NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 597 แกจะต้องมองผิดไปแน่เลย
“ลูกพี่ พี่หนีไปก่อนเถอะ” คนเมื่อกี้ที่ถูกหรุ่ยเหวินเจ๋ทำร้าย หันไปพูดกับเจว๋เหริน
เจว๋เหรินพยักหน้า แล้วพูดว่า “เจอกันที่เก่า”
พอจบ เจว๋เหรินก็หันกลับไปมองจูเปิ่นพักนึก แล้วพูดว่า “พี่น้องของกูอาหลง จะฝากไว้กับพวกมึงก่อน ถ้าเกิดพี่น้องของกูเป็นอะไรขึ้นมา ต่อให้กูต้องตาย ก็ต้องทำให้เฉินฝูเซิงเลือดไหลให้ได้!”
จูเปิ่นยิ้มเบาๆ ไม่ได้คิดมากอะไรกับคำขู่ของเจว๋เหริน
“พวกเรากลับ”
ที่เจว๋เหรินยอมถอยกลับ ไม่ใช่เพราะว่าหวาดกลัวปืนที่อยู่บนมือของจูเปิ่น
แม้ที่นี่จะเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีคนสัญจรไปมา แต่ก็ยังเป็นชุมชน ถ้าเกิดใช้ปืนฆ่าคนแถวนี้ งั้นก็แปลกว่าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
คนของเฉินฝูเซิง ถ้าเกิดยังต้องการอยู่ที่เมืองเอกต่อ ก็ไม่สามารถยิงปืนได้
นี่เป็นกฎหมายของสังคม ถ้าเกิดทุกๆวันมีแต่เรื่องยิงปืนฆ่าคน งั้นทางด้านหูเฟย ก็จะกดดันเป็นอย่างมาก เบื้องบนเองก็คงจะตรวจสอบอย่างเข้มงวด
เพราะงั้น คนที่อยู่ในวงการนี้ ก็ต้องมีกฎที่ต้องทำตาม ถ้าเกิดมันไม่ถึงกับเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ก็คงไม่ต้องใช้ปืนฆ่าคนหรอก
แน่นอน ตามคนก็ทำเพื่อเงิน คงไม่มีใครที่อยากจะฆ่าคนหรอก
สิ่งที่เจว๋เหรินกลัวจริงๆก็คือ ลูกเหล็กที่ยิงมาเมื่อกี้
จนถึงตอนนี้ เจว๋เหรินก็ยังไม่รู้เลยว่าลูกเหล็กถูกยิงมาจากทางไหน
ใช้แค่ลูกเหล็กเล็กๆ ก็สามารถยิงมีดที่อยู่บนมือตัวเองหักได้ คู่ต่อสู้แบบนี้ เจว๋เหรินรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่สามารถต่อกรได้
ถ้าเกิดตัวเองไม่ยอมถอย อีกฝ่ายก็คงสามารถจัดการตัวเองได้อย่างง่ายดาย
หลี่ฝางพอเห็นเจว๋เหรินพาลูกน้องหนีไปแบบนี้ ก็พูดออกไปอย่างไม่พอใจ “จะปล่อยพวกเขาไปแบบนี้เหรอ?”
“เก็บพวกเขาเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ปล่อยพวกเขากลับไป ให้พวกเขากลับไปรายงานกับมู่เสี่ยวไป๋ ให้มู่เสี่ยวไป๋รู้ว่า เฉิงหยุนกับจูเฟิ่งปินสองคนนี้ ตอนนี้อยู่ในมือพวกเราแล้ว พอไอ้มู่เสี่ยวไป๋รู้ จะต้องกลัวแน่นอน” ส้าวส้วยหัวเราะ แล้วพูดต่อ “การตายของหวางต้อง ไม่แน่ว่าบางทีอาจจะปล่อยผ่านไปแบบนี้”
หลี่พยักหน้า เปิดประตู แล้วก็เดินลงไป
พอเดินมาถึงหน้าของจูเปิ่น จูเปิ่นพยักหน้าด้วยความเคารพ “คุณชายหลี ท่านเองก็มาด้วยเหรอ”
“อืม ฉันอยากมาเห็นกับตา คนข้างในเป็นยังไงบ้าง?” พอมองไปยังข้างในซอยแวบนึง หลี่ฝางก็เปิดปากถาม
“กำลังพยายามช่วยเหลืออยู่ แต่ว่าต่อให้ช่วยไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ที่นี่ยังมีอีกคนที่อยู่ครบสามสิบสอง” จูเปิ่นพยักหน้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
หลี่ฝางเดินเข้าไป จนถึงหน้าของไอ้โมฮอก “แกชื่อเฉิงหยุน ใช่ไหม?”
