NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 574 พวกมันจะฆ่าแก
ชายฉกรรจ์มีกล้ามเนื้อที่มันเงาอยู่ทั่วทั้งร่าง และได้ส่องแสงสะท้อนแสงสีน้ำตาลแก่ออกมาเล็กน้อยเวลาที่อยู่ใต้แสงแดด เขาที่ทำงานอยู่ท่าเรือมาเป็นเวลานาน สิ่งที่มีมากที่สุดก็คือพละกำลังความป่าเถื่อนและความกำเริบเสิบสานใช้อำนาจบาตรใหญ่
ที่ท่าเรือมีทั้งคนดีและคนเลวผสมปนเป ถ้าหากหมัดไม่แข็งพอ ก็ยากที่จะอิ่มท้องได้
บนใบหน้าชายฉกรรจ์ผิวสีน้ำตาลแก่ปรากฏความดุร้ายออกมา เขาเดินกึ่งวิ่ง ไม่นานก็ลงจากเรือมาถึงข้างหน้าของหรุ่ยเหวินเจ๋ จากนั้นเขาก็บีบไปที่คอของหรุ่ยเหวินเจ๋ หรุ่ยเหวินเจ๋พยายามขัดขืนอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ
หรุ่ยเหวินเจ๋ที่ได้ออกมาจากภูเขาใหญ่ เขาคิดว่าพละกำลังของเขานั้นก็ถือว่ามากอยู่แล้ว แต่พอตกอยู่ในมือของชายฉกรรจ์ กลับดูไม่ได้เลยสักนิด
“เชื่อไหมว่าฉันจะโยนแกลงไปในทะเล ให้แกไอ้ลูกกะหรี่นี่จมน้ำจนตาย”
หรุ่ยเหวินเจ๋หัวเราะเหอะ ๆ บนใบหน้ากลับไม่มีแววของความหวาดกลัวเลยสักนิด ซ้ำยังกล่าวยั่วยุ: “โยนสิ ยังไงซะฉันก็ว่ายน้ำเป็น โยนฉันลงไป ก็ทำร้ายอะไรฉันไม่ได้ อีกอย่าง กลางวันแสก ๆ ผู้คนมากมายกำลังมองดูอยู่ ลูกพี่ ถ้าคุณฆ่าฉันตายล่ะก็ คุณคิดว่าจะหนีไปได้ไหม?”
“ยิ่งไปกว่านั้น ไม่กี่วันมานี่พวกลูกพี่พึ่งฆ่าคนตาย……” กล่าวไป หรุ่ยเหวินเจ๋ก็พลันหัวเราะแหะ ๆ ขึ้นมา
“แม่ง ฉันว่าแกคงอยากจะไปเล่นไผ่นกกระจอกกับพญายมจริง ๆ ” ชายฉกรรจ์ผิวดำหิ้วร่างของหรุ่ยเหวินเจ๋ขึ้นมา จากนั้นก็โยนเขาลงไปในน้ำทันที
และความสามารถในการว่ายน้ำของหรุ่ยเหวินเจ๋นั้น ก็ไม่เลวเลยจริง ๆ ไม่นานเขาก็ว่ายมาจนถึงฝั่งแล้ว ชายฉกรรจ์ผิวดำหัวเราะเหอะ ๆ มองหรุ่ยเหวินเจ๋ที่กำลังจะคลานขึ้นฝั่ง กล่าว: “แกยังคิดจะขึ้นฝั่ง?”
