Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 418 ปลุกระดม
บทที่ 418 ปลุกระดม
บทที่ 418 ปลุกระดม
ถึงแม้ว่าหมวกเล่นเกมจะมีระบบที่ช่วยสนับสนุนการนอนของผู้เล่น แต่เซียวเฟิงก็เคยพูดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ยังไงมันก็ไม่ได้ดีเท่าการนอนจริง ๆ หรอก เพราะขณะที่เราหลับแล้วเล่นเกมไปด้วย สติกับจิตวิญญาณเรายังคงทำงานอยู่ตลอดเวลา มีเพียงการนอนหลับจริง ๆ เท่านั้นที่จะช่วยทำให้จิตวิญญาณได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง
เพราะงั้นเมื่อได้โอกาสนอน เซียวเฟิงจึงเผลอหลับลึกไปโดยปริยาย
เขาเตือนตัวเองไว้ว่าให้ตื่นในอีก 5 ชั่วโมงข้างหน้าก่อนจะหลับสนิท ซึ่งจืออี้เองก็เห็นว่าเขาแทบจะกรนออกมาในทันทีหลังจากที่หลบตาลงไปแล้ว
สำหรับเซียวเฟิง นาฬิการ่างกายนั้นสามารถกำหนดได้ง่ายกว่านาฬิกาปลุกเยอะ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะเกิดเหตุผิดพลาดขึ้น เพราะเซียวเฟิงหลับไปหนึ่งคืนเลยเต็ม ๆ กว่าจะตื่นมันก็รุ่งสางเสียแล้ว เขางุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นไปได้ว่าเมื่อตอนอยู่ในโลกของเกมนั้น เขาใช้งานสภาวะจิตอย่างหนักหน่วงเลย
เซียวเฟิงที่แม้จะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในสภาพงุนงงเหมือนเดิม เขาไม่แม้กระทั่งลืมตามองรอบตัวด้วยซ้ำ หลังจากที่บีบนวดไหปลาร้าไปแล้วเจ้าตัวก็เอนหลังเพื่อลงไปนอนต่อดังเดิม
ทว่าตอนนั้นเอง มือหนึ่งของเซียวเฟิงที่วางลงไปบนเตียงกลับไม่ถึงเตียงอย่างน่าประหลาดใจ ร่างของใครบางคนที่นุ่มนิ่มอยู่ที่ใต้ฝ่ามือนั้น ในตอนแรกเซียวเฟงคิดว่าคงจะเป็นจืออี้ที่ยังไม่กลับไป เพราะงั้นเขาจึงเคลื่อนมือขึ้นไปบีบหน้าอกของเธอตามปกติที่มักจะทำ
“หือ…”
แต่แล้วเซียวเฟิงก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อสัมผัสที่ฝ่ามือเขารับรู้ได้มันไม่เหมือนปกติ หน้าอกในกำมือเขามันต่างกับของจืออี้เล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะใหญ่ไม่แพ้กันแต่มันนุ่มกว่ามาก
“เอ่อ…นายท่าน…”
ทันใดนั้นเสียงที่อ่อนแรงและเขินอายก็ดังขึ้นมาใกล้ ๆ หูเซียวเฟิง เสียงนั้นสั่นคลอนเล็กน้อยราวกับว่ากำลังตื่นตระหนก
ความคลุมเครือที่ชัดเจนนี้ ไม่ผิดแน่ หนิงเคอเค่อ!
ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นมาทันทีด้วยร่างกายที่สั่นเทา เขารีบชักมือกลับและลืมตาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นจริง และนั่นทำให้เขาพบว่าร่างเล็กที่กำลังนอนเขินอายอยู่ข้าง ๆ เขาบนเตียงด้วยใบหน้าเขินอายนั้น คือหนิงเคอเค่อที่กำลังสั่นไปทั้งตัวจริง ๆ!