“คุณชายหลี่……” เฉิงหยุนมองไปยังหลี่ฝาง จากนั้นก็หัวเราะออกมา “นึกไม่ถึงว่า คนที่มาช่วยผมจะเป็นท่านไปได้”
“บนโลกนี้ไม่มีของฟรีหรอกนะ ที่ฉันช่วยแก ก็เพราะฉันมีเหตุผลของฉัน” หลี่ฝางไอไปหนึ่งที แล้วพูดออกมา
“ผมรู้ดี ผมติดตามลูกพี่หวางต้อง และทำงานให้กับมู่เสี่ยวไป๋มาหลายปี ในมือผม จะต้องรู้เรื่องที่มู่เสี่ยวไป๋ไม่อยากให้ใครเห็นอยู่ไม่มากก็น้อย”
เฉิงหยุนหัวเราะ “ต่อให้ผมบอกว่าไม่มี คุณก็คงจะไม่เชื่อ”
“ถ้าเกิดแกไม่มี ไอ้มู่เสี่ยวไป๋ก็คงจะไม่รีบร้อนส่งคนมาปิดปากแกหรอก”หลี่ฝางมองเฉิงหยุนด้วยความเย็นชา “ทำไม จนป่านนี้แล้ว ก็ยังคิดที่จะเก็บความลับไว้กับตัวเองอีกรึไง?”
เฉิงหยุนพูดด้วยใบหน้าที่สับสน “ถ้าว่ากันตามตรง ไอ้มู่เสี่ยวไป๋ถึงกับส่งคนมาปิดปากพวกเรา พวกเราก็ไม่ควรที่จะปกป้องเขา พวกเราควรที่จะแก้แค้น ไปเป็นพยานให้กับตำรวจ แล้วชี้ตัวเขาถึงจะถูก”
“แต่ว่าคุณชายหลี่เคยคิดไหม? ไอ้มู่เสี่ยวไป๋ ไม่ใช่คนที่พวกเราจะสามารถเอาผิดอะไรมันได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่ลูกพี่หวางต้องของพวกเรายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะเป็นคนตกลงกันเอง สิ่งที่พวกเราทำ ก็แค่ทำตามที่ได้รับสั่งมา”
“หลักฐานที่อยู่บนมือพวกเรา ไม่ได้มากมายอะไร ต่อให้เอาออกมารวมกันทั้งหมด ก็ไม่สามารถเอาผิดอะไรมู่เสี่ยวไป๋ได้” เฉิงหยุนพูด
หลี่ฝางหัวเราะ “ฉันไม่ได้คาดหวัดให้พวกแกสองคนเอาผิดอะไรกับมู่เสี่ยวไป๋ ฉันแค่อยากให้พวกแก บอกสิ่งที่พวกแกรู้ออกมาให้หมด แค่นั้นก็พอแล้ว”
“แน่นอน เรื่องค่าตอบแทน ฉันจ่ายให้พวกแกอยู่แล้ว “หลี่ฝางชี้นิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “หนึ่งล้าน”
เฉิงหยุนอึ้งไปพักนึก ไม่เคยนึกมาก่อนว่าหลี่ฝางจะให้มากขนาดนี้
เขาทำงานให้กับมู่เสี่ยวไป๋มาครึ่งชีวิต เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาหลายครั้ง เอาชีวิตเป็นเดิมพัน รวมๆทั้งหมดแล้วก็ยังไม่ถึงหนึ่งล้าน
แต่ตอนนี้ แค่แป๊บเดียวหลี่ฝางก็ให้พวกเขาหนึ่งล้านแล้ว
“หนึ่งล้านนี้คือให้พวกเราสองคน หรือว่า?” เฉิงหยุนลองถามดู “ช่างเถอะ ต่อให้คุณชายหลี่จะให้พวกเราเท่าไหร่ พวกเราก็พูดอยู่ดี เพราะไม่ว่าจะยังไง เมื่อกี้ถ้าเกิดไม่ได้คุณชายหลี่ พวกเราคงตายไปแล้ว”
“ตอนนี้ชีวิตของพวกเรา คุณชายหลี่เป็นคนช่วยเอาไว้ ถึงว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณ” เฉิงหยุนพูด
