างมาก
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมค่าคุณสมบัติต่าง ๆ ของเซียวเฟิงจึงทะลุหนึ่งร้อยแต้มได้แม้จะไม่มีอุปกรณ์ช่วยเสริม มันเป็นเพราะสกิลของเสี่ยวเสวียที่ช่วยเพิ่มค่าเหล่านี้ให้มากถึงเจ็ดสิบสองแต้มเลยทีเดียว และด้วยสกิลระดับนี้ เสี่ยวเสวียก็สมกับที่เป็นสัตว์เลี้ยงระดับเทพเจ้าแล้ว
นอกจากนี้ เสี่ยวเสวียยังได้สกิลใหม่อย่าง ‘พายุโหมกระหน่ำ’ ซึ่งถือเป็นสกิลจำพวกทำความเสียหายและควบคุมมาอีกด้วย มันเหมือนกับพรจากสวรรค์เลย เพราะในบรรดาสัตว์เลี้ยงและสัตว์ขี่แล้ว มีเพียงสัตว์เลี้ยงเท่านั้นที่สามารถสนับสนุนการต่อสู้ได้ ในขณะที่สัตว์ขี่จะช่วยได้เพียงเรื่องการเดินทางเท่านั้น แต่แล้วอัตลักษณ์ที่เด่นชัดเหล่านี้ของเกม ก็ถูกเสี่ยวเสวียทลายลงเมื่อมันกลายเป็นสัตว์ขี่ที่มีสกิลที่ใช้ในการต่อสู้ได้!
แต่อย่างไรเสียความแข็งแกร่งที่น่ากลัวที่สุดของเสี่ยวเสวียคงไม่พ้นเรื่องความเร็ว การที่ได้กลายเป็นระดับเทพเจ้าเช่นนี้มันก็ช่วยทำให้ความเร็วของเธอเพิ่มมากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าความเร็วในตอนบินจะน้อยกว่าตอนวิ่งอยู่บนพื้นก็ตาม แต่เซียวเฟิงก็ยังรู้สึกได้ถึงสายลมที่ปะทะเข้ากับใบหน้า และเสียงลมที่เข้ามาในหูนั้นมันเร็วกว่าปกติมาก ๆ ยิ่งการได้เห็นภาพบนพื้นที่เคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็วก็ยิ่งทำเอาใจเต้นแรงไปหมด เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น พวกเขาก็สำรวจมาได้ครึ่งป่ารัตติกาลแล้ว
“พวกแกยังไม่เจอมันอีกเหรอ?”
ที่ด้านหน้าทางเข้าป่ารัตติกาล ซาตานกำลังขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม จุดที่เขายืนอยู่นั้นถือเป็นทางเข้าที่ใหญ่ที่สุดของป่ารัตติกาล ดังนั้นจุดนี้เองจึงเป็นจุดที่คนของจักรวรรดิกาลาดูยืนเฝ้าอยู่ นำโดย ซาตาน ผู้เป็นหัวหน้ากิลด์
กลุ่มคนจำนวนมากเหล่านี้กำลังปิดล้อมทางเข้าเอาไว้ด้วยจำนวนคนที่หนาแน่น หลีเซียนอวิ๋นเองก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย เธอมองตรงไปยังป่ารัตติกาลด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสน
“พวกเราเจอร่องรอยของมันเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนครับ แต่ผู้เล่นของเราก็ถูกมันฆ่าตายซะก่อน พอคนกลุ่มใหม่เข้าไปถึง มันก็หายไปอีกแล้ว” สมาชิกคนหนึ่งของกิลด์จักรวรรดิกาลาดูรายงาน
“ไอ้พวกโง่! พวกนั้นมันไม่รู้หรือไงว่าคนที่พวกมันต้องไปคอยสะกดรอยตามเป็นถึงอันดับ 1 ในฮัวเซียน่ะ? สู้ไปทำไม! สะกดรอยตามอยู่ไกล ๆ กันไม่ได้หรือไงวะ? ทำไมต้องไปยั่วยุให้มันโต้กลับ! ไอ้พวกโง่เอ๊ย! คราวนี้พวกเราก็ต้องมาหามันโดยที่ไม่มีมูลอะไรใหม่อีก!”
ซาตานแผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราด อันที่จริงคนเหล่านั้นก็ทำอย่างที่เขาต้องการนั่นแหละ หากแต่โชคไม่เข้าข้าง พวกเขาไม่สามารถหนีออกมาได้ไกลนัก
“มันน่าจะเข้าไปในส่วนกลางของป่ารัตติกาลแล้ว คนของเรายังเข้าไปไม่ถึงตรงนั้นอีกเหรอ?” ซาตานหันไปถามผู้เล่นคนอื่นที่ซึ่งเป็นผู้บัญชาการของเหล่าผู้เล่นระดับสูง ณ ปัจจุบัน
“พวกเราไปถึงใจกลางของป่ารัตติกาลแล้วครับ ตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับบอสเลเวล 50 ระดับทองอยู่ แต่ไม่พบร่องรอยของหมอนั่นเลย!” ผู้เล่นที่ตอบกลับนั้นแสดงความหนักใจออกมา
“อะไรนะ! อย่าเพิ่งไปสนใจบอส! นายมั่นใจนะว่าไม่เจอมันอยู่ที่ส่วนกลางน่ะ? นายหามันทั่วแล้วหรือยัง? “ ผู้บัญชาการกลุ่มผู้เล่นสูงเริ่มหวั่นใจ ขณะที่ซาตานเองก็หันมามองเขาด้วยความสงสัย
“ครับ…” ผู้เล่นที่นำเรื่องมารายงานเหงื่อไหลซึมด้วยความตื่นกลัว นั่นเพราะพวกเขาได้ทำการค้นหาจนทั่วทั้งแผนที่แล้ว แต่นอกจากการพบตัวครั้งสุดท้ายเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน พวกเขาก็ไม่เจอร่องรอยของเซียวเฟิงอีกเลย
“มันจะเป็นไปได้ยังไง…?!” ขณะที่ผู้บัญชาการเตรียมจะพูดอะไรสักอย่าง เขาก็ต้องชะงักไป เมื่อมีผู้เล่นอีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน
“ท่านหัวหน้า ท่านผู้บัญชาการ มีข่าวด่วนครับ!” ผู้เล่นคนนั้นวิ่งเข้ามายังทางเข้าป่ารัตติกาลพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“แกเจออันดับ 1 ของเขตฮัวเซียแล้วงั้นเหรอ?” ซาตานรีบหันกลับไปถามด้วยความตื่นเต้น
“เอ่อ… ไม่ใช่ครับ เราพบแผนที่ลับ!”แม้จะลังเลแต่ผู้เล่นคนนั้นก็ตอบกลับไป
“แผนที่ลับ? ฮ่า ๆ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเราหามันไม่เจอทั้ง ๆ ที่หาจนทั่วทั้งป่ารัตติกาลแล้ว! มันจะต้องหนีไปซ่อนในแผนที่ลับนั้นแน่ ๆ! เร็วเข้า! ส่งคนเข้าไปเพิ่มเดี๋ยวนี้เลย! พยายามเข้าใกล้แผ่นที่ลับนั้นให้ได้มากที่สุด!” ซาตานหัวเราะ
“ครับ!”
