NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 1309 บึงไร้ขอบเขต
กลุ่มของหลี่ฝางพยายามขจัดสิ่งกีดขวางอยู่อย่างนั้นจนเดินไปได้อีกสามสี่ชั่วโมง จนท้ายที่สุดก็ออกมาจากป่าทึบได้สักที
หลังจากทำลายขวากหนามพุ่มสุดท้ายออกไป สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าของทุกคนคือทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ในทุ่งหญ้าเต็มไปด้วยพืชพรรณดอกไม้หลากสี สะท้อนกับท้องฟ้าสีฟ้าและหมู่ก้อนเมฆสีขาวนวล ทำให้รู้สึกชื่นใจขึ้นมาในทันที
“สวยมากเลย!” เสี่ยวหลินตังเป็นผู้หญิง จึงเกิดความสนใจในของสวยๆ งามๆ เป็นธรรมดา เธอวิ่งแล่นเข้าไปในทุ่งหญ้าเป็นคนแรก แล้วเด็ดดอกไม้หลากสีพวกนั้นอย่างมีความสุข
“พี่กู่ยี่เทียน อันนี้ให้คุณ” ผ่านไปเพียงไม่นานเสี่ยวหลินตังก็ร้อยมงกุฎดอกไม้ขึ้นมาอันหนึ่ง พลางพูดไปพร้อมกับสวมใส่ลงบนหัวของกู่ยี่เทียน
แต่แน่นอนว่าผู้ชายซื่อๆ อย่างกู่ยี่เทียนไม่มีทางยอมอยู่แล้ว จึงหลบมือนั้นของเสี่ยวหลินตัง
“ฉันเป็นผู้ชาย ใส่ของแบบนี้คนอื่นจะมองยังไง ไม่สวมๆ ” ท่าทีของกู่ยี่เทียนเต็มไปด้วยการต่อต้าน
“หื้ม คุณไม่ใส่ก็ช่างเถอะ เสี่ยวหลิงหลิงให้นายสวม” หลังจากยึกยักอยู่นานสองนาน เสี่ยวหลินตังยังคงไม่สามารถสวมมงกุฎดอกไม้ที่อยู่ในมือให้กับกู่ยี่เทียนได้ สุดท้ายจึงได้เพียงทำปากมุ่ยกระทืบเท้า แล้วหันหน้าเดินไปหาอูหลิงแทน
อูหลิงที่อยู่อีกด้านคอยมองดูพวกเขาสองคนเล่นสนุกหยอกล้อกันอย่างเงียบๆ ถึงแม้จะมีสีหน้าที่จะยังคงนิ่งเฉย แต่คนที่มีความใส่ใจอย่างส้าวส้วยกลับมองเห็นความไม่พอใจจากแววตาของเขา
คาดว่าคงเป็นเพราะเสี่ยวหลินตังเอาแต่ตามติดกู่ยี่เทียน เขาเลยเกิดอาการหึงหวงขึ้นมาในใจ
“มงกุฎดอกไม้อันนี้ไม่สวย เธอต้องทำอันใหม่ให้ฉัน” อูหลิงหยิบมงกุฎดอกไม้ที่อยู่บนหัวลงมาแล้วพูดกลับอย่างราบเรียบ พร้อมให้ข้ออ้างว่ามันไม่สวยและให้เสี่ยวหลินตังทำอันใหม่ให้กับเขา
“ไม่สวยตรงไหน?ฉันว่ามันสวยดีออก” เสี่ยวหลินตังที่ตอนนี้ยังสังเกตไม่เห็นอาการหึงหวงของอูหลิง พูดออกมาด้วยสีหน้าที่ยังคงไร้เดียงสา
อูหลิงชำเลืองมองดูมงกุฎดอกไม้ในมือของเสี่ยวหลินตัง ในแววตาฉายแววรังเกียจออกมา มงกุฎดอกไม้นี้ไม่ได้ทำให้เขามาแต่แรกอยู่แล้ว สิ่งของของคนอื่นต่อให้สวยแค่ไหนเขาก็ไม่เอา !
