NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 1047 ความกังวลของหลี่ฝาง
“ตอนนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้างล่ะ?” กู่เฟยจางตรวจดูอย่างระมัดระวัง อย่างน้อยสมองส่วนหน้าไม่เหมือนอวัยวะส่วนอื่น หากเกิดปัญหาแม้แต่นิดเดียว งั้นปัญหาที่ตามมาก็จะยิ่งใหญ่มาก
ภายในหูของหลี่ฝางนั้น ได้ยินเสียงของกู่เฟยจางราวกับดังแว่วมาจากท้องฟ้า สะลึมสะลือ เลือนรางไม่ชัดเจน ส่วนตัวเขาเองก็เหมือนกับนอนอยู่ในโคลนตมที่มืดดำ ถูกดูดให้จมลึกลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ และมองอะไรไม่ชัดเจน
หลังจากที่ทำท่าทางต่างๆตามที่กู่เฟยจางบอกแล้วนั้น รอบๆบริเวณของเขาก็ค่อยๆปรากฏสีสันขึ้นมา ความมืดมิดที่เคยยื่นมือออกไปแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่ปลายนิ้วก็ค่อยๆกลายมาเป็นสีแดงขึ้นมา และสีแดงก็ยิ่งเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่เสียงของกู่เฟยจางดังขึ้น หลี่ฝางรู้สึกรอบๆบริเวณตัวเองกลับกลายเป็นสีเลือดทั้งหมดในชั่วพริบตา พลังสีเลือดอำมหิตที่เข้มข้น ก็ล้นทะลักเข้ามาในสมองของเขาทันที!
โป๊ง!
หลี่ฝางลืมตาขึ้นอย่างแรง รังสีออร่าทำให้ทุกคนต่างกระเด็นออกไป กระแสคลื่นรังสีคล้ายสีเลือดก็ถาโถมกระจายไปทั่วทิศ ยังไม่ทันที่จะเข้าใกล้ ก็ได้กลิ่นคาวเลือดโชยมา ทำให้ในใจผู้คนต่างรู้สึกเยือกเย็นราวกับเผชิญกับความตายก็ไม่ปาน!
ส่วนบนศีรษะของเขานั้น เข็มเงินทั้งหมดพวกนั้นก็ถูกรังสีออร่าหลอมทำลายจนหมดสิ้น เกิดกระแสอากาศค่อยๆรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน จนก่อตัวขึ้นมากลายเป็นลักษณะคล้ายประตูใหญ่บานหนึ่งที่เลือนรางมองไม่ค่อยชัดเจนนัก!
ในวินาทีสำคัญนี้เอง กู่ยี่เทียนก็ตะโกนเสียงดังสนั่นออกมา บนศีรษะเขาก็มีกระแสอากาศลอยขึ้นมา ชั่วพริบตาเดียวก็ก่อตัวเป็นรูปประตูใหญ่ลักษณะคล้ายกับของหลี่ฝางเช่นกัน
เสี้ยววินาทีนั่นเอง ภายในร่างกายของเขาก็เกิดกระแสพละกำลังมหาศาลที่แข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมา แล้วเข้าทำลายล้างรังสีออร่าของหลี่ฝางจนแตกกระจายไป จากนั้นก็เอามือไปจับไหล่ของหลี่ฝางไว้แน่น
“ตื่นขึ้นมาได้แล้ว!”
เสียงตะคอกที่ดังสนั่นสะท้านวิญญาณเช่นนี้ ทำให้หลี่ฝางผวาตื่นขึ้นมาทันที ทุกสิ่งทุกอย่างในจินตนาการนั้นก็มลายหายไปจนหมดสิ้นในชั่วพริบตา
พละกำลังภายในตัวของกู่ยี่เทียนนั้นก็ถดถอยลงอย่างรวดเร็ว สีหน้าก็แสดงออกถึงความอ่อนเพลียออกมา
“ขอโทษครับ” หลี่ฝางพูดด้วยเสียงเบาพลางมองดูสภาพภายในห้องที่สกปรกเละเทะไปหมด
“ดูไปแล้วพละกำลังของคุณไม่ได้ถูกสกัดกั้นไว้ เพียงแต่จำไม่ได้ว่าจะเอาไปใช้อย่างไรเท่านั้นเอง” กู่ยี่เทียนพูด “อย่างน้อยก็เป็นข่าวดีอย่างหนึ่งแล้วล่ะ”
กู่เฟยจางก็เดินเข้ามา แล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าได้กระตุ้นความทรงจำสักแห่งหนึ่งของคุณเข้าแล้ว ทำให้ร่างกายของคุณตอบสนองโดยอัตโนมัติเองได้”
กู่ยี่เทียนรีบมองไปยังผู้อาวุโส พบว่าเนื่องจากเขาอยู่ห่างไกลออกไปหน่อย จึงไม่ได้รับบาดเจ็บ ค่อยรู้สึกโล่งอก แล้วพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสครับ หรือไม่ท่านน่าจะ…….”
