NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 1310 พูดมาให้ชัดเจน
“ลูกพี่ มั่นใจว่าจะให้พวกเราข้ามมันไปจริงๆ หรอครับ?” ไขบู๊เกอมองไปยังหนองน้ำที่มีฟองน้ำผุดขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว แล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างหนัก
พลางอดไม่ได้ที่จะคิดถึงหนังสยองที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับหนองน้ำที่เคยดูมาก่อนหน้านี้ และในใจก็คิดว่าในหนองน้ำนี้คงจะไม่มีสัตว์ประหลาดอะไรหรอกมั้ง ?
“ผมกับเสี่ยวหลินตังสามารถที่จะเดินลอยบนน้ำไปได้ แต่สำหรับพวกคุณก็คงต้องพึ่งบุญบารมีของตัวเองแล้ว”
เมื่อพูดจบอูหลิงก็เดินขึ้นไปเหยียบบนหน้าน้ำ ถึงแม้ตอนนี้ดินแดนของเขาจะยังไม่สามารถเหาะหินได้ แต่การยืนบนน้ำที่เรียกว่า “เท้าทะยานคลื่น” เขายังพอที่จะทำได้อยู่
“เสี่ยวหลิงหลิง ตอนนี้มันไม่ไหวจริงๆ นายคืนพลังให้พวกเขาก่อนเถอะนะ” เมื่อเห็นว่าพวกหลี่ฝางกำลังดิ้นรน เสี่ยวหลินตังก็ไม่ได้ที่ช่วยพวกเขาอ้อนวอนต่ออูหลิง
“หากว่าให้ฉันคืนพลังให้กับพวกเขา แล้วถ้าเกิดว่าเจ้านั่นที่อยู่ในตัวของหลี่ฝางคลุ้งคลั่งขึ้นมา พวกเราก็ตายกันหมดหน่ะสิ แล้วอีกอย่างถ้าแค่หนองน้ำผืนนี้พวกเขายังข้ามไปไม่ได้ อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะให้เซียนผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเราลงมาจากเขา”
สำหรับเรื่องการคืนพลังให้กับพวกหลี่ฝาง ดูเหมือนว่า อูหลิงแน่วแน่อย่างมาก ไม่ว่าเสี่ยวหลินตังจะพูดยังไง เขาก็ยังคงยืนยันที่จะไม่เอายาถอนพิษออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเขา เสี่ยวหลินตังก็รู้สึกร้อนรนพลางหมดหนทางไปด้วย หลังจากที่คิดไปคิดมา เธอก็เดินไปหากู่ยี่เทียน พร้อมกับจับแขนของเขาด้วยความเขินอายเล็กน้อย
“พี่กู่ยี่เทียน คุณไปกับฉันนะ แบบนี้คุณจะได้สบายหน่อย”
ถึงแม้ว่าเสี่ยวหลินตังจะยื่นมือของตัวเองออกไปจับด้วยความหวังดี แต่กู่ยี่เทียนกลับรู้สึกแปลกๆ ยิ่งโดยเฉพาะอูหลิงคนนั้น ที่สายตาแหลมคมอย่างกับใบมีดหวังจะทิ่มแทงลงไปบนตัวเขาให้เป็นสองรูอย่างอดไม่ได้
“ไม่ ไม่ต้อง……”
“ฉันพาเขาไปเอง” กู่ยี่เทียนที่กำลังจะปฏิเสธเสี่ยวหลินตัง มือยังไม่ทันได้ปล่อยออกมาก็กลับถูก อูหลิงยื่นมือมาจับเอาไว้ก่อนแล้ว
ทันทีที่มือของทั้งสองได้สัมผัสกัน กู่ยี่เทียนก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา ก่อนจะสะบัดมือออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมดวงตาที่กะพริบปริบๆ
“ไม่ต้อง!ฉันไปเองได้!”
เมื่อพูดจบ กู่ยี่เทียนเอามือเช็ดกับเสื้อด้วยความรังเกียจ ก็รู้อยู่ว่าเขาเป็นผู้ชายซื่อๆ ตรงๆ การจับมือกับผู้ชายนี่มันบ้าบออะไรกัน !