“แล้วพวกยอดฝีมือในเขตฮันกึลของพวกเรามาหรือยัง? นายได้ติดต่อเขาไปแล้วใช่ไหม?” ซาตานหันกลับมาถามอีกครั้ง
“ติดต่อไปแล้วครับ พวกเขากำลังมุ่งหน้ามาทางป่ารัตติกาลแล้ว แต่พวกเราไม่สามารถติดต่อท่านคิมจงฮันได้เลย”
“นายติดต่อคิมจงฮันไม่ได้เหรอ? งั้นไม่เป็นไร แค่ยอดฝีมือในอันดับคุณสมบัติมารวมกันแล้วได้รับการสนับสนุนจากพวกเราก็น่าจะพอแล้ว ต่อให้เป็นอันดับ 1 ของเขตฮัวเซียก็ไม่น่าจะรอดออกไปได้แล้วล่ะ!” ขณะที่พูดไปเช่นนั้น สีหน้าของซาตานก็ดูจะชั่วร้ายสุด ๆ
ทว่าทันทีที่คำพูด ‘ไม่น่าจะรอดออกไปได้’ จบลง สายลมกระโชกก็พัดลงมาเหนือหัวพวกเขา ทำเอาใบไม้ที่อยู่บนพื้นบริเวณนั้นต่างลอยตัวสูงขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ลมหมุนสองลูกก่อตัวเกิดขึ้นและกลายเป็นเฮอร์ริเคนซึ่งกำลังดูดเอาทุกสิ่งอย่างเข้าสู่ใจกลางของมัน ทำเอาซาตานและหลีเซียนอวิ๋นต่างก็ยกมือขึ้นปิดตาไปพร้อม ๆ กัน
“เกิดอะไรขึ้น! ทำไมลมนั่นถึงแรงได้ขนาดนี้!”
“นั่นอะไรน่ะ?”
“ลมมันจะแรงเกินไปแล้ว! ฉันมองอะไรไม่เห็นเลย!”
“พระเจ้า! นั่นมัน เพกาซัส?!”
“ไม่ใช่! นั่นน่ะ… ยูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์! สัตว์ขี่อันดับ 1ของเซิร์ฟเวอร์!”
“ไม่จริงน่า!”
…
ทุก ๆ คนบนพื้นดินต่างอุทานและตะโกนโหวกเหวกออกมาในเรื่องเดียวกัน ทำให้ซาตานและหลีเซียนอวิ๋นรีบแหงนหน้าขึ้นไปมองและพากันตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นไปตาม ๆ กัน
พวกเขาเห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนผ่านเหนือป่ารัตติกาล สิ่งนั้นคล้ายเฮอร์ริเคนที่ก่อตัวในแนวนอน ทุกที่ที่มันเคลื่อนผ่าน เศษใบไม้ตามพื้นจะลอยฟุ้งขึ้นในอากาศเหมือนมังกรที่ทะยานมาเฉียดโลก ด้านหน้าสุดที่เปรียบเสมือนตาพายุนั้น เผยให้เห็นเงาของบางสิ่งบางอย่างที่มีสีขาวห่อหุ้มไปทั้งตัว สิ่งนั้นกำลังนำลมหมุนรุนแรงที่อยู่ด้านหลังให้ตามไปด้วย
มันคือยูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ สัตว์ขี่ระดับเทพเจ้าที่เป็นอันดับ 1 ในเซิร์ฟเวอร์!
นอกจากนี้ บนหลังของมันยังมีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย คนที่พวกเขาต่างกำลังตามหาโดยมีเป้าหมายที่จะรุมฆ่าเสีย คนคนนั้นเป็นเจ้าของยูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ ผู้เล่นอันดับ 1 ของเขตฮัวเซีย เจ้าแห่งฮีลเลอร์!
“ทะ… ท่านหัวหน้า…” ผู้เล่นที่เข้ามารายงานก่อนหน้าถึงกับพูดติดอ่าง เขามองไปยังซาตานผู้เป็นหัวหน้ากิลด์ และไม่รู้ว่าตนเองควรจะพูดอะไรดีในสถานการณ์เช่นนี้
ซาตานเองก็ยังตกอยู่ในภวังค์ของความงุนงง การที่จะรุมจับผู้เป็นอันดับ 1 ในเขตฮัวเซียได้นั้น เขาจำเป็นต้องนำคนทั้งเขตฮันกึลมายังแผนที่ระดับสูงอย่างป่ารัตติกาลแห่งนี้!
