NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 1315 มหาเซียนปรากฏตัว
เมื่อเดินทางไปได้ประมาณสิบนาที หลี่ฝางก็เริ่มเห็นยอดเขาสูงที่อยู่ในปุยเมฆไกลๆ ภูเขาลูกนี้ต้องสูงอย่างน้อยสองถึงสามพันเมตร หมอกขาวฟุ้งได้บดบังส่วนยอดเขาเอาไว้ครึ่งลูก
ภูเขาลูกนี้สูงชันมาก ความลาดชันของภูเขาลูกนี้อยู่ที่ประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบองศาขึ้นไป จากมุมมองที่หลี่ฝางเห็น ไม่มีถนนสำหรับขึ้นมายังเขาลูกนี้ เขาจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมไป๋เห้อถึงไม่ให้สองพี่น้องไขจี๋เออขึ้นมาที่นี่ ภูเขาลูกนี้ไม่ใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะขึ้นมาได้
ในตอนแรกจากที่คิดเอาไว้ว่าแค่เหาะขึ้นมาก็คงจะถึงแล้ว ทว่าเมื่อไปต่อได้ครึ่งทาง ไป๋เห้อกลับหันมาทำสัญญาณมือให้พวกหลี่ฝางหยุด เมื่อเห็นไป๋เห้อหยุดกะทันหัน หลี่ฝางก็รู้สึกแคลงใจ
เขาเห็นไป๋เห้อขยับมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว ปากของเขากำลังท่องอะไรบางอย่างที่พวกเขาฟังไม่เข้าใจ
เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว ไป๋เห้อก็โบกมือทั้งสองข้างแล้วตะโกนว่า “เปิด” จากนั้นหมอกขาวหนาๆ ก็แหวกทางออกสองข้างเผยให้เห็นทางเดินสายหนึ่ง
ถือเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ใจมาก พวกหลี่ฝางต่างประหลาดใจมากว่าไป๋เห้อใช้วิธีการอย่างไรถึงสามารถควบคุมหมอกที่ไร้รูปรางเลือนพวกนี้ได้
“ไปกันเถิด” ไป๋เห้อหันมาทางพวกหลี่ฝางที่กำลังตะลึงพรึงเพริด แล้วทำท่าทางให้พวกเขามุ่งหน้าขึ้นไปต่อ
เดินทางขึ้นไปได้อีกสิบกว่านาที หลี่ฝางและพวกก็ขึ้นไปถึงยอดเขา
เนื้อที่บนยอดเขาไม่มากนักประมาณหนึ่งหมื่นตารางเมตร ด้านบนมีพืชไม้ปกคลุมหนาแน่น ดอกไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มสดใส สรรพสัตว์ร้องสอดประสาน ถือเป็นทิวทัศน์ที่อุดมสมบูรณ์มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง
กลางยอดเขามีวัดโบราณตั้งอยู่ ด้านบนสลักรูปมังกรและหงสาไว้อย่างตระการตา บริเวณด้านข้างมีสระน้ำที่มีไอน้ำลอยอบอวล น้ำในสระใสสะอาดหาใดเปรียบ สะท้อนเงาของทิวทัศน์รอบด้าน
ถือเป็นทิวทัศน์ที่งดงามอย่างแดนเซียนโดยแท้
เมื่อลดตัวลงสู่พื้น หลี่ฝางและพวกต่างรู้สึกสบายร่างกาย ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางที่สะสมมาหลายวันได้มลายหายไปสิ้น
ตามหลักแล้ว ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลทุกหนึ่งร้อยเมตร อุณหภูมิจะลดลงทุก 0.6 องศาเซลเซียส จากความสูงของเขาเซียนแห่งนี้ อุณหภูมิบนยอดเขาน่าจะอยู่ที่ราวๆ สิบองศา
แต่สิ่งที่ทำให้หลี่ฝางและพวกประหลาดใจคือ แม้ว่าพวกเขาจะสวมใส่เสื้อผ้าบางๆ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็น
ดินแดนล้ำค่าที่มุ่งหน้ามาเยือนนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นภูเขาของมหาเซียน
เมื่อเดินตรงไปข้างหน้าอีกจะเห็นประตูหลักของวัดมีป้ายๆ หนึ่งเขียนคำว่า “พ้นทุกข์” เอาไว้ ตัวอักษรให้อารมณ์ยิ่งใหญ่มีพละกำลัง ดูปราดเดียวก็รู้ว่านี่เป็นลายมือของผู้มีชื่อเสียง ความเหนือจินตนาการเหล่านี้ ทำให้หลี่ฝางรู้สึกประหลาดใจในตัวมหาเซียนผู้นี้ว่าที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกันแน่
เมื่อไป๋เห้อเดินไปถึงด้านหน้าประตู เขากลับไม่ได้ผลักประตูเปิดออก แต่กลับคว้าที่เคาะประตูเคาะไปที่บานประตูอย่างนอบน้อม
“ท่านมหาเซียน ผมพาพวกเขามาถึงแล้ว ท่านต้องการพบเขาเวลานี้เลยหรือไม่”
เมื่อกล่าวจบ ด้านในประตูเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมีเสียงกังวานสะท้อนออกมา
“ศิษย์พี่ไป๋เห้อ ท่านมหาเซียนให้พวกเขาเข้ามาได้เลยค่ะ”
น้ำเสียงน่าฟังราวสายธารใส ไพเราะคล้ายคลึงเสียงนกป๋ายหลิงขับขาน พวกหลี่ฝางจึงเกิดความรู้สึกอัศจรรย์ใจในตัวของสตรีนางนี้ขึ้นมาในทันใด