“คะ…เคอเค่อ ทำไมเธอถึงมาอยู่บนเตียงฉันได้?” เซียวเฟิงเอ่ยถามด้วยความสับสน
“เอ่อ..มะ…เมื่อตอนที่ฉันมาตามนายท่านไปทานอาหารเช้า…นายท่านก็ดึงฉันลงมาบนเตียง…”
หนิงเคอเค่อเหลียวมองเซียวเฟิงก่อนจะหลบตาอย่างรวดเร็วด้วยความระแวง เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาเหมือนยุงบินในขณะที่ใบหน้าสวยนั้นแดงแปร๊ดไปทั้งหน้าราวกับจะละลายให้ได้ในตอนนี้
“…ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ…น่าจะเผลอละเมอตอนหลับน่ะ…” เขาถึงกับกระตุกมุมปากแล้วรีบอธิบายในทันที ยังดีที่เขานอนเต็มอิ่มเสียก่อน
“ไม่เป็นไรค่ะ…ไม่เป็นไร…ยังไงเสียนายท่าน…ก็สามารถทำอะไรทุกอย่างกับฉันได้อยู่แล้ว…”
หัวเล็ก ๆ ของหนิงเคอเค่อก้มหน้างุดไปกับทรงอกเหมือนเต่าหดคอ หลังจากที่เธอตอบกลับด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยินออกมา เด็กสาวกลับเป็นกระต่ายตัวน้อยขี้ตื่นตูมอีกครั้งก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกจากห้องเซียวเฟิงไป
เซียวเฟิงพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ ๆ ก่อนจะส่ายหน้าไล่ความคิดเหล่านั้นออกไปเพื่อลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วลงไปรับประทานอาหารเช้าด้านล่าง
มันเริ่มจะสายขึ้นมานิดหน่อยแล้วเมื่อตอนเซียวเฟิงลงไป และก็ดูเหมือนว่าจะเป็นคนสุดท้ายที่ลงไปด้วย ไม่แน่ใจว่าพวกหลิวเฉียงเหว่ยและสาว ๆ คนอื่นลงมากินข้าวก่อนหน้าแล้ว หรือว่ายังไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้ เพราะนอกจากจืออี้และหนิงเคอเค่อแล้ว เซียวเฟิงก็ไม่เห็นคนอื่นอีก
เมื่อตอนที่หนิงเคอเค่อนำอาหารมาเสิร์ฟ เซียวเฟิงก็ถามเธอไปเรื่อยเปื่อยแล้วก็ได้คำตอบจากสาวเจ้าที่แสดงสีหน้าเขินอายว่า เซียวหลิงกำลังทำการบ้านอยู่ในห้อง ถึงแม้ว่าเซียวเฟิงจะไม่ได้เชื่อสนิทใจ แต่ในเขตฮัวเซียนั้น ผู้เล่นที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะจะสามารถเล่นเกมได้เพียงครึ่งวันเท่านั้น นั่นก็คือ 12 ชั่วโมง เพราะงั้นเซียวเฟิงจึงไม่กังวลสักเท่าไหร่หากเซียวหลิงจะแอบเล่นเกม เขาไม่ต้องไปเคร่งครัดกับเธอมากก็ได้
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เซียวเฟิงก็ไม่รอช้าที่จะลุกขึ้นแล้วขึ้นชั้นบนไปอีกครั้งเพื่อกลับเข้าห้องและออนไลน์ในทันที มันยังพอมีเวลาเหลืออีกราว ๆ 10 ชั่วโมงกว่า ๆ ก่อนที่อีเวนต์จะเริ่ม ตอนนี้ไม่เพียงแต่เซียวเฟิงจะอยู่อันดับ 1,000 แล้วแต่ชายหนุ่มยังติดคาดโทษจนไม่สามารถเข้าเมืองจักรวรรดิได้อีกด้วย! ดังนั้นสำหรับเขา มันไม่เหลือเวลาให้เอ้อระเหยเลย
ภาพสถานที่ ณ จุดที่เขาล็อกอินคือหน้าทางเข้าวิหารแห่งแสงสาขาหุบเขาอาทิตย์อัสดง ด้วยความที่เซียวเฟิงล็อกออฟไปพักผ่อนนั้น เสี่ยวเสวียจึงมีเวลามากพอที่จะพาเขามายังที่นี่ได้ต่อให้จะไม่ได้ใช้ความเร็วเท่าเดิมตลอดก็ตาม