หลี่ฝางพูดว่า “หนึ่งล้านต่อคน ฉันไม่รีบร้อน เช้าวันที่สองค่อยให้ฉันก็ได้ แกมีเวลาหนึ่งอาทิตย์ในการเขียน พอเขียนเสร็จฉันจะส่งแกกับครอบครัว ออกไปจากเมืองเอก ไปยังสถานที่ปลอดภัย”
“เขาเองก็เหมือนกัน”พูดเสร็จ หลี่ฝางก็หันไปมองจูเฟิ่งปินพักนึง
ตอนนี้ หรุ่ยเหวินเจ๋กำลังจัดการบาดแผลให้กับจูเฟิ่งปินอยู่ และในเวลานี้เอง ข้างนอกก็มีเสียงของรถพยาบาลดังขึ้นมา
“แม่เจ้า เพื่อน แกรอดแล้ว ฉันกำลังคิดอยู่ว่าถ้าเกิดเพื่อนร่วมงานของฉันมาช้ากว่านี้ แกคงต้องตายแล้ว” หรุ่ยเหวินเจ๋พูดพร้อมกับสีหน้าดีใจ
“ลูกพี่ ผมไม่มีเงิน”พอมองไปยังหรุ่ยเหวินเจ๋ ใบหน้าของจูเฟิ่งปิน ก็แสดงความสิ้นหวังออกมา
เมื่อกี้จูเฟิ่งปินได้ยินอย่างชัดเจนว่า หรุ่ยเหวินเจ๋กับคนในสายขูดเลือดขูดเนื้อกันยังไง
“พวกเดียวกัน ฉันไม่โกงแกหรอก”หรุ่ยเหวินเจ๋หัวเราะ
จูเฟิ่งปินมองหรุ่ยเหวินเจ๋แวบนึง แววตายังคงเหลือความสงสัยอยู่
“ฮ่าๆ ค่ารักษาของเขา มาเอากับฉัน”
หลี่ฝางตบไหล่ของหรุ่ยเหวินเจ๋ แล้วพูดว่า “ไม่เลว หัวการค้าไม่เบา ส่วนคนที่อยู่ข้างนอก แกสามารถโกงได้ตามใจชอบ ถ้าเกิดเขาจ่ายไม่ไหว ก็ให้ไอ้เจว๋เหรินมาจ่าย”
หลี่ฝางพูดด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “ถ้าเกิดเจว๋เหรินไม่ยอมมาจ่าย ก็จับมันขังไว้”
“เข้าใจแล้ว คุณชายหลี่” หรุ่ยเหวินเจ๋ยิ้มพร้อมพยักหน้า
“แกรู้จักฉัน?”หลี่ฝางตกใจไปพักนึง
หรุ่ยเหวินเจ๋พยักหน้า แล้วพูดว่า “แน่นอนว่าต้องรู้ ถ้าเกิดแม้แต่เรื่องที่ผมทำงานให้กับใครยังไม่รู้ ยังเรียกว่าพวกเดียวกันได้อีกเหรอ?”
สักพัก ข้างในรถพยาบาลคันนั้น ก็ยกโต๊ะผ่าตัดออกมา ถ้าเกิดผ่าตัดกลางแจ้งแบบนี้ บาดแผลต้องติดเชื้ออย่างแน่นอน
หรุ่ยเหวินเจ๋ทำหน้าเครียด แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ไปผ่าตัดข้างในรถจะดีกว่า เหล่าอู๋ล่ะ?”
“เหล่าอู๋ไม่มา เขาบอกว่ากลัวจะทำผิดกฎของโรงบาล แกควรจะเข้าใจเขา ยังไงซะเขาก็ทำงานมาสิบกว่าปี ไม่กี่วันก็เกษียณแล้ว ถ้าเกิดมีเรื่องในเวลาแบบนี้ ทำผิดกฎขึ้นมา แล้วถูกผอ.ไล่ออก มันไม่คุ้น”
ผู้หญิงที่ชื่อพี่จางคนนั้นพูด
ผู้หญิงที่ชื่อพี่จาง อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว น่าจะราวๆสี่สิบแล้ว แต่ว่า พอเขาเห็นสถานการณ์แบบนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย
ดูเหมือนคนที่ชิวแล้ว
หลี่ฝางเดินเข้าไปถาม ด้วยความสนใจ “พี่สาว พี่ไม่กลัวเหรอ?”
