Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 449 พระเจ้ากินยา
บทที่ 449 พระเจ้ากินยา
บทที่ 449 พระเจ้ากินยา
“พี่ชาย!”
“ท่านเซียว!”
“ท่านครับ!”
“หลานสาม!”
“เฟิงเอ้อ!”
“นายน้อยลำดับ 3!”
ท่ามกลางเสียงเรียกหาของผู้ที่เห็นเซียวเฟิงล้มไปกลางอากาศ เซียวเฟิงไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น เพราะเขาหมดสติไปตั้งแต่วินาทีแรกที่ร่างกายนั้นล้มพับไปแล้ว
…
อาการปวดหัวที่ไม่เคยเป็นมาก่อนควบคู่กับร่างกายที่ปวดไปทั่วทั้งตัวโดยเฉพาะบริเวณหัวไหล่ เซียวเฟิงไม่เคยรู้สึกอึดอัดขนาดนี้มาก่อนเลยจริง ๆ
แม้จะลืมตาก็ยังถือเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ เขามองเห็นภาพของห้องทรงโบราณที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย เซียวเฟิงตกใจนิดหน่อย นั่นเพราะ ที่นี่คือห้องของเขาจริง ๆ ห้องที่เขาเคยอยู่ตั้งแต่สมัยยังเด็ก!
“อึ่ก…”
เสียงอุทานเพราะความเจ็บปวดดังขึ้นหลังเซียวเฟิงพยายามที่จะลุกขึ้นมาจากเตียงของตน ทว่าเขาเผลอขยับจนแผลที่หัวไหล่เกิดการเขยื้อน ความเจ็บปวดระดับที่ทำให้เซียวเฟิงต้องกัดฟันบังคับให้ตัวเองต้องหันไปมองหัวไหล่ของตนทันที และนี่ทำให้เขาได้รู้ว่าเสื้อของตนถูกถอดออกไปแล้ว และบริเวณหัวไหล่ก็ถูกปิดแผลไว้ด้วยผ้าพันแผลหนาเตอะพันไว้หลายต่อหลายชั้น
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่นด้วยแววตาเอาจริงเอาจัง บาดแผลของเขาไม่ได้รักษาตัวเองเลย ไม่สิ เรียกว่ารักษาช้าลงจะดีกว่า ไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานขนาดไหน แต่ขนาดตื่นขึ้นมาแล้วยังหลงเหลือความเจ็บปวดและเหนื่อยล้าอยู่แบบนี้ ราวกับว่าตัวเขากลับไปเป็นคนปกติแล้วเลย!
ความสามารถในการฟื้นฟูของเขามันหายไปแล้ว!
แกร๊ก!
ขณะที่สีหน้าของเซียวเฟิงยังคงซีดเผือดอยู่นั้น ประตูห้องของเขาก็ถูกเปิดออกพร้อมกับจางเสี่ยวหยูและจืออี้ที่เดินเข้ามา
“ท่านเซียว!”
“พี่ชาย! พี่ฟื้นแล้ว!”
