NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 657 ท่านลู่มาหาถึงที่
หลังจากที่ลุงเฉียนออกมา ก็เดินมาถึงข้างในบ้านเล็กๆแห่งนึง แล้วเริ่มคิดทบทวนคนที่มีอำนาจในเมืองเอก
ตระกูลตงฟาง……
ตระกูลที่ลึกลับนี้ จะต้องซ่อนตัวอยู่ในตระกูลแห่งนึงในเมืองเอก
ตระกูลฉิน?
ตระกูลมู่?
ตระกูลหวาง? ตระกูลหลี่? ตระกูลเฝิง?
ตระกูลมากขนาดนี้ ในสายตาของลุงเฉียน มองเป็นเส้นเดียวกัน
ในเมื่อพวกเขาปรากฏออกมาแล้ว งั้นก็ตรวจสอบได้ไม่ยาก
……
สักพัก โหจื่อก็มาเคาะประตู เดินเข้ามาข้างในบ้านพร้อมกับหลี่ฝาง
ลุงเฉียนนวดหัวตัวเอง แล้วพูดว่า “เป็นไงบ้าง?”
“จัดการคน ข้างนอกยังไง?” ลุงเฉียนมองหน้าโหจื่อแล้วถามขึ้นมา
“ทำตามที่เสี่ยวฝางต้องการ ทำให้พิการทั้งหมด” โหจื่อหัวเราะฮ่าๆ นั่งอยู่ตรงหน้าของลุงเฉียน แล้วก็มองแผนผังตระกูลที่อยู่บนโต๊ะของลุงเฉียน จึงพูดถามไปว่า “ลุงเฉียน คุณกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่?”
“ฉันกำลังหาตระกูลตงฟาง”
ลุงเฉียนพูด
พอโหจื่อได้ยินก็หัวเราะเยาะ “หาเขาทำไม? สี่ตระกูลใหญ่ ก็เป็นแค่กองขยะ จะไปเสียเวลากับกองขยะทำไม”
“ฉันว่า พวกเขาจะต้องกลัวจนไม่กล้าโผล่หัวออกมาแล้ว” โหจื่อพูด
ลุงเฉียนส่ายหัว “ตอนที่พวกเขาได้ผลประโยชน์ ก็ไม่เคยเผยหน้าออกมาสักครั้ง”
“ตระกูลนี้มีตัวตนอยู่จริงใช่ไหม?” โหจื่อถามอีกครั้ง
“สี่ตระกูลใหญ่ มีผู้นำอยู่คนนึง แต่แกลองดูสามตระกูลที่เหลือสิ ตระกูลมู่หรง ตระกูลซือถู หรือแม้กระทั่งตระกูลจูเก่อ มีตระกูลไหน ที่เหมือนเป็นหัวหน้าบ้าง?”
ลุงเฉียนสันนิษฐานว่า “เพราะงั้น ตระกูลสุดท้ายอย่างตงฟาง ไม่เพียงแค่มีตัวตน ยังมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นหัวหน้าคนสุดท้ายที่ซ่อนตัวอยู่”
“ซุนจิ้นล่ะ? เรียกเขาเข้ามา”
ลุงเฉียนพูด
หลังจากที่โหจื่อโทรออกไป ใช้เวลาไม่นาน ซุนจิ้นก็เดินเข้ามาข้างใน
“ซุนจิ้น แกอยู่ที่ตระกูลจูเก่อมาระยะเวลานึงแล้ว เรื่องที่ฉันบอกแก แกได้ตรวจสอบแล้วรึยัง?” ลุงเฉียนถาม
“ตรวจสอบแล้ว แต่ไม่พบอะไร ฉันสอบปากคำวพวกอาวุโสของตระกูลจูเก่อมาไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของตระกูลตงฟาง แม้กระทั่ง สิ่งที่เกี่ยวกับตระกูลนี้ ตระกูลจูเก่อ ก็ไม่เหลือการบันทึกใดๆ”
“รวมทั้ง สมุดบัญชีของตระกูลจูเก่อ ก็ไม่เคยปรากฏรายชื่อคนของตงฟาง”
“แต่ว่า ตระกูลจูเก่อและตระกูลซือถู และตระกูลมู่หรง มีการติดต่อด้านธุรกิจอยู่ตลอด” ซุนจิ้นพูด
“งั้นมีรายชื่อคนไหนที่ดูน่าสงสัยบ้างไหม?”
