Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 416 ปัญหา
บทที่ 416 ปัญหา
บทที่ 416 ปัญหา
เซียวเฟิงไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เลยจนกระทั่งวันถัดมาเนื่องจากไม่มีใครบอกเขา แถมตอนที่รู้เรื่อง ก็เพราะตัวเองดันเปิดเข้าไปอ่านอะไรเล่นในฟอรั่มถึงได้เจอว่าเกิดเรื่องขนาดใหญ่นี้ขึ้นในเขตฮัวเซีย
เพราะตอนนี้ชายหนุ่มเหลือเวลาเพียงอีกหนึ่งวันเท่านั้นก็จะถึงช่วงเวลาอีเวนต์เซิร์ฟเวอร์การแข่งขันระหว่างผู้เล่นแล้ว ดังนั้นเซียวเฟิงจึงใช้เวลากว่า 30 ชั่วโมงมานี้อยู่ในลานประลองภายในเมืองจักรวรรดิของเขตฮันกึล
นอกจากออฟไลน์ไปทานอาหารแล้ว เขาก็หมกมุ่นอยู่กับการประลองตลอดเวลาเลย
ผลลัพธ์ของความพยายามนี้ค่อนข้างเป็นที่น่าจับตามองมาก ๆ เพราะตอนนี้เซียวเฟิงไต่อันดับขึ้นมาเป็นท็อป 1,000 ของอันดับลานประลองเขตฮันกึลได้แล้ว และชื่อของเขาก็กลายเป็นที่โด่งดังในเขตฮันกึลเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ไม่เพียงแต่ตัวเองจะชนะติดต่อกันมาตลอด แต่เขายังสามารถชนะคู่ต่อสู้ในเวลาไม่ถึง 10 วินาทีอีกด้วย ไม่ว่าผู้เล่นเขตฮันกึลที่มาเป็นคู่ต่อสู้จะพยายามยืดเยื้อขนาดไหน หรือแม้แต่จะเป็นนักฆ่าที่ล่องหนได้ พวกเขาก็พ่ายแพ้ได้อย่างรวดเร็ว ความเร็วของแต่ละรอบนั้น หากจะอัญเชิญสัตว์เลี้ยงก็ยังไม่ทันเลยด้วยซ้ำ
ยิ่งเซียวเฟิงชนะต่อเนื่องมากขึ้นเท่าไหร่ คู่ต่อสู้ที่ระบบจัดให้มาเจอเขาก็มีสีหน้ามืดมนขึ้นเท่านั้น พวกเขาดูจะไม่เหลือจิตวิญญาณที่จะสู้แล้ว ยิ่งบางคนที่ถูกจับให้มาเจอบ่อยครั้งก็ยิ่งไม่อยากจะสู้ คนเหล่านี้แทบจะกดขอยอมแพ้ในทันทีโดยไม่รีรออะไรทั้งนั้น…
เขาใช้แต้มชัยชนะที่ได้มาแลกเป็นค่าประสบการณ์จนตอนนี้เลเวล 40 เข้าไปแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่ใกล้เคียงกับท็อปที่สูงกว่านี้ แต่เพียงเท่านี้เขาก็อยู่เหนือกว่าผู้เล่นระดับทั่วไปเยอะแล้ว ชุดเกราะพรแห่งทวยเทพของตัวเองก็ถึงเวลาที่จะได้มอบค่าสถานะให้เขาบ้างเสียที และการที่เสี่ยวเสวียได้รับการเพิ่งเลเวลพร้อม ๆ กับเซียวเฟิงไปด้วย มันก็ยิ่งทำให้สกิลของเสี่ยวเสวียนั้น เพิ่มความแข็งแกร่งให้เซียวเฟิงอีกมาก
การที่ชนะแบบวนลูปไม่รู้จักจบสิ้นนี้ ทำให้เซียวเฟิงเริ่มชินชา กว่า 30 ชั่วโมงในลานประลองทำให้ท้ายสุดเขาก็เบื่อ
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียเวลามากเกินไป เซียวเฟิงจึงตัดสินใจที่จะเปิดอ่านฟอรั่มรวมถึงคิดที่จะออกไปซื้อของด้วยระหว่างรอจับคู่การประลองรอบใหม่
ทว่าเมื่อเปิดฟอรั่มมา เขาก็พบเรื่องการต่อสู้ของกิลด์มิดซัมเมอร์กับกางเขนเหล็กเสียก่อน ในตอนแรกเซียวเฟิงก็คิดว่ามันน่าจะเป็นเพราะเรื่องที่เกิดเมื่อครั้งทัพแห่งความมืดโต้กลับแน่ ๆ คงจะเป็นฝั่งกางเขนเหล็กที่เปิดฉากสู้กับมิดซัมเมอร์ ดังนั้นเซียวเฟิงจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
