NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 649 คุกเข่าลงให้หมด
เวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไหร่ ด้านหน้าประตูของสถานตากอากาศก็มีคนมากหน้าหลายตายืนอยู่เต็มไปหมด
มีคนจำนวนไม่น้อยในนั้น ที่หลี่ฝางเคยเจอมามาแล้ว
ลุงเฉียนเดินไปถึงหน้าประตู แล้วกระซิบถามหน้าหนวด “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
“อีกฝ่ายจะลองเจรจาก่อนลงมือครับ ลุงเฉียนคนพวกนี้เป็นคนคุ้นเคยของลุง อีกทั้งทุกคนในตระกูลเฉียนก็มารวมตัวกันหมดแล้ว คาดว่าไม้แรกของพวกเขาก็คงเป็นการอาศัยความผูกพันธ์ของลุงมาสู้แล้วล่ะ” หน้าหนวดพูดขำๆ
“ถ้าต้องเผชิญหน้ากับคนพวกนี้ ผมไม่สะดวกจะใช้ความรุนแรง เพราะงั้นผมเลยต้องเรียกคุณออกมา” หน้าหนวดยิ้มฝืน
ลุงเฉียนพยักหน้านิดหน่อย “อืม นายพาคนไปตรวจดูหน่อย ได้ยินว่ามีคนบุกเข้ามาจากทางภูเขาด้านหลัง”
“ครับ”
หน้าหนวดพยักหน้า “ผมจะลาดตระเวนรอบนึง แล้วจะรีบกลับมาครับ”
“ห่างออกไปสองร้อยเมตร มีนักฆ่าฝีมือดีร้อยกว่าคน” หน้าหนวดพูด “พวกมันหลบหัวอยู่ในรถ”
ใบหน้าของลุงเฉียนเย็นชาขึ้นมา “ดูท่าทางพวกมันจะใช้โอกาสที่ลูกพี่กับส้าวส้วยไม่อยู่รังแกพวกเรางั้นสินะ”
“พวกเราไม่ใช่คนที่จะยอมให้โดนรังแกสักหน่อย อย่างมากก็…”
หน้าหนวดยังไม่พูดทันจบ ลุงเฉียนก็ตัดบทก่อน “เอาล่ะ ไปทำงานของนายเถอะ”
“ครับ” หน้าหนวดเองก็ตระหนักได้ว่าตัวเองปากไม่ดี จึงพาคนเดินเข้าสถานตากอากาศไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อหน้าหนวดเดินออกไป เฉียนโตโต หัวหน้าตระกูลเฉียนก็วิ่งเข้ามา
“ฉันก็ว่าอยู่ นายไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนใครเข้าล่ะ? แค่ครึ่งชั่วโมงสายโทรศัพท์ฉันก็แทบจะระเบิด ธุรกิจครอบครัวก็ถูกระงับชั่วคราว กิจการอื่นๆที่จะร่วมงานกับเราถ้าไม่หายเงียบไป ก็ขอยกเลิก ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เฉียนโตโตมองหน้าลุงเฉียนแล้วตำหนิ
“ฉันออกจากตระกูลเฉียนมาแล้ว เพราะงั้นระวังคำว่าเรา จะทำให้ตัวพี่เองต้องลำบาก” ลุงเฉียนพูด
“ฉันก็อยากจะตัดความสัมพันธ์กับนายเหมือนกัน แต่เพราะนาย พวกมันถึงมาเอาเรื่องถึงหน้าบ้าน นายจะให้ฉันทำยังไง?” เฉียนโตโตขมวดคิ้ว พูดด้วยใบ้หน้าบึ้งตึง “ตอนนี้นายมีคนใหญ่คนโตคุ้มกะลาหัว พวกมันทำอะไรนายไม่ได้ แต่ตระกูลเฉียนของเรา…”
“กว่าพวกเราตระกูลเฉียนจะมีวันนี้ได้ไม่ง่าย นายเองก็คงไม่อยากให้มันล่มสลายไปด้วยน้ำมือของนายเองหรอกใช่ไหม?” เฉียนโตโตสบตาลุงเฉียนมีนัยยะ
ลุงเฉียนหัวเราะหึ “ฉันสร้างตระกูลเฉียนขึ้นมาด้วยมือเปล่า ต่อให้มันจะล่มสลายด้วยน้ำมือฉันจริงๆ ใครก็ว่าอะไรฉันไม่ได้ ทั้งพี่ ทั้งพวกตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลาย ก็ไม่มีสิทธิ์”
“น้องสอง!” จู่ๆเฉียนโตโตก็คำรามเสียงดัง
“นายคิดจะทำอะไรกันแน่?” เฉียนโตโตเอ่ยถาม
“ฉันลักพาตัวลู่เทียน!” ลุงเฉียนตอบกลับเสียงเฉยชา
“ลู่เทียน? นายหมายถึง…หัวหน้าตระกูลู่…” ทันใดนั้นเฉียนโตโตก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว “นายบ้าไปแล้วแน่ๆ ตระกูลลู่เป็นตระกูที่พวกเราจะไปกระตุกหนวดได้ที่ไหน?”