“พรึบ……ฮ่าๆๆๆ ……” หลี่ฝางที่อยู่ข้างๆ ถึงกับทนไม่ไหว กระแอมออกมาทีหนึ่งก่อนจะนั่งลงไปขำอยู่กับพื้น
กู่ยี่เทียนมองดูท่าทางหัวเราะร่าของเขา ถึงกับหมดคำจะพูดแล้วเตะก้นของหลี่ฝางที่นั่งยองๆ อยู่กับพื้นโดยตรง ก่อนจะกัดฟันพูดเตือน
“เชื่อหรือเปล่าว่าถ้านายยังหัวเราะอีกฉันจะกลับไปบอกพวกเมียของนายว่านายแอบซุกผู้หญิงไว้ข้างนอก ?”
“แค่กๆๆ ฉันไม่หัวเราะแล้วๆ ”
คิดไม่ถึงเลยว่ากู่ยี่เทียนจะคิดคำขู่นี้ออกมาได้ หลี่ฝางที่ได้ยินถึงกับต้องกลั้นขำทันที
“แม่งเอ้ย……ขำออกมาเถอะๆ ชิบ” เมื่อมองเห็นไหล่ของหลี่ฝางกำลังสั่นเทาเพราะพยายามกลั้นขำ กู่ยี่เทียนก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ แล้วพูดออกมาพร้อมกลอกตาใส่เขาอย่างเอือมระอา
เมื่อได้ยินประโยคนี้ออกมา หนองน้ำที่เงียบสงบก็เกิดเสียงหัวเราะร่าดังสนั่นออกมาอีกครั้ง
รอจนหลี่ฝางหัวเราะจนปวดท้องไปหมด เขาถึงกลับมาตั้งสติให้ปกติเหมือนเดิม จากนั้นก็เดินย่องเข้าไปหากู่ยี่เทียนพร้อมดึงไหล่ของเขาเข้ามาแล้วกระซิบบอก
“อะแฮ่ม ไอ้กู่ ในฐานะเพื่อนฉันจะเตือนนายสักหน่อย แม่นางเพิ่งเป็นแค่เด็กสาวอายุสิบแปด กำลังอยู่ในช่วงที่กำลังเพ้อฝันและโหยหาความรัก ถ้าหากนายไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นกับเธอ ยังไงรับบอกเธอก่อนน่าจะดีกว่านะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ กู่ยี่เทียนก็เหลียวมองไปยังเสี่ยวหลินตังที่กำลังมองมายังตัวเองอย่างอาวรณ์ พลางคิ้วก็ขมวดขึ้นมาเป็นเส้นตรง
ก่อนหน้านี้เสี่ยวหลินตังชอบตัวติดเขาก็จริง แต่จอนนั้นเธอยังเด็กมาก กู่ยี่เทียนคิดมาตลอดว่าเพราะเสี่ยวหลินตังคิดว่าเขาเป็นพี่ชายถึงได้ทำแบบนั้น
แต่หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันหลายวันมานี้ ต่อให้เขาจะมีความรู้สึกที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาขนาดไหนก็สามารถรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ
ถึงแม้ว่ากู่ยี่เทียนจะสังเกตเห็นแล้วว่าเสี่ยวหลินตังอาจจะมีความรู้สึกแบบอื่นกับเขา แต่ว่าคนที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์มาก่อนอย่างเขา กลับไม่รู้เลยว่าควรจะจัดการกับเรื่องแบบนี้ยังไง
จะให้ปฏิเสธออกไปตามตรงก็กลัวว่าจะทำให้น้องนางต้องเสียใจ แต่การที่จะอยู่แบบนี้อย่างไม่ชัดเจนก็เป็นนิสัยของผู้ชายเจ้าชู้
อีกอย่างตอนนี้ข้างกายของเสี่ยวหลินตังทุกวันก็มีอูหลิงคอยตามติดอยู่ตลอด ซึ่งดูจากท่าทีที่อูหลิงปฏิบัติกับตน ดูแล้วเขาคงน่าจะมองออกถึงความรู้สึกของเสี่ยวหลินตังแล้ว
และถ้าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ กลัวว่าปัญหาก็จะยิ่งยุ่งยากมากขึ้น