ลุงเฉียนถาม “ฉันเดาว่า ตระกูลสุดท้ายนี้ ตระกูลตงฟาง ตระกูลของพวกเขา มีความเป็นไปได้ที่จะใช้ชื่อปลอม”
“ลุงเฉียน เอางี้ไหมอีกสักสองวันผมจะเอาก๊อปปี้รายชื่อสมุดบัญชี ส่งมอบให้กับคุณ คุณลองดูด้วยตัวเอง คุณเองก็รู้ ผมเป็นคนใช้กำลัง ต่อให้ดูสักกี่รอบ ก็คงดูไม่ออกว่ามีอะไร” ซุนจิ้นพูดเสนอ
ลุงเฉียนพยักหน้า “ได้”
“พวกแกก็กลับไปนอนเถอะ วันนี้ทุกคนก็เหนื่อยมามากแล้ว พักผ่อนให้เพียงพอ พรุ่งนี้ พวกเรายังต้องรับมือกับตระกูลลู่” ลุงเฉียนพูดด้วยที่ปวดหัวเล็กน้อย
“แม้ว่าลู่เฟยจะอายุไม่มาก แต่ก็เป็นคนที่จัดการยาก”
“ฉันได้ยินมาว่า……เขาเป็นยอดฝีมือ”
มองไปยังโหจื่อแวบนึง จากนั้นลุงเฉียนก็พูดขึ้นมาว่า “โหจื่อ ถึงเวลานั้น คนๆนี้ถ้าเกิดใช้กำลังบุกเข้ามา ก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแก”
“ก็แค่เพลย์บอยคนนึง จะเก่งสักแค่ไหนเชียว?”
โหจื่อพูดพร้อมกับหัวเราะอย่างไม่จริงจังว่า “วางใจได้ ลุงเฉียน ฉันขอรับประกันว่าจะทำให้เขาคุกเข่าเรียกหาปู่เลย”
“จะฆ่าคนๆนี้ไม่ได้ เพราะงั้น ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าใช้ปืน”
“แน่นอนว่า ถ้าเกิดสถานการณ์ที่สู้ไม่ไหว ค่อยว่ากันอีกที” ลังเลไปสักพัก ลุงเฉียนก็พูดเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค
ลุงเฉียนขยับปากเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียที่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ “ฉันขอไปนอนก่อน”
หลังจากที่รอโหจื่อเดินออกไป หลี่ฝางก็ดึงซุนจิ้น เข้าไปไปข้างในบ้านพักของตัวเอง
และในข้างในบ้านพักของตัวเอง
ซุนจิ้นหันไปถามกับหลี่ฝาง “คุณชาย จู่ๆคุณก็ลากผมมาที่นี่ มีเรื่องอะไรที่ต้องการพูดกับผมรึเปล่า?”
“ความจริงก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่อยากจะถามแกว่า แกเคยคิดที่จะ เป็นนักเลงไหม?”
พอมองหน้าซุนจิ้น หลี่ฝางก็พูดออกไปอย่างตรงๆว่า “จะขอพูดตรงๆนะ เหตุผลที่คืนนี้ฉันต้องการให้คนพวกนั้นอยู่ที่นี่ แล้วทำให้พวกเขาพิการ ความจริงยังมีอีกหนึ่งเหตุผล”
“พวกเขาล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ บนตัวพวกเขาทุกคน ล้วนมีฝีมือในการดูแลสถานที่ หลังจากที่ทำให้พวกเขาพิการ สถานที่พวกนั้น ก็ไม่มีคนดูแล และในคืนนี้ ฉันก็ใช้โอกาสนี้แย่งพื้นที่มาไม่น้อย”
“มีทั้งร้านเหล้า ร้านอินเตอร์เน็ต และก็มีร้านKTVกับไนท์คลับ และยังมีพวกอาหารข้างถนนอะไรพวกนั้น สถานที่เหล่านี้ ล้วนต้องการคนกลุ่มนึงมาดูแล ไม่รู้ว่า แกสนใจรึเปล่า?” พอมองซุนจิ้น หลี่ฝางก็คิ้วกระตุ้น “ฉันขอบอกแกนะ อย่าดูถูกของข้างทางพวกนี้ สิ่งเหล่านี้ ทำกำไรเป็นอย่างมาก”