“ได้ งั้นพวกคุณก็ปรึกษากันเองแล้วกันว่าจะทำยังไงต่อ ฉันขอตัวกลับก่อน” ผู้อาวุโสเข้าใจดีว่าถ้าตัวเองอยู่ที่นี่ต่อไปรังแต่จะทำให้คนอื่นเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา หลังจากพูดจบแล้วก็เดินจากไป
ในไม่ช้า ภายในห้องก็เหลือเพียงหลี่ฝาง กู่ยี่เทียนและกู่เฟยจางสามคนเท่านั้น
กู่เฟยจางก็เก็บรวบรวมเครื่องไม้เครื่องมือของตัวเองที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ครุ่นคิดสักครู่แล้วจึงพูดว่า “ดูไปแล้วสถานการณ์ของคุณเช่นนี้คงไม่ใช่เป็นการสูญเสียความทรงจำแบบธรรมดาทั่วไปแล้ว น่าจะต้องได้รับผลกระทบจากภายนอกด้วย อาจไม่แน่ คุณก็อาจจะถูกสกัดกั้นก็ได้ เพียงแต่ว่าส่วนที่ถูกสกัดไว้นั้นคือความทรงจำของคุณเท่านั้นเอง”
“มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ” กู่ยี่เทียนพูดพลางแล้วพยักหน้า
ทันใดนั้นหลี่ฝางก็นึกถึงพละกำลังของกู่ยี่เทียนที่ระเบิดออกมาเมื่อครู่ จึงรีบถามว่า “เมื่อกี้คุณใช้
…….”
“ประตูเทพ คุณก็คงจำไม่ได้แล้วมั้ง?” กู่ยี่เทียนส่ายหัว “การผจญภัยครั้งที่สุสานจูหลงนั้นฉันได้เรียนรู้ทักษะจากประตูเทพมาบ้างเล็กน้อย หลังจากกระตุ้นประตูเทพแล้วสามารถช่วยฟื้นฟูพลังขึ้นมาชั่วคราวได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคุณก็รู้จักใช้ประตูเทพนี้ด้วย”
“ประตูเทพเหรอ?” หลี่ฝางก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อครู่เขาเพียงแต่ใช้แรงตามจิตสำนึกของตัวเอง ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น
“ฉันคาดเดาว่าการสกัดกั้นนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับแดนฝึกฝนด้วย” กู่ยี่เทียนเอามือลูบคางแล้วพูดว่า “อาจไม่แน่ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเราสามารถเข้าใจประตูเทพอย่างถ่องแท้ได้แล้ว เมื่อนั้นเราก็สามารถที่จะทำลายจุดสกัดกั้นนี้ไปได้!”
“อีกอย่างพละกำลังของคุณไม่ได้ถูกสกัดไว้ ถ้าหากว่าเราทำติดต่อกันหลายครั้งเหมือนเมื่อครู่นี้ อาจไม่แน่ความทรงจำของคุณจะฟื้นกลับคืนมาได้ในเร็ววันก็ได้นะ!” มองดูนัยน์ตาที่แวววาวของกู่ยี่เทียนแล้ว หลี่ฝางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนๆแล้วพูดว่า “ก็ดีนะ….”