“ฉันจะพูดยังไงดีถึงจะเหมาะสม?เสี่ยวหลินตังเธอเป็นเพียงแค่เด็กสาวบริสุทธิ์คนหนึ่ง ฉันกลัวว่าจะพูดแรงเกินไปจนทำร้ายเธอ”
หลังจากคิดวกไปวนมา กู่ยี่เทียนก็ยังคิดไม่ออกว่าจะพูดกับเสี่ยวหลินตังยังไงดี จึงได้เพียงหันไปถามหลี่ฝางที่อยู่ข้างๆ อย่างตรงไปตรงมา
“เห้อ จะพูดโดยไม่ทำร้ายความรู้สึกเลยมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่างฉันดูแล้วเด็กนี่ชอบนายคงจะไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดแค่วันสองวัน ถ้านายปฏิเสธ ยังไงเธอก็คงจะต้องเสียใจไปสักพัก”
หลี่ฝางมองดูแผ่นหลังของ เสี่ยวหลินตัง พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “แต่ก็นะยังไงเจ็บไวก็ดีกว่าเจ็บนาน ถ้านายไม่ได้มีความคิดแบบนั้นกับเธอ ก็พูดไปตามตรงเลย อย่าไปรบกวนเวลาเธอหาคนใหม่”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้ของหลี่ฝาง กู่ยี่เทียนก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่สุดท้ายจะกำหมัดแน่นพร้อมกับการตัดสินใจที่แน่วแน่
“ฉันรู้แล้ว ฉันบอกกับเธอให้ชัดเจนเอง”
กู่ยี่เทียนเห็นด้วยกับตำพูดของหลี่ฝางอย่างมาก เจ็บไวก็ดีกว่าเจ็บนาน ตอนนี้พูดเรื่องนี้กับเสี่ยวหลินตังให้ชัดเจน ดีกว่าปล่อยให้เธอถลำลึกแล้วค่อยพูดเยอะเลย
“คือว่า เสี่ยวหลินตัง ตอนนี้เธอสะดวกหรือเปล่า?ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ” หลังจากที่ทำการตัดสินใจ กู่ยี่เทียนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินเข้าไปตรงหน้าเสี่ยวหลินตังอย่างรวดเร็ว
เมื่อจ้องมองกู่ยี่เทียนที่เป็นฝ่ายเข้ามาพูดกับตัวเอง ในใจของเสี่ยวหลินตังก็โลดเต้นขึ้นมาทันที พร้อมกับพยักหน้าอย่างหนักโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
“สะดวกๆ ขอเพียงแค่พี่กู่ยี่เทียนมาหาฉัน เมื่อไหร่ก็สะดวกทั้งนั้น”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ ใจของกู่ยี่เทียนก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาเป็นประกาย ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แต่เสี่ยวหลินตังที่กำลังจมปลักอยู่กับความดีใจกลับไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเขาเลยสักนิด และยังคงมองไปยังกู่ยี่เทียนด้วยรอยยิ้ม
อูหลิงที่มองเห็นท่าทีนี้นี้ของกู่ยี่เทียน ในใจก็คาดเดาได้ถึงอะไรบางอย่าง เขายื่นมือขึ้นมาหวังจะเตือนอะไรบางอย่างกับเสี่ยวหลินตัง แต่หลังจากที่คิดไปคิดมาเขาก็ชักมือกลับลงไปเหมือนเดิมแทน
เขามองออกว่าระหว่าง เสี่ยวหลินตังกับกู่ยี่เทียน เป็นเสี่ยวหลินตังที่รักเขาข้างเดียวมาตลอด ในขณะที่กู่ยี่เทียนกลับรู้สึกกับเสี่ยวหลินตังเพียงแค่พี่ชายกับน้องสาวเท่านั้น