“ยกตัวอย่างเช่นอาหารข้างถนน ถ้าเกิดพวกเราคุมทั้งแถวอาหารข้างถนน หาคนมาคุม แค่ตามประตูทางเข้าเล็กๆ ก็สามารถทำกำไรได้หลายแสน” หลี่ฝางพูดอธิบาย
ใบหน้าของซุนจิ้น ไม่ได้แสดงความตื่นเต้นแต่อย่างใด
“ตระกูลจูเก่อมีธุรกิจเยอะมาก จนถึงตอนนี้ผมก็ยังปวดหัวอยู่เลย”
ซุนจิ้นพูดอย่างลำบากใจว่า “ผมคนนี้ เดิมทีก็เป็นคนที่ดีแต่ใช้กำลัง ไม่เข้าใจวิธีการบริหารธุรกิจแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆ งั้นเอาแบบนี้ไหม ฉันจะแน่นำคนเก่งๆที่สามารถจัดการปัญหาในบริษัทให้ จากนั้น แกก็ต้องช่วยเหลือฉัน เอาคนที่แกพามาวันนี้ ยืนให้ฉันก่อนสักพักนึง แน่นอนว่า ฉันจะจ่ายค่าตอบแทนให้อย่างดี เงินที่หามาได้ พวกเราแบ่งเท่าๆกัน”
“ฉันมีพื้นที่ ส่วนแกมีกำลังคน โอเคไหม?” หลี่ฝางถาม
ซุนจิ้นหัวเราะ แล้วพูดว่า “คุณชาย คุณหมายความว่าไง ชีวิตของผม ความจริงลูกพี่เป็นคนมอบให้ อีกอย่าง ที่ผมสามารถแก้แค้นหนี้ของพ่อแม่ได้ ก็เป็นเพราะลูกพี่ เพราะงั้น ถ้าเกิดคุณต้องการคนพวกนั้น ผมก็สามารถมอบให้กับคุณได้ ยังไงซะเก็บพวกเขาไว้ในหมู่บ้าน ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
“แต่ว่า สมองของพวกเขา ค่อนข้างจะใช้การไม่ได้ ผมกลัวว่าพวกเขาจะไม่สามารถรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นในยุทธภพได้”
หลี่ฝางตบอกตัวเองแล้วพูดว่า “วางใจได้ เรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”
หลังจากที่เจรจากับซูนจิ้นจนเสร็จ หลี่ฝางก็กำลังจะเดินไปส่งซุนจิ้น เพิ่งจะส่งซุนจิ้นกลับไป ก็มีคนแก่คนนึง ที่ถือไม้ค้ำยัน ยืนอยู่ตรงหน้าห้องพักของหลี่ฝาง
คนแก่คนนี้โค้งตัว ในเวลาดึกขนาดนี้ ทำให้หลี่ฝางตกใจเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เขาค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ หลี่ฝางจึงเห็นหน้าอย่างชัดเจน ที่แท้ คนแก่คนนี้ เป็นท่านลู่นี้เอง
“ไม่คิดจะเชิญฉันเข้าไปนั่งสักหน่อยเหรอ?” หลังจากที่ท่านลู่เดินมาใกล้ๆ ก็พูดถามขึ้นมา พร้อมกับมองหน้าหลี่ฝาง
หลี่ฝางลังเลไปพักนึง
ฐานะของคนแก่คนนี้ หลี่ฝางเข้าใจดี
แต่ว่า หลี่ฝางก็ยังไม่รู้ เขาเป็นตัวอันตรายต่อตัวเองรึเปล่า
ถ้าเกิดเชิญเขาเข้ามา แล้วทำร้ายตัวเองขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ?
“ฮ่าๆ ไม่ต้องกลัว ฉันก็แค่คนแก่ที่ใกล้จะลงโล่งแล้ว ไม่สามารถทำอันตรายอะไรแกได้หรอก”
ท่านลู่หันไปพูดปลอบหลี่ฝาง ราวกับรู้ว่าหลี่ฝางกำลังคิดอะไรอยู่
หลี่ฝางลังเลอยู่พักนึง กว่าจะเชิญท่านลู่เข้ามาข้างในบ้านของตัวเอง
พูดตรงๆ สายตาที่หลี่ฝางมองคนสูงอายุอย่างท่านลู่ มีความดูถูกแฝงอยู่เล็กน้อย
ไม่ว่าจะยังไง อายุปูนนี้แล้ว ทำไมอย่างทำเรื่องชั่วช้าแบบนั้นอีกล่ะ อีกอย่าง อายุก็มากขนาดนี้แล้ว ยังใช้การได้อีกเหรอ?
