NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 1220 ส่งเสริมแก
ที่ทำให้กู่ยี่เทียนประหลาดใจก็คือ เลือดที่ไหลออกมาจากบริเวณหน้าอกของฮอว์กินส์ไม่ใช่สีแดง แต่เป็นสีเขียวที่แปลกประหลาด มองดูของเหลวสีเขียวนั่นกู่ยี่เทียนรู้สึกพะอืดพะอม รีบดึงเอามือของตัวเองออกมาแล้วหาอะไรมาเช็ด
“เชรด นี่แม่งกลายพันธุ์แล้วหรือไงวะ? ทำไมเลือดถึงได้เป็นสีนี้?” กู่ยี่เทียนขมวดคิ้วพิจารณาดูร่างไร้วิญญาณของฮอว์กินส์ที่อยู่บนพื้น แล้วบ่นอย่างไม่เข้าใจ
ส่วนอาคาอูและปันปูเมื่อได้เห็นของเหลวสีเขียวนั่น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
วินาทีต่อมาอาคาอูก็ได้ใช้กระบี่ยาวกรีดฝ่ามือของตัวเอง จากนั้นก็จับเข้าไปที่แขนของกู่ยี่เทียน ใช้เลือดของทาลงบนนั้น
“อาคาอู คุณทำอะ……โอ๊ย……” กู่ยี่เทียนตกใจกับการกระทำของอาคาอู กำลังจะดึงมือกลับมา แต่พอเลือดของอาคาอูทาลงไปบนแขนข้างที่เปื้อนของเหลวสีเขียวของเขา เขากลับทนไม่ได้และร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด
ควันดำหนาทึบลอยออกมาจากแขนของกู่ยี่เทียน มีกลิ่นที่เหม็นฉุนเป็นอย่างมาก อาคาอูและปันปูช่วยกันแทบจะกดกู่ยี่เทียนเอาไว้ไม่ได้
ในที่สุดก็รอจนควันดำหายไป กู่ยี่เทียนก็ได้กลายเป็นเหมือนคนที่พึ่งขึ้นมาจากน้ำ ทั่วทั้งร่างกายถูกเหงื่ออาบจนเปียกโชก ตามหลักแล้ว เขาที่ได้อยู่ในแดนครึ่งเทพจะไม่รู้สึกเจ็บได้ง่าย ๆ แล้ว แต่กู่ยี่เทียนกลับเจ็บปวดจนร้องออกมา เพียงพอที่จะดูออกว่ามันเจ็บมากเพียงใด
เนื่องจากหลี่ฝางได้รับบาดเจ็บภายใน เขาไม่กล้าปะทะกับโทชิโอะ คามิยะโดยตรง จึงทำได้เพียงหลบการโจมตีของโทชิโอะ คามิยะไป พลางรอให้กู่ยี่เทียนเขามาช่วย
เมื่อสักครู่เขาได้เห็นฮอว์กินส์ถูกกู่ยี่เทียนซัดตายในฝ่ามือเดียว และกำลังแอบดีใจว่าตัวเองจะมีกำลังเสริมแล้ว วินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยของกู่ยี่เทียน
หัวใจของหลี่ฝางเต้นตึกตักเป็นกังวลขึ้นมา ตระหนักได้ว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น
“โทชิโอะ คามิยะ อาซาโทสใช้วิธีอะไรกันแน่ ทำให้พลังของพวกคุณเพิ่มสูงขึ้นมามากขนาดนี้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ?” เหลือบมองกู่ยี่เทียนที่เจ็บปวดทรมานอย่างสุดขีด หลี่ฝางใช้สายตาอาฆาตแค้นมองดูโทชิโอะ คามิยะพลางเอ่ยถาม
เขากล้ามั่นใจว่า ร่างกายของโทชิโอะ คามิยะจะต้องเกิดการกลายพันธุ์เหมือนกับฮอว์กินส์อย่างแน่นอน
“ไอ้สวะฮอว์กินส์นั่น คิดไม่ถึงว่าจะตายไปแบบนี้” โทชิโอะ คามิยะมองไปที่ฮอว์กินส์ที่นอนตายตาไม่หลับอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง น้ำเสียงเหยียดหยามเป็นอย่างมาก: “ฉันและฮอว์กินส์ได้ทานเนื้อศักดิ์สิทธิ์ที่ฝ่าบาทประทานให้ ได้ลอกคราบใหม่ไปนานแล้ว เนื้อศักดิ์สิทธิ์นั่นไม่เพียงสามารถเพิ่มพลังให้กับพวกเรา แถมยังสามารถเปลี่ยนแปลงสมรรถภาพทางร่างกายพวกเราได้อีกด้วย ทำให้พวกเราเหมาะสมที่จะฝึกฝนมากยิ่งขึ้น”
โทชิโอะ คามิยะตอบคำถามของหลี่ฝางไป พลางวิ่งไล่ตามหลี่ฝางอยู่ไม่หยุด เมื่อได้ยินดังนั้นหลี่ฝางก็ขมวดคิ้วแน่น
ถ้าหากเนื้อศักดิ์สิทธิ์นั่นร้ายกาจอย่างที่โทชิโอะ คามิยะพูดจริง ๆ แล้วทำไมอาซาโทสถึงได้ทำทุกวิถีทางเพื่อตามหาหินคริสทัล? เขากินเนื้อศักดิ์สิทธิ์เข้าไปเยอะหน่อยก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?