“อ๊ะ ท่านอาร์คบิชอป! ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”
ทันทีที่เซียวเฟิงออนไลน์ เขาก็พบกับแม่ชีรูธที่ดูพะว้าพะวงอยู่บริเวณทางเข้าวิหาร น่าประหลาดใจมาก ๆ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะออกมารอเขาเช่นนี้ และเมื่อเซียวเฟิงส่งเสี่ยวเสวียกลับมิติสัตว์เลี้ยงไป แม่ชีรูธก็รีบวิ่งเข้ามาหาเขาในทันทีพร้อมกับพูดด้วยความตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้น?” เซียวเฟิงถามด้วยความสงสัย
“ท่านอาร์คบิชอป มากับข้าเถอะค่ะ ตอนนี้ท่านบิชอปโจลีฟกำลังร้อนใจสุด ๆ เลย”
สีหน้าหนักใจของแม่ชีรูธดูจะมีเรื่องหนักใจอยู่จริง ๆ เธอรีบลากเซียวเฟิงให้เดินเข้าไปในวิหารโดยที่เขาไม่สามารถหยุดเธอได้ ทำได้เพียงตามเธอไปด้วยความสงสัยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าไปแล้วเซียวเฟิงก็เริ่มรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างภายในที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่เขาไม่ได้มาเพียงไม่กี่วัน วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เปลี่ยนไปจริง ๆ แม้จะเล็กน้อยก็ตาม ไม่เพียงแค่การตกแต่งภายในที่ดูสว่างไสวขึ้น แต่เขายังเห็นกลุ่มของพาลาดินอยู่ด้านในด้วย!
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นน่ะ?”
เมื่อกวาดตามองและเห็นบิชอปโจลีฟกำลังสติแตกอยู่ที่โถงกลางแล้ว เซียวเฟิงก็รีบถาม
“นายท่านอาร์คบิชอป! ท่านมาแล้ว! บางอย่างที่ร้ายแรงมาก ๆ เกิดขึ้นแล้วครับ!”
บิชอปโจลีฟหันมาเห็นเซียวเฟิงจากระยะไกล เขาก็ไม่รอช้าที่จะกระโจนเข้าหาราวกับจะกระชากหนวดเคราสีเทาของตนมาแทงเขาในทันทีที่เข้าถึงตัว
“บางอย่างที่ร้ายแรงมาก ๆ นั่นคืออะไร?” ยิ่งถามก็เหมือนจะยิ่งสงสัยมากขึ้น เพราะงั้นเซียวเฟิงจึงพยายามกระชับไม่ให้ NPC เหล่านี้พูดอ้อมค้อม
“ภารกิจในการเผยแพร่ความเชื่อในแสงสว่างของพวกเรา ถูกเฮียรอนรับรู้เสียแล้วครับ เมื่อสองวันก่อน มีนักผจญภัยมากมายถูกส่งมายังหุบเขาแห่งนี้เพื่อสืบหาข้อมูล มีผู้ดูแลที่ไม่ทันระวังตัวด้านนอกของเราถูกนักผจญภัยที่เป็นนักฆ่ารอบสังหารไปแล้วตนหนึ่ง จากนั้นก็เข้ามาด้านในและพบการมีอยู่ของวิหารแห่งแสงแล้วครับ!” บิชอปโจลีฟพูดด้วยความกังวลที่มากยิ่งขึ้น
“วิหารถูกพบเจอแล้ว? แล้วผลที่ตามมาล่ะ?” ได้ยินเช่นนั้นเซียวเฟิงก็ประหลาดใจ
“เฮียรอนของพระเจ้าแห่งชีวิตที่ประดุจศูนย์รวมใจของคนในอาณาจักรนี้เป็นศัตรูกับวิหารแห่งแสงของพวกเราน่ะค่ะ หากตัวตนของพวกเราถูกรับรู้ พวกเราจะถูกจักรวรรดิมาตามขับไล่แน่ ๆ และเมื่อนั้นสงครามก็จะปะทุ” แม่ชีรูธพูดตอบแทนด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก ๆ
“เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเชียว? ไม่สิ ควรถามแบบนี้ดีกว่า พวกเราตกที่นั่งลำบากขนาดนี้เลยเหรอ?”