ดังนั้นแล้วตอนนี้บริเวณรอบป่ารวมไปถึงบางส่วนที่อยู่ในป่า ล้วนถูกผู้เล่นกว่าสิบล้านคนของเขตนี้ยึดครองไปแล้ว แถมท่ามกลางคนเหล่านี้เองก็มีผู้เล่นระดับสูงของฮันกึลกระจายตัวไปอยู่ด้วย
แต่เพียงแค่เขาพูด ‘ต่อให้เป็นอันดับ 1 ของเขตฮัวเซีย ก็ไม่น่าจะหนีออกไปได้’ จบ ภายในพริบตา เป้าหมายที่เฝ้ารอก็บินผ่านพวกเขาไปพร้อมกับสัตว์ขี่ระดับเทพเจ้า ด้วยความเร็วจนเห็นเป็นเส้นแสง พวกเขาไม่ทันแม้จะตอบสนองอะไรเลยด้วยซ้ำ
คนคนนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็ทลายวงล้อมของคนกว่าสิบล้านคนออกมาได้เสียแล้ว!
แต่ระหว่างที่ซาตานยังไม่รู้จะทำอย่างไรดีนั้นเอง ยูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่บินผ่านไปแล้วก็วกกลับมา มันพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วและดูเหมือนว่าปลายทางก็คือพวกเขานี่เอง!
“ฮึ่ม!”
แรงลมมหาศาลพุ่งเข้าใส่ซาตานและคนที่อยู่ใกล้ ๆ เขาจนบางคนก็ถึงกับล้มลงไปนอนกับพื้น ใบไม้แห้งรอบ ๆ ตัวพวกเขาต่างกระจายขึ้นบนอากาศและตกลงมาเหมือนหิมะพร้อม ๆ กับร่างขาวประดุจปุยเมฆของยูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ค่อย ๆ ชโลมตัวลงมาบนพื้นท่ามกลางพวกเขา
“โอ๊ะ ขอโทษที่รบกวนนะ เธอพอจะช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าชื่อของเมืองจักรวรรดิในเขตนี้คืออะไรน่ะ?” เซียวเฟิงที่นั่งอยู่บนหลังเสี่ยวเสวียสัมผัสเส้นขนบนหลังหัวยูนิคอร์นตัวใหญ่เบา ๆ ขณะที่ตัวเขายื่นหน้าไปถามหลีเซียนอวิ๋น
แต่เดิมแล้วเซียวเฟิงคิดจะบินออกจากป่ารัตติกาลไปเลย แต่เพราะนึกขึ้นได้ว่ามันยังมีเรื่องที่เขาไม่รู้อยู่อีก นั่นคือ… ที่ตั้งของเมืองจักรวรรดิของเขตฮันกึล เหตุผลที่ต้องไปก็เพราะว่าที่นั่นมีสนามประลองอยู่!
ขณะที่กำลังบินผ่านไปนั้น เขาก็เหลือบลงมาเห็นคนรู้จักด้านล่าง ก็เลยวกกลับมาเพื่อถาม
แม้ว่าเบื้องล่างจะมีคนมากมายที่เซียวเฟิงรู้อยู่แล้วว่ามารวมตัวกันเพื่อที่จะจับเขา แต่เซียวเฟิงก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะตอนนี้หอกลองกินัสของเขามันพร้อมใช้งานแล้ว หากพวกนี้เลือกที่จะบุกเข้ามา ฝ่ายที่จะมีปัญหาก็คือพวกเขาทั้งหมดเองนั่นแหละ
ในเมื่อตอนนี้เขาสามารถอัญเชิญเสี่ยวเสวียได้แล้ว คนพวกนี้ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเลยก็ได้ ด้วยความเร็วของเสี่ยวเสวีย ไม่มีใครสามารถตามตัวเซียวเฟิงได้แล้ว ดังนั้น ชายหนุ่มก็จะสามารถไปไหนก็ได้ตามที่ต้องการ
“เมืองเฉาเอ้อร์…”
หลีเซียนอวิ๋นที่ยังคงตกอยู่ในภวังค์ พอได้ยินคำถาม เธอก็หลุดตอบไปอย่างไร้สติ…
“ขอบใจ”
เซียวเฟิงพยักหน้าแล้วลูบไปที่คอเสี่ยวเสวียเบา ๆ ทันใดนั้นปีกสีขาวสะอาดของยูนิคอร์นก็สยายออกอีกครั้ง การกระพือเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งสองทะยานขึ้นฟ้าได้แล้ว
“ท่านหัวหน้าครับ!”