“ให้กลัวอะไร ก็แค่โดนมีดแทงเท่านั้นเอง ฉันอยู่โรงบาลมาหลายปี เจอคนเจ็บมาตั้งเยอะ บางครั้งโดนรถชนจนแทบจะไม่ไหวแล้ว ทั้งตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด ไม่ว่าจะดึกขนาดไหนฉันก็ไม่กลัว อย่างสถานการณ์แบบนี้ ก็แค่เรื่องเล็ก”
พี่จางพูดอย่างชิวๆ จากนั้นก็หันไปมองชายสวมหน้ากาก แล้วพูดว่า “ฮ่าๆ ดึกๆแบบนี้ยังจะใส่ผ้าปิดปากอีก คิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่อยู่รึไง รีบถอนออกเถอะ”
“มา กัดเอาไว้”
พี่จางพูด จากนั้นก็เอาผ้าให้กับชายสวมหน้ากาก แล้วพูดว่า “ฉันกำลังจะดึงมีดออก คุณก็ทนเอาหน่อย อย่าร้องล่ะ ที่นี่เป็นย่านของผู้อยู่อาศัย ถ้าเกิดคุณส่งเสียงร้องในเวลาดึกๆแบบนี้ จะต้องดึงดูดคนเข้ามาแน่”
“อืม”
ชายสวมหน้ากากก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ตอบได้ได้ได้ ครับครับครับ
เพราะยังไงซะลูกพี่เจว๋เหรินของเขาก็ไปแล้ว คนที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ ล้วนเป็นศัตรูของเขา ถ้าเกิดทำตัวกวนประสาทในเวลาแบบนี้ งั้นมันก็เป็นการหาที่ตายน่ะสิ?
ชายสวมหน้ากากเพิ่งจะเอาผ้าเข้าปาก พี่จางก็ดึงมีดออกมาทันที จากนั้นก็มีเลือดพุ่งออกมา “ไม่เลวเลยนี้แกนะ ฝีมือพัฒนาขึ้นเรื่อยๆนะเนี่ย ในหมู่เด็กฝึกงาน ก็มีแกนี้แหละที่มีฝีมือกับพรสวรรค์มากที่สุด น่าเสียดาย”
พอมองไปยังหรุ่ยเหวินเจ๋ พี่จางก็พูดด้วยสีหน้าที่ดูสับสน
หรุ่ยเหวินเจ๋ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “พี่จาง พี่รีบเอาเลือดให้กับเขาเถอะ สามหมื่นต่อเลือดหนึ่งถุง เงินนี้พวกเราแบ่งเท่ากัน ผมไม่ให้พี่มาเสียเที่ยวหรอก”
“เจ๋งนี้ว่ะแก อย่างนี้ คืนนี้พี่ก็หาเงินมาได้หกหลักน่ะสิ มากกว่าที่พี่ทำมาทั้งปีอีก” พี่จางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
หลี่ฝางมองอยู่พักนึง จากนั้นก็เดินออกมา ยังไงซะสถานการณ์แบบนี้ หลี่ฝางก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็แค่การผ่าตัดทั่วไป
ตอนที่หลี่ฝางเดินออกมา ก็พาเฉิงหยุนไปด้วย เฉิงหยุนพอขึ้นไปบนรถ เขาก็ยังคงกังวลอาการของเพื่อนตัวเอง “จูเฟิ่งปินเป็นยังไงบ้าง?”
“ร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน แถมที่นี่ก็ไม่เหมาะกับการรักษา ฉันเองก็ไม่กล้ารับประกันกับแก แกเองก็รู้ การที่จะได้เข้ารับการผ่าตัดอย่างถูกกฎหมาย หมอก็ต้องการให้คนในครอบครัวเซ็นต์ยืนยัน จะอยู่หรือตายก็อยู่ที่โชค แกว่างั้นไหม?”
หลี่ฝางยิ้ม แล้วพูดว่า “แต่ฉันขอรับประกันกับแก คนของฉัน จะทำทุกวิธีทางเพื่อรักษาเพื่อนของแก”
“ผมรู้ดี ถ้าเกิดพวกคุณไม่อยากช่วย คงไม่ต้องลงทุนขนาดนี้”
เฉิงหยุนพูดว่า “ความจริง ต่อให้เขาจะเป็นร้ายดียังไง พวกคุณก็ไม่เดือดร้อนอะไร ขอแค่พวกเราสองคน รอดสักคนก็พอแล้ว”
“คุณชายหลี่ ท่านเป็นคนดี” เฉิงหยุนมองไปยังหลี่ฝาง ด้วยแววตาที่สับสน
“เป็นคนดีแล้วไม่ดีรึไง?” หลี่ฝางหันไปพูดกับเฉิงหยุน “ทำไมดูจากท่าทางของแกแล้ว ไม่เห็นเหมือนว่ากำลังชมฉันอยู่เลย?”
