NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 203
บทที่203 อีกฝ่ายตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
ได้ยินเสียงตะโกนของส้าวส้วย ร่างกายของเหยโก่ว ก็ตื่นตัวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
มันสั่นไปถึงจิตวิญญาณ
เหยโก่วที่สูงหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าๆ ร่างกำยำน่าเกรงขาม ทำไมถึงได้กลัวส้าวส้วยที่อายุเพียงยี่สิบกว่าเท่านั้นขนาดนี้นะ?
นั่นก็เพราะว่าสายตาของส้าวส้วย มันมีแต่ความอาฆาต
จากแววตาของส้าวส้วยนั้นเหยโก่วก็รู้ได้เลยในทันที ว่านายคนนี้ไม่ได้เคยฆ่าแค่คนเดียวแน่นอน ต้องมีคนอีกเยอะมาก
เหมือนกับจางกงหมิง เขาเองก็เคยฆ่าคนมาก่อน แต่ว่าจะให้เขาฆ่าคนอีกนั้น เขาก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี
แต่ส้าวส้วยนั้นไม่เลย
แววตาของส้าวส้วย มีความรู้สึกที่เหมือนเห็นคนเป็นผักปลา
เพียงแค่ฆ่าคนมาเยอะนั้น ก็สามารถทำให้ไม่แยแสชีวิตต่างๆ แบบนั้นได้
เหยโก่วรู้ ว่าคนแบบนี้ ตัวเองไม่มีทางหาเรื่องได้แน่นอน
จึงหันกลับไป จากนั้นเหยโก่วมองส้าวส้วย แล้วยิ้มขึ้นด้วยความเคารพ: “คุณชายคนนี้ อยากจะกำชับอะไรไหม?”
เมื่อพูดคำนี้ออกไป สวีเถิงเฟยกับตู้เฟยทั้งสองคน ก็งงไปเลย
ลูกน้องของเหยโก่วเองก็เหมือนกัน พวกเขามองลูกพี่ของตัวเองตาค้าง พลางถาม: “ลูกพี่ คุณถูกโดนของใช่หรือเปล่า?”
“บ้าหรือเปล่า!” เหยโก่วกลอกตามองลูกน้อง
“หุบปากให้หมด อย่าพล่ามอะไรออกมา ได้ยินไหม?” เหยโก่วกลัวว่าลูกน้องจะพูดอะไรไม่เข้าหู แล้วยั่วโมโหส้าวส้วย เลยรีบเตือน
ส้าวส้วยโบกมือให้เหยโก่ว พลางพูดออกมา: “มานี่……”
เหยโก่วลังเลอยู่สักพัก จากนั้นก็เดินเข้าไปอย่างเกรงกลัว
“คุณวิ่งเร็วดีนะ”
ส้าวส้วยมองบนใส่เหยโก่ว ก่อนจะพูดออกมา: “คุณลืมคำพูดของเจ้านายของพวกเราแล้วใช่ไหม?”
เหยโก่วอึ้งไปสักพัก ก่อนจะถาม: “พูดอะไรเหรอ?”
“คุณอายุไม่เท่าไหร่เอง ทำไมเป็นโรคหลงลืมแบบนี้แล้วล่ะ?”
ส้าวส้วยมีสีหน้านิ่งลงไป: “เจ้านายฉันให้ทางเลือกคุณสองทาง หนึ่ง คุกเข่าแล้วเรียกเจ้านายฉันด้วยความเคารพ สอง ฉันจะโยนคุณเข้าไปเป็นอาหารหมาป่าในป่า”
“เจ้านายฉันให้คุณเลือก แต่ไม่ได้บอกให้คุณหนีไป!”
