NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 1139 เตรียมการผ่าตัด
หลังจัดการเรื่องนี้เสร็จ ผู้อำนวยการหลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทางนี้ยุ่งวุ่นวายไปหมด เราไปหารือกันที่อื่นเถอะ ว่าไง?”
ทุกคนต่างไม่ปฏิเสธ เดินออกจากที่พลางพูดคุยไปด้วย เหลือไว้เพียงสามคนที่ราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง นึกเสียใจอยู่อย่างนั้น
ส่วนทางด้านหลี่ฝาง ไม่ทันได้กล่าวอะไร หลี่ฝางก็พบว่าผู้อำนวยการหลิวท่านนี้สนิทสนมกับเขาผิดปกติ
สายตาที่เขามองตน ก็ค่อนข้างประหลาด ซึ่งเต็มไปด้วยความสนิทสนมและอยากรู้อยากเห็นอันแรงกล้า เสมือนว่าต้องการวิจัยหลี่ฝางอย่างไรอย่างนั้น ทำให้หลี่ฝางตัวสั่นอย่างอดไม่ได้
อันที่จริงผู้อำนวยการหลิวเป็นแบบนี้ก็ไม่แปลก
ปรมาจารย์กำลังภายในน้อยนักที่จะได้พบเห็นจริงๆ นั่นแหละ ปรมาจารย์กำลังภายในทุกท่าน ก็มีร่างกายที่แกร่งกล้าไร้เทียมทาน
ผู้อำนวยการหลิวที่มีความสามารถทางด้านการแพทย์ที่สูงส่ง มีความสนใจในเรื่องร่างกายมนุษย์มาตลอด ปรมาจารย์กำลังภายในแบบนี้ มีพลังที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ จึงมีความสงสัยมากมาย
ตอนนี้ได้เจอปรมาจารย์กำลังภายในตัวเป็นๆ ผู้อำนวยการหลิวแทบอยากจะผ่าเขามาวิจัยอย่างทนไม่ไหว ตกลงว่าความแข็งแกร่งของปรมาจารย์กำลังภายในอยู่ตรงไหนกันแน่ มีความแตกต่างอะไรจากระบบของมนุษย์ธรรมดา
ทว่า ได้แต่คิดเท่านั้น ความแกร่งกล้าของปรมาจารย์กำลังภายในทำให้เขารู้ว่า หากเขาพูดคำขอนี้ออกมา ต่อให้เขาอายุเยอะกว่านี้ ก็ต้องถูกเขาฆ่าตายแน่
ถูกสายตาอันสนิทสนมของผู้อำนวยการหลิวจับจ้องมานาน หลี่ฝางไม่สามารถทนได้อีกต่อไป แสร้งกระแอมไอ กล่าวสองประโยค “ผู้อำนวยการหลิว……ผู้อำนวยการหลิว?”
“ห๊ะ? อ่ะฮ่าๆ ……” ผู้อำนวยการหลิวหัวเราะอย่างประหม่า รีบลดสายตาที่จับจ้องหลี่ฝาง พร้อมกล่าว “อย่างไรซะหลี่ฝางก็เป็นปรมาจารย์กำลังภายใน ออร่าช่างต่างจากคนทั่วไปจริงๆ ตาแก่อย่างผมแทบจะทนไม่ไหว ฮ่าๆ ……”
เชื่อก็บ้าแล้ว……หลี่ฝางคิดในใจ
“ใช่สิ คุณหลี่……” ผู้อำนวยการหลิวคิดอะไรขึ้นมาได้อีกครั้ง
“ผู้อำนวยการหลิว เลิกเรียกผมแบบนั้นเถอะ ผมฟังแล้วรู้สึกประหลาด” หลี่ฝางหันไปทางผู้อำนวยการหลิวจับจ้องผมที่ขาวทั้งหัวเรียกตนเองแบบนั้น ก็รู้สึกแปลกๆ
“อืม ได้ๆ ถ้างั้นผมเรียกคุณว่าเพื่อนหลี่เป็นไง?” ผู้อำนวยการหลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“……แล้วแต่ความพอใจเลยครับ”
“ฮ่าๆ เพื่อนหลี่ ถ้ามีเวลาก็มาบ่อยๆ นะ ผมบอกตามตรง แม้ผมจะอายุมากแล้ว แต่สนใจในเรื่องวิทยายุทธ หากเพื่อนหลี่ไม่รังเกียจ ขอเพื่อนหลี่สอนผมสักหน่อยจะได้ไหม”
แกสนใจในวิทยายุทธจริงๆ งั้นหรือ……หลี่ฝางจ้องมองทีท่ายิ้มแย้มของผู้อำนวยการหลิว อดขนลุกซู่ไม่ได้
เมื่อเห็นสายตาขยาดของหลี่ฝาง ผู้อำนวยการหลิวรู้ตัวว่าตนเองใจร้อนมากเกินไป พลันเหลือบตามองซ้ายขวาอย่างอดไม่ได้ ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ตกอยู่ที่เจียงถิงที่อยู่ด้านหลัง ทันใดนั้นก็เกิดไอเดียขึ้นมา
“ผมจำได้ว่าหมอเจียงยังเป็นแพทย์ฝึกหัดใช่ไหม?” ผู้อำนวยการหลิวกล่าวถามขึ้นกะทันหัน “ผมเคยอ่านประวัติของคุณ ความสามารถของคุณดีมากเลยล่ะ มีความรับผิดชอบมาก……”
เจียงถิงจับจ้องผู้อำนวยการหลิวนิ่งอย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าเขาชื่นชมเธอกะทันหันคิดจะพูดอะไรกันแน่
“……ผมว่าคุณเลื่อนขึ้นเป็นแพทย์ประจำได้นะ!”
