NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 1320 ผู้สืบทอด
พอรู้ว่าเขาเป็นเทพ ต่อให้พวกเขาสามคนร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี ดังนั้นจะพูดจาอะไรก็ต้องระวังอย่างมาก
กล่าวเตือนกู่ยี่เทียนเสร็จ หลี่ฝางจึงหันกลับมาและเห็นมหาเซียนกำลังทำมือร่ายรำบางอย่าง ปากของเขาพึมพำราวกับกำลังท่องคาถา
เพียงครู่เดียวก็เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ขึ้น ภาพหน้าผาเบื้องหน้าค่อยๆ หายไปช้าๆ สิ่งที่ปรากฏเข้ามาแทนที่คือ พระราชวังที่ยิ่งใหญ่สง่างาม
พระราชวังนี้ถูกสร้างอยู่บนบันไดหนึ่งพันขั้น ภายใต้แสงอาทิตย์สีทองส่องประกาย ทำให้ดวงตาของหลี่ฝางกับส้าวส้วยพร่ามัว จนพวกเขาสงสัยว่าตัวเองกำลังฝันไปหรือไม่
“ตามเรามา” เมื่อเปิดเขตแดนแล้ว มหาเซียนก้าวนำขึ้นไปบนบันได พวกหลี่ฝางเองก็ไม่กล้าพิรี้พิไรจึงรีบเดินตามขึ้นไป
“คุณพระช่วย ทั้งหมดนี่ทำจากหินอ่อนหั่นเชียวนะ ต้องใช้เงินเท่าไหร่กัน”
เมื่อเห็นบันไดสีขาวบริสุทธิ์ราวหิมะ กู่ยี่เทียนก็อดไม่ได้ที่จะจับสังเกตขึ้นมา เพราะถ้าไม่ได้สังเกตอาจจะไม่รู้ แต่ถ้าสังเกตเห็นแล้วจะต้องตกใจอย่างแน่นอน
บันไดพันขั้นทั้งหมดนี้ทำมาจากหินอ่อนหั่น แม้แต่ฮ่องเต้สมัยก่อนยังไม่ใช้ของหรูหราเช่นนี้ หินอ่อนหั่นที่มีราคาสูงเสียดฟ้านี้ เมื่อมาอยู่ที่นี่กลับเป็นเพียงที่เหยียบย่ำ นี่มันเยาะเย้ยกันชัดๆ
แม้ว่าหลี่ฝางจะไม่ได้เอ่ยอะไรกับส้าวส้วย แต่หากมองจากสายตาของพวกเขา ก็จะรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้พวกเขาตื่นตาตื่นใจมากเพียงใด
ทรัพย์สมบัติของตระกูลหลี่มั่งคั่งเทียบเท่ากับประเทศๆ หนึ่งได้ แต่หากนำมาเปรียบเทียบกับที่นี่ แม้แต่บันไดพันขั้นก็คงจะสร้างไม่ได้ด้วยซ้ำ
ทุกคนพากันก้าวขึ้นไปบนบันไดเรื่อยๆ กว่าจะขึ้นไปถึงด้านบน แม้ว่าการออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ นี้จะไม่หนักหนาอะไรสำหรับพวกหลี่ฝาง แต่สิ่งที่พวกเขาข้องใจคือในเมื่อพวกเขาสามารถเหาะขึ้นมาได้ แล้วทำไมมหาเซียนจะต้องพาพวกเขาออกแรงเดินขึ้นมาด้วย
แต่เมื่อดูจากสีหน้าเคร่งขรึมของเขาแล้ว พระราชวังนี้จะต้องไม่ธรรมดา
“ไป๋เย่ คารวะเทพไท่จี่” ในตอนที่หลี่ฝางกำลังขุ่นข้องใจอยู่นั้น มหาเซียนกลับคุกเข่านั่งลง แล้วหันหน้าไปเขกหัวคารวะพระราชวังเจิดจ้านั้นสามที
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น ทุกคนต่างพากันคุกเข่าลงอย่างหวั่นเกรง ไม่มีใครคิดว่าพระราชวังนี้จะเป็นที่อยู่ของเทพไท๋จี๋ ที่เป็นผู้บุกเบิกของนักรบ การคุกเข่าครั้งนี้ พวกเขายินดีทำ
เมื่อคารวะเรียบร้อยแล้ว มหาเซียนจึงจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นยื่นมืออันสั่นเทาของตัวเองออกไปผลักบานประตูใหญ่สีทองโบราณอันหนักอึ้งเปิดออก
พวกหลี่ฝางเมื่อได้เห็นบันไดที่ทำจากหินอ่อนหั่นเมื่อครู่นี้ ก็ทำใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังตกตะลึงในความยิ่งใหญ่ของพระราชวังแห่งนี้อยู่ดี
ตัวพระราชวังทั้งหมดเป็นประกายระยับหลากสีหลายแบบ ทำมาจากหยกและอัญมณีหลากชนิด รวมทั้งไม้จันทน์แดงและไม้จันทน์หอม มีรูปสลักมังกรและหงสา รูปภาพบนผนังสมจริงราวมีชีวิต
ตำแหน่งตรงข้ามกับประตูบานใหญ่คือแท่นประทับสูงสามเมตร ตรงกลางแท่นประทับมีบัลลังก์ใหญ่ ด้านซ้ายมีเทพมังกรทองสลัก ส่วนด้านขวามือเป็นเทพหงสา
บนบัลลังก์มีชายวัยกลางคนสวมมงกุฎทอง แต่งกายด้วยชุดจักรพรรดินั่งหลับตาอยู่
“เทพไท่จี๋ โปรดรับการคารวะของลูกด้วย” ในขณะที่พวกหลี่ฝางกำลังมองไปรอบกาย มหาเซียนก็นั่งคุกเข่าลงแล้วก้มศีรษะไปทางชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์อีกครั้ง โดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
การคารวะครั้งนี้น่าตกใจยิ่งกว่าครั้งที่อยู่นอกพระราชวัง พวกหลี่ฝางจึงลุกลี้ลุกลนคุกเข่าลงบนพื้นด้วย
ไม่มีใครล่วงรู้ว่าคนผู้นี้เป็นถึงเทพไท่จี๋!