“ดอกอันนี้ใกล้จะเหี่ยวหมดแล้ว ไม่สวยเลยสักนิด เสี่ยวหลินตังทำอันใหม่ให้ฉันเถอะนะ”
เมื่อเห็นว่าอูหลิงไม่ต้องการมงกุฎดอกไม้นี้จริงๆ เสี่ยวหลินตังจึงได้เพียงสวมมันลงไปบนหัวของตัวเอง จากนั้นก็เด็ดดอกไม้มาทำอีกอันให้กับอูหลิงอีกครั้ง
จนกระทั่งเสี่ยวหลินตังลงมือทำมงกุฎดอกไม้ให้กับตัวเองเสร็จ คราวนี้อูหลิงถึงค่อยสวมมันลงไปอย่างมีความสุข
ทั้งส้าวส้วยและหลี่ฝางที่เห็นท่าทีน้อยใจแบบนี้ของเขา ต่างก็แอบยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
อูหลิงคนนี้ขี้น้อยใจซะจริง เห็นๆ อยู่ว่ากำลังหึง แต่กลับยังจะแสดงท่าทีเหมือนไม่เป็นอะไรออกมาอยู่ได้
“อะแฮ่ม พักกันพอแล้วใช่ไหม?ถึงแม้ว่าพวกเราจะผ่านป่าทึบมาแล้ว แต่พวกเรายังต้องเดินข้ามที่ราบนี้ไปถึงจะเดินทางไปถึงเผ่ากู่ ในขณะที่ฟ้ายังไม่มืดพวกเราก็รีบเดินทางกันเถอะ”
อูหลิงที่หันไปเห็นว่าส้าวส้วยและหลี่ฝางกำลังมองมาที่ตัวเองด้วยใบหน้าหยอกล้อ ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงขึ้นมา ก่อนจะกระแอมออกมาแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
ทางด้านหลี่ฝางและส้าวส้วยก็ไม่คิดที่จะไปขัดอะไรเขา ดังนั้นหลังจากหัวเราะเบาๆ พวกเขาก็แบกกระเป๋าสัมภาระขึ้นมาแล้วเดินทางต่อ
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดฟ้าก็มืดลง พวกของหลี่ฝางได้ทำคบเพลิงแบบง่ายๆ ขึ้นมา แล้วถือคบเพลิงนั้นเดินไปตามพื้นที่ราบนี้
แต่พอยิ่งเดินไปเรื่อยๆ หลี่ฝางก็รู้สึกว่าร่างกายยิ่งหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ แถมจากพื้นที่ที่แห้งแล้งกลับค่อยๆ มีความชื้นขึ้นมา อีกทั้งบนพื้นก็มีแอ่งน้ำปรากฏอยู่เต็มไปหมด
“แปลกแฮะ ทำไมฉันรู้สึกว่ายิ่งเดินก็ยิ่งชื้นมากขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ ? จนสามารถได้ยินเสียงน้ำหยดแล้วด้วย” หลี่ฝางมองดูแอ่งน้ำที่สะท้อนแสงจากแสงจันทร์ ถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ตอนนี้รองเท้าของฉันแทบจะเปียกหมดแล้ว รู้สึกหนาวไปทั้งตัว อึดอัดสุดๆ” กู่ยี่เทียนพูดไปพลางลูบแขนตัวเองขึ้นลงไปมา
เพราะว่าเป็นฤดูร้อน ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงไม่ได้พกเสื้อผ้าหนาๆ มาด้วยเลย ในกระเป๋าสะพายมีก็แต่เสื้อแขนสั้นหมดเลย คิดไม่ถึงเลยว่าคราวนี้อากาศจะหนาวจนขนลุกไปหมดแบบนี้
“อันที่จริงแล้วเมื่อหลายพันปีก่อนพื้นที่ราบแห่งนี้เค็ยเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำมาก่อน แต่พอเวลาผ่านไปก็เกิดการเปลี่ยนแปลงของธรณีวิทยาทำให้น้ำค่อยๆ เหือดแห้งไป จนกลายเป็นทุ่งหญ้าอย่างในตอนนี้ ถึงแม้ว่าแม่น้ำจะหายไปแล้ว แต่ในที่ลุ่มบางแห่งก็ยังมีน้ำบาดาลไหลผ่านอยู่ จนบางที่ก็กลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่”
ตั้งแต่เด็กๆ อูหลิงเคยได้อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของเผ่ากู่มาแล้ว ฉะนั้นสำหรับเรื่องพื้นที่ราบนี้ รวมทั้งเผ่ากู่ที่เคยชีวิตอยู่ในพื้นที่แห่งนี้เขาจึงมีความเข้าใจเป็นอย่างดี
และครั้งนี้ถือเป็นเรื่องหายากที่เขาตอบคำถามของหลี่ฝาง ซึ่งไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่แต่ละคำของเขามักจะแฝงไปด้วยคำพูดเหน็บแนมแล้ว
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของอูหลิง หลี่ฝางถึงกับต้องขมวดคิ้วขึ้นมาเบาๆ “หากว่าตามที่นายพูด อย่างนั้นทางหน้าก็จะเป็นหนองน้ำแล้วไม่ใช่หรอกหรอ?”