อย่างไรก็ตาม เขาดันเหลือบไปเห็นคนที่กล่าวถึงเซียวหลิงในคอมเมนต์ ซึ่งพูดไว้ว่าเรื่องในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะกิลด์กางเขนเหล็กไปฆ่าน้องสาวของเจ้าแห่งฮีลเลอร์ มันเลยกลายเป็นสงครามระหว่างกิลด์ระดับผู้ปกครองทั้งสองกิลด์ไปโดยปริยาย
เมื่อรับรู้เช่นนั้นหน้าของเซียวเฟิงก็เปลี่ยนสีทันที เขารีบโทรหาหลิวเฉียงเหว่ยและถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและละเอียดถี่ถ้วน
ทางด้านหลิวเฉียงเหว่ยที่ไม่ว่าจะอยากปิดบังมากขนาดไหน เธอก็ไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้น ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องเล่าเรื่องทั้งหมดไปในทันทีที่เขาถาม
“กางเขนเหล็กสินะ! เยี่ยม เยี่ยมจริง ๆ!”
รังสีที่เปล่งออกมาจากตัวเซียวเฟิงนั้นเปลี่ยนไปในทันที เมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเพิ่งจะหาวหวอดด้วยความเบื่อหน่ายอยู่ในสนามประลองแท้ ๆ แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนที่ดูเยือกเย็นขึ้นมาเสียแล้ว
บังอาจมากที่ฆ่าเซียวหลิง! ไม่ว่าพวกแกจะอยู่ที่ไหนของโลกใบนี้ ฉันก็จะตามไปฆ่าให้ได้!
จิตสังหาร ความมืดมนและความเยือกเย็น แผ่ออกมาปกคลุมรอบกายเซียวเฟิงช้า ๆ ซึ่งมันทำให้ผู้ที่มาพบเจอต่างหนาวสั่นไปตาม ๆ กัน
“นะ… นายน่ะ ยะ…ยะ…ยังจะสู้อยู่หรือเปล่า?”
เซียวเฟิงยังคงอยู่ในสนามประลอง ซึ่งคู่ต่อสู้ที่เป็นผู้เล่นฮันกึลของเขานั้นมองเห็นแล้วว่านาฬิกานับถอยหลังมันสิ้นสุดลงแล้ว นั่นหมายถึงการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้วในตอนนี้ ในตอนแรกเขาว่าจะชิงโจมตีก่อน แต่เพราะรับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นที่ถูกแผ่ซ่านออกมาจากตัวเซียวเฟิง มันทำให้คู่ต่อสู้สั่นเทาไปทั้งตัว!
จิตสังหารเหล่านั้นรุนแรงจนคิดว่าตนเองจะต้องพ่ายแพ้ไปแล้วแน่ ๆ ทว่าหลังจากผ่านมาครึ่งนาทีแล้วเซียวเฟิงก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แม้จะคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม
ด้วยเสียงกล่าวถามนั้น ดวงตาของเซียวเฟิงก็เหลือบกลับมามองยังต้นเสียง ว่ากันว่าผู้เล่นที่อยู่ในระดับท็อป 1,000 นั้น แต่ละคนล้วนแต่เป็นยอดฝีมือกันทั้งสิ้น ทว่าภายใต้สายตาที่มองมาของเซียวเฟิงนั้น ยอดฝีมือเหล่านี้ก็ยังต้องรู้สึกถึงความหนาวเย็นตามมือและเท้าราวกับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว ไม่สิ…ร่างกายน่ะยังเป็นของเขา แต่ชีวิตนั้นไม่!
