NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 1407 ต่อต้านสวรรค์เปลี่ยนโชคชะตา
“เอาล่ะ เขาไม่มีเรื่องใหญ่อะไรแล้ว ทุกคนแยกย้ายเถอะ ยังต้องรออีกสามวันกว่าเขาจะสามารถกลับมาควบคุมร่างกายของเขาได้อย่างสมบูรณ์”
เซียนผู้ยิ่งใหญ่ขยับขาสองขาที่ชาเล็กน้อยของเขา และค่อยๆ เดินออกมาจากอ่างน้ำยา คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขามองดูร่างกายที่ราวจะง่อนแง่นลงไปเล็กน้อยของเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ไม่รู้ว่าทำไม เพียงครู่เดียวกลับรู้สึกว่าเขานั้นแก่ลงไปหลายสิบปี
ไป๋เห้อกับไป๋หลินตกตะลึงอยู่ครู่ ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี พวกเขารีบเดินไปด้านข้างของเซียนผู้ยิ่งใหญ่ จากนั้นก็ยื่นมือขวางเขาเอาไว้
“เซียนผู้ยิ่งใหญ่ ที่ท่านให้หลี่ฝางดื่มเอาอะไรมาทำ? ยายาคมจิตหลิงหลงของท่านล่ะ? ไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”
นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋เห้อใช้น้ำเสียงจริงจังพูดกับเซียนผู้ยิ่งใหญ่ เขากับไป๋หลินอยู่ข้างกายเซียนผู้ยิ่งใหญ่มาตั้งแต่เล็ก เคารพเขาเป็นอย่างมากมาโดยตลอด แต่เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ ใจของไป๋เห้อก็อดลนลานไม่ได้
เซียนผู้ยิ่งใหญ่ชะงักอยู่ครู่ คิดไม่ถึงว่าไป๋เห้อจะคิดถึงจุดนี้ หลบสายตาอยู่สองที เมื่อเห็นไป๋เห้อจ้องมามีตนไม่วางตา สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และพูดความจริงออกมา
“นายเดาไม่ผิด ยาล้างไขกระดูกที่ให้หลี่ฝางดื่มฉันใช้ยาคมจิตหลิงหลงของฉันปรุงมันขึ้นมา แต่ว่าทั้งหมดนี้เป็นฉันยินดีทำเอง ขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกว่าทำแบบนี้มันคุ้มค่า”
“ฉันมีชีวิตอยู่มานานพอแล้ว บนโลกนี้ไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์แล้ว หลี่ฝางถูกกำหนดมาให้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ยาคมจิตหลิงหลงของฉันก็ถือว่าได้ใช้งานอย่างดีที่สุดแล้วเช่นกัน”
“พวกนายก็อย่าเสียใจแทนฉัน เวลาของฉันมาถึงแล้ว ตายเร็วกี่วันตายช้ากี่วันก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง หลังจากที่ฉันไม่อยู่แล้ว พวกนายต้องดูแลตัวเองดีๆ จากนั้นกฎของภูเขาที่ฉันตั้งขึ้นก็ไม่นับแล้วนะ”
“พวกนายไปหาชีวิตของตนเอง อย่าเหมือนกับฉัน ที่ขังตัวเองอยู่บนภูเขาหลิน ชีวิตคนเรายังมีเรื่องอีกมากมายที่คุ้มค่ากับการไปดู ไปลองอยู่นะ”
คำพูดพวกนี้ของเซียนผู้ยิ่งใหญ่ถึงแม้ว่าจะเป็นการอธิบาย แต่ไป๋หลินกับไป๋เห้อที่ได้ยินเข้าหูทั้งหมดล้วนแต่เป็นคำฝากฝังอำลา ครู่เดียวน้ำตาของไป๋หลินก็หยดลง และคว้ามือของเซียนผู้ยิ่งใหญ่พลางส่ายหน้าพูด
“ไม่ ไม่นะ เซียนผู้ยิ่งใหญ่ร่างกายของท่านดีขนาดนี้ จะถึงเวลาแล้วได้ยังไง ท่านต้องโกหกเราแน่ๆ ใช่มั้ย?”