พูดจบ ชายฉกรรจ์ผิวดำก็ยกเท้าข้างหนึ่งของเขาขึ้นมา และถีบหรุ่ยเหวินเจ๋ลงไปในทะเลอีกครั้ง
เหตุการณ์นี้ ได้ค่อย ๆ ดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่อยู่โดยรอบ จากนั้นก็มีผู้คนเดินมาทางนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ชายตาเหยี่ยวที่อยู่บนเรือคนนั้น ในที่สุดก็ทนไม่ได้: “เฮยจื่อ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“ลูกพี่ ไอ้สารเลวนี่มัน……”
ไม่รอจนชายฉกรรจ์ผิวดำพูดจบ ทันใดนั้นชายตาเหยี่ยวก็กระโดดลงไปในน้ำ มือหนึ่งคว้าร่างของหรุ่ยเหวินเจ๋ และช่วยเขาขึ้นมาจากน้ำ
“น้องชาย ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
มองดูหรุ่ยเหวินเจ๋ ชายตาเหยี่ยวก็ถามด้วยใบหน้าที่เป็นห่วง และตามด้วยขอโทษขอโพย: “ต้องขอโทษด้วย พี่น้องของฉันใจร้อนบุ่มบ่ามไปหน่อย นายต้องการอะไร ก็คุยกับฉัน ในกลุ่มพวกเรา ฉันเป็นคนตัดสินใจได้”
“เหอะ ๆ ดูเขาแล้วก็ไม่น่าจะเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจอะไรได้ ก็แค่คนที่ชอบใช้กำลังคนหนึ่ง” หรุ่ยเหวินเจ๋มองชายฉกรรจ์ผิวดำด้วยสายตาที่เหยียดหยามแวบหนึ่ง พลางกล่าว
ในตอนที่ชายฉกรรจ์ผิวดำกำลังจะลงมืออีกครั้ง ชายตาเหยี่ยวก็ถลึงตาใส่เขาอย่างเยือกเย็น แล้วกล่าวเบา ๆ ด้วยความโมโห: “ทำไม ต้องให้พี่น้องทุกคนตายในมือของแก แกถึงจะพอใจใช่ไหม”
“ลูกพี่……”
“แกหลบไป ไปอยู่อีกด้าน” ชายตาเหยี่ยวตะคอก
จากนั้น ชายตาเหยี่ยวก็กล่าวกับผู้คนที่มุงดูอยู่รอบ ๆ ทันที: “ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับ เมื่อกี้พี่น้องของผมกับน้องชายคนนี้ได้มีปัญหากันนิดหน่อย พวกคุณก็รู้ ว่าเฮยจื่อเป็นคนอารมณ์ร้อน”
“ฮ่า ๆ เฮยจื่อแค่โยนพ่อหนุ่มคนนี้ลงทะเลไป ก็นับว่ามีความเมตตามากแล้ว”
“ก็นั่นนะซิ พ่อหนุ่มที่ผิดใจกลับเฮยจื่อเมื่อครั้งที่แล้ว ตอนนี้ยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่เลยใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว นี่มันก็ปาเข้าไปเดือนหนึ่งแล้วนะ ยังไม่ออกมาเลย”
“ฮ่า ๆ แยกย้ายกันเถอะ แยกย้ายกันเถอะ ไม่มีอะไรที่น่าสนใจให้ดูแล้ว”
ผู้คนที่ท่าเรือเหล่านี้ ต่างก็มาดูเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น
ถึงยังไงชายที่ชื่อเฮยจื่อคนนี้ ไม่เพียงชอบมีเรื่องชกต่อย ทั้งยังลงมือหนักมาอีกด้วย
เขาก็นับว่าเป็นคนโหดเหี่ยมอำมหิตเบอร์หนึ่งในท่าเรือคนหนึ่ง แถมยังเป็นคนดังอันดับหนึ่งอีกด้วย
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไป หรุ่ยเหวินเจ๋ก็ยิ้มออกมาพลางกล่าว: “เหอะ ๆ ลูกพี่ ที่ท่าเรือนี่พี่ก็มีหน้ามีตาไม่เบานี่นา”
“ทำไมถึงกล้าฆ่าคนเป็นผักปลาได้ล่ะ ลูกพี่ไม่รู้ ว่าคนในครอบครัวของคนที่ถูกพวกลวกพี่ฆ่าตายนั้น ตอนนี้กำลังร้องไห้อยู่ที่หน้าโรงพยาบาล ไม่เพียงร้องไห้ แถมยังเอะอะโวยวาย จนทำให้โรงพยาบาลของพวกเราชื่อเสียงเสียหาย”