จางเสี่ยวหยูถือถาดที่มีถ้วยยาน้ำสีดำสองถ้วยเข้ามา เมื่อประเมินจากสภาพแวดล้อมที่อยู่ สิ่งที่อยู่ในถ้วยดังกล่าวจะต้องเป็นยาจีนแน่ ๆ
เมื่อเข้ามาเห็นว่าเซียวเฟิงลุกขึ้นนั่งได้แล้ว ทั้งสองสาวก็รีบซอยเท้าเข้ามาหาเขาด้วยความตกใจ
“ฉันโคม่าอยู่กี่วัน?” เซียวเฟิงยกมือที่ยังพอขยับได้ขึ้นลูบไหปลาร้าของตนเบา ๆ ขณะกล่าวถาม
“พี่โคม่าอยู่สามวัน อ๊ะ ยาสองถ้วยนี้ ท่านลุงให้พี่ดื่มมันมาตลอดตั้งแต่ที่พี่ยังไม่ฟื้นแล้ว พี่รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองป้อนยายากมาก ๆ เลยนะ”
ระหว่างที่พูด จางเสี่ยวหยูก็หยิบเอาถ้วยทรงจีนโบราณที่รินยาไว้ถ้วยหนึ่งขึ้นมาให้เซียวเฟิงถือดูด้วยตนเองไปด้วย
“นี่มันยาอะไรน่ะ?” ถึงแม้ว่าภายในหัวของเขาจะมีคำถามร้อยแปดพันเก้า ชนิดที่ถามทั้งวันก็ถามไม่หมด แต่ตอนนี้สิ่งที่อยู่ภายในถ้วยกลับเป็นสิ่งที่เขาสนใจมากที่สุด ไม่สิ ไม่ใช่สนใจ หากแต่เป็น ‘สงสัย’ เพราะตลอดห้าปีที่ผ่านมา เซียวเฟิงไม่เคยทานยาอะไรเลย น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกว่ายาตัวนี้สำคัญกับเขามากขนาดนี้ ชายหนุ่มรู้สึกว่าต้องการยาเพื่อมารักษาร่างกายให้กลับเป็นปกติ
“ท่านลุงบอกไว้ว่า ดูเหมือนพี่จะไปเรียนรู้ศาสตร์ทมิฬมา ศาสตร์ที่จะใช้ชีวิตของพี่แลกกับความแข็งแกร่งทางกายภาพ และยานี่ก็มีไว้เพื่อสะกดศาสตร์ทมิฬนั่นเอาไว้” จางเสี่ยวหยูมองไปยังเซียวเฟิงด้วยความกังวล
อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ดังนั้นสีหน้าของเซียวเฟิงก็เปลี่ยนไปในทันที เขาเข้าใจได้ถึงสาเหตุที่ทำให้ร่ายกายของตัวเองอ่อนแอลงขนาดนี้ นั่นก็เพราะว่าเขาดื่มยาที่มีผลกดความสามารถในการรักษาของร่างกายไปนั่นแหละ เพราะยานี่เขาถึงได้รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัวแถมบาดแผลก็ไม่หายสักที!
ความแข็งแกร่งของเซียวเฟิงนั้นมาจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งความไร้เทียมทานนี้ก็มีความสามารถคล้ายกับศาสตร์ทมิฬอย่างที่ว่า การเผาผลาญเซลล์เพื่อเพิ่มความสามารถให้กายภาพจะทำให้ชีวิตของเขาสั้นลง เนื่องจากเซลล์ในร่างกายมนุษย์นั้นมีข้อจำกัดค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่เกิดจนตาย การทำให้เซลล์ถูกเผาผลาญเกินระดับที่ร่างกายได้ตั้งเอาไว้ก็ไม่ต่างอะไรกับการรีดเอาพลังมาใช้โดยทิ้งบาดแผลเป็นความเสียหายระดับเซลล์เอาไว้ แต่ลุงของเขากลับมองสิ่งนี้ว่าเป็นศาสตร์ทมิฬถึงขนาดใช้ยาเพื่อกดพลังของมันเอาไว้!
ปึ้ก!
หลังจากที่เข้าใจทุกอย่างแล้ว เซียวเฟิงก็ยื่นมือออกไป ปัดถ้วยยาที่จางเสี่ยวหยูถือไว้จนกระเด็นออกไปไกล!
เพล้ง!