อาซาโทสไม่ใช่คนใจกว้างแบบนั้นหรอกนะ เนื้อศักดิ์สิทธิ์นั่นจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน!
“แม่งเอ๊ย นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” กู่ยี่เทียนที่รู้สึกดีขึ้นมาบ้างพลางหอบหายใจแรง ๆ พลางเอ่ยถามอาคาอู
“คนคนนั้นกินเนื้อของสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์ เนื้อนั่นทำให้คนสามารถลอกคราบได้ ทำให้ร่างกายเหมาะที่จะฝึกฝนมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น เขาจะวิวัฒนาการกลายเป็นสัตว์ร้ายอย่างช้า ๆ ยิ่งพลังเพิ่มขึ้นเร็ว ก็ยิ่งทำให้กลายเป็นสัตว์ร้ายเร็วยิ่งขึ้น”
“ตอนนี้เขาได้วิวัฒนาการมาถึงระยะกลางแล้ว ดังนั้นเลือดของเขาจึงได้กลายเป็นสีเขียว และถ้าหากมีคนได้สัมผัสกับของเหลวสีเขียวนั่น เขาก็จะถูกติดเชื้อและวิวัฒนาการกลายเป็นสัตว์ร้าย เพียงแค่วิวัฒนาการช้าหน่อยเท่านั้นเอง”
อาคาอูทำแผลให้กับตัวเอง พลางอธิบายอย่างใจเย็น หลังจากที่กู่ยี่เทียนได้ฟังที่เขาพูด เขาก็ได้ขยับออกห่างจากร่างไร้วิญญาณของฮอว์กินส์อย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
คนพวกนี้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองแล้วทำได้ทุกอย่างจริง ๆ กินเนื้อของสัตว์อสูร แค่คิดก็แทบจะอาเจียนแล้ว
“อาคาอู ขอบคุณคุณมาก ผมกู่ยี่เทียนติดค้างคุณอีกแล้ว” กู่ยี่เทียนตบไหล่ของอาคาอูเบา ๆ ฝืนทนความไม่สบายของร่างกายแล้วยืนขึ้น คิดจะเข้าไปช่วยหลี่ฝาง แต่ยังไม่ทันเดินได้สองก้าวก็ได้ขาอ่อนจะล้มลงไปบนพื้น ยังดีที่ปันปูตาเร็วมือไวพยุงเขาเอาไว้ได้ทัน
“เมื่อกี้คุณพึ่งได้รับการชำระล้างจากเลือดของพวกเราชาวหยู่เหริน ร่างกายอ่อนแอเป็นอย่างมาก ไปพักผ่อนอยู่ที่ด้านข้างก่อนเถอะ” อุปนิสัยของปันปูนั้นจะสงบใจเย็นกว่าอาคาอู แต่ในตอนนี้บนใบหน้าของเขาเองก็ได้มีความกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
กู่ยี่เทียนมองดูหลี่ฝางที่กำลังต่อสู้อย่างยากลำบาก เขากัดฟันและอยากจะลุกขึ้นไปอีกครั้ง แต่ทันทีที่เขาขยับความเจ็บปวดทิ่มแทงใจก็ได้กระจายออกมาจากแขนข้างนั้น ไม่มีทางเลือกกู่ยี่เทียนจึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนั้น
“พวกคุณสองคนไม่ต้องสนใจผม ไปช่วยหลี่ฝางก่อน” นั่งอยู่บนเศษหินที่อยู่ด้านข้าง กู่ยี่เทียนพลางกล่าวเร่งรัด