“แพทย์ประจำ!”
ประโยคเดียวของผู้อำนวยการหลิว ทำให้เจียงถิงเกิดตื่นเต้นขึ้นมา
อันที่จริง ความสามารถของเธอเพียงพอที่จะเป็นแพทย์ประจำได้อย่างแน่นอน สิ่งนี้ผู้อำนวยการลำเอียง
แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อาวุโสก็ต้องมาก่อนเสมอ ที่นี่ก็เช่นกัน เธอที่เป็นรุ่นน้อยกว่าอย่างเจียงถิง จึงได้แต่อยู่ในตำแหน่งแพทย์ฝึกหัด
ไม่คิดเลย ว่าตอนนี้เธอได้กลายเป็นแพทย์ประจำแบบนี้
ทันใดนั้น เจียงถิงจับจ้องหลี่ฝาง ด้วยสายตาที่ซาบซึ้งใจ
เพราะเธอเข้าใจดี เพราะหลี่ฝาง ผู้อำนวยการหลิวถึงได้เกื้อหนุนเธอเป็นพิเศษ
ไม่นาน ทุกคนคุยไปด้วย พลางเดินมาที่ห้องผู้ป่วยของคุณท่านหยางเซี่ยวหู่
ครั้งนี้การผ่าตัดให้กับนายท่าน ผู้อำนวยการหลิวผ่าตัดให้กับเขาด้วยตนเอง เพราะนายท่านอายุมากแล้ว ความเสี่ยงในการผ่าตัดค่อนข้างสูง ต่อให้เป็นผู้อำนวยการหลิวเอง ก็ไม่กล้ารับปากว่าสำเร็จแน่นอน
เพราะงั้นเขาต้องเจรจากับหยางจื้อเฉิงให้รู้เรื่อง เพื่อหลีกเลี่ยงการผ่าตัดไม่ประสบความสำเร็จ แล้วเกรงว่าหยางจื้อเฉิงที่เสียใจมากจะพลอยโกรธเขาไปด้วย
เมื่อหยางจื้อเฉิงได้ยินคำกล่าวของผู้อำนวยการหลิว จึงพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเขาเข้าใจ ให้ผู้อำนวยการหลิววางใจและทำให้เต็มที่
เรื่องในบ้านมีแต่ตนเองที่รู้ดีมากที่สุด ร่างกายของนายท่านเขารู้ดี นี่เป็นการพนันกับชีวิตแต่แรกอยู่แล้ว
และต่อให้ผ่าตัดสำเร็จ อายุและร่างกายของนายท่าน จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนยากที่จะพูด
ขณะที่ทั้งคู่หารืออาการป่วยของนายท่าน หลี่ฝางเองก็ยืนฟังอยู่อีกด้านเงียบๆ พลันอดนึกสลดใจไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นคนที่ทิ้งร่องรอยประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่แค่ไหน ท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นการเปลี่ยนผันของกาลเวลา ผู้กล้าถึงคราวไม้ใกล้ฝั่ง
เจ้าแผนการทั้งชีวิต สู้มาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ไม่ว่าอำนาจจะล้นฟ้าเพียงใด รวยล้นฟ้า หรือจะเก่งกล้าที่สุดในปฐพี ทุกคน ท้ายที่สุดก็ต้องตาย
ต่างกันก็แค่ตายก่อนตายหลังเท่านั้น ดูจากประวัติศาสตร์นับร้อยนับพันปี ความแตกต่างแค่นี้ ไร้ค่านัก
ต่อให้เป็นแดนเทพ ก็ยากจะหลีกหนีความตาย
บางทีทุกคนบนโลก มีเพียงแค่ต่อหน้าความตายเท่านั้น ที่จะนับได้ว่าเท่าเทียมกันจริงๆ