ด้วยเสียงของถ้วยเซรามิกที่แตกกระจาย เศษซากของมันกระเด็นไปทั่วพื้นเฉกเช่นยาน้ำสีดำที่เคยบรรจุไว้ในถ้วยเองก็กระจายเต็มพื้นห้องไปด้วย
จางเสี่ยวหยูรีบถอยออกมาและมองเซียวเฟิงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แววตาของเธอเต็มไปด้วยหยาดน้ำใส เด็กสาวเปล่งเสียงพูดที่สั่นคลอนเพราะร้องไห้โดยไม่รู้ตัว
“พี่ชาย…ฉันรู้ว่าพี่โกรธฉัน…ฉันขอโทษ…ฉันไม่ควรแอบพาพี่จืออี้มาเลย…”
เด็กสาวมองไปยังถ้วยยาที่แตกอยู่ใกล้ ๆ ปลายเท้าของตนในขณะที่มือก็กำชายเสื้อของตนไว้แน่นด้วย เธอพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นเกินไปเพราะกลัวว่าเซียวเฟิงจะโกรธเธอมากไปกว่านี้อีก
“เสี่ยวหยู เธอออกไปก่อน เดี๋ยวฉันคุยกับท่านเซียวเอง”
จืออี้เม้มปากและกระแอมไอ เธอเข้ามาดันจางเสี่ยวหยูที่กำลังวิตกสุด ๆ ออกจากห้องไปก่อนด้วยความละมุน จากนั้นก็ปิดประตูไม้ให้สนิทและเดินเข้าหาเซียวเฟิง
“ท่านเซียว อย่าโกรธเสี่ยวหยูนักเลย จริง ๆ แล้วฉันต่างหากคือคนที่ตัดสินใจจะมาบ้านตระกูลจางพร้อมกับเสี่ยวหยู”
ท่าทีของฮีลเลอร์สาวคนนี้ค่อนข้างจะอ่อนโยนมาก ๆ เธอเข้ามาช่วยประคองเซียวเฟิงเพื่อให้เขากลับไปนอนบนเตียงดี ๆ ได้ อย่างน้อย ๆ เขาจะได้ไม่ต้องบาดเจ็บจากแผลที่หัวไหล่อีก
“ฉันไม่ได้โกรธอะไรยัยนั่นสักหน่อย แล้วว่าแต่เธอมาทำอะไรที่บ้านตระกูลจาง?”
เซียวเฟิงพยายามเปิดโหมดไร้เทียมทาน พยายามสั่งให้ร่างกายตนรักษาบาดแผลให้เร็วขึ้น แต่มันก็ไม่สำเร็จ เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าสิ่งที่ลุงของเขานำมาให้ดื่มนั้นคือยาอะไรกันแน่
ทว่าหลังจากได้ยินสิ่งที่จืออี้พูด เซียวเฟิงก็ถามกลับด้วยความประหลาดใจ
“ฉันไม่อยากเพิ่มภาระให้นายนี่ ไม่อยากจะถูกตราหน้าว่าทำให้นายต้องถูกลากกลับมาที่นี่ เพราะงั้นหลังจากที่รู้ว่าถ้าฉันมาที่บ้านตระกูลจาง ปัญหาทุกอย่างจะจบลง ฉันเลยตัดสินใจมาด้วยตัวเอง”
จืออี้มองไปยังเซียวเฟิงด้วยดวงตาที่งดงามของเธอ ราวกับว่าเธออยากจะมองเขาไปตลอด
“อย่าตัดสินใจอะไรแบบนี้ด้วยตัวเองอีกในอนาคต ถ้าเธอมีข้อสงสัยอะไรก็เอามาปรึกษาฉันก่อน ในเมื่อเธอเป็นผู้หญิงของฉัน ยังไงฉันก็ต้องดูแลเธออยู่แล้ว” เซียวเฟิงขมวดคิ้ว
“ค่า ๆ ต่อจากนี้ไปทาสจะเชื่อฟังคำสั่งของนายท่านทุกอย่างเลยค่ะ!”
หญิงสาวยิ้มพราวเสน่ห์เช่นเดียวกับแววตาที่เย้ายวนผู้ที่ได้จับจ้องราวกับดวงวิญญาณของผู้นั้นได้ถูกตราตรึงไว้กับเธอแล้ว ทว่าภายในแววตานั้นก็แฝงไว้ด้วยหยดน้ำสีใสที่ไหลไปตามกรอบตาเหมือนดังกระแสธาราที่ไหลเอื่อยในฤดูใบไม้ร่วง สิ่งนี้คือน้ำตา จืออี้ยังคงจำภาพที่เซียวเฟิงพยายามสู้เพื่อเธออย่างหนักเมื่อสามวันก่อนได้ ภาพของการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิตนั้นมันสะกดใจของเธอให้เต้นรัวอยู่ตลอดเวลา
“คิดจะทำอะไร?” เซียวเฟิงส่ายหน้าเบา ๆ เขาไม่รู้จะทำยังไงกับแม่สาวคนนี้ดี แต่เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ จืออี้ก็ยื่นมือไปหยิบเอาถ้วยยาที่ยังเหลืออีกหนึ่งถ้วยขึ้นมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม
“ทาสคนนี้จะป้อนยานายท่านเอง” จืออี้ยิ้มเย้ายวนและเขยิบตัวเข้ามาใกล้ ๆ เซียวเฟิง
“หือ?” ชายหนุ่มเตรียมจะหยุดอีกฝ่ายไว้ แต่เมื่อเห็นว่าจืออี้หยิบเอาถ้วยยานั้นไปดื่มด้วยตนเองก็ทำให้เซียวเฟิงรู้สึกตกใจ เธอคนนี้กำลังทำอะไรน่ะ? เธอดื่มมันเข้าไปทำไม?