ไป๋หลินเธอเป็นผู้หญิง จิตใจจึงละเอียดอ่อนกว่าไป๋เห้อมาก ขณะเดียวกันก็อ่อนไหวกว่ามากด้วย เมื่อได้ยินเซียนผู้ยิ่งใหญ่บอกว่าตนเองถึงเวลาแล้ว ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างแรกคือไม่เชื่อ
ในสายตาเธอ เซียนผู้ยิ่งใหญ่เป็นเซียนนะ เซียนไม่ใช่ว่าไม่เจ็บไม่ตายไม่ใช่ไง? ทำไมถึงได้มีเวลาที่ต้องลาจากด้วยล่ะ
“เด็กโง่ นี่เป็นชะตากรรมของฉันนะ ฉันได้เห็นพวกเธอสองคนเติบโต และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้เหมือนตอนนี้ ฉันก็พอใจแล้ว ในช่วงชีวิตที่ยาวนานนี้ ได้มีพวกเธอสองคนคอยอยู่เป็นเพื่อนหลายสิบปี ฉันก็พอใจมากแล้ว”
เซียนผู้ยิ่งใหญ่ยื่นมือไปลูบหัวของไป๋หลินอย่างรักและเมตตา จากนั้นก็กวักมือเรียกไปทางส้าวส้วย ทำท่าเรียกให้มา
ส้าวส้วยลังเลอยู่ครู่ จากนั้นก็เม้มปากและเดินมาด้านข้างเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ก็เห็นแค่เซียนผู้ยิ่งใหญ่หยิบมือของไป๋หลิน วางมันลงบนฝ่ามือของส้าวส้วย และพูดอย่างจริงจัง
“ส้าวส้วย ฉันมองออกว่านายชอบไป๋หลินด้วยใจจริง ฉันก็รู้ว่าในใจไป๋หลินมีนายอยู่ ฉันไม่คัดค้านเรื่องนายสองคนจะคบกัน ฉันหวังแค่ว่าหลังจากฉันจากไปแล้ว นายจะดูแลไป๋หลินให้ดีๆ ”
“ฉันเห็นเจ้าเด็กนี่มาตั้งแต่เล็กจนโต ถึงแม้ภายนอกเธอจะดูเย็นชา แต่ที่จริงแล้วในใจนั้นใสซื่อมากๆ และก็ถูกหลอกได้ง่ายมาก วันนี้ฉันส่งเธอต่อไว้ในมือนายแล้ว นายต้องดีกับเธอให้มากๆ นะ”
ไป๋หลินกับส้าวส้วยกุมมือกันไว้ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากมือของอีกฝ่าย ไป๋หลินอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ส่วนบนหน้าของส้าวส้วยก็จริงจังขึ้นมาทันที เขากุมมือไป๋หลินไว้แน่นขึ้นเล็กน้อย
“เซียนผู้ยิ่งใหญ่ ท่านวางใจเถอะ ผมจะไม่ให้ไป๋หลินได้รับความน้อยใจหรือบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว”
เห็นสายตาที่จริงจังของส้าวส้วยแล้ว เซียนผู้ยิ่งใหญ่จึงพยักหน้าอย่างพอใจ เห็นไป๋เห้อทำหน้าเข้มมองดูอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ เซียนผู้ยิ่งใหญ่ก็ยื่นมือไปหยิกแกมของเขา
“โอ๊ย เซียนผู้ยิ่งใหญ่!ท่านอย่าหยิกแก้มผมเหมือนตอนเป็นเด็กสิ!ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ!”