“เร็วเข้า! โจมตีเลย! โจมตียูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์นั่นด้วยสกิลควบคุม! เอามันลงมาให้ได้!”
ซาตานที่ได้สติขึ้นมาพอดีรีบสั่งการด้วยความตกใจและเสียงดัง
เหล่าผู้เล่นเขตฮันกึลมากมายที่แต่เดิมกำลังยืนเฝ้าทางเข้าป่ารัตติกาลกันอยู่รีบเข้ามารวมตัวและเริ่มโจมตีโต้กลับ สกิลมากมายนับไม่ถ้วนถูกโถมเข้าใส่เสี่ยวเสวียในอากาศอย่างรวดเร็ว
ทว่ามันก็สายไปแล้ว เพียงพริบตาเดียวเสี่ยวเสวียก็เคลื่อนที่ไปกว่าหนึ่งร้อยเมตร จะเหลือไว้ก็แต่เสียงของลมที่ระเบิดออกเหมือนแท่นส่งให้ร่างของยูนิคอร์นสีขาวพุ่งออกไป ทำเอาคนอื่น ๆ หูอื้อกันไปหมด
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงเสี่ยวเสวียจะหนีไม่ทัน แต่ด้วยสกิลที่ทำให้ผลการควบคุมหรือดีบัฟไม่มีผลกับเธอนั้น ก็สามารถระงับได้แม้แต่ผลการงุนงงหรือชะลอตัว สถานะพวกนั้นล้วนไม่มีผลกับเธอแต่อย่างใด เพราะแบบนี้ ยังไงพวกเขาก็ไม่มีทางจับตัวเสี่ยวเสวียกับเซียวเฟิงได้อย่างแน่นอน
เสี่ยวเสวียสั่งใช้งานจิตวิญญาณแห่งลมและทะยานตนเองออกไปอย่างรวดเร็ว ภายในพริบตาเดียว ร่างของเธอก็หายไปในฟากฟ้าจนไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยใด ๆ
“…”
เหล่าผู้เล่นเขตฮันกึลที่อยู่บริเวณทางเข้าป่ารัตติกาลต่างพากันเงียบกริบ พวกเขาต่างมองร่างนั้นหายไปกับตาตนเองโดยที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
การกระทำในครั้งนี้ของพวกเขามันช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน พวกเขาพาคนมามากกว่าสิบล้านคนเพื่อล้อมคนเพียงคนเดียว แต่คนเพียงคนเดียวนั้นก็ยังอุตส่าห์หนีรอดไปได้โดยที่พวกเขาทำได้แค่มองด้วยซ้ำ แถมอีกฝ่ายยังหันมามองพวกเขาด้วยสายตาสบาย ๆ ราวกับนี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรอีกด้วย
หลีเซียนอวิ๋นขยับริมฝีปากเบา ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา คนคนนี้เป็นผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็นอันดับ 1 ในเขตฮัวเซียจริง ๆ เหรอ?
เป็นคนที่สามารถอยู่เหนือผู้เล่นกว่าหนึ่งพันล้านคนในเขตฮัวเซียได้จริง ๆ ใช่ไหม?