เซียวเฟิงปวดหัวขึ้นมาเลย วิหารแห่งนี้ดูจะเละเทะเกินไปแล้ว นี่ยังไม่รวมที่เอาแต่หลบหน้าหลบตาอยู่ในสถานที่โกโรโกโสเช่นนี้อีก จริง ๆ เขาก็คิดไว้บ้างแล้วว่าการกระทำอะไรสักอย่างเพื่อเพิ่มแรงศรัทธาให้วิหารแห่งแสงจะทำให้มีภัยอันตรายเช่นนี้ปรากฏขึ้นมา
“มัน…” สีหน้าของบิชอปโจลีฟเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดแก่เซียวเฟิง
“รายงานท่านบิชอปครับ! ทหารของเฮียรอนมาถึงด้านหน้าหุบเขาอาทิตย์อัสดงแล้วครับ! ดูจากการเดินทัพแล้ว พวกมันกำลังมุ่งหน้ามายังวิหารของพวกเราแน่ ๆ!”
ทันใดนั้นเอง พาลาดินนายหนึ่งก็เข้ามายังโถงกลางเพื่อรายงานสถานการณ์ภายนอกอย่างเร่งด่วน
“ว่ายังไงนะ!” สีหน้าของบิชอปโจลีฟเปลี่ยนไปอีกครั้งหลังจากได้ยินเช่นนั้น เขาหันไปมองเซียวเฟิงด้วยความกังวลเล็กน้อย “ท่านอาร์คบิชอปครับ วิหารของพวกเราคงจะถูกค้นพบในไม่ช้านี้ พวกเราควรทำอย่างไรดีครับ? ท่านเตรียมการอพยพไว้หรือยัง?”
“พูดบ้า ๆ น่า! ทำไมนายถึงจะอพยพกัน ฮะ! กลัวอะไรกันอยู่!” เซียวเฟิงเกือบจะพูดไม่ออกแล้ว ทั้ง ๆ ที่พลังในการต่อสู้ของหุบเขาอาทิตย์อัสดงตอนนี้ หากเป็นในเขตฮัวเซียล่ะก็เทียบเท่าทัพสัมพันธมิตรแห่งแสงได้เลยแท้ ๆ
ถึงแม้ว่าทหารของเขาจะมีจำนวนไม่มาก แต่พวกเขาก็มีระดับเป็นถึงบอสระดับสูง ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าพวกเขาไม่ใช่ทัพที่จะถูกทลายได้ง่าย ๆ พวกเขาแข็งแกร่ง กำลังทำเหล่านี้เข้าตีเมืองหลักระดับ 2 ได้สบาย ๆ เลยด้วยซ้ำ และขนาดของเมืองหลักระดับ 2 ที่ว่านั่น ก็คือขนาดของเมืองแห่งความโศกเศร้า ขณะที่ยังตกอยู่ในมือของเหล่าทัพแห่งความมืดพวกนั้น ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเมืองระดับ 3 อย่างเมืองเทียนหลงที่ไม่มีทางต้านพวกเข้าไว้ได้แน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว แม้จะมีพลังรบขนาดนี้อยู่ในกำมือ แต่บิชอปโจลีฟยังคิดจะอพยพหนีอีกงั้นเหรอ?
“แต่…” บิชอปโจลีฟเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่คราวนี้เซียวเฟิงก็หยุดเขาไว้ก่อน
“ไม่มีแต่…บิชอปโจลีฟ นายอยากจะเลื่อนขั้นหรือเปล่า?” เซียวเฟิงยิงคำถามออกไปตามตรง
“เลื่อนขั้นหรือครับ?” ด้วยคำนั้น บิชอปโจลีฟก็เหลียวมองกลับมาอีกครั้ง
“ขอถามหน่อย ที่ฉันให้นายไปเผยแพร่ความเชื่อและศรัทธาในแสงสว่างที่เมืองเซียนรี่เมื่อสองวันก่อน ผลลัพธ์เป็นยังไงบ้าง?” เมื่อเรียกสติของอีกคนกลับมาได้แล้ว เซียวเฟิงก็ชิงถามต่อ
“ผะ…ผลลัพธ์เยี่ยมยอดมากเลยครับ! พวกเราได้ผู้ศรัทธาจากเมืองเซียนรี่มาเป็นจำนวนมาก! จนตอนนี้วิหารของพวกเราสามารถจ้างกลุ่มอัศวินศักดิ์สิทธิ์มาได้แล้วด้วย วิหารที่เงียบสงบมากว่า 1,000 ปีนี้ก็ดูเหมือนจะเริ่มมีชีวิตชีวากลับมาแล้ว!”
ได้ยินคำถามของเซียวเฟิง บิชอปโจลีฟก็รีบตอบด้วยความตื่นเต้นทันที
“ถ้างั้นฉันจะถามนายอีกครั้ง นายต้องการที่จะให้วิหารแห่งแสงที่อยู่ในการดูแลของนายเติบใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นในมือของนายหรือไม่? อยากจะให้ที่นี่…ยิ่งใหญ่ทั่วทั้งอาณาจักรนี้เลยหรือเปล่า?”
น้ำเสียงของเซียวเฟิงนั้นเต็มไปด้วยการปลุกระดมแบบสุด ๆ
“ท่านอาร์คบิชอปครับ ท่านหมายถึงอะไร…” แม้ว่าสีหน้าของบิชอปโจลีฟจะดูอ้ำอึ้งไป แต่ในแววตาลึก ๆ ของเขาก็เหมือนจะจับทางอะไรได้บางอย่างแล้ว
“การขยายขอบเขตของความเชื่อย่อมนำพามาซึ่งสงครามอยู่แล้ว ตอนนี้แหละคือโอกาสที่ดี หากเราสามารถขจัดเฮียรอนของอาณาจักรแห่งนี้ออกไปได้เรื่อย ๆ ที่นี่ก็จะไร้ซึ่งความเชื่อดั้งเดิมอีกต่อไป”
ขณะที่พูดเช่นนั้น เซียวเฟิงก็ยื่นมือไปสัมผัสกับกำแพงหินที่เป็นผนังของโถงกลางนี้ด้วยปลายนิ้ว เขาเคาะผิวนั้นเบา ๆ แล้วพูดต่อ “เฮียรอนมาเยือนถึงหน้าประตูแล้ว ถ้านายเลือกที่จะอพยพ ฉันเกรงว่าฐานที่มั่นต่อไปอาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าที่นี่ก็ได้นะ”
พาลาดินที่นำข่าวคราวมารอยงานนั้นถอยออกไปแล้ว ดังนั้นนอกจากเซียวเฟิงแล้ว ภายในโถงกลางวิหารแห่งนี้ นอกจากบิชอปโจลีฟแล้วก็เหลือเพียงแม่ชีรูธเท่านั้น
ภายในแววตาของแม่ชีรูธนั้นแสดงให้เห็นถึงความประทับใจอยู่เต็มเปี่ยม เธอมองเซียวเฟิงด้วยความเหลือเชื่อและไม่คาดคิดเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
ทางด้านบิชอปโจลีฟเองก็ยังไม่ได้พูดอะไร แววตาของเขานิ่งสงัดลง แต่ตัวเขาก็หาได้หยุดนิ่งไม่ ชายสูงวัยผู้นี้เดินไปเดินมาในห้องโถงด้วยแววตาที่เริ่มจะครุ่นคิดอีกครั้ง