อาคาอูและปันปูมองไปทางทั้งสองคนที่กำลังสู้กันอย่างมืดฟ้ามัวดิน แล้วก้มศีรษะลงด้วยความอับอาย: “การต่อสู้แบบนั้น ไม่ใส่สิ่งที่ราสองคนจะเข้าไปร่วมด้วยได้ ตอนนี้พวกเราเข้าไป จะเป็นการสร้างปัญหาให้กับหลี่ฝางแค่นั้น”
กู่ยี่เทียนเองก็กังวลมากเกินไป ลืมไปว่าความแข็งแกร่งระหว่างอาคาอูและปันปูกับพวกหลี่ฝางนั้นแตกต่างกันมาก มองดูหลี่ฝางที่ถูกบีบถอยหลังติดต่อกัน ทนไม่ได้ชกลงไปบนพื้นด้วยความโมโห ทันใดนั้นพื้นก็ได้แตกร้าวเป็นรอยร้าวหลายเส้น
แม่งเอ๊ย ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้นะ! จะต้องคิดหาวิธีช่วยหลี่ฝางจัดการโทชิโอะ คามิยะนั่นถึงจะได้ จะต้องทำยังไงดีนะ? ดูจากการต่อสู้ในตอนนี้ อีกไม่นานหลี่ฝางก็คงแพ้แล้ว
กู่ยี่เทียนใช้เซลล์สมองทั้งหมดคิดอยู่สักพัก ในตอนที่เขาแทบจะสิ้นหวังนั่นเอง ก็พลันได้พบเข้ากับฮอว์กินส์ที่นอนตายอย่างอนาถอยู่บนพื้น
“รู้แล้ว!” กู่ยี่เทียนใช้มือฟาดหัวอย่างแรง ตื่นเต้นดีใจลุกพรวดขึ้นมาจากพื้น บนใบหน้ามีความดีใจที่ไม่อาจซ่อนเอาไว้ได้
อาคาอูและปันปูต่างตกใจเพราะเขา และมองกู่ยี่เทียนด้วยความงุนงง
“อาคาอู ปันปู พวกคุณสองคนรีบมาช่วยเร็ว! ถือโอกาสตอนที่เลือดของฮอว์กินส์ยังไม่แข็งตัว พวกเรามาใช้ประโยชน์จากมันกัน” กล่าวจบ กู่ยี่เทียนก็ได้เทน้ำในกระบอกน้ำของตัวเองออก จากนั้นก็หยิบมัดพกออกมาและกรีดลงไปที่เส้นเลือดใหญ่บนมือของฮอว์กินส์
เมื่อเห็นการกระทำของกู่ยี่เทียน อาคาอูและปันปูก็เข้าใจขึ้นมาทันที และรีบเข้ามาที่ข้างกายของกู่ยี่เทียน ช่วยเขาเก็บเลือดของฮอว์กินส์ และได้กรีดมือของตัวเองแล้วใส่ลงไปในภาชนะอีกอันจำนวนไม่น้อย
“หึ ๆ ตาเฒ่าไม่รู้จักตาย ครั้งนี้จะให้แกได้ลิ้มลองความร้ายกาจของคุณปู่กู่ของแกบ้าง!” กู่ยี่เทียนมองดูของเหลวสีเขียวที่ใส่อยู่เต็มกระบอก แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ของเหลวนี่เมื่อโดนตัวเกือบจะเอาครึ่งชีวิตของเขาไป เขาไม่เชื่อหรอกว่าโทชิโอะ คามิยะจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ
“ปันปู คุณไปดึงดูดความสนใจของโทชิโอะ คามิยะ อาคาอูคุณแบกผมใส่หลังหาโอกาสเทของเหลวนี่ใส่โทชิโอะ คามิยะ ฉันจะต้องให้มันเจ็บจนตายอย่างแน่นอน!”
เมื่อได้ฟังคำสั่งของกู่ยี่เทียน อาคาอูและปันปูก็รีบลงมือปฏิบัติทันที
“เหอะ คิดไม่ถึงว่าแกหยู่เหรินจะอยากเอาชีวิตมาให้เร็วแบบนี้ งั้นวันนี้ฉันก็จะส่งเสริมแก!”