“ก็แค่พี่ที่ทำไม่ได้” ลุงเฉียนพูดแก้
“ไม่น่าล่ะ ไม่น่าล่ะธุรกิจของครอบครัวเราถึงโดนสั่งหยุดชะงัก เพราะนายลักพาตัวท่านลู่ไปนี่เอง นายมันบ้าไปแล้วจริงๆ”
“นายรู้หรือเปล่า ในเมืองของเราน่ะ ท่านลู่คือ…”
ลุงเฉียนพยักหน้า “ฉันยังไม่ได้แก่สมองเสื่อมขนาดนั้น เขาเป็นใคร มีอำนาจมากขนาดไหน ฉันรู้ดีกว่าทุกคน แค่เขากระดิกเท้าก็สามารถทำให้ตระกูลเฉียนล่มสลายได้”
“นับประสาอะไรกับแค่ตระกูลเฉียน ต่อให้เป็นตระกูลมู่หรือตระกูลฉิน แค่ท่านลู่อ้าปากสั่งคำเดียว ตระกูลพวกเรทั้งหลายก็จบเห่ได้ในพริบตา”
เฉียนโตโตขบฟันแน่น “นายไปหาเรื่องคนแบบเขาทำไม? นายเคยมีความแค้นอะไรกับเขาหรือไง?”
ลุงเฉียนไม่ได้ตอบ แต่มองหน้าเฉียนโตโตแล้วพูด “พี่ใหญ่กลับไปเถอะ พี่น่าจะรู้จักนิสัยของฉันดี ในเมื่อฉันกล้าจับตัวเขามา ฉันก็จะไม่ปล่อยง่ายๆ”
“อีกอย่าง ตั้งแต่เด็กจนโตเรื่องอะไรที่ฉันอยากทำ พี่เคยห้ามฉันได้หรอ?”
เฉียนโตโตโกรธจนตัวสั่น เขาหันกลับไปพูดกับทุกคนในตระกูลเฉียน “คุกเข่าลงให้หมด”
“ทายาทตระกูลเฉียนทุกคน คุกเข่าลงให้หมด”
สิ้นสุดคำสั่งของเฉียนโตโต สมาชิกทุกคนในตระกูลเฉียน ไม่ว่าจะผู้หญิงผู้ชายคนเด็กคนแก่ ล้วนนั่งคุกเข่าให้ลุงเฉียน
ไม่เว้นแม้แต่เฉียนเฟิงที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ หรือเฉียนเป่าเอ๋อที่หลี่ฝางเคยเจออยู่สองสามครั้ง
ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันนั่งคุกเข่าหันไปหาลุงเฉียน รวมๆก็หลายสิบชีวิต
“น้องสอง นายจะไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆหรอ?”
“นายจะยอมทนเห็นคนในตระกูลนับสิบคนสูญเสียบ้าน ต้องกลายเป็นคนเร่ร่อน ขอทานริมถนนได้จริงๆงั้นสิ?”
“ทุกคนที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้านายก็เหมือนนาย พวกเขามีสายเลือดตระกูลเฉียนไหลอยู่ทั่วร่างกาย ในนั้นยังมีเด็กอายุไม่ถึงขวบนึงอยู่สองคน ถ้าตระกูลเฉียนของเราล้มละลาย เด็กสองคนนี้จะเติบโตได้ยังไง? นายเคยคิดถึงเรื่องนี้บ้างไหม?”