ส้าวส้วยยกขาขึ้น ก่อนจะเตะเหยโก่ว
เหยโก่วถูกเถอะแล้ว แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไร
“วันนี้ลูกพี่เป็นอะไร?ทำไมเชื่อฟังขนาดนี้”
“นั่นนสิ ปกติ นอกจากพี่เหยสงแล้ว ลูกพี่ก็ไม่เคยกลัวใครเลย”
“พวกคุณเห็นหรือเปล่า ว่าลูกพี่กลัวไอหนุ่มนี่ เหมือนกับที่กลัวพี่เหยสงเลย ไม่สิ ขี้ขลาดกว่าอยู่ต่อหน้าพี่เหยสงเสียอีก”
“งั้นไอหนุ่มนี่มันเล่นเวทมนต์อะไรหรือเปล่า เลยบังคับลูกพี่ได้น่ะ?”
คนของเหยโก่วพูดกันไปต่างๆ นานา จนเหมือนจะมีเสียงซุบซิบขึ้นมาเล็กๆ
“คุณว่า ลูกพี่ของพวกเราจะต้องมาเคารพและคุกเข่าให้กับไอหนุ่มน้อยนี่ไหม?”
“แต่ก็ไม่แน่ ตอนนี้ลูกพี่ของพวกเราเหมือนโดนของเลยล่ะ”
“ถ้าเกิดว่าเขาคุกเข่าลงแล้วเคารพ จากนี้จะใช้ชีวิตอย่างไร ถ้าเกิดเรื่องนี้มันถูกเผยแพร่ออกไป?คุณว่า ชื่ออย่างเหยโก่ว จะถูกหัวเราะเยาะหรือเปล่า?”
“ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นจริงๆ พวกเราอย่าอยู่กับเขาอีกเลย มันน่าอายจริงๆ”
คนหลายคนพยักหน้า พลางมองเหยโก่ว
ถ้าเกิดเหยโก่วคุกเข่าลงจริงๆ คนพวกนี้จะต้องไม่อยู่กับเหยโก่วแล้วแน่นอน
มาอยู่กับลูกพี่แบบนี้ ไม่ใช่แค่ไม่มีอนาคต แต่เดินไปที่ไหน ก็จะถูกเหยียดหยาม
มาอยู่กับคุณแบบนี้ เสียหน้าจริงๆ จะอยู่ต่อทำไมล่ะ!
หน้าของเหยโก่วนั้นดูไม่ได้เลย จะให้คุกเข่าลงแล้วเรียกอย่างนอบน้อมงั้นเหรอ?เขาทำไม่ได้หรอก
ถ้าเป็นเหยสง เขาคงยอมคุกเข่าลง ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นพี่ชายเขา พี่ชายแท้ๆ ของเขา เขาก็คุกเข่าลงได้
ถ้าเกิดว่าหลี่ฝางเป็นคนอายุสักเจ็ดสิบ แล้วก็เป็นคนที่คนในเมืองต่างเคารพ เหยโก่วจะกัดฟัน ยอมรับให้ได้
แต่หลี่ฝางเป็นแค่เด็กวัยรุ่นที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
จะให้คุกเข่าแล้วเรียกว่าคุณชาย ให้ตายยังดีกว่าเลย
เหยโก่วพูดเสียงต่ำ: “คุณชายท่านนี้ พี่ชายฉันเหยสงเองก็เป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม ณไว้หน้าพี่ชายฉันได้ไหม ปล่อยฉันไปหน่อยได้ไหม?”
“คุณจะหมายความว่า จะไม่เรียกใช่ไหม?” ส้าวส้วยหัวเราะขึ้น พลางมองเหยโก่วอย่างไม่แยแส
“ถ้าเกิดว่าฉันคุกเข่าแล้วยอมเรียก หลังจากนี้จะใช้ชีวิตอย่างไร?”
เหยโก่วมีหน้าตาลำบากใจ ลูกน้องของตัวเองกำลังมองอยู่ ถ้าเกิดว่าตัวเองคุกเข่าลงแล้วยอมเรียก จากนี้จะสั่งสอนลูกน้องอย่างไร?
อยู่ต่อหน้าลูกน้อง ยังจะเงยหน้าขึ้นมาได้อย่างไร?