ตามเรื่องเล่าเขาดับสลายไปแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงยังมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้
พวกหลี่ฝางนั่งอยู่บนพื้นโดยไม่กล้าปริปาก ได้แต่มองหน้ากันไปมา มหาเซียนยังไม่ลุกขึ้น พวกเขาก็ไม่กล้าลุกขึ้นเช่นกัน
คุกเข่าอยู่ได้สามนาทีกว่ามหาเซียนจะลุกขึ้นยืน ตอนแรกพวกหลี่ฝางมีความสงสัยใคร่รู้ต่อพระราชวังนี้ แต่ตอนนี้เมื่อรู้ว่าผู้ที่นั่งอยู่คือเทพไท่จี่ พวกเขาก็บังเกิดความรู้สึกนั่งไม่ติด
“เหล้าหลี่ พี่ว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือคนเป็นหรือคนตาย” กู่ยี่เทียนเอามือกระตุกเสื้อของหลี่ฝางแล้วพยายามกระซิบเสียงเบาที่สุด
“วางใจเถิด นี่เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น” หลี่ฝางยังไม่ทันจะตอบ มหาเซียนก็ชิงตัดหน้าเอ่ยตอบขึ้นมาเสียก่อน
กู่ยี่เทียนที่คิดว่าตัวเองพูดเสียงเบามากที่สุดแล้ว เมื่อได้ยินมหาเซียนตอบคำถามของตนก็อดที่จะรู้สึกผิดจนเกาศีรษะแกรกๆ ไม่ได้
แม้ว่าตัวเขาจะไม่เชื่อในเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่อย่างไรเทพไท่จี๋ก็เป็นผู้บุกเบิกนักรบอย่างพวกเขา ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้า ไม่ว่าตนจะผิดหรือถูก กู่ยี่เทียนล้วนรู้สึกหวั่นเกรงทั้งสิ้น
กู่ยี่เทียนแลบลิ้นอย่างกระดากกระเดื่อง แล้วปิดปากสนิทไม่พูดอะไรอีก
“พวกเจ้าไม่ได้อยากรู้หรอกหรือว่าส้าวส้วยแท้จริงแล้วเป็นผู้สืบทอดของเทพอ้านหรือไม่? ตามเรามาสิ” มหาเซียนไม่ได้ตำหนิในคำถามของกู่ยี่เทียน เพียงแค่ชายตามองหลี่ฝางกับส้าวส้วย จากนั้นจึงเดินขึ้นไปยังแท่นประทับ
หลี่ฝางสบตากับส้าวส้วย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายจึงก้าวขึ้นไปบนแท่นประทับด้วย ด้านซ้ายของแท่นประทับนี้มีกระจกบานหนึ่งตั้งอยู่ กลางกระจกมีคลื่นน้ำหมุนวน เงาของพวกหลี่ฝางสะท้อนอย่างรางเลือนอยู่ด้านใน
“พวกเจ้าสองคนเอามือแตะไปบนผิวกระจกสิ” มหาเซียนหันไปออกคำสั่งกับพวกหลี่ฝาง
หลี่ฝางกับส้าวส้วยลังเลอยู่สองวินาที ก่อนจะยื่นมือไปแตะบนกระจก
ตอนที่มือของพวกเขาสัมผัสไปบนสิ่งที่คล้ายเกลียวคลื่นนั้น ส้าวส้วยกับหลี่ฝางก็รู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปทั่วร่าง
หัวสมองของเขาส่งเสียงสะท้าน
เป็นเสียงคล้ายกับมีสิ่งของบางอย่างถูกปลดออก ต่อจากนั้นจึงมีความทรงจำที่ไม่ใช่ของพวกเขาเข้ามาแทรกในความคิดของหลี่ฝางกับส้าวส้วย สมองของเขาคล้ายกำลังจะระเบิดออก พวกเขาเจ็บปวดจนลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น