NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 1211 นัดทานข้าวกับคนอื่น
ฉินวี่เฟยมองดูราฟาเอลที่ยืนอยู่ข้างกายของตัวเอง ท่าทางลังเลเล็กน้อย เธออยากจะถามสถานการณ์ปัจจุบันของหลี่ฝางจากราฟาเอล แต่พอนึกได้ว่าตัวเองได้เลิกรากับหลี่ฝางไปแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองยุ่งเรื่องของชาวบ้านมากเกินไป
“ลูกพี่สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง” ในขณะที่ฉินวี่เฟยกำลังลังเลอย่างหนักอยู่นั่นเอง เสียงของราฟาเอลก็ได้ดังขึ้นมาในห้องทำงานอย่างกะทันหัน
“แค่ก ๆ ……เขาจะเป็นยังไงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย ฉันไม่เป็นห่วงเขาหรอก อีกอย่าง ต่อไปนี้อย่าพูดถึงเขาต่อหน้าฉันอีกนะ” ฉินวี่เฟยเกือบจะสำลักน้ำลายของตัวเอง ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
ราฟาเอลเป็นอะไรไป ตัวเองไม่ได้ถามเรื่องหลี่ฝางสักหน่อย เขาพูดถึงหลี่ฝางทำไม
ถึงแม้ในใจของฉินวี่เฟยจะกล่าวโทษราฟาเอลอย่างหนัก แต่ทันทีที่ได้รู้ว่าหลี่ฝางปลอดภัย แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าคิ้วที่ขมวดแน่นอยู่เมื่อสักครู่นั้นได้ผ่อนคลายไปแล้ว
เหลือบไปมองฉินวี่เฟยที่มีท่าทางไม่เป็นธรรมชาติ ราฟาเอลยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าสงบนิ่ง และไม่ได้ต่อปากต่อกรกับเธอ
ผู้หญิงเนี่ยนะ ปากไม่ตรงกับใจอยู่เสมอมา ฉินวี่เฟยเองก็ไม่ต่างกัน ปากบอกว่าไม่อยากรู้ข่าวของหลี่ฝาง แต่หลายวันมานี้เห็นได้ชัดว่าเธอกังวลเป็นอย่างมาก
“ประธานฉินคะ เมื่อกี้คุณชายจ้าวโทรมาบอกว่าอยากนัดคุณทานข้าว ต้องการให้ฉันปฏิเสธไปไหมคะ?” ในขณะที่บรรยากาศกำลังเข้าสู่ความตึงเครียดนั่นเอง เหลียงเชี่ยนก็พลันเคาะประตูและเดินเข้ามา
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนถ้ามีผู้ชายคนอื่นนัดฉินวี่เฟยออกไปทานข้าว เหลียงเชี่ยนคงไม่ต้องถามและปฏิเสธไปทันที แต่หลังจากที่เธอรู้ว่าฉินวี่เฟยได้เลิกรากับหลี่ฝางไป เธอก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธเลยสักครั้ง ผู้ชายคนไหนที่อยากจะนัดกับฉินวี่เฟย เธอล้วนคิดที่จะจับคู่ให้ทั้งนั้น
ถึงแม้ฉินวี่เฟยจะเคยบอกกับเหลียงเชี่ยนแล้วว่า ระยะนี้ตัวเองยังไม่อยากจะมีความรัก เน้นไปที่เรื่องงานเป็นหลัก แต่ก็ทนไม่ไหวกับการที่เหลียงเชี่ยนถามเป็นสิบ ๆ รอบในหนึ่งวัน ที่ผ่านมาเดือนกว่า ๆ ฉินวี่เฟยก็ได้ไปตามนัดอยู่สักสองสามครั้ง และหนึ่งในนั้นก็คือคุณชายจ้าวคนนี้
พูดถึงคุณชายจ้าวคนนี้ เขามีชื่อเต็มว่าจ้าวเทียนหลิน มีภูมิหลังที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง เขาเป็นลูกครึ่ง คุณพ่อเป็นนักออกแบบที่มีชื่อเสียงของประเทศจีน คุณแม่เป็นลูกสาวของนักธุรกิจน้ำมันปิโตรเลียมชั้นนำของอเมริกา มีฐานะสูงส่งในอเมริกา