เฉียนโตโตพูดจบ ก็หันไปพยักหน้าให้คนที่อยู่ข้างๆ
“ขอให้ลุงรองช่วยปล่อยมือด้วย”
“ขอให้ท่านรองช่วยปล่อยมือด้วย”
ไม่นาน ทุกคนก็เอ่ยปากออกมา ทำตัวน่าสงสารใส่ลุงเฉียนพร้อมๆกัน
กระทั่งหญิงสาวสองสามคนถึงกับเริ่มร้องห่มร้องไห้ แต่ใบหน้าของลุงเฉียนกลับไม่แสดงท่าทีใดๆแม้แต่น้อย
“ตอนนั้นพวกนายบีบให้ฉันออจากตระกูลเฉียน นับตั้งแต่วินาทีนั้น ระหว่างฉันกับตระกูลเฉียนก็ไม่เหลือเยื่อใยอีกแม้แต่นิดเดียว ฉันไม่ใช่คนของตระกูลเฉียนอีกต่อไป แต่วันนี้ พวกนายกลับมาคุกเข่าลงตรงหน้าฉัน เรียกฉันว่าลุงรอง ท่านรอง เหอะๆ ไม่นายมีสิทธิ์หรือไง?”
“พวกนายบีบให้ฉันออกจากตระกูลก็เพื่อผลประโยชน์ เพื่อความสูงส่งและอำนาจ และวันนี้ที่มาคุกเข่าให้ฉัน มิหนำซ้ำยังนับถือฉันเป็นผู้อาวุโส ก็เพื่อประโยชน์ เพื่อความสูงส่งและอำนาจอีกอยู่ดี”
ลุงเฉียนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกนายไม่รู้สึกว่าตัวเองหน้าเลือดเกินไปหรือไง?”
“ครอบครัวที่ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกผูกพันต่อกัน ต่อให้ในภายภาคหน้าจะกลายเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ แต่มันจะมีความหมายอะไร?”
“อีกอย่าง ตระกูลเฉียนอยู่มาตั้งนานขนาดนี้ แค่วิธีรับมือก็ยังไม่มีหรอ? ถ้าไม่มีใครมาร่วมลงทุนด้วย ธุรกิจของตระกูลเฉียนก็จะล้มละลายหรอ?”
ลุงเฉียนพูดด้วยความผิดหวัง
เฉียนโตโตมองลุงเฉียน “น้องสอง ตอนนี้นายมาพูดพวกนี้มันจะมีความหมายอะไร การเติบโตของตระกูลเฉียนตลอดหลายปีนี้ ล้วนเป็นเพราะพึ่งพาการดูแลจากสี่ตระกูลใหญ่ แต่นี่นายเล่นลักพาตัวท่านลู่ สี่ตระกูลจะปล่อยพวกเราตระกูลเฉียนไปได้ยังไง?”
“นายไม่ควรพึ่งพาสี่ตระกูลนั่นมาตั้งแต่แรก”
ลุงเฉียนพูด “ไปซะ นี่เป็นจุดจบที่พวกนายจะต้องได้รับ ฉันไม่ยอมให้พวกนายมาผูกมัดแน่”
“น้องสองต้องให้ฉันคุกเข่าด้วยใช่ไหม นายถึงจะยอม?”
เฉียนโตโตพูดจบ ก็ล้มตัวลงคุกเข่าตรงหน้าลุงเฉียนท่ามกลางสายตาของทุกคู่
เฉียนโตโตที่เป็นพี่ใหญ่ ยอมคุกเข่าให้น้องชายตัวเอง
ต้องใช้ความกล้าขนาดไหน?