แต่เพียงไม่นานนัก ความจริงก็ถูกเปิดเผย เพราะหลังจากที่จืออี้ดื่มยาเข้าไปแล้ว เธอก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เซียวเฟิง หญิงสาวใช้จังหวะที่เซียวเฟิงไม่ทันตั้งตัว จูบเขาจนริมฝีปากแนบชิดสนิทกัน
“อ๊ะ…อืม…”
เซียวเฟิงส่งเสียงในลำคอออกมา เพราะเขารับรู้ได้ถึงความนุ่มนิ่มและลื่นไหลของลิ้นอีกฝ่าย จืออี้ไม่ได้เพียงประกบปากเข้ามาเฉย ๆ เธอใช้ลิ้นของเธอนั้นคอยป้อนยาที่อมไว้ก่อนหน้าเข้ามาในปากเซียวเฟิงด้วย
“คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่…อืม…” แม้เซียวเฟิงจะผละหน้าหนี แต่จืออี้ก็ตามเข้ามาประกบปากของเขาไว้เหมือนเดิมเพื่อป้อนยาจีนที่อมไว้ให้เซียวเฟิงให้หมด และเพราะการที่เขาพยายามจะต่อต้านไม่ให้ยานั้นลงคอนั้น ปลายลิ้นของเซียวเฟิงมันก็พลอยสัมผัสโดนลิ้นของจืออี้อยู่หลายครั้ง จนมั่นใจแล้วว่ารสหวานนั้นไม่ได้มาจากยาจีนแต่อย่างใด หากแต่มาจากปลายลิ้นของสาวงามคนนี้ต่างหาก
เซียวเฟิงยังหาโอกาสละปากมาพูดอยู่หลายครั้ง แต่จืออี้ก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาเลย เธอใช้รอยยิ้มยั่วยวนแทนการปิดปากตนไว้ขณะไล่ตามไปจูบเซียวเฟิงซ้ำแล้วซ้ำอีก
“ฉันไม่อยาก…อืม…”
“เลิกป้อ…อืม…”
“ฉันบอกว่า…อืม…”
“เธอ…อือ…”
หากไม่ติดว่าเซียวเฟิงนั้นเจ็บปวดไปทั่วร่างกายโดยเฉพาะที่หัวไหล่ล่ะก็ ป่านนี้ตัวเองคงผลักจืออี้ไปไกล ๆ ตั้งนานแล้ว ดังนั้นในเมื่อมันช่วยอะไรไม่ได้ เขาจึงปล่อยให้เธอช่วยป้อนยาให้เขาผ่านวิธีนี้ไปจนกระทั่งเธอพอใจ
หลังจากที่ภายในปากของหญิงสาวไร้ซึ่งยาน้ำสีดำแล้ว เธอก็ยิ้มแก้มแดงในขณะที่ปลายลิ้นเองก็เลียริมฝีปากของตนเบา ๆ แสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ที่เย้ายวนของสาวที่ใคร ๆ ต่างก็อยากจะไขว่คว้ามาไว้ครอบครอง แต่เมื่อมองกลับไปยังถ้วยยาในมือของเธอที่มันไม่มียาน้ำดำแล้ว เซียวเฟิงก็เหมือนถูกดึงกลับมาอยู่ในโลกของความจริงอีกครั้ง
“ท่านเซียว อร่อยหรือเปล่า?” จืออี้เลียหยดน้ำที่ไหลจากมุมปากตนไว้ก่อนจะถามด้วยแววตาฉ่ำน้ำจนเป็นประกาย
