NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 1304 เปิดทาง
เมื่อได้ยินอย่างนั้นไขจี๋เออและไขบู๊เกอทั้งสองก็รีบหุบปากเงียบทันที ถึงแม้ว่าใบหน้าจะยังคงมีความโกรธเคือง แต่กลับไม่กล้าที่จะด่าทอออกมาอีก
คราวนี้หลี่ฝางก็สงบลงมาด้วยเหมือนกัน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางยืนขึ้นต่อหน้าอูหลิง เขาถามในขณะที่ทั้งสองสบตา
“นายบอกว่ากลัวพวกเราจะไปทำร้ายเผ่าของนาย แล้วนายเอาอะไรมามั่นใจว่าเผ่าของนายจะไม่ทำร้ายพวกเรา ?ตามพลังที่พวกเรามีในตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับปลาที่กำลังนอนอยู่บนเขียง ในจะเอาอะไรมายืนยันอีกว่าพวกเราจะปลอดภัย ?”
เมื่อสะท้อนจากการกระทำของอูหลิงแล้ว หลี่ฝางก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเผ่ากู่นั้นมีความต่อต้านต่อคนภายนอกมากขนาดไหน และเมื่อว่าตามพลังที่พวกเขามีในตอนนี้ หลี่ฝางนั้นยังไม่กล้าที่จะเข้าไปเสี่ยงในเขตแดนของเผ่ากู่
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลี่ฝาง อูหลิงก็ยิ้มออกมา เขาเผยอหน้าขึ้นและพูดอย่างดูถูก “คุณคิดว่าตอนนี้คุณมีสิทธิ์ที่จะมาต่อรองกับผมหรือไง ?”
“นาย!” ทั้งชีวิตนี้หลี่ฝางยังไม่เคยได้เจอกับคนที่กวนตีนขนาดนี้มาก่อนเลย อีกทั้งตอนนี้เขายังไม่สามารถที่จะทำอะไรอูหลิงคนนี้ได้อีก
และพอนึกถึงในตอนที่เขาได้ต่อกรกับสีตระกูลใหญ่ คนพวกนั้นก็ไม่มีใครโอหังขนาดนี้เลยด้วย
ซึ่งหากว่าตามการคาดเดาของเขาแล้ว ตำแหน่งในเผ่ากู่ของอูหลิงคนนี้คงจะไม่ได้ต่ำต้อยแน่นอน เพราะว่าตามข้อมูลที่ผู้อาวุโสใหญ่ได้แจ้งเอาไว้นั้นคนเผ่ากู่จะไม่สามารถออกมาจากอาณาเขตของตนเองได้อย่างง่ายดาย พวกเขาใช้ชีวิตในดินแดนผืนนั้นมาแล้วหลายชั่วอายุคน ไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าไป แล้วก็ห้ามไม่ให้คนของตัวเองออกมาเช่นกัน
อูหลิงนอกจากจะสามารถออกมาได้ตามอำเภอใจแล้ว ยังสามารถนำเอายาเม็ดสำหรับอำพรางกลิ่นอายของพวกเขาออกมาได้ด้วย คิดดูแล้วฐานะของเขาคงจะไม่ธรรมดาแน่นอน
“เสี่ยวหลิงหลิง นาย……” เสี่ยวหลินตังที่มองดูพวกหลี่ฝางที่กำลังเดือดดาล ในใจก็เกิดความรู้สึกผิดอย่างมาก และคิดว่าสาเหตุทั้งหมดมาจากตัวเอง ความแข็งแกร่งของพวกหลี่ฝางถึงลดลงไปอย่างนี้ เธอกัดริมฝีปากแน่น ต้องการที่จะพูดบางอย่างต่อ
“ไปเถอะ ไปเผ่ากู่กัน” แต่ยังไม่ทันที่ เสี่ยวหลินตังจะได้พูดจบ หลี่ฝางกลับโบกมือไปมาขัดคำพูดของเธอซะก่อน แล้วเดินออกไปด้วยเกียรติตระกูลหลี่ของตัวเอง
“ลูกพี่ จะยอมง่ายๆ แบบนี้เลยหรอ ?”
“ตอนนี้พวกเราอยู่แค่กำลังภายในตอนต้นเองนะ!”
“หลี่ฝาง?”