ส้าวส้วยหัวเราะขึ้น พลางพูดออกมา: “ฉันเข้าใจความหมายของคุณแล้วล่ะ”
“ในเมื่อคุณทำไม่ได้ งั้นฉันก็จะไม่ทำให้คุณลำบากใจ” ส้าวส้วยพูดออกมา
เมื่อได้ยินคำนี้ เหยโก่วก็ปล่อยวางลงได้
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ส้าวส้วยก็เอามือ มาจับคอเสื้อของเหยโก่ว
“คุณ คุณกำลังทำอะไรน่ะ?” เหยโก่วมองเห็นส้าวส้วยกำลังลงมือกับตัวเอง ก็รู้สึกงุนงง
“ในเมื่อคุณไม่ยอมคุกเข่าลงแล้วเรียกเจ้านายฉันว่าคุณชาย นั่นก็หมายความว่า คุณเลือกตัวเลือกที่สอง” ส้าวส้วยยิ้มเล็กน้อย: “งั้นก็หมายความว่าจะให้ฉันโยนคุณเข้าป่าไปล่ะสิ”
เขาหมาป่าถูกเรียกว่าเขาหมาป่า ก็เพราะว่าเขาหมาป่านั้นมีหมาป่าอยู่จริงๆ
ไม่เพียงเท่านั้น อย่างน้อยก็มีสามสี่ตัว
แถมหมาป่าพวกนี้ มันหลบอยู่ใต้เขาหมาป่าที่มีต้นไม้เยอะแยะเลยล่ะ
ไม่ใช่เพียงแค่ตอนกลางคืน ขนาดตอนกลางวัน ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปทำอะไรในป่าเลย
ส้าวส้วยกระชากคอเสื้อของเหยโก่วขึ้นมา ก่อนจะโยนเข้าไปในเขาหมาป่า
เหยโก่วที่สูงราวๆ ร้อยแปดสิบ ตัวใหญ่มาก น้ำหนักกว่าเก้าสิบกิโล
ส้าวส้วยเมื่อครู่ยกเหยโก่วขึ้นมา เหมือนกับจับไก่ตัวหนึ่งขึ้นมาเท่านั้นเอง และตอนที่โยนเข้าไปในป่า ดูไม่เสียแรงเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนก็ตกใจ
เมื่อครู่พวกเขาต่างคิดว่า เหยโก่วโดนของเข้าแล้ว เลยกลัวส้าวส้วยขนาดนี้
แต่เมื่อดูตอนนี้แล้ว ส้าวส้วยนั้นเก่งกาจจริงๆ
ลูกน้องของเหยโก่วหลายคน ต่างมองส้าวส้วย ด้วยความกลัวในแววตา
ตัวเล็กขนาดนี้ แต่แรงเยอะมาก มันไม่เข้ากันเลย
หรือบางทีอาจจะไม่ควรมองคนที่ภายนอก
“ทำอย่างไรดี?พวกเราจะเข้าไปสู้ไหม?” เมื่อเห็นลูกพี่ของตัวเองถูกโยนเข้าไปในป่า หลายๆ คนก็ต่างคุยกัน
จากนั้นทั้งสามคนเลยตกลงจะเข้าไปช่วยเหยโก่ว
หลังจากที่เหยโก่วตกลงไปหัวชนห้าหกรอบ ก็หยุดลง
เหยโก่วในตอนนั้นเอง ไร้เรี่ยวแรงสุดๆ เลย
ลูกน้องหลายๆ คน หาที่ที่จะวิ่งลงไป
พวกเขาล้อมเหยโก่ว พลางเข้ามาถาม: “ลูกพี่ จะแก้แค้นไหม”
“แก้แค้นบ้าอะไรกัน พวกคุณตาบอดหรือเปล่า ชายคนนั้นน่ะ เป็นคนที่พวกเราจะมีเรื่องได้ด้วยเหรอ?”
เหยโก่วกลอกตามองบนใส่ลูกน้องของตัวเอง: “ฉันถามพวกคุณ ว่าใครจะสามารถดึงฉันขึ้นมาด้วยมือเดียวได้บ้าง?”