“ลูกพี่ก็รู้ เมื่อเป็นแบบนี้ คนไข้ของโรงพยาบาลเรา ก็จะน้อยลง เมื่อคนไข้น้อยลง เงินเดือนของพวกเราก็จะลดลง เงินเดือนในส่วนที่ลดลงไปนั้น ผมคิดว่า ลูกพี่ควรที่จะชดเชยให้ผมหน่อย” หรุ่ยเหวินเจ๋หัวเราะเอิ๊กอ๊าก พลางกล่าว
ส้าวส้วยที่อยู่อีกด้าน มองดูหรุ่ยเหวินเจ๋ แล้วยิ้มอย่างขบคิด: “ดูไม่ออก ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะมีเล่ห์เหลี่ยมไม่เบา”
“ใครเหรอ” หลี่ฝางเอ่ยถาม
“หมอคนนั้น”
“หมอเหรอ? ดูจากน้ำเสียงของนาย ดูเหมือนจะชื่นชมเขาไม่เบา เมื่อกี้ยังถูกชายผิวสีน้ำตาลแก่นั่น โยนทิ้งลงไปในทะเล ทั้งยังถูกซ้อมไปหนึ่งยก นายบอกว่าเขามีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ถ้าเขามีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ยังจะถูกซ้อมได้ยังไง?” หลี่ฝางอ่านภาษาปากไม่ออก ทำได้เพียงคาดเดาจากเหตุการณ์ที่ได้เห็น แต่สำหรับส้าวส้วยนั้นไม่เหมือนกัน เขาอ่านภาษาปากออก ดังนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ท่าเรือ ส้าวส้วยจึงรับรู้ได้อย่างชัดเจน
“คนที่อยู่ท่าเรือพวกนี้ จริง ๆ แล้วก็ถือว่าเป็นคนไม่มีความผิด” ส้าวส้วยหัวเราะเหอะ ๆ กล่าว: “พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่ทำงานแลกเงินเท่านั้นเอง”
ไม่รอให้หลี่ฝางเอ่ยปากถาม ส้าวส้วยก็กล่าวออกมา: “คนที่เป็นหัวหน้ามีชื่อว่าเจียงเหวย ได้ติดตามพ่อของตัวเองออกเรือหาปลาเลี้ยงชีพมาตั้งแต่เด็ก ต่อมาก็ได้รวบรวมพรรคพวกของตัวเอง รับเหมาเส้นทางขนส่งทางน้ำเส้นทางหนึ่ง และรับขนส่งสินค้าผิดกฎหมายบ้างเป็นบางครั้ง”
“สองสามวันก่อนด่านศุลกากรตรวจสอบค่อนข้างจะเข้มงวด เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกจับ ดังนั้นจึงแอบเอาสินค้าจำนวนหนึ่ง ทิ้งลงในทะเล จึงต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวนมหาศาล”
“เจียงเหวยไม่ใช่คนของใครทั้งนั้น เขาเพียงรับเงินแล้วทำงานเท่านั้นเอง”
ส้าวส้วยกล่าว
พอหลี่ฝางได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจเล็กน้อย: “ทำไมนายถึงได้รู้ไปหมดทุกอย่างเลยล่ะ?”
“เป็นข้อมูลที่ทางหน่วยมืดสืบมาได้ หน่วยมืดกำลังจะดึงเอาฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังออกมา” ส้าวส้วยกล่าว
เป็นอีกครั้งที่หลี่ฝางได้เห็นความร้ายกาจของหน่วยหมืด แต่เขากลับหัวเราะเอิ๊กอ๊ากพลางกล่าว: “ฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังยังได้ตรวจสอบอีกเหรอ? จะต้องเป็นไอ้หวางต้องคนนั้นทำอย่างแน่นอน อันธพาลคนนั้นหวางต้องเป็นคนหามา และหวางต้องก็เป็นลูกน้องของมู่เสี่ยวไป๋ ผู้ร้ายตัวจริงของเรื่องนี้ จะต้องเป็นมู่เสี่ยวไป๋แน่ ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบหรอก”
“เหอะ ๆ คุณไม่คิดว่าการสันนิษฐานนี้ มันง่ายเกินไปหน่อยเหรอ?” ส้าวส้วยหัวเราะเหอะ ๆ
“ง่ายแล้วไม่ดีเหรอ?”
“ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ศัตรูของพวกเรามีเยอะ เรื่องที่มู่เสี่ยวไป๋ทำนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไร ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนโยนความผิดให้ก็ได้ เรื่องบางเรื่อง สืบให้ละเอียดหน่อยจะดีกว่า”
“ถ้ามู่เสี่ยวไป๋เป็นคนทำ ทำไมถึงไม่ให้เจียงเหวยไปหลบก่อนสักพักล่ะ? รถฟอร์ดสีแดงที่เจียงเหวยขับคันนั้น ก็เป็นรถที่พรรคพวกของมันใช้ขนสินค้า เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังจูงจมูกพวกเราอยู่ ทำให้พวกเราได้กลิ่นของคนร้าย”
“มู่เสี่ยวไป๋ไม่น่าจะโง่ขนาดนั้น” ส้าวส้วยกล่าว
หลังจากที่เคยประมือกับมู่เสี่ยวไป๋มาหลายครั้ง หลี่ฝางก็รู้สึกว่ามู่เสี่ยวไป๋เป็นคนที่เจ้าเล่ห์มากคนหนึ่ง ปัญหาใหญ่แบบนี้ ถ้าเป็นมู่เสี่ยวไป๋ล่ะก็ มีความสามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้อย่างแน่นอน
ต่อให้เขาไม่ให้เจียงเหวยไปซ่อนตัวสักพัก แต่จะทำให้รถคันหนึ่งกลายเป็นรถมือสองแบบหาที่มาที่ไปไม่ได้ ก็คงง่ายนิดเดียวใช่ไหม?
“บางทีมันอาจจะไม่ได้ใส่ใจ?” หลี่ฝางหัวเราะเหอะ ๆ : “มู่เสี่ยวไป๋คนนี้ค่อนข้างจะยโสโอหัง อีกอย่างเรื่องนี้ มันเป็นคนออกคำสั่งให้หวางต้องไปดำเนินการ และหวางต้องก็เป็นคนไปหาเจียงเหวย แต่ละขึ้นตอนนี้ ต่อให้สืบหาความจริงออกมาได้ ก็ไม่มีใครสามารถเอาผิดข้อหาจ้างวานฆ่ากับมู่เสี่ยวไป๋ได้”
“ก็มีโอกาสเป็นไปได้”
“แต่ในตอนที่เราตรวจสอบเมื่อสักครู่ พบว่าในบัญชีของหวางต้องมีเงินโอนเข้ามาหนึ่งล้าน คาดไม่ถึงว่าจะโอนมาจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อหวางตองเหมย หวางตองเหมยคนนี้ เป็นน้องสาวของหวางต้อง” ส้าวส้วยกล่าว
“น้องสาวของหวางต้อง?” หลี่ฝางชะงักอยู่สักพัก กล่าว: “นั่นมันก็คือหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าฆาตกรคือหวางต้องได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ทำไมต้องสูญเสียกำลัง สืบหาต่อไปโดยเปล่าประโยชน์อีกล่ะ?” หลี่ฝางเอ่ยถาม
“ฟังผมพูดให้จบก่อน หวางต้องและหวางตองเหมยถึงแม้จะเป็นพี่น้องกัน แต่ระหว่างเขาสองคน กลับมมีความแค้น ในตอนนั้นหวางต้องได้ทำเรื่องที่ผิดมนุษย์มนา ทั้งยังทำให้พ่อผู้ให้กำเนิดตัวเองต้องตายทางอ้อม ดังนั้นหวังตองเหมยน้องสาวของเขาถึงได้ให้คำสาบาน ว่าชาตินี้จะไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับหวางต้องอีกเลย”
“ดังนั้น ถึงได้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น” ส้าวส้วยกล่าว
หลี่ฝางขมวดคิ้ว กล่าว: “แล้วจะเป็นใครกันล่ะ?”
“รอผลจากหน่วยมืดก่อนแล้วกัน อีกไม่นานก็คงตรวจสอบเสร็จแล้ว ไม่มีแผนการใดในโลกนี้ที่ไม่มีรอยรั่ว ยังไงก็จะต้องปรากฏสายสนกลในออกมา ให้คุณไปจับในสักวัน” ส้าวส้วยจุดบุหรี่ให้กับตัวเองหนึ่งมวล แล้วยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว
และทางด้านท่าเรือ ชายตาเหยี่ยวเจียงเหวย ก็ได้โอบกอดเข้าไปที่คอของหรุ่ยเหหวินเจ๋ เขายิ้ม และกล่าว: “น้องชาย ความต้องการสูงไปหน่อยไหม ความเสียหายของโรงพยาบาล ก็เป็นเรื่องของโรงพยาบาล มันเกี่ยวอะไรกับพวกแกด้วยล่ะ?”
“ภูมิหลังของพวกแกทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ ฉันได้สืบมาหมดแล้ว โดยเฉพาะแก บ้านอยู่ไกลมากเลยนี่ มาจากในภูเขาแน่ะ เหอะ ๆ ล้วนบอกว่าสถานที่ยากจนรกร้างสร้างกลุ่มคนกะล่อนปลิ้นปล้อน คำพังเพยที่ว่านี้ พูดไว้ไม่ผิดเลยจริง ๆ ” เจียงเหวยจ้องมองหรุ่ยเหวินเจ๋ และหัวเราะขึ้นมาอย่างมีเลศนัย
หรุ่ยเหวินเจ๋เหยียดแขนออก จึงทำให้แขนของเจียงเหวย ตกลงมา: “ลูกพี่ ลูกพี่หมายความว่ายังไง จะบอกว่าผมเป็นคนกะล่อนปลิ้นปล้อนสินะ?”
“ไม่ใช่หรอกเหรอ?”
“น้องชาย ฉันให้ซองแดงแกสักซองแล้วกัน มีคนไปก่อความวุ่นวายที่โรงพยาบาล มันเกี่ยวอะไรกับแก? แกเป็นแค่เด็กฝึกงาน ยังไม่ได้บรรจุ เงินเดือนก็ไม่ได้มากอะไร แถมยังไม่ได้ค่าคอมฯแล้วก็ไม่เงินใต้โต๊ะอะไร ต่อให้โรงพยาบาลนั่นเจ๊งไป แกก็ยังสามารถใช้ความสามารถของแก ไปเริ่มต้นใหม่ที่โรงพยาบาลอื่นได้ ยิ่งไปกว่านี้ โรงพยาบาลใหญ่ขนาดนั้น ก็ไม่มีทางที่จะเจ๊งเพราะเรื่องเล็ก ๆ แค่นี้”
“รอจนเฉินฝูเซิงถูกตัดสินโทษ ก็จะไม่มีใครไปก่อเรื่องที่โรงพยาบาลแล้ว ดังนั้น ระยะเวลาที่ฉันมีผลกระทบต่องานของแก ก็เพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง หรือไม่ก็เอาอย่างนี้ ในระยะเวลาไม่กี่วันที่มีคนไปก่อความวุ่นวายนี้ ฉันจะจ่ายให้แกตามจำนวนวันที่มีคนก่อความวุ่นวาย วันละหนึ่งพัน เป็นยังไง?” เจียงเหวยกล่าว
“แกเรียกออกมาตั้งสองแสน มันจะไม่สูงลิบลิ่วไปหน่อยเหรอ แกลองคิดดูหน่อยสิ พวกเราคนกลุ่มนี้ วัน ๆ ทำงานตากแดดตากลมอยู่ที่ท่าเรือ มันง่ายไหมกว่าจะได้เงินมา? ที่แกเรียกร้องมานั้น เป็นรายรับของฉันหลายปีรวมกันเชียวนะ แกคิดว่า ฉันจะยอมไหม?”
เจียงเหวยกล่าวไป ทันใดนั้นเขาก็หรี่ตาลง: “ฉันว่านะน้องชาย เป็นคนต้องรู้จักพอ วันหน้าจะได้ไม่ลำบาก แกดูสิ พรรคพวกของฉันกลุ่มนี้ แต่ละคนล้วนโหดเหี้ยมอำมหิต โทษของการฆ่าคน ฉันแบกรับไว้คนเดียวก็ได้แล้ว ส่วนคนที่เหลือพวกนี้ แกคิดว่าพวกเขาจะไปหาเรื่องแกไหมล่ะ?”
เจียงเหวยจ้องมองหรุ่ยเหวินเจ๋ จากนั้นเขาก็ยักคิ้วขึ้น
“พวกเขาทำแน่” หรุ่ยเหวินเจ๋พยักหน้า พลางกล่าว
“ไม่เพียงแค่หาเรื่องแก แต่พวกเขาจะฆ่าแกให้ตาย” เจียงเหวยกล่าว ในสายตาปรากฏแววอาฆาตออกมาเล็กน้อย