NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 1030 วิญญาณแตกสลาย
เพียงระยะเวลาสั้น ๆ กำลังภายในในร่างกายของพวกเขาก็ได้ถูกใช้ไปจนแทบจะหมดแล้ว
จะต้องรู้ว่า กำลังภายในของพวกเขาเองใช้เป็นแค่ตัวล่อเท่านั้น! ถ้าหากใช้กำลังภายในของพวกเขาสร้างเกาะป้องกันขึ้นมาจริง ๆ งั้นพวกเขาก็คงวิญญาณแตกสลายไปนานแล้ว
วินาทีนี้ ทั้งสองคนไม่หยุดเลยแม้แต่นิดเดียว ใช้พลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดขับเคลื่อนกำลังภายในที่ตัวเองเหลืออยู่ออกมา ลอยตัดผ่านอากาศไปราวกับแสงสีทองสองสาย มุ่งหน้าไปยังเกาะหยกขาว!
แสงสีทองสองสายผ่านแวบไปเหมือนกับสายฟ้า การเคลื่อนไหวของทั้งสองคนนั้นเร็วเกินกว่าปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขาเสียอีก มุ่งหน้าพุ่งไปยังเกาะหยกขาวทันที
เนื่องจากได้ปะทุพลังออกมาอย่างรุนแรง ทั้งสองคนได้ตกลงไปที่เกาะหยกขาวอย่างจัง ต่างก็กระอักเลือดออกมาคำโต
เมื่อหันกลับไปดู ความสว่างไสวที่เกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ในอากาศแห่งนั้นยังไม่ทันสลายไป ทำให้คนรู้สึกตื่นตระหนกตกใจยิ่งนัก
“หนีออกมาจากความตายได้ โชคดีจริง ๆ”
“เมื่อกี้เกือบนึกว่าตัวเองต้องตายแล้วไหมล่ะ”
ทั้งสองคนจ้องมองซึ่งกันและกันพลางยิ้มอย่างขมขื่น
หลังจากที่พวกเขาบุกขึ้นมายังเกาะหยกขาวได้แล้ว สิบสองคนทองนั้นก็ไม่ได้ตามมาโจมตีพวกเขา อีก
“สิบสองคนทอง……มันน่ากลัวมากจริง ๆ” หลี่ฝางถอดทอนใจหนึ่งครั้งอย่างห้ามไม่ได้
“ในระดับเดียวกันพวกเรามีเพียงต้องถูกพวกมันทารุณ”
ทั้งสองคนนั้นคาดไม่ถึงจริง ๆ ในฐานะที่อาจจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดสองคนของโลกใบนี้ ร่วมมือกันแล้วก็ยังทำได้เพียงหลบหนีเอาชีวิตรอดจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวของคนยักษ์สองตัว
การโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ถ้าหากหลบหนีช้าไป ในตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนอาจจะไม่รอดแล้วก็ได้
“ความจริงแล้ว ก็น่าจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมของที่นี่สินะ……” ในตอนนี้เองกู่ยี่เทียนก็ได้เอ่ยขึ้น: “ถ้าอยู่ที่โลกด้านนอก ไม่มีพลังอันแปลกประหลาดพวกนี้ ไม่มีทางที่กระบวนท่านี้จะแสดงพลังที่น่าเกรงขามแบบนี้ออกมาได้”
“แต่ว่า ถ้าหากอยู่ที่โลกด้านนอก แค่เท้าสองข้างของพวกมันก็สามารถเหยียบพวกเราให้แหลกละเอียดได้” หลี่ฝางยิ้มอย่างขมขื่น
ทั้งสองคนถอนหายใจพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
แต่ทว่าในไม่ช้า พวกเขาก็ได้ทิ้งความท้อแท้นี้ออกไปจากสมอง
หันกลับมาและเงยหน้าขึ้นไป ก็เป็นขั้นบันไดหยกขาวขั้นแล้วขั้นเล่าต่อยาวขึ้นไปข้างบนยังไม่จบสิ้น จนถึงส่วนลึกของกลุ่มเมฆที่เต็มไปด้วยแสงอรุโณทัย จึงเห็นเป็นตำหนักอันกว้างใหญ่อยู่เลือนราง มองไม่ค่อยจะชัดเจนนัก