เพราะว่าฉินวี่เฟยต้องการเข้าตลาดหุ้นในต่างประเทศ และจ้าวเทียนหลินเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการร่วมมือทางธุรกิจกับฉินวี่เฟย และทั้งสองคนก็ได้รู้จักกันเพราะเหตุนี้ นอกจากนี้จ้าวเทียนหลินก็ไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่น ๆ เพียงแค่ลุ่มหลงในความสวยของฉินวี่เฟย เขาอ่อนโยนกับฉินวี่เฟยมาก แม้ว่าทั้งสองคนจะนัดกันมาสามครั้งแล้ว เขาก็ไม่เคยแสดงท่าทางอะไรที่เกินเลยเลยสักครั้ง
ดังนั้นหลังจากที่จ้าวเทียนหลินได้โทรมาในครั้งนี้ เหลียงเชี่ยนถึงได้มาถามความเห็นจากฉินวี่เฟย
“ได้ ตอนเย็นฉันว่างพอดีเลย” ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องการอำพรางความถ่อมตัวของตัวเองหรือว่าต้องการหลีกหนีความจริงที่ว่าตัวเองยังมีใจต่อหลี่ฝางกันแน่ ครั้งนี้ฉินวี่เฟยได้ตอบรับการนัดหมายของจ้าวเทียนหลินไปอย่างง่ายดาย
เป็นธรรมดาที่เหลียงเชี่ยนจะพอใจ ในสายตาของเธอแล้วจ้าวเทียนหลินไม่เพียงหน้าตาหล่อเหลา ทั้งยังเป็นสุภาพบุรุษและมีความรับผิดชอบ เป็นผู้ชายที่สามารถฝากอนาคตเอาไว้ด้วยได้
“คุณหนูฉิน ตอนนี้ข้างนอกไม่ค่อยสงบ ระยะนี่คุณอย่าออกไปข้างนอกเลยจะดีกว่า” เมื่อราฟาเอลได้ยินว่าฉินวี่เฟยนัดออกไปข้างนอกกับคุณชายจ้าวนั่นอีกแล้ว เขาก็ได้ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าฉินวี่เฟยได้เลิกรากับหลี่ฝางไปแล้ว แต่ในใจของเขาฉินวี่เฟยยังเป็นผู้หญิงของลูกพี่ของตัวเอง เมื่อเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ของตัวเองออกไปนัดเดทกับชายคนอื่น ใครก็ต้องรู้สึกไม่ดีกันทั้งนั้น
“ฉันเป็นแค่คนธรรมดา จะเจอกับอันตรายอะไรได้? เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้นายมายุ่ง ตอนนี้ฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับหลี่ฝางแล้ว หวังว่านายจะไม่รบกวนชีวิตของฉัน”
แม้ว่าปากของฉินวี่เฟยจะบอกว่าไม่โกรธหลี่ฝาง แต่ความจริงแล้วภายในใจนั้นได้แค้นเคืองเป็นอย่างมาก และนั่นก็ทำให้ฉินวี่เฟยพลอยเห็นราฟาเอลเป็นคู่อริไปด้วย
เมื่อเห็นฉินวี่เฟยโกรธขึ้นมา ราฟาเอลก็ทำได้เพียงปิดปากเงียบ ตอนนี้เขาไม่อาจล่วงเกินผู้หญิงคนนี้ได้ ถ้าฉินวี่เฟยโมโหและไล่เขาไปคงแย่แน่เลย
หลังจากที่งานในหนึ่งวันได้เสร็จสิ้นลง จ้าวเทียนหลินก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องทำงานของฉินวี่เฟยอย่างตรงเวลา ราฟาเอลจ้องมองจ้าวเทียนหลินด้วยใบหน้าบึ้งตึง แทบอยากจะมองจนเกิดรูขึ้นมาบนร่างกายของเขา
“เฟย ดูเหมือนว่าบอดี้การ์ดของคุณคนนี้จะไม่ชอบผมนะ” จ้าวเทียนหลินยื่นช่อดอกกุหลาบที่อยู่ในอ้อมแขนให้ฉินวี่เฟย พลางกล่าวกึ่งล้อเล่น
ฉินวี่เฟยรับเอาดอกกุหลาบมาและชายตามองราฟาเอลแวบหนึ่ง น้ำเสียงราบเรียบ: “เขาหน้าบึ้งกับทุกคนน่ะแหละ ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก”