ขนาดเขาไม่ได้ล็อกอินมาตั้งหนึ่งเดือนแล้ว ไหนจะเลเวลและอุปกรณ์ก็อยู่ในระดับรั้งท้าย ขนาดนี้แล้วเขาก็ยังเอาตัวรอดจากผู้เล่นหลักล้านคนได้อีกงั้นเหรอ!
“ทะ… ท่านหัวหน้าครับ… ผมเพิ่งจะคิดขึ้นมาได้… ว่านั่นน่ะ อันดับ 1 ของเขตฮัวเซียที่เป็นเจ้าของสัตว์ขี่อันดับ 1 ของเซิร์ฟเวอร์ แถมยังมีสัตว์เลี้ยงที่ติดอันดับ 1 ของเซิร์ฟเวอร์อีก… สัตว์เลี้ยงระดับตำนานของเขาสามารถฆ่าผู้เล่นของฮัวเซียกว่าแสนคนได้ด้วยสกิลเดียวเลยนะครับ! พวกเราโชคดีแล้วที่เจ้านั่นมีแค่สัตว์ขี่ตอนนี้ ขืนมันอัญเชิญสัตว์เลี้ยงมาด้วย ป่านนี้พวกเราอาจจะตายกันไปหมดแล้ว…”
ผู้บัญชาการที่ได้สติตาม ๆ กันมาก็เริ่มหันมาพูด
“ออกไปเลยไป!”
ซาตานหันไปเตะผู้บัญชาการคนนั้นด้วยความโกรธ เขารู้สึกได้ถึงไฟโทสะที่กำลังกัดกินจากด้านใน
“แจ้งเตือนไปยังทั่วทุกแห่งหนในเขตฮันกึล! เปลี่ยนเจ้านั่นให้เป็นศัตรูกับทุกคนในเขต! ฆ่ามันให้ได้! ห้ามปล่อยให้มันมาหยิ่งผยองในเขตของพวกเราได้อีก! มันคิดว่าที่นี่เป็นสนามเด็กเล่นหรือไงกัน!”
“ครับ…”
ผู้บัญชาการผู้เล่นระดับสูงที่ถูกเตะนั้นไม่กล้าพูดอะไรต่อ เขาได้แต่ตอบรับ ถึงแม้ว่าอยากจะเตือนอีกฝ่ายถึงค่าสถานะของสัตว์ขี่ตัวนั้น เท่าที่เขารับรู้ได้นั้น ต่อให้คนทั่วทั้งเขตฮัลกึลไล่ตามเซียวเฟิง มันก็ไม่ได้ผลหรอก แต่ก็นั่นแหละ เขาคงจะพูดอะไรไม่ได้ไปพักใหญ่ ๆ เลย
“เซียนอวิ๋น! เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? ทำไมถึงไปบอกชื่อเมืองจักรวรรดิง่าย ๆ แบบนั้น มันแค่ถามเธอเองนะ! ไม่กลัวว่ามันจะไปก่อจลาจลในเมืองจักรวรรดิของพวกเราหรือไง!” ซาตานหันไปยังหลีเซียนอวิ๋นแล้วซักถาม
“นายคิดว่าหมอนั่นจะหาชื่อเมืองจักรวรรดิของพวกเราในฟอรั่มเขตฮันกึลไม่ได้เหรอ?” หลีเซียนอวิ๋นเผลอบอกชื่อเมืองกับเซียวเฟิงไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีด้วย แต่เมื่อเธอโดนซาตานตั้งคำถามเช่นนั้น มันก็ทำให้เธออารมณ์ไม่ดีด้วยเหมือนกัน
เธอน่ะไม่ใช่ลูกน้องของซาตานเหมือนกับผู้บัญชาการคนนั้น และหลังจากที่ถามกลับไป เธอก็หันหน้าแล้วจากคนเหล่านี้ไปทันที