“เธอรู้หรือเปล่าว่ายานี่มีผลข้างเคียงกับการฟื้นฟูร่างกายของฉัน?” เพราะไม่รู้ว่าเธอทำไปเพราะอะไร เซียวเฟิงจึงถามออกไปเช่นนั้น
“เอ๊ะ?” รอยยิ้มพราวเสน่ห์บนใบหน้าสวยของจืออี้แข็งไปทั้งอย่างนั้นหลังได้ยินคำถามของเซียวเฟิง
“เธอควรจะรู้อยู่แล้วว่าร่างกายของฉันนั้นแข็งแกร่งมาก ๆ รวมไปถึงความเร็วในการรักษาบาดแผลก็เร็วมาก ๆ ด้วย แต่ความสามารถพวกนี้ของฉันถูกพวกคนที่นี่เข้าใจผิดว่าเป็นพลังของปีศาจ เพราะงั้นพวกเขาก็เลยให้ฉันกินยานี่เพื่อจะได้ข่มพลังปีศาจเอาไว้ แล้วด้วยยานี่ หัวไหล่ฉันเลยยังไม่หายสักที”
เขาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้จืออี้ฟังเพราะเห็นว่าอย่างน้อย ๆ ตระกูลเธอและเขาก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน รวมถึงตระกูลของเธอก็น่าจะรู้ว่าศาสตร์ทมิฬคืออะไร เป็นไปได้ว่าทางตระกูลอาจจะเคยบอกเรื่องนี้กับเธอไปแล้ว เพราะงั้นเจ้าตัวถึงได้พยายามป้อนยาเขาขนาดนี้
“เอ่อ…ฉัน…”
ดวงตาที่งดงามของจืออี้ที่หันมองไปยังแผลที่หัวไหล่ของเซียวเฟิงนั้น ราวกับว่ากำลังมองภาพเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดบาดแผลนี้ใหม่อีกรอบ ภาพของการโจมตีอันรวดเร็วจนทำให้เซียวเฟิงเกือบจะสูญเสียแขนไปข้างหนึ่งนั้นมันเกิดขึ้นเพราะเธอ แต่เธอในตอนนี้กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เธอกำลังป้อนยาพิษให้เขา!
ทันทีทันใดถ้อยคำต่อว่าตนเองก็พรั่งพรูออกมาจนเอ่อล้นใจของเธอ เช่นเดียวกับหยาดน้ำตาสีใสสองสายที่ไหลอาบใบหน้าสวยนั้นด้วย
“ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็กินมันเข้าไปแล้ว ยังไงซะตระกูลจางคงไม่วางยาพิษฉันหรอก เพราะงั้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น ไม่ต้องร้องไห้”
เห็นเช่นนั้นเซียวเฟิงก็รีบลืมอาการปวดหัวของตนแล้วยื่นแขนที่ยังปกติดีไปโอบจืออี้เอาไว้ในอ้อมแขนเพื่อปลอบเธอ
ทว่าตอนนั้นเอง
“พี่ชาย… ท่านพ่อบอกฉันให้มาพาตัวพี่ไปที่ห้องของท่าน…อ๊ะ ขอโทษค่ะ! ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะ! เชิญใช้เวลาส่วนตัวกันต่อเลยค่ะ!”