“ใช่แล้ว เพียงแค่ข้ามหนองน้ำนั้นไป ก็นับว่าได้เข้าสู่ดินแดนของเผ่ากู่แล้ว” อูหลิงพยักหน้าตอบกลับ
คราวนี้หลี่ฝางก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมถนนเส้นนี้คนเผ่ากู่ถึงได้ทิ้งร้างเอาไว้ บริเวณด้านหน้ามีป่าทึบพอผ่านเข้ามาก็มีหนองน้ำอีก คนภายนอกอยากเข้ามาก็นับว่าเป็นเรื่องยากมากแล้ว แต่ถึงต่อให้เข้าไปได้ ก็ต้องถูกพบโดยแมลงที่เผ่ากู่เลี้ยงเอาไว้อย่างรวดเร็วอีก
“ตอนนี้ฟ้าก็มืดมากแล้ว พวกเราหาที่พักกันก่อนดีกว่า หนองน้ำในยามค่ำคืนคงจะมีบางสิ่งอันตรายแน่นอน”
เมื่อไตร่ตรองเรื่องที่ทุกคนเดินทางมาทั้งวันแล้ว รวมกับท้องฟ้าที่มืดแล้ว อีกทั้งเพราะว่าทางข้างหน้าเป็นหนองน้ำ หลี่ฝางจึงตัดใจที่จะไม่เดินทางต่อ แล้วรอให้วันพรุ่งนี้เช้าค่อยคิดวิธีพิชิตเส้นทางสุดท้าย
“ไม่ได้ ตอนนี้พวกเราเดินทางมาถึงจุดที่มีน้ำบาดาลไหลผ่านมากที่สุดแล้ว ในทุกคืนของที่นี่จะมีน้ำไหลผ่านเป็นธารน้ำ ถ้าหากพวกเราพักแรมกันที่นี่ ต้องจมน้ำบาดาลที่ผุดขึ้นมาตอนกลางดึกตายแน่นอน”
ทุกคนที่กำลังเตรียมจะวางกระเป๋าลง เมื่อได้ยินคำพูดของนี้ของอูหลิงก็ทำให้พวกเขาต้องชะงักมืออย่างเลี่ยงไม่ได้
เดิมที่คิดว่าที่ที่ราบน้จะเดินทางง่ายกว่าป่าทึบนั้น แต่ใครจะรู้ว่ามันกลับยิ่งลำบากมากกว่าเดิม ดูแล้ววันนี้พวกเขาที่ไม่อยากจะข้ามหนองน้ำไป คงต้องข้ามมันไปแล้ว
ในความเอือมระอา ทุกคนหยิบเอากระเป๋ากลับมาสะพายอีกครั้ง ก่อนจะเดินประทับรอยเท้าต่อไปข้างหน้า
หลังจากที่ทุกคนเดินไปอีกครึ่งชั่วโมงอย่างยากลำบาก ในที่สุดพวกหลี่ฝางก็พอจะมองเห็นหนองน้ำนั้นที่อูหลิงพูดเอาไว้
“แม่เจ้า!นี่เรียกหนองน้ำงั้นหรอ?นี่มันมองไม่เห็นที่สิ้นสุดเลยนะ!” ด้วยแสงจันทร์ที่เจิดจ้าลงมา ทุกคนมองดูทุ่งหญ้าที่สะท้อนแสงจันทร์ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไขจี๋เออนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสบถคำหยาบออกมา
ในความคิดของพวกเขาหนองน้ำมันไม่ได้กว้างใหญ่มาก แต่หลังจากที่ได้เห็นหนองน้ำที่ไร้ขอบเขตผืนนี้แล้ว พวกหลี่ฝางถึงได้รู้ตัวว่าพวกเขานั้นยังไร้เดียงสาเกินไป