……
ผ่านไปไม่นานนัก ภาวะวิกฤตของบ้านตระกูลหยางก็สามารถก้าวพ้นไปได้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นใบสั่งซื้อหรือว่าทรัพย์สินเงินทุน ตระกูลหยางไม่ต้องเอ่ยปากพูด ก็มีผู้คนหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศแย่งกันมาประเคนให้ถึงที่ ในไม่ช้าตระกูลหยางก็สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว สำหรับเรื่องการแต่งงานนั้นก็ไม่มีใครที่กล้าเอ่ยปากพูดถึงอีกเลย
ตระกูลหลิวก็ยกเลิกการแต่งงานด้วยตัวเอง และยังชดใช้ค่าเสียหายก้อนโต เพื่อขอโทษหลี่ฝางด้วยตัวเองอีกด้วย
หยางฉงก็ได้เทคโอเวอร์บริษัทที่ตัวเองทุ่มเทดูแลกิจการมาตั้งแต่แรกนั้นไว้แล้ว ตอนนี้บริษัทนั้นก็ไม่ใช่สมบัติของตระกูลหลิวอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสมบัติของเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
ตอนนี้ หลี่ฝาง หยางฉงและหวางซีเหยาทั้งสามคนกำลังรับประทานอาหารด้วยกัน หยางฉงก็พูดถึงความใฝ่ฝันของตัวเองด้วยท่าทีอิ่มเอมใจ จะอาศัยความสามารถของตัวเองพัฒนาบริษัทให้ก้าวขึ้นไปสู่ระดับชั้นนำในเมืองจินซานให้ได้
หวางซีเหยาที่อยู่ข้างๆนั่งฟังจนหัวใจพองโต รู้สึกตื่นเต้นเหลือเกิน
ในที่สุดหลังจากที่หยางฉงพูดจบแล้ว หวางซีเหยาก็ดื่มเครื่องดื่มในแก้วจนหมด ลากแขนของหลี่ฝางเอาไว้แล้วพูดว่า “ฉันไม่น่าพลาดเรื่องที่สนุกมากมายอย่างนี้เลย! เออๆๆ เจ๊ใหญ่จ๊ะ บ่ายนี้ฉันขอยืมพี่หลี่ฝางหน่อยนะ!”
“แกจะยืมหลี่ฝางไปทำอะไรเหรอ?” หยางฉงพูดแซวเล่น
“ช๊อปปิ้ง” หวางซีเหยาพูดพลางแกล้งทำท่าทางดุดัน
หลี่ฝางอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันตกลงไปกับคุณก็แล้วกัน”
หยางฉงมองไปยังหลี่ฝางด้วยความกังวลเล็กน้อย อย่างน้อยก่อนหน้านี้ท่านผู้อาวุโสเพิ่งจะมาหาหลี่ฝาง ไม่แน่อาจจะมีเรื่องใหญ่อะไรก็ได้ เธอก็ไม่อยากให้หลี่ฝางลำบากใจ
หลี่ฝางส่งยิ้มให้ เพื่อให้หยางฉงสบายใจ ความทรงจำของเขาจะกลับคืนมาหรือไม่นั้น ยังไงชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปกังวลใจทั้งนั้น
อีกทั้งถ้าหากความทรงจำฟื้นคืนมาได้แล้ว เขาเกรงว่าจะต้องเผชิญปัญหาที่น่าปวดหัวมากกว่านี้อีก
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว เขาก็นึกถึงเรื่องที่พูดคุยกับกู่ยี่เทียนไม่กี่วันก่อนนั้น
หลังจากที่หลี่ฝางได้รับรู้เรื่องราวของตัวเองจากการพูดคุยกับกู่ยี่เทียนแล้ว หลี่ฝางจึงรู้ว่าเมื่อก่อนตัวเองได้ผ่านประสบการณ์ที่โชกโชนมามากมายแล้ว
เพียงแต่ตอนนี้เขารู้สึกสับสนวุ่นวาย เพราะเขาไม่รู้ว่าความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อหยางฉงเป็นแบบไหนกันแน่ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะกลับไปเผชิญหน้าอย่างไรกับผู้หญิงคนนั้นที่ตัวเองรู้จักแต่เพียงชื่อเท่านั้น แต่กลับนึกไม่ออกเลยว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างไร…….
ฉินวี่เฟย