พอจะรู้ได้ว่า เฉียนโตโตคงโดนบังคับจนถึงทางตันแล้วจริงๆ
“ฉันผิดไปแล้วน้องสอง ฉันขอยอมรับผิดได้ไหม ตอนนั้นฉันน่าจะฟังนาย ฉันไม่น่าไล่นายออกไป ไม่น่ากลับไปเชื่อฟังสี่ตระกูลใหญ่ พวกเราผิดไปแล้ว เราขอยอมรับผิดกับนาย ปล่อยท่านลู่ไปแล้วกลับบ้านเรากันเถอะ ฉันจะยกตำแหน่งหัวหน้าตระกูลให้นาย ให้นายนำพาตระกูลเฉียนของเรากลับไปรุ่งโรจน์อีกครั้งเป็นไง?” เฉียนโตโตพูด
ใบหน้าของลุงเฉียนกระตุกเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้า “ดึกมากแล้ว ตระกูลเฉียนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจการสี่ตระกูลใหญ่ไปแล้ว ความจริง ในเมืองเอกไม่เคยมีตระกูลเฉียน ตระกูลฉิน หรือตระกูลมู่ด้วยซ้ำ พวกนายก็แค่สาขาย่อยที่แยกตัวออกมาจากสี่ตระกูลใหญ่ก็เท่านั้น”
“ต่อให้ฉันกลับไป อย่างมากก็ทำได้แค่เริ่มต้นจากศูนย์” ลุงเฉียนพูด
“พี่ใหญ่ลุกขึ้นเถอะ พี่เป็นพี่ฉัน ไม่ควรจะคุกเข่าให้แบบนี้”
เฉียนโตโตพูด “ฉันอายุปูนนี้แล้ว นายคิดว่าฉันยังโลภหรอ? ตอนที่ฉันไล่นายออกจากตระกูลเมื่อหลายปีก่อน เป็นเพราะฉันหวังหุบตำแหน่งหัวหน้าตระกูล หวังหุบทรัพย์สมบัติก็จริง แต่ตอนนี้ฉันไม่ต้องการมันแล้ว ฉันแค่อยากให้ตระกูลของเราสามารถสืบทอดต่อไป อย่าให้ตระกูลเฉียนต้องมอดไหม้ด้วยฝีมือของเราสองพี่น้องเลย”
“ถ้าวันนี้นายไม่รับปาก ฉันก็จะไม่ลุกขึ้น”
ตอนนี้เอง ผู้อาวุโสหลายคนก็เดินเข้ามา
“ท่านรองเฉียน ได้โปรดรับปากท่านเฉียนเถอะครับ”
“ท่านรองเฉียน ท่านลู่ไม่ใช่คนที่ประชนชนธรรมดาแบบเราจะปฏิบัติตนไม่ดีด้วยได้นะครับ ตระกูลพวกเขายิ่งใหญ่กว่าพวกเรามาก รีบใช้โอกาสตอนที่คนของตระกูลลู่ยังไม่มาที่เมืองเอก ใช้โอกาสตอนที่ยังไม่สายวางมือเถอะครับ”
คนจำนวนมากค่อยๆพากันกรูเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมใจกันโน้มน้าวลุงเฉียน
วินาทีนี้ลุงเฉียนจึงพูดขึ้น “ฉันเหนื่อยแล้ว โหจื่อ ส่งแขก”
“ได้ ลุงเฉียน”
โหจื่อเผยยิ้มบางๆ “ได้ยินแล้วใช่ไหมพวกลุงทั้งหลาย? รบกวนรีบๆกลับไปเถอะ อย่ามาทำอะไรที่มันไร้ประโยชน์ตรงนี้เลย”
“ถ้าไม่มีอะไรทำ กลับไปนั่งดื่มชาที่บ้านก็ไม่เลวนะ ทำไมต่อถ่อมารับโทษถึงที่นี่กันด้วย” โหจื่อส่ายหน้า เริ่มออกแรงไล่
จังหวะนั้นเฉียนเป่าเอ๋อเตรียมจะลุกขึ้น แต่ถูกเฉียนโตโตถลึงตาใส่
“ทุกคนในตระกูลเฉียน คุกเข่าต่อไป ถ้าฉันไม่อนุญาต ใครกล้าลุกขึ้นมาฉันจะไล่มันออกจากตระกูลทันที”
เฉียนโตโตพูดด้วยใบหน้านิ่งสงบ “แล้วระหว่างที่นั่งคุกเข่า ห้ามกินข้าว ห้ามกินน้ำ”
“ท่านเฉียน จะทำขนาดนี้เพื่ออะไร?”
“ก็ใช่นะท่านเฉียน อดข้าวอดน้ำแบบนี้ต่อไป พวกคุณได้ตายแน่ แล้วยิ่งคนอายุปูนนี้แบบคุณ กระดูกกระเดี้ยวจะทนได้กี่น้ำกัน?”