“อย่างไรก็เถอะครับ ท่านอาร์คบิชอป พวกเราไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกับพวกเฮียรอนก็ได้มั้งครับ ถึงแม้ว่าพลังของเฮียรอนจะไม่น่าเทียบเท่าพลังของวิหารแห่งแสงของพวกเราในตอนนี้ได้ก็จริง แต่ยังไงเสียอาณาจักรแห่งนี้ก็เป็นที่ตั้งมั่นของเทพเจ้าแห่งชีวิตแถมพวกเรายังไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากนครศักดิ์สิทธิ์ได้อีกด้วย”
หลังจากที่ครุ่นคิดนานถึง 3 นาทีเต็ม บิชอปโจลีฟก็กล่าวเชิงถามเชิงเสนอแนะด้วยความลังเลใจ ความไม่รู้ว่าสิ่งที่ถามออกไปนั้นคือสิ่งที่ควรถามจริง ๆ หรือเปล่า ดังนั้นน้ำเสียงของเขาจึงสั่นคลอนอยู่ลึก ๆ
“ก็มาช่วยเหลือแล้วไม่ใช่หรือไง? ฉันเนี่ยแหละ ตัวช่วยที่แข็งแกร่งที่สุดจากนครศักดิ์สิทธิ์”
เซียวเฟิงไม่ได้พูดเล่น เพราะความแข็งแกร่งของเซียวเฟิงนั้นไม่ใช่พลังในการต่อสู้ แต่เป็นการเป็นผู้ช่วยต่างหาก พลังของเขาสามารถช่วยให้พันธมิตรทั้งหลายมีพลังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรืออาจจะสูงถึงสี่เท่าได้เลย จะต้องไม่ลืมว่าคลาสของเซียวเฟิงนั้น ยังไงเสียก็คือนักบวช!
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…” โจลีฟตัดสินใจได้แล้ว ใบหน้าที่แก่ชราเริ่มมีสีสันขึ้นมาเหมือนคนหนุ่มอีกครั้ง เขากำลังฮึกเหิมก่อนจะกัดฟันแน่นและตะโกนออกมาเสียงด้วย และด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลังของเขานั้นเอง ทั่วทั้งวิหารแห่งแสงสาขาหุบเขาอาทิตย์อัสดงก็ต้องเกิดการสั่นสะเทือน
“ทุกท่านที่ประจำการอยู่ในวิหารแห่งแสง! ฟังคำสั่งจากข้า! จงปฏิบัติตามข้อชี้แนะของท่านอาร์คบิชอป!!”
ไม้เท้าขนาดใหญ่ที่ดูองอาจปรากฏขึ้นในมือของบิชอปโจลีฟ เขาเดินตรงไปยังประตูของวิหารแห่งแสงเป็นคนแรก ตามด้วยแม่ชีรูธที่เดินตามด้านหลังไปติด ๆ
กรรรรร!!
ผู้รับใช้กลุ่มแรกที่ตอบรับเจตนารมณ์ของบิชอปโจลีฟ ไม่ใช่ผู้คน หากแต่เป็นเสียงของมังกรที่ดังกังวานสองตน มังกรแห่งแสงสว่างผู้เป็นผู้คุ้มครองแห่งวิหารแห่งแสงสาขานี้สยายปีกกว้างขณะคำรามออกมา พวกมันทะยานขึ้นฟ้าไปและบินวนอยู่เหนือหุบเขาอาทิตย์อัสดงเพื่อเป็นสัญญาณแห่งการพร้อมรบ
เซียวเฟิงรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่อัดกระทบกันอยู่ในวิหารแห่งแสงนี้รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าบางสิ่งบางอย่างได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ไม่เพียงแต่ภายในวิหารแห่งแสงเท่านั้น แต่มันสั่นไปทั้งภูเขาลูกนี้เลย และเพราะหินและฝุ่นมันเริ่มร่วงหล่นจากผนังลงมาใส่หัวเขาแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องรีบวิ่งหนีออกไปก่อน