จางเสี่ยวหยูเปิดประตูเข้ามาในจังหวะนั้น เธอเห็นเซียวเฟิงและจืออี้กอดกันอยู่บนเตียง ใบหน้าของเด็กสาวก็แดงแปร๊ดขึ้นมาทันที คำพูดมากมายที่หลุดออกมานั้นแสดงให้เห็นว่าเธอทำอะไรไม่ถูกก่อนจะรีบถอยกลับออกไป
“ช่างมันเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ปิดบังไม่ได้หรอก” เซียวเฟิงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ก่อนจะพยายามที่จะลุกขึ้น จืออี้ที่เห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปช่วยประคองเซียวเฟิงอย่างรวดเร็ว
“พาฉันไปที่ห้องนั้นก็พอ เธอรอข้างนอกก็ได้” เซียวเฟิงไม่ได้ปฏิเสธ บางทีอาจจะเป็นเพราะเขายังรู้สึกอ่อนแรงอยู่หลังจากดื่มยาถ้วยนั้นเข้าไป เพราะงั้นเขาจึงบอกไปเช่นนั้น
“เข้าใจแล้วค่ะ”
จืออี้ปาดน้ำตาที่ไหลออกมาก่อนหน้า เธอไม่กล้าจะพูดหยอกล้ออะไรตอนนี้แล้วเชื่อฟังที่เซียวเฟิงพูดทุกอย่างรวมไปถึงช่วยพาเซียวเฟิงเดินออกจากห้องนี้ไปด้วย
จางเสี่ยวหยูที่ยังเขินอายอยู่ที่ด้านนอกห้องนั้นพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้ แต่เมื่อเห็นว่าเซียวเฟิงเดินออกมา เธอก็โล่งใจขึ้นนิดหน่อยอย่างน้อย ๆ พี่ชายของเธอก็พอจะเดินได้บ้างแล้ว เด็กสาวรีบเดินตามไปและคอยประคองเซียวเฟิงจากอีกข้างหนึ่งในทันที
อารามของตระกูลจางนั้นค่อนข้างจะซับซ้อนและมีขนาดใหญ่ แต่เพราะห้องของเซียวเฟิงและจางจงเหลียงนั้นต่างก็อยู่ที่เขตใจกลางที่อยู่อาศัย แม้จะห่างไกลกันนิดหน่อย แต่เพียงไม่ถึง 10 นาที พวกเขาทั้งหมดก็เดินทางมาถึงหน้าประตูห้องอีกห้องหนึ่งแล้ว
“เธอกลับไปก่อน ไม่ก็รอฉันอยู่ที่หน้าห้องนี้นะ” เซียวเฟิงหันไปหาจืออี้แล้วพูด นี่เองก็เป็นหนึ่งในการทำเพื่อเธอด้วย เพราะเขากังวลว่าจืออี้อาจจะต้องเผชิญหน้ากับจางจงเหลียงไปด้วย
จืออี้เองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะเธอนั้นค่อนข้างจะกลัวการเผชิญหน้ากับจางจงเหลียงมาก ๆ ไม่เพียงเพราะจางจงเหลียงเป็นพ่อของเซียวเฟิง แต่เป็นเพราะสถานะของเธอที่เข้ามายังบ้านตระกูลจางนี้ด้วย เธอกลัวว่าตนเองจะนำพาปัญหาให้เซียวเฟิง และทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาทั้งตระกูลต้องพังพินาศ แม้ว่าก่อนหน้านี้หัวใจเธอจะรู้สึกสงบและอบอุ่นเพราะถูกปกป้องโดยเซียวเฟิงมาเสมอ แต่พอคิดเรื่องนี้มันก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านพ่อบอกว่า ให้พาพี่จืออี้เข้าไปด้วยน่ะค่ะ” อย่างไรก็ตาม คำพูดของจางเสี่ยวหยูก็ทำให้เซียวเฟิงขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยอีกคน
“จริงเหรอ?”
ห้องของจางจงเหลียงนั้นถือเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับตระกูลจางเลย นั่นเพราะการที่ตระกูลจางไม่ใช่ตระกูลที่เสาะหาทางโลก ดังนั้นสิ่งที่อยู่ภายในห้องนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่มีหรือหาได้ในห้องสมุดทั่ว ๆ ไป พวกมันเป็นหนังสือโบราณที่ถูกเก็บรักษาไว้ผ่านกาลเวลามามากมายจนมาถึงปัจจุบันได้ รวมไปถึงโบราณวัตถุอื่น ๆ หากวันใดวันหนึ่งมีใครที่ไหนไม่รู้เกิดหลุดรอดเข้ามาภายในห้องนี้ได้ มันจะต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่ของตระกูลแน่ ๆ!
เพราะงั้นห้องนี้จึงมีความสำคัญต่อตระกูลมาก เซียวเฟิงจึงอดคิดไม่ได้ว่า การที่เจ้าของห้องยอมให้เขาและจืออี้เข้าไปภายในได้นั้นหมายถึงอะไร?