หลังจากได้สติ เซียวเฟิงก็ไม่ปล่อยเวลาให้อีกฝ่ายได้รู้สึกกดดันนานนัก เขาควงค้อนแห่งการพิพากษาออกมาและทุบลงไปที่ร่างตรงหน้าเพียงทีเดียว จากนั้นก็เดินลงจากสนามประลองไปด้วยดวงตาที่มืดมนโดยไม่พูดไม่จาใด ๆ ทั้งสิ้น
เขาเดินตรงไปยังโรงแรมที่ระบบจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งเขาเช่าห้องไว้เมื่อสองวันก่อนเพื่อที่จะออฟไลน์ หลังจากที่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเซียวหลิง จะให้เซียวเฟิงทนอยู่ในสนามประลองด้วยจิตใจที่ไม่วอกแวกได้อย่างไร?
“หยุด!”
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เซียวเฟิงกำลังจะออกจากเกม ใครบางคนที่ไม่อยากให้เขาล็อกออฟก็ปรากฏตัวขึ้น ณ ทางเข้าสนามประลอง กลุ่มของผู้เล่นที่ชื่อกิลด์บนหัวแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นคนของจักรวรรดิกาลาดูกำลังยืนขวางทางเขาอยู่ คนเหล่านั้นจ้องมองเซียวเฟิงด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
เมื่อสองวันที่แล้วพวกเขาก็ทำอะไรแนว ๆ นี้มาแล้ว แถมไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียวด้วย ตั้งแต่ที่เซียวเฟิงออกจากป่ารัตติกาลและเข้ามายังเมืองจักรวรรดิ พวกเขาเหล่านี้ก็สะกดรอยตามเขามาตลอด แต่โชคไม่เข้าข้างเอาซะเลยที่พวกเขาไม่สามารถลงมือโจมตีเซียวเฟิงในเมืองจักรวรรดิได้
ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงขวางทางไว้และก่อกวนไม่ให้เซียวเฟิงล็อกออฟได้เท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อใช้ประโยชน์ของกฎระเบียบจักรวรรดิในการช่วยจัดการเซียวเฟิงอีกแรง
พวกเขาพยายามขวางทางเซียวเฟิงไว้พร้อมกับหาเรื่องเขาไปด้วยโดยหวังจะให้เซียวเฟิงโกรธจนต้องลงไม้ลงมือ
แต่วันนี้มันต่างออกไป ไม่ว่าพวกเขาจะก่อกวนหรือหาเรื่องเซียวเฟิงขนาดไหน เจ้าตัวก็ยังคงเงียบสงัดและเยือกเย็นอยู่เสมอ
“ออกไป”
เซียวเฟิงพูดออกมาสองคำด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา แม้ว่ามันจะเป็นเสียงที่เบา แต่ก็สามารถทำให้กลุ่มคนตรงหน้าที่เป็นผู้เล่นของจักรวรรดิกาลาดูรับรู้ได้ถึงความหนาวสั่นที่ไม่รู้ที่มา ราวกับว่าเซลล์ของพวกเขากำลังถูกเยือกแข็งจากภายในตัวพวกมันเอง
“ฮี่ ๆๆ นั่นมันอันดับ 1 ของเขตฮัวเซียผู้เก่งกาจไม่ใช่หรือไง? ทำไมวันนี้ดูอารมณ์บูดซะแล้วล่ะ? ไม่ดีนะแบบนี้ อุตส่าห์มาถึงเขตฮันกึลซักที แกควรจะมีความสุขเซ่”
ท่ามกลางกลุ่มผู้เล่นของจักรวรรดิกาลาดูเหล่านี้ ซาตานเดินออกมาพร้อม ๆ กับที่เส้นทางเดินของเขาถูกแหวกออก รอยยิ้มบนใบหน้านั้นดูจะภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน เขาพึงพอใจมาก ๆ ที่ได้เห็นเซียวเฟิงอยู่ในช่วงอารมณ์ไม่ดี
“ฉันจะพูดอีกครั้ง ออกไป…”
แววตาของเซียวเฟิงยังคงเหมือนเดิม มันไร้ซึ่งความตื่นตระหนกและดูสยดสยองอยู่ตลอดเวลาขณะพูดไปเช่นนั้น
“แปลกจังเลยน้า…เขตฮันกึลเองก็ยิ่งใหญ่แท้ ๆ แล้วทำไมผู้เล่นเขตฮันกึลอย่างพวกเราจะอยู่ที่นี่ไม่ได้? ทำไมต้องหลบทางให้ผู้บุกรุกอย่างแกด้วย?”