ไป๋เห้อแต่เดิมที่โกรธเซียนผู้ยิ่งใหญ่เรื่องที่ไม่ยอมปรึกษาพวกเขาสักคำ ก็นำยาคมจิตหลิงหลงไปให้หลี่ฝางใช้แล้ว หลังจากถูกเซียนผู้ยิ่งใหญ่บีบแก้มแบบนี้แล้ว สีหน้าก็ยิ่งบูด พลางตีปัดมือเซียนผู้ยิ่งใหญ่ออก และจ้องเขาตาเขม็ง
“เหอะๆ นายก็ยังดื้อเหมือนตอนเป็นเด็ก โมโหแล้วก็ไม่สนใจใคร ขี้งอนสุดๆ ไป๋เห้อ นายก็อายุไม่น้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะวางแผนเรื่องในอนาคตแล้ว”
“หลังจากที่ฉันจากไปแล้วจำไว้ว่าต้องดูแลตัวเองดีๆ ตอนนี้ฉันไม่กังวลไป๋หลินแล้ว คนเดียวที่ยังไม่วางใจก็คือนาย นายดูอารมณ์ก็เหวี่ยง แถมยังชอบทำหน้าบูด จากนี้……”
เมื่อเห็นเซียนผู้ยิ่งใหญ่เริ่มเปิดโหมดบ่น ไป๋เห้อก็มองบนใส่ และพูดขัดเซียนผู้ยิ่งใหญ่อย่างไม่ทน
“เอาล่ะๆ ท่านกังวลเรื่องไป๋หลินก็พอแล้ว เรื่องของผมไม่ต้องให้ท่านกังวลใจ ถึงยังไงยาคมจิตหลิงหลงก็เป็นของของท่าน ท่านจะใช้มันยังไงมันก็เรื่องของท่าน ผมไม่สนใจแล้ว”
“ท่านวางใจ ผมต้องไม่ให้ท่านตายไปง่ายๆ หรอก ท่านต้องมีชีวิตต่อไปอีกยาว ดูผมกับไป๋หลินแต่งงาน มีครอบครัว”
ถึงแม้ปากของไป๋เห้อไม่น่าให้อภัย แต่ในใจก็ยังเป็นกังวลเรื่องเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ที่เซียนผู้ยิ่งใหญ่พูดว่ากำหนดเวลาของเขามาถึงแล้ว ไป๋เห้อก็ยังคงทำใจยอมรับไม่ได้ เขาคิดว่าจะต้องมีวิธีอะไรที่สามารถยืดอายุขัยของเซียนผู้ยิ่งใหญ่ออกไปได้
“นายไม่ต้องมายุ่งเลย ร่างกายของฉัน ฉันรู้ตัวเองดี เรื่องนี้ก็พอเท่านี้เถอะ ไม่ต้องพูดถึงแล้ว”
เซียนผู้ยิ่งใหญ่จะไม่รู้ว่าไป๋เห้อคิดจะทำอะไรได้ยังไง แต่อยากจะต่อต้านสวรรค์เปลี่ยนแปลงโชคชะตา นั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้
เขาใช้ชีวิตมามากพอแล้วจริงๆ สามารถอยู่เห็นช่วงที่รุ่งเรืองได้ในวันนี้ก็พอใจมากๆ แล้ว ไม่ร้องขอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
หลังจากพูดประโยคนี้จบ เซียนผู้ยิ่งใหญ่ก็หายไปจากสายตาของทุกคน เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไปสามวัน ขณะที่แสงอาทิตย์แรกของวันที่สามสาดส่องมาบนภูเขาหลิน จู่ๆ ในห้องของเซียนผู้ยิ่งใหญ่ก็มีแสงสีทองเปล่งประกายออกมา
ขณะที่ไป๋เห้อกำลังรื้อตู้เพื่อหาวิธียืดอายุให้กับเซียนผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวนี้ แม้แต่รองเท้าก็ยังไม่ใส่ วิ่งเท้าเปล่าไปทางที่เซียนผู้ยิ่งใหญ่อยู่
“เซียนผู้ยิ่งใหญ่!นี่มันเกิดอะไรขึ้น!เซียนผู้ยิ่งใหญ่!”
ไป๋เห้อตะเกียกตะกายไปยังหน้าห้องของเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ในตอนนั้นพวกไป๋หลินกับส้าวส้วยก็มาถึงอยู่ก่อนแล้ว เห็นไป๋เห้อจะพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ส้าวส้วยกับกู่ยี่เทียนก็รีบยื่นมือมาขวางเขาเอาไว้
“พวกนายปล่อยฉัน!ฉันจะไปพบเซียนผู้ยิ่งใหญ่!หลีกไป!”
มองดูประตูไม้เลื่อนที่ปิดอยู่ ไป๋เห้อก็พลางตะโกนพลางอยากจะเข้าไป ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นในใจเขามีคำตอบอยู่แล้ว แต่แค่ตัวเขาไม่อยากยอมรับเท่านั้นเอง