พวกส้าวส้วยและไขจี๋เออต่างพากันมองไปที่หลี่ฝาง พลางพูดด้วยความไม่เข้าใจ หลี่ฝางหันหลังกลับมามองกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง พร้อมยักไหล่
“ในเมื่อตอนนี้พวกเราก็กินยานั่นไปแล้ว ก็จริงอยู่ที่พลังของพวกเรานั้นลดลง แต่แทนที่จะอยู่ที่นี่เปลืองเวลาเพื่อให้เขาเอายาถอนพิษมาให้พวกเรา สู้รีบเดินทางไปที่เผ่ากู่ดีกว่า และรีบจัดการกับเทพอ้านที่อยู่ตัวของฉันให้เรียบร้อย พวกเราก็จะสามารถคืนสภาพพลังได้เร็วขึ้นด้วย”
หลี่ฝางพอจะมองออกแล้ว การจะทำให้ อูหลิงเอายาถอนพิษนี้ออกมามีเพียงสองทางเท่านั้น สิ่งแรกคือพวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะไปยังเผ่ากู่ ส่วนสิ่งที่สองก็คือหลังจากที่กลับมาจากเผ่ากู่แล้วเท่านั้น
แต่การล้มเลิกการเดินทางไปยังเผ่ากู่นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และเมื่อเป็นอย่างนั้นก็มีเพียงหนทางที่สองที่จะเลือกเท่านั้น ในเมื่อเป็นแบบนี้อย่างนั้นก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะเปลืองเวลาอยู่ที่นี่กับเขาอีก รีบจัดการธุระ จะได้รีบรับยาถอนพิษ
“ดูแล้วในกลุ่มของพวกคุณก็ยังพอจะมีคนที่เข้าใจ” หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหลี่ฝาง อูหลิงก็ยิ้มจางๆ ออกมา พลางลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วจัดระเบียบเสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนที่จะเดินออกไป
เมื่อมองดูแผ่นหลังของอูหลิง พวกส้าวส้วยหันหน้าไปสบตากันด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และสุดท้ายก็เลือกที่จะเดินตามออกไป
พวกเขานั้นยังอยู่ห่างจากดินแดนของเผ่ากู่มาก ในตอนแรกพวกหลี่ฝางใช้เวลาไปกับการขับรถนานกว่าสี่ห้าชั่วโมง จนกระทั่งไม่มีทางให้ไปต่อพวกเขาถึงต้องเดินเท้าต่อไปข้างหน้า
ช่วงระยะแรกของการเดินเข้าป่าก็ยังพอมีทางเดินเล็กๆ ที่พอจะเดินไปได้ แต่พอยิ่งเดินเข้าไปลึกทางเล็กนั้นก็ยิ่งรกร้างมากขึ้น กิ่งไม้ใบหญ้าที่อยู่บริเวณโดยรอบยิ่งเข้าไปก็ยิ่งหนาทึบมากขึ้นเหมือนกัน จนสุดท้ายพวกของหลี่ฝางก็ต้องมาเปิดทางเพื่อเดินเองอย่างเลี่ยงไม่ได้
“นี่ นายคนนั้นหน่ะ นายแน่ใจว่าเดินไปทางนี้ไม่ผิดนะ?ทางนี้แม่งมีแต่ต้นไม้มีแต่หญ้าเต็มไปหมด ไม่มีทางให้เดินเลยสักนิด”
สองพี่น้องไขจี๋เออที่คอยเปิดทางอยู่ข้างหน้า หันมาถามอูหลิงอย่างหงุดหงิด
“ถ้าคุณไม่เชื่อผม อย่างนั้นก็หาทางเองก็ได้นะ” อูหลิงไขว้มือไปด้านหลังพลางเดินไปด้านหลังแล้วกลอกตาใส่ไขจี๋เออ
ทิศทางไม่ผิดแน่นอน เพียงแค่ว่าเส้นทางนี้เผ่ากู่ได้ทำการปิดไปนานกว่าร้อยปีแล้ว จึงมีต้นไม้ใบหญ้าจำนวนมากขึ้นมาปกคลุมตั้งนานแล้ว