ซาตานยิ่งกระปรี้กระเปร่ามากกว่าเดิม เขาพูดเย้าแหย่ด้วยความพึงพอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่าแผนดำเนินไปได้ด้วยดี
“ดูเหมือนว่านายอยากจะหาเรื่องตายเองนะ” แม้ว่าน้ำเสียงของเซียวเฟิงจะยังคงราบเรียบดังเดิมจนไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร แต่จากการที่เจ้าตัวหยิบคทาออกมาช้า ๆ ก็คงจะบอกได้แล้วว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
“แล้วจะทำไม? นี่แกจะทำมันในเมืองจักรวรรดิจริง ๆ เหรอ? ถ้าแกคิดจะลงไม้ลงมือล่ะก็ ฉัน…” ซาตานยิ้มด้วยความเยาะเย้ย แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นแสงสีทองกำลังก่อตัวแน่นขึ้นมาอยู่ตรงหน้า
ละอองสีทองเหล่านั้นก่อตัวเป็นค้อนสงครามสีทองอร่ามตา และแม้ว่ามันจะดูหนาแน่นขนาดไหน แต่วตัวมันก็โปร่งแสงเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันถูกทำขึ้นมาจากลำแสง ผู้เล่นเกือบจะทุกคนในเขตฮันกึลคุ้นเคยกับสกิลนี้ดีอยู่แล้ว เพราะเพียงแค่สกิลนี้สกิลเดียวก็สามารถทำให้ผู้เล่นฮันกึลตายกันเป็นผักปลาได้แล้ว ไม่ว่าจะด้วยระยะที่ค่อนข้างกว้างหรือความเสียหายที่แทบจะเรียกได้ว่าฝันร้าย ไม่สิ มันคือฝันร้ายของผู้เล่นฮันกึลที่เข้าไปใช้สนามประลองในช่วงนี้เลย!
“แก…”
ซาตานเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ เขาไม่คิดเลยว่าเซียวเฟิงจะกล้าทำจริง ๆ!
อย่างที่ทุกคนรู้ว่ากฎของเมืองจักรวรรดินั้นรุนแรงและเคร่งครัดมาก ไม่ว่าจะเป็นเขตไหนก็ตาม! ขนาดพวกเขาเองยังกล้าแค่พูดจายั่วยุใส่เซียวเฟิงเลย! แต่นี่เซียวเฟิงกลับกล้าที่จะใช้สกิลนั้นกลางเมือง ซึ่งไม่ทันที่ซาตานจะได้พูดจบค้อนยักษ์นั้นก็ทุบลงมาที่พวกเขาอย่างไม่ลังเลทันที!
-703!
-689!
-811!
-1,444! คริติคอล!
…
เมื่อการโจมตีอันหนักหน่วงหยุดลง ค้อนสงครามสีทองก็สลายกลายเป็นละอองแสงลอยหายไปในอากาศพร้อม ๆ กับเลขแสดงความเสียหายที่ซาตานและคนอื่น ๆ ได้รับ
ตลอด 30 ชั่วโมงที่เซียวเฟิงใช้ค้อนแห่งการพิพากษาไล่ทุบคนในการประลอง มันเลยทำให้ความชำนาญในการใช้ค้อนแห่งการพิพากษานี้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก รวมถึงเลเวลของสกิลเองก็เพิ่มขึ้นด้วย
ซึ่งเมื่อสกิลเข้าสู่เลเวล 4 มันก็ทำให้ความเสียหายที่มันสามารถสร้างได้นั้นสูงถึง 400% ไปแล้ว! ช่างน่ากลัวจริง ๆ!