สิ้นเสียง ประตูก็ส่งเสียงเปิดออก แต่เมื่อหลี่ฝางเหลือบมองด้านในกลับไม่เห็นว่ามีผู้ใดเปิดประตู
จึงอดไม่ได้ที่จะแอบคิดว่า คนที่วัดแห่งนี้มีพลังกล้าแกร่งกว่าที่คิด
“ตามข้ามา ห้ามมองไปรอบด้าน ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกนายจะเข้ามาวุ่นวายได้ง่ายๆ” หลังจากก้าวเข้าประตูไปแล้วไป๋เห้อจึงเอ่ยเตือนขึ้นมา
แต่มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งห้ามไม่ให้ทำเรื่องใดก็ยิ่งอยากทำ กู่ยี่เทียนไม่รู้สึกหวาดกลัว จึงไม่ได้เก็บคำพูดของเขามาใส่ใจ เขาเดินเล่นไปรอบๆ ราวนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง
“โอ้ ท่านมหาเซียนของพวกนายช่างมีรสนิยมจริงๆ! ชายคาด้านนอกมีมังกรและหงสายังไม่พอ ด้านในยังมีหินแกะสลักใหญ่สองก้อนนี้อีก”เมื่อกู่ยี่เทียนเห็นหินแกะสลักรูปมังกรและหงสาตรงกลางลานที่มีขนาดราวภูเขาลูกย่อมสองลูกวางอยู่ ก็สงบปากสงบคำไม่ลง เมื่อเอ่ยจบจึงหันไปมองหลี่ฝาง “เหล้าหลี่ พี่ว่าหินสลักมังกรก้อนนี้กับมังกรทองในร้านสุราของพี่ อันไหนดูมีสไตล์มากกว่ากันหรือ”
เมื่อไป๋เห้อได้ยินกู่ยี่เทียนกล่าวดังนั้น ใบหน้าที่ไร้อารมณ์มาโดยตลอดของเขาก็ปรากฏรอยแยก ร่างกายของเขาแข็งเกร็ง ดวงตาทั้งสองจ้องมาที่กู่ยี่เทียนอย่างเคียดแค้น
“คนนอกเผ่าอย่างพวกแกกล้าดียังไง!” เขาแผดเสียงตะโกนเพียงหนึ่งประโยค จากนั้นจึงกระทืบเท้าวิ่งพุ่งเข้าใส่กู่ยี่เทียนราวม้าหลุดจากเชือก
แม้ว่าไป๋เห้อจะมีพละกำลังมาก แต่กู่ยี่เทียนเองก็ไม่ใช่พวกที่กินมังสวิรัติ คนทั้งสองต่างเป็นครึ่งเทพ ภายในช่วงเวลานั้นจึงยากที่จะห้ามปรามได้
กู่ยี่เทียนไม่ชอบท่าทางยกตนข่มท่านของไป๋เห้อมาตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นจึงลงมืออย่างไม่ไว้หน้า ยังดีที่สนามตรงนี้เป็นลานกว้างว่างเปล่า ไม่เช่นนั้นแล้ว จากท่าทีการต่อสู้ของพวกเขา วัดแห่งนี้คงได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปอย่างแน่นอน
“ไป๋เห้อ! อย่าเสียมารยาท!” ในขณะที่หลี่ฝางลังเลว่าจะเข้าไปห้ามสองคนนั้นดีหรือไม่ ทุกคนพลันได้ยินน้ำเสียงล้ำลึกของผู้สูงอายุ
ส่วนคนทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดยากจะแยกออกจากกัน พลันตัวแข็งทื่อราวท่อนไม้ยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับโดนสะกดจุด
เจ้าของเสียงยังไม่ปรากฏตัวออกมา แต่สถานที่แห่งนั้นกลับมีรังสีแห่งความพรั่นพรึงแผ่ซ่าน แม้แต่หลี่ฝางที่ห่างจากขั้นเทพเพียงครึ่งก้าวก็ยังรู้สึกหวาดเกรง
ไม่นานนักก็เห็นสตรีรูปงามสวมใส่ชุดสีขาวพลิ้วไหวนางหนึ่งประคองชายชราไว้หนวดเคราขาวปรากฏตัวออกมาต่อหน้าพวกหลี่ฝาง
หลี่ฝางเคยคิดว่าแคทเธอรินของชาวอู เป็นสตรีที่งามที่สุดตั้งแต่ที่ตนเคยเห็นมาแล้ว ผู้ใดจะคาดคิดว่าสตรีชุดขาวที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้จะงดงามยิ่งกว่าแคทเธอรินเสียอีก
แม้แต่ส้าวส้วยผู้ไม่สนใจในสาวงามก็ยังตกตะลึงเมื่อเห็นได้เห็นหญิงงามนางนี้
“ไป๋เห้อ เธอสำนึกผิดแล้วหรือยัง” ชายชราผู้นั้นยังคงไม่ได้หันมาพูดกับหลี่ฝาง แต่กลับเดินไปข้างตัวไป๋เห้อ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
แม้ว่าตอนนี้ไป๋เห้อจะขยับไม่ได้ แต่ไม่ได้สูญเสียความสามารถในการพูดไปด้วย ไม่ว่าเขาจะแข็งขืนเพียงใด แต่ก็ยังควบคุมแววตาของตนได้แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ศิษย์สำนึกผิดแล้ว ท่านมหาเซียนโปรดลงโทษ”
มหาเซียนสังเกตเห็นสายตาแข็งขืนของไป๋เห้อทั้งหมด จึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา
“ดูท่าเธอยังไม่สำนึกในความผิดของตน เราขอลงโทษให้เธอไปหันหน้าเข้ากำแพงสำนึกผิดที่หน้าผ่าต้วนหน เมื่อเธอใคร่ครวญทุกอย่างดีแล้วค่อยกลับมาพบเรา”