อันที่จริงก็ยังมีเส้นทางอีกเส้นหนึ่งที่สามารถเดินทางได้อย่างสบายกว่านี้ แต่ว่าจำเป็นต้องมีพลังเหาะเหิน ทว่าตอนนี้พวกของหลี่ฝางทุกคนล้วนมีพลังความแข็งแกร่งอยู่แค่กำลังภายในตอนต้นเท่านั้น ถ้าต้องการที่จะใช้เส้นทางเพื่อไปยังเผ่ากู่ จึงกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“แม่งเอ้ย รอให้พลังของฉันกลับมาซะก่อน ฉันจะฆ่าเจ้าเด็กนี้แน่” ไขจี๋เออรู้สึกว่าตัวเองนั้นโกรธจนถึงขีดสุด เขากัดฟันสบถคำด่าภาษาถิ่นของตัวเองออกพูดกับไขบู๊เกอที่อยู่ข้างๆ
“ฉันเอาด้วย เจ้าเด็กนี่โอหังเกินไปแล้ว” ไขบู๊เกอที่กำลังฟาดฟันพุ่มไม้สูงลิ่วที่อยู่ตรงหน้า พลางตอบกลับอย่างเห็นด้วย
อูหลิงที่ได้ยินพวกเขาสองคนกำลังซุบซิบนิทาอยู่ข้างหน้า ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะฟังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พวกไขจี๋เออพูดออกมานั้นหมายความว่ายังไง แต่สัญชาตญาณของเขาบอกว่านั่นคงจะไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน
“พวกคุณมีเวลามาปรึกษากันว่าจะจัดการกับผมยังไงมากล่ะก็ รีบช่วยกันเปิดถางทางก่อนดีกว่านะ ถ้ามัวแต่อืดอาดเดี๋ยวฟ้าจะมืดซะก่อนแล้ว” อูหลิงพูดอย่างเย็นชา
พวกเขาออกเดินทางมาตอนเวลาแปดโมงเช้า และตอนนี้ก็สี่โมงกว่าแล้ว ปกติแล้วต้นไม้ในป่าทึบทักจะบดบังแสงจากดวงอาทิตย์อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้ฟ้ายังไม่ตกดิน แต่ในป่าทึบกลับเริ่มมืดแล้ว
“แม่ง ถ้านายเก่งมากก็มาทำเองเลยสิ เอาแต่ยืนสั่งอยู่ได้!” ไขจี๋เออโยนมีดในมือของตัวไปตรงหน้าของอูหลิงอย่างโมโห แล้วตอกกลับด้วยความไม่สบอารมณ์
ถ้าหากว่าพลังของเขายังอยู่ในระดับแดนเต๋า เรื่องการถางทางแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ตอนนี้พลังของเขาอยู่เพียงในระดับกำลังภายในตอนต้นเท่านั้น ถางทางมานานขนาดนี้ กำลังในร่างกายก็ได้หดหายไปไม่น้อย
ตรงนี้ก็ต้องทำงานใช้แรง อีกทางก็ต้องมาฟังอูหลิงพูดจาแดกดันอยู่ตรงนั้น ไขจี๋เออที่เจอแบบนี้จึงไม่อยากจะทำต่อไปแล้ว
“ไขจี๋เออ ไขบู๊เกอ พวกนายพักกันก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกเราจัดการต่อเอง” เมื่อเห็นว่าไขจี๋เออกำลังฉุนเฉียว หลี่ฝางจึงโน้มตัวลงไปเก็บมีดที่อยู่บนพื้น เขาฟาดแรงออกจากมือไปฟันพุ่มหนามขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าจนล้มไป
ในขณะที่กู่ยี่เทียนและส้าวส้วยก็เข้ามาช่วยงานเช่นกัน จนเริ่มมีการเดินต่อไปอีกครั้ง
“ข้างหน้าน่าจะเป็นพื้นที่ที่สามารถใช้พักแรมได้ ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว คืนนี้พวกเราพักกันอยู่ตรงนั้นก่อนดีกว่า พรุ่งนี้รอให้ฟ้าสว่างแล้วค่อยเดินทางต่อ”
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละนิด การมองเห็นในป่าทึบยิ่งนานก็ยิ่งมองไม่เห็น อูหลิงจึงใช้ความจำของตัวเอง เพื่อหาก็อนหินยักษ์ที่สามารถใช้พักแรมนั้นจากแผนที่
เพียงไม่นานพวกเขาก็ตั้งเต็นท์บนก้อนหินสำเร็จ พลางก่อไฟขึ้นมา การอยู่ในป่าทึบมีข้อจำกัดอย่างมาก พวกหลี่ฝางจึงได้เพียงใช้วัตถุดิบที่พอมีอยู่ในการทำอาหารเย็นเท่านั้น