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ การโจมตีที่รุนแรงนั้นทำให้กลุ่มผู้เล่นจักรวรรดิกาลาดูถูกฆ่าตายในทันที ศพของพวกเขานอนแบนระเกะระกะอยู่บนพื้นด้วยสายตาที่มัวหมองกันไปหมด
ทันใดนั้นเอง เซียวเฟิงก็กลายเป็นที่จับตามองของเหล่า NPC ภายในเมืองด้วย นั่นเพราะชายหนุ่มเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อนภายในเมืองจักรวรรดิ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เขาก็ถูกคาดโทษไปเรียบร้อยแล้ว แล้วยิ่งจำนวนคนที่เขาฆ่าไปนั้นมากระดับกลุ่มคนด้วยมันยิ่งแล้วใหญ่ และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ มันก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่ากฎของเมืองจักรวรรดิไม่ว่าจะเป็นฮัวเซียหรือฮันกึลนั้นเหมือนกัน
“แก…แกกล้ามากที่มาสู้กับพวกเราในเมืองจักรวรรดิเช่นนี้! ล้างคอรอคมดาบได้เลย! ฉันจะได้เห็นแกถูกส่งกลับไปสักที!”
ซาตานที่นอนเป็นศพอยู่บนพื้นส่งเสียงดังขึ้นมาแม้ตนจะเพิ่งได้ลิ้มลองรสชาติของความตายเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ กระนั้นแล้วเจ้าตัวกลับไม่ได้ดูเสียใจหรือน้อยใจที่ตนเองถูกฆ่าเลย กลับกันเขากลับหัวเราะเสียงดังเพราะรู้ว่าไม่มีผู้เล่นคนไหนสามารถฝ่าฝืนกฎของเมืองจักรวรรดิได้อย่างแน่นอนอีกด้วย
“ใครกันที่กล้าจะมาก่อปัญหาในเมืองจักรวรรดิ!”
ชัดเจน เพียงไม่กี่วินาที เสียงฝีเท้าจำนวนมากมายที่เป็นจังหวะพร้อมเพรียงกันก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของ NPC ยามเลเวลเยอะระดับสูง พวกเขาทั้งหมดมุ่งหน้าตรงมาทางเดียวกัน นั่นคือ เซียวเฟิง
“เสี่ยวเสวีย ไปกันได้แล้ว”
เซียวเฟิงไม่ได้สนใจซาตานที่พูดพล่ามแม้เป็นศพแล้วก็ตาม เขาอัญเชิญเสี่ยวเสวียออกมาจากมิติสัตว์เลี้ยง จากนั้นก็กระโดดขึ้นขี่อย่างรวดเร็วพร้อมกับทะยานขึ้นไปในอากาศด้วยปีกที่สยายกว้างของยูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์คู่ใจ
“เจ้าโจรใจทราม! ไม่เพียงแต่จะละเมิดกฏทำร้ายผู้อื่นและก่อปัญหาภายในเมืองจักรวรรดิแต่ยังกล้าละเมิดกฎห้ามบินภายในเมืองอีกงั้นเหรอ! เร็วเข้า! พลธนู! สอยเจ้านั่นลงมา!”
ท่ามกลาง NPC ยามเหล่านี้ มีเพียง NPC หนึ่งตนเท่านั้นที่เพียงมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นบอสระดับสูง คนคนนั้นชี้ขึ้นมาที่เซียวเฟิงแล้วออกคำสั่งเสียงดัง
“ครับ!”
ฟู่ว!
ทันทีที่สิ้นเสียงสั่งการ พลธนูก็เรียงแถวขึ้นมาแล้วเริ่มยิงธนูขึ้นไปบนฟากฟ้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งด้วยความเร็วและปริมาณของมันนั้น ราวกับเป็นหยาดฝนสีเงินที่มีปริมาณมหาศาลก็มิปาน!