เก้าสิบกิโลเลยนะ มันไม่เบาเลยล่ะ
ลูกน้องสามคนของเหยโก่วต่างเงียบลง เพราะว่าไม่มีใครทำได้เลย
ไม่ใช่แค่มือเดียว ขนาดสิ่มือ ยังยากเลยล่ะ
“ตามพวกคุณหลายๆ คนเนี่ย ยังอยากจะแก้แค้นแทนฉันเหรอ?” เหยโก่วมองบนใส่ลูกน้องของตัวเอง เลยพูดออกมา: “ฉันว่าทำให้ตายก็ได้แล้ว”
“ลูกพี่ งั้นเรื่องนี้ จะปล่อยไปง่ายๆ เลยเหรอ?” ลูกน้องของเหยโก่วไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่
หรือไม่ก็เอาไปบอกพี่เหยสง ให้พี่เหยสงแก้แค้นแทนคุณเถอะ” ลูกน้องอีกคนพูดออกมา
“ช่างมันเถอะ ชายคนนี้ไม่ง่ายเลย ฉันไม่อยากหาเรื่องให้พี่เหยสง” เหยโก่วคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็พูดออกมา
เหยโก่วรู้ ว่าส้าวส้วยนั้นไม่ได้ล้มได้ง่ายๆ
“เรื่องในคืนนี้ ทำเหมือนมันไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลยนะ ห้ามพูดอะไรเลย เข้าใจไหม?” สักพัก เหยโก่วก็พูดออกมาอีก
“เข้าใจแล้วล่ะ ลูกพี่”
ลูกน้องหลายคนไม่ค่อยเข้าใจ ว่าทำไมลูกพี่ของตัวเอง ถึงได้กลัวส้าวส้วยขนาดนั้นนะ?
เขาแค่แรงเยอะไม่ใช่เหรอ?
“รีบพยุงฉันขึ้นไป ให้ตายเถอะ ป่านี้มันมีหมาป่านะ” เมื่อมองป่าทึบนั้น จู่ๆ เหยโก่วก็กลัวขึ้นมา
เมื่อล้มลงไปห้าหกชั้น เหยโก่วก็รู้สึกเจ็บปวดกระดูกขึ้นมา
“ลูกพี่ ฉันจะแบกคุณขึ้นมา”
ลูกน้องคนหนึ่งที่กล้าหาญ แต่เมื่อแบกเหยโก่วเดินไปได้ไม่นาน ก็ทนไม่ไหวแล้ว
“ลูกพี่ คุณควรลดน้ำหนักบ้างนะ”
เขาวางเหยโก่วลง จากนั้นก็ถอนหายใจ พลางพูดออกมา: “พวกเราแบกลูกพี่ขึ้นไปด้วยกันเถอะ ฉันแบกคนเดียวไม่ไหวแล้ว”
หลายๆ คนต่างหงุดหงิดใจ เมื่อครู่เขาเห็นอยู่ชัดๆ เลย ว่าลูกพี่เหยโก่วอยู่ในมือส้าวส้วย เบาเหมือนลูกไก่เลย
แต่เมื่อตัวเองแบก ทำไมมันหนักเหมือนภูเขาไท่เลยล่ะ?
หลังจากที่เหยโก่วถูกแบกขึ้นมาอย่างช้าๆ หลายๆ คนก็เข้าไปในรถ จากนั้นก็ขับรถออกไป
เหยโก่วกับคนอื่นๆ จะไป สีหน้าของตู้เฟยกับสวีเถิงเฟยก็เปลี่ยนไป เป็นความงุนงงเป็นอย่างมาก
บนเขาหมาป่าในตอนนั้น เหลือเพียงพวกเขาไม่กี่คน
ตู้เฟยขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะมองส้าวส้วยกับหลี่ฝาง ที่หันอย่างรวดเร็ว พลางวิ่งมาที่รถเบนซ์ของตัวเอง
หลังจากที่หลี่ฝางเห็น ก็รีบวิ่งตามไป
“เจ้านาย ไม่ต้องตามหรอก”
ส้าวส้วยหยิบก้อนหินขึ้นมา จากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดออกมา: “ดูฉันนะ”