ทั้งสองคนรีบทิ้งความหงุดหงิดเมื่อสักครู่ออกไปจากสมองทันที และเริ่มปีนบันไดโดยไม่ลังเล
ถึงแม้จะมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด แต่สำหรับทั้งสองคนที่อยู่ในขึ้นแดนเต๋าแล้วไม่นับอะไร ตลอดทางก็ไม่ได้พบเจอกับความผิดปกติ เงาร่างสองสายพุ่งขึ้นสู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว ไม่นาน เท้าของพวกเขาก็ได้เหยียบลงที่บันไดขั้นสุดท้าย
ทั้งสองคนก้าวเข้าไปพร้อม ๆ กัน
ทันใดนั้นเอง ดวงเคลื่อนดาวย้าย ฟ้าดินเปลี่ยนผัน ทุกสิ่งที่อยู่โดยรอบเปลี่ยนแปลงไปราวกับพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
ที่นี่เป็นตำหนักใหญ่โตที่งดงามตระการตาแห่งหนึ่ง ทองคำปูพื้น ใช้หยกเป็นเสาร์ แสงไฟสว่างไสว เหลืองอรามแวววาว ใช้ทุกถ้อยคำบนโลกใบนี้ ก็ไม่อาจพรรณนาความงดงามของตำหนักแห่งนี้ได้
และในเวลานี้ ภายในตำหนักแห่งนั้นกำลังจัดงานเลี้ยงอันใหญ่โต
นางรำเต้นระบำอย่างอ่อนช้อย แขกในงานพูดคุยกันจ้อกแจ้กจอแจ อาหารชั้นเลิศ ยอดสุราธาราหยกมีอยู่ไม่ขาดสาย
ทั่วทั้งตำหนัก เป็นภาพวาดที่งดงาม และสบายอกสบายใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ภาพหนึ่ง
และในตำแหน่งที่สูงที่สุดของตำหนัก บนราชบัลลังก์เก้าชั้นขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ทางท้ายสุดของทิศเหนือหันไปหน้าไปทางทิศใต้ มีจักรพรรดิพระองค์หนึ่งกำลังนั่งอยู่ดั่งเทพเจ้า
หลี่ฝางในเวลานี้ ได้กลายเป็นแขกในงานเลี้ยงคนหนึ่งไปแล้ว เขามองไปยังองค์จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่แห่งโลกมนุษย์ท่านนั้น
รัศมีที่แข็งแกร่งได้กดทับลงมาจากด้านบน ราวกับฟ้าดินทับลมลงมา ต้องการให้สรรพสัตว์ทั้งหลายยอมศิโรราบ ประชาชนกราบไหว้ หนึ่งในประชากรอย่างหลี่ฝาง เป็นธรรมดาที่จะต้องก้มกราบ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ก้มหัวคำนับจรดพื้น
ความไม่ยินยอมและขัดขืนปรากฏขึ้นในดวงตาของหลี่ฝางอย่างไม่ขาดสาย ร่างกายของเขาไม่สามารถขยับได้ ทั้งยังถูกกดบังคับให้ยอมจำนนอย่างช้า ๆ แต่จิตใจอันแน่วแน่ของเขา กลับไม่ยินยอมที่จะให้เขาคุกเข่าลงไปอย่างเด็ดขาด!
“ท่าน……ท่านได้ตายไปหลายพันปีแล้ว……โลกแปรเปลี่ยนผัน……แผ่นดินเปลี่ยนแปลง……ท่าน……ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะให้ผมคุกเข่า!”
เสียงกร๊อบดังขึ้น หลี่ฝางราวกับได้ทำอะไรบางอย่างแตกหัก จู่ ๆ เข้าก็กระโดดสูงขึ้นมา ร่างลอยอยู่ในอากาศ ในมือนั้นได้สร้างดาบยาวขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อย และฟันเข้าไปที่องค์จักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังก์!