“จริงด้วย สีท้องฟ้าแบบนี้ฝนใกล้จะตกแล้วล่ะ ไหนจะมีคนท้องอยู่ข้างหลังคุณอีกล่ะ”
“ไหนจะเด็กเล็กเด็กน้อย ฟังสิ หนูน้อยกำลังร้องไห้อยู่นะ”
เสียงร้องไห้แงดังลอยเข้าหู สีหน้าของเฉียนโตโตเย็นชา เขามองลุงเฉียนที่กันหลังเดินออกไปแล้ว “น้องสอง ถ้านายไม่รับปาก พวกเราตระกูลเฉียนทั้งสามสิบห้าชีวิตจะไม่ลุกขึ้นเด็ดขาด”
“นี่คุณกำลังบีบลุงเฉียนหรือนี่” โหจื่อหัวเราะเหอะๆ
“ใช่ ฉันกำลังบีบเขา ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเขาจะใจดำมากขนาดไหน” เฉียนโตโตพูดเสียงเย็นชา
ลุงเฉียนไม่ได้หันกลับมา แต่สาวเท้ายาวเดินกลับเข้าไปในสถานตากอากาศ
“ในเมื่อชอบคุกเข่าซะขนาดนั้น งั้นก็ทำต่อไปเถอะ” ลุงเฉียนพูดส่งท้าย ก่อนจะหายวับไป
หลี่ฝางเหล่มองโหจื่อ โหจื่อหัวเราะหึ “พวกคุณเนี่ยนะ ไม่ได้เคยได้ยินคำพูดที่ว่าลามะอดข้าวจนผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าหรือไง ถึงแม้ธุรกิจจะเจ๋งแล้วไงล่ะ ดูเสื้อผ้า เครื่องประดับแบรนด์เนมราคาแพงทั้งหลายที่พวกคุณที่นั่ง…ไม่สิ คุกเข่าอยู่สวมใส่แล้ว ถ้าเอาไปขาย มูลค่ารวมๆกันคงได้หลายล้านหรืออาจจะถึงหลักสิบล้านแล้วมั้ง?”
“ใครๆก็พูดว่าคนที่ประสบความสำเร็จส่วนมาก สามารถยอมรับความทุกข์ใจได้ ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่าพวกคุณจะคุกเข่าได้สักกี่น้ำ”
โหจื่อพูดกับกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังเฉียนโตโต “ทนได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นนะ ถ้าไม่ไหวจริงๆก็ลุกขึ้นแล้วกลับไปซะ ไม่ใช่คนของตระกูลเฉียนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“แต่ไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ ตายได้นะ หรืออยากจะเป็นผีเฝ้าตระกูลเฉียนก็เอาที่สะดวก เหอะๆ”
พูดจบ โหจื่อก็หันไปส่งสัญญาณให้หลี่ฝาง แล้วเดินเข้าสถานตากอากาศไป
เมื่อมาถึงหน้าประตูสถานตากอากาศ โหจื่อพูดขึ้น “ปิดประตูเถอะ”
“นับตั้งแต่วินาทีเป็นต้นไป สถานตากอากาศหลงฉวนไม่ต้อนรับแม้แต่แมลงตัวเดียว เข้าใจไหม?”
รปภ.ที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ตรงประตูพยักหน้า “เข้าใจครับ พี่โหจื่อ”
“จริงสิ ทุบกล้องวงจรปิดซะ ลุงเฉียนเป็นคนยังไงฉันรู้ดีกว่าใคร อีกเดี๋ยวคงได้แอบเปิดกล้องดูแน่”
โหจื่อพูดเสียงเย็นชา
รปภ.ที่เฝ้าหน้าประตูลังเลนิดหน่อย โหจื่อไมรอช้า เขาล้วงปืนออกมาแล้วยิงใส่กล้องวงจรปิดดังปั้ง
“บางครั้งลุงเฉียนก็ตัดสินใจไม่เด็ดขาด พวกเราต้องคอยช่วย”
โหจื่อพูดจบก็เดินเข้าไปในสถานตากอากาศที่อยู่ด้านใน ข้างในสถานตากอากาศดูแล้วมีแต่ความสงบเรียบร้อย
โหจื่อหย่อนก้นลงนั่ง แล้วพูดอย่างอารมณ์ดี “ผมต้องพักผ่อนหน่อย เดาว่าหลังจากตะวันตกดินคงได้มีสงครามใหญ่เกิดขึ้นแน่”
“นายหมายถึงพวกที่อยู่ห่างออกไปสองร้อยเมตรนั่น?” หลี่ฝางถาม
“นอกจากพวกมัน จะมีใครอีกล่ะครับ?” โหจื่อหัวเราะ
“พวกมันสามารถโจมตีเข้ามาได้หรอ?” หลี่ฝางเริ่มกังวล
“แน่นอนว่าสามารถครับ เราขุดหลุมรอไว้แล้ว รอก็แต่ให้พวกมันกระโดดลงไปเท่านั้น” โหจื่อฉีกยิ้มมุมปาก