“คนดีเอาชนะคนชั่วไม่ได้ ถ้าคุณเป็นแบบนี้ คงต้องรับมือกับมู่เสี่ยวไป๋อย่างยากลำบาก สิ่งที่มู่เสี่ยวไป๋ทำ ล้วนเป็นแผนสกปรก แถมยังโหดร้าย อย่างเช่นแบบนี้ จะไม่มีทางให้ตัวเองมีภัยคุกคามแม้แต่น้อย ต่อให้ผมกับจูเฟิ่งปินจะไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมปล่อยให้พวกเรามีชีวิตอยู่”
เฉิงหยุนพูด พร้อมกับหันไปมองหลี่ฝาง “มู่เสี่ยวไป๋มีจิตใจที่ดำมืดมากกว่าท่าน”
หลี่ฝางหัวเราะ “อย่าเพิ่งรีบตัดสินสิ ใครจะเป็นคนหัวเราะในตอนสุดท้าย มันก็ยังไม่แน่”
“อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ คนที่เสียผลประโยชน์ล้วนเป็นมู่เสี่ยวไป๋” หลี่ฝางพูดพร้อมรอยยิ้ม
เฉิงหยุนไม่ได้พูดอะไร ถูกหลี่ฝางพามายังข้างในโรงแรมแห่งนึง ตอนราวๆตีสองตีสาม เฉิงหยุนก็เดินออกมาจากห้องตัวเอง “ผมเอาสิ่งที่ทำมาหลายปีนีนี้ ล้วนเขียนลงไปในนี้แล้ว คุณชายหลี่ เพื่อนของผม……”
“เพื่อนของแกตอนนี้ร่างกายยังอ่อนแออยู่” หลี่ฝางแทรกกลางคำพูดของเฉิงหยุน แล้วพูดต่อว่า “แต่เขายังมีชีวิตอยู่”
“เขามีน้องสาวอยู่คนนึง แกรู้ไหมตอนนี้อยู่ที่ไหน?” หลี่ฝางถาม
เฉิงหยุนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดว่า “เมื่อก่อนน้องสาวเขาเคยถูกคนโรคจิตคนนึงรังแก ผมเคยไปหาโรคจิตคนนั้น อยู่ที่โรงเรียนมัธยมโบตั๋น…….”
“นอกประตูมีคนอยู่ แกตามพวกเขาไป แล้วรับตัวน้องสาวของจูเฟิ่งปินมา คืนนี้ ฉันจะเตรียมการให้พวกแกหนีออกไป แล้วนี้แกต้องการจะพาใครไปด้วยอีกรึเปล่า? ถ้ามีก็ไปรับมาด้วยเลย ฉันได้ยินมาว่า แก……แกเป็นเด็กกำพร้า”
เฉิงหยุนพยักหน้า “ผมไม่มีใครที่ต้องพาไปด้วย หลายปีมานี้ ผมก็มีแค่พวกเพื่อนๆ แล้วก็ลูกพี่ ลูกพี่ผมตายแล้ว เพื่อนฝูงเองก็ไปติดตามคนอื่น ตอนนี้ ก็เหลือแค่จูเฟิ่งปิน แค่เขายังไม่ตาย ผมก็ดีใจแล้ว”
พอเห็นหน้าหลี่ฝาง ปากของเฉิงหยุนก็เหมือนกำลังจะพูดอะไรบ้างยัง หลี่ฝางทำหน้าเครียด “เรื่องเงินฉันให้คนเตรียมเอาไว้แล้ว”
“วางใจได้ ฉันไม่ผิดคำพูดหรอก คนละหนึ่งล้าน เงินสดสองล้าน ตอนที่แกหนีออกไป ฉันจะเป็นคนมอบให้กับแกด้วยมือตัวเอง” หลี่ฝางให้คำมั่นสัญญา
“ไม่ใช่เรื่องเงิน คุณชายหลี่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
พอมองหน้าหลี่ฝาง เฉิงหยุนก็พูดขึ้นมา “คุณชายหลี่ ไม่รู้ผมมองผิดไปรึเปล่า ไม่กี่วันก่อน ผมเห็นลูกน้องของท่านหวางเห้า ได้เข้ามาที่บ้านตระกูลมู่ ตอนนั้นเขาแต่งตัวอย่างมิดชิด ใส่หมวก กับแว่น แถมปลอมตัวมาอย่างดี”
“ท่านระวังคนๆนี้เอาไว้ให้ดี”
“หวางเห้า?” หลี่ฝางรู้สึกสงสัยเล็กน้อยในสิ่งที่เฉิงหยุนพูดออกมา หวางเห้ากับตัวเองสนิทกันขนาดนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะหักหลังแม้แต่น้อย ทำไมถึงไปบ้านของตระกูลมู่ได้ล่ะ?
หลี่ฝางทำหน้าเครียด “แกต้องมองผิดไปแน่ๆ”