เสียงก้องกังวานราวกับกระจกแตกได้ดังขึ้น ฉากที่อยู่ตรงหน้าของหลี่ฝางได้เลี่ยนไปอีกครั้ง ถึงแม้หลี่ฝางจะยังคงยืนอยู่ในตำหนักที่ดูหรูหราฟุ่มเฟือยแห่งนั้น แต่ที่รอบ ๆ กลับไม่มีเงาของบรรยากาศสังสรรค์ที่ครึกครื้นรื่นเริงเหมือนเมื่อสักครู่นั้นแล้ว อ้างว้างเปลี่ยวเปล่า เงียบสงบไปหมด
มีเพียงกู่ยี่เทียนที่ยืนอยู่ข้างกายขอหลี่ฝาง ร่างกายสั่นเทา คิ้วทั้งสองข้างขมวดแน่น ราวกับกำลังพยายามทนต่อสู้กับอะไรบางอย่างอยู่
เงยหน้าขึ้นมองจุดที่สูงที่สุดของตำหนัก หลี่ฝางก็ต้องตกใจขึ้นมาทันที
บนราชบัลลังก์เก้าชั้นที่เปล่งรัศมีเรืองรอง จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างไม่ขยับเขยื้อน เพียงแต่ไม่มีลมหายใจ ไม่มีชีพจร ไม่มีสัญญาณของชีวิตใด ๆ
“นี่เป็น……ศพของจูหลงงั้นเหรอ?” จู่ ๆ หัวใจของหลี่ฝางก็เต้นตุบตับขึ้นมา
สองพันกว่าปีผ่านไป คิดไม่ถึงว่าร่างไร้วิญญาณของจูหลงจะอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ไม่เน่าไม่เสีย เหมือนยังมีชีวิตอยู่
ในตอนนั้นเอง กู่ยี่เทียนที่อยู่ข้างกายก็ได้รู้สึกตัวขึ้นมา เขามองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ ในสายตายังคงมีแววสับสนอยู่เล็กน้อย
วินาทีต่อมา เขาก็ได้ตื่นขึ้นมาโดยสิ้นเชิง และในขณะเดียวกันนั้นก็ได้พบเห็นร่างไร้วิญญาณของจูหลงที่อยู่บนราชบัลลังก์เก้าชั้น
“ศพของจูหลง!” กู่ยี่เทียนกล่าวขึ้นมาด้วยความหวาดผวาอย่างห้ามไม่ได้
“ก็อาจจะใช่” หลี่ฝางกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
ทั้งสองคนสบตากัน และก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย เดินเข้าไปยังร่างไร้วิญญาณของจูหลงอย่างระมัดระวัง
ผู้แข็งแกร่งแห่งแดนดั่งเทพ ถึงจะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ ก็จะประมาทไม่ได้
ภายในใจของกู่ยี่เทียนในเวลานี้ นอกจากความตกใจจากการที่ได้เห็นร่างไร้วิญญาณของจูหลงแล้ว ยังมีความรู้สึกทอดถอนใจที่หลี่ฝางได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อนเขา
ไม่พูดถึงฝีมือ อย่างน้อยในแง่ของความตั้งใจ บางทีหลี่ฝางอาจจะแข็งแกร่งกว่าเขาด้วยซ้ำ
ผลลัพธ์เช่นนี้ สำหรับกู่ยี่เทียนที่รู้เกี่ยวกับประสบการณ์ของหลี่ฝาง รู้ว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนหลี่ฝางยังเป็นเพียงคนธรรมดา มันยากที่จะยอมรับได้จริง ๆ
แต่ว่า กู่ยี่เทียนก็ไม่ใช่ไม่ใช่คนขี้อิจฉาริษยา ความสนใจของเขาในตอนนี้ อยู่ที่ร่างไร้วิญญาณของจูหลงมากกว่า
ร่างไร้วิญญาณของผู้แข็งแกร่งแห่งแดนดั่งเทพ ไม่แน่ว่าอาจจะมีความลับของแดนดั่งเทพซ่อนอยู่ก็ได้