“ฮ่า ๆ เฟย คุณชอบทานอาหารญี่ปุ่นไหม? ผมรู้จักร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังอยู่ร้านหนึ่ง รสชาติดีมากเลยล่ะ คืนนี้พวกเราไปทานที่นั่นกันดีไหม?” หลังจากได้ยินที่ฉินวี่เฟยพูด จ้าวเทียนหลินก็ไม่ได้พูดมากอะไรอีก แต่ได้เปลี่ยนหัวข้อในการสนทนาไป คุยเรื่องทานอาหารในคืนนี้ขึ้นมาแทน
ถึงแม้ฉินวี่เฟยจะบอกกับเขาว่าราฟาเอลปฏิบัติแบบนี้ต่อทุกคน แต่จ้าวเทียนหลินสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าราฟาเอลเห็นตัวเองเป็นศัตรูเพียงคนเดียวเท่านั้น หรือพูดได้ว่า ราฟาเอลเป็นปรปักษ์กับผู้ชายทุกคนที่ตามจีบฉินวี่เฟย
แต่จ้าวเทียนหลินคนนี้เป็นคนที่ยิ่งผยอง รู้สึกว่าตัวเองหน้าตาหล่อเหลา ครอบครัวมีเงินมีอำนาจ ถือว่ามีความโดดเด่นที่สุดในกลุ่มคนที่ตามจีบฉินวี่เฟย ดังนั้นจึงไม่ได้เห็นราฟาเอลอยู่ในสายตาเลยสักนิด
“ฉันได้หมด ฉันไม่เลือกทานหรอก” ความจริงแล้วฉินวี่เฟยไม่ได้มีความรู้สึกมากมายอะไรกับจ้าวเทียนหลิน ที่ยอมออกเดทกับจ้าวเทียนหลินนั้น ก็เพราะงานต้องการมากกว่าใครใช้ให้จ้าวเทียนหลินคนนี้เป็นผู้รับผิดชอบในงานร่วมมือทางธุรกิจกับตัวเองล่ะ
เมื่อตกลงสถานที่นัดกันเรียบร้อย จ้าวเทียนหลินและฉินวี่เฟยก็เตรียมจะลงไปข้างล่าง ราฟาเอลก็ต้องติดตามฉินวี่เฟยในทุกอย่างก้าวเป็นธรรมดา แต่หลังจากที่จ้าวเทียนหลินเห็นว่าราฟาเอลจะขึ้นรถของตัวเอง ในแววตาก้ปรากฏความไม่พอใจขึ้นมาทันที
เขาพึ่งจะนัดเดทกับฉินวี่เฟยมาทั้งหมดสามครั้งเอง ทุกครั้งล้วนมีก้างขวางคอนี่อยู่ด้วย ทำให้เขาจะสร้างความสัมพันธ์อีกขั้นกับฉินวี่เฟยหน่อยก็ไม่ได้ ครั้งนี้ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ต้องไล่ราฟาเอลออกไปถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นละก็อย่าคิดเลยว่าชาตินี้เขาจะตามจีบฉินวี่เฟยมาได้
“เฟย พวกเราแค่ไปทานข้าวเอง คุณไม่จำเป็นต้องเอาบอดี้การ์ดไปด้วยหรอกมั้ง? หรือว่าคุณไม่เชื่อใจผม คิดว่าผมเป็นคนเลว?”
ความจริงแล้วจ้าวเทียนหลินคนนี้นั้นร้ายไม่เบา เขาไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ว่าไม่ชอบให้ราฟาเอลตามไปด้วย แต่ได้หาเหตุผลจากตัวของฉินวี่เฟยแทน เช่นนี้ต่อให้ฉินวี่เฟยอยากจะพาราฟาเอลไปด้วยก็พาไปไม่ได้แล้ว
“จะเป็นไปได้ยังไง คุณชายจ้าวคุณไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก” ฉินวี่เฟยยิ้มให้กับจ้าวเทียนหลิน จากนั้นก็หันไปกล่าวกับราฟาเอลที่อยู่นอกรถ “ราฟาเอล คืนนี้นายไม่ต้องตามฉันไปแล้ว”
“คุณหนูฉิน ลูกพี่ให้ผม……”
“อย่าอะไร ๆ ก็พูดถึงเขากับฉัน ถ้าวันนี้นายไม่เชื่อฟังฉัน งั้นพรุ่งนี้นายก็ไม่ต้องมาที่บริษัทแล้ว”
ราฟาเอลยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ถูกฉินวี่เฟยตัดบทไปทันที สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงมองฉินวี่เฟยนั่งอยู่บนรถของจ้าวเทียนหลินและขับออกไป