“เสี่ยวเสวีย! เร่งความเร็ว!”
สีหน้าของเซียวเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหมอบร่างลงไปแนบชิดกับหลังของเสี่ยวเสวียพร้อมตะโกนด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
เลเวลของยามและพลธนูเหล่านี้ต้องไม่ต่ำกว่า 50 แน่นอน รวมถึงการโจมตีของพวกเขาก็รุนแรงมาก ๆ ด้วย หากมีชุดเกราะมังกรปีศาจอยู่ เขาคงไม่กังวลอะไรมาก แต่เพราะมันไม่มี เขาจึงไม่คิดว่าการเผชิญหน้าตรง ๆ จะเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แถมจะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาอีกด้วย เพราะงั้นเซียวเฟิงจึงเลือกได้แค่หนีออกไปก่อนเท่านั้น
เสี่ยวเสวียพ่นลมหายใจ จากนั้นร่างของเธอก็พุ่งผ่านอากาศด้วยความเร็วที่สูงมากขึ้นจนเหมือนแสงของดาวตกที่ทิ้งหางยาวเป็นแนวเส้นทางไว้ที่เบื้องหลัง ซึ่งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากนี้ มันก็ทำให้เซียวเฟิงหลุดออกจากระยะโจมตีของพลธนูในที่สุด
“เจ้าโจรใจทราม! อย่าหนีนะ! เพิ่มระดับการป้องกันภัยให้เมืองเดี๋ยวนี้เลย!” หัวหน้ายามดูจะเกรี้ยวกราดขึ้นเป็นอย่างมาก เขาตะโกนอย่างโกรธเคือง ส่วนเซียวเฟิงที่อยู่บนท้องฟ้าก็สังเกตเห็นว่าเมืองจักรวรรดินี้กำลังเปล่งแสงขึ้นมาทีละนิด โดยเฉพาะส่วนกำแพงเมืองก็เกิดวงเวทคล้ายกับเส้นแบ่งเขตแดนขนาดใหญ่ขึ้นมา!
ทันใดนั้น ภายในหูของเซียวเฟิงก็มีเสียงของระบบแจ้งเตือนขึ้น
[ท่านอยู่ภายใต้ผลของเวทมนตร์ผู้พิทักษ์แห่งเมืองจักรวรรดิ พลังโจมตีและพลังป้องกันของท่านจะลดลง 50% จนกว่าเวทมนตร์ผู้พิทักษ์แห่งเมืองจักรวรรดิจะถูกหยุดสั่งใช้งานหรือหลุดระยะทำการ]
[สกิล ‘จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ ของสัตว์ขี่ท่าน เสี่ยวเสวีย ทำงาน! ผลการลดสมรรถภาพถูกทำให้ไร้ผล!]
[ท่านอยู่ภายใต้ผลของเวทมนตร์ผู้พิทักษ์แห่งเมืองจักรวรรดิ พลังโจมตีและพลังป้องกันของท่านจะลดลง 50% จนกว่าเวทมนตร์ผู้พิทักษ์แห่งเมืองจักรวรรดิจะถูกหยุดสั่งใช้งานหรือหลุดระยะทำการ]
[สกิล ‘จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ ของสัตว์ขี่ท่าน เสี่ยวเสวีย ทำงาน! ผลการลดสมรรถภาพถูกทำให้ไร้ผล!]
[ท่านอยู่ภายใต้ผลของเวทมนตร์ผู้พิทักษ์แห่งเมืองจักรวรรดิ พลังโจมตีและพลังป้องกันของท่านจะลดลง 50% จนกว่าเวทมนตร์ผู้พิทักษ์แห่งเมืองจักรวรรดิจะถูกหยุดสั่งใช้งานหรือหลุดระยะทำการ]
[สกิล ‘จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ ของสัตว์ขี่ท่าน เสี่ยวเสวีย ทำงาน! ผลการลดสมรรถภาพถูกทำให้ไร้ผล!]
…