ทำไมถึงไม่นั่งดื่มน้ำชา เล่นหมากรุก นั่งฟังดนตรี ใช้ชีวิตเหมือนคนแก่ทั่วไปล่ะ?
“แกไม่มีอะไรจะพูดกับฉันเหรอ?”
หลังจากที่ทั้งสองนั่งจ้องอยู่นาน ท่านลู่เป็นคนเริ่มพูดออกมาทำร้ายความเงียบก่อน
“แกเป็นคนมาหาฉันเอง แกก็ควรที่จะมีอะไรพูดกับฉันถึงจะถูก?” หลี่ฝางมองท่านลู่ด้วยหางตา
“ลูกชายของหลอซ่า หลี่ฝาง”
ท่านลู่มองหลี่ฝางแวบนึง แล้วพูดขึ้นมาว่า “ฉันรู้จักแก”
หลี่ฝางแปลกใจเล็กน้อย แต่พอคิดดูดีๆ มันก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าเกิดเขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร งั้นเขาก็คงไม่มาหาตัวเอง ในเวลาดึกๆป่านนี้หรอก
“ความจริง หลายปีนี้ ฉันเคยส่งคนไปสังเกตกับเคลื่อนไหวของแก”
ท่านลู่พูดต่อ “หลอซ่ายังไม่ตาย หลังจากที่ฉันสืบหาอยู่นาน ก็ได้รู้มาว่าเขาอยู่ที่เมืองเอก มีลูกชายอยู่คนนึง ก็คือแก เพราะงั้น ตอนนั้น ฉันจึงเคยส่งคนไปจับตาดูแก ดูว่าหลอซ่าจะติดตอบหาแกรึเปล่า”
“แต่จับตาอยู่เป็นเวลาหนึ่งปี ทางด้านหลอซ่า ก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลย”
“ไม่เพียงแค่ฉัน เชื่อว่ามีอีกหลายคนที่เคยจับตาดูแก” ท่านลู่พูด
หลี่ฝางรู้สึกอึ้งเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าตอนที่ขึ้นปีหนึ่ง ตัวเองจะถูกคนจับตามอง ส่วนตัวเอง กลับไม่รู้อะไรเลย?
ดูเหมือนว่า จะไม่ได้มีแค่พวกเดียวที่จับตามองตัวเอง
“มีหลายคนจับตาดูแก ก็เพื่อที่จะสืบหาเบาะแสของหลอซ่า มีกระทั่ง มีคนเคยบุกเข้าไปที่ๆแกพักอยู่ เพื่อที่จะฆ่าแก แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้ลงมือ”
“ทำไมล่ะ?”
หลี่ฝางอ้างปากค้าง มองไปยังท่านลู่ แล้วถามว่า “ใช้ฤดูหนาวไหม ในคืนที่ใกล้จะปิดเทอม?”
“แกจำได้แม่นนี่ ฉันเองก็เกือบจะลืมไปแล้ว น่าจะเป็นเวลาราวๆนั่นแหละ” ท่านลู่พูด
จนถึงตอนนี้หลี่ฝางก็ยังจำได้ดี ฤดูหนาวในปีนั้น เกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้น
นั้นก็คือคืนนั้น ทั้งหอพัก ต่างก็สลบไปหมด เช้าวันที่สอง ก็ไม่มีใครตื่นขึ้นมา ว่ากันว่า ทั้งหอพัก หลับเป็นตายเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน พอคนทั้งหอพักเดินออกมาจนไม่เหลือใคร หลี่ฝางและคนที่อยู่ในหอ จึงค่อยๆตื่นขึ้นมาทีละคน
หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น เกาเสิ้ง โจวหยางคนพวกนี้ เคยไปตรวจร่างกายที่โรงบาล คิดว่าตัวเองกินอาหารเป็นพิษเข้าไป แต่ผลสุดท้ายที่ตรวจเจอ กลับไม่มีอะไร
หลี่ฝางเพิ่งจะเข้าใจ ที่แท้นั้นไม่ใช่เรื่องอาหารเป็นพิษ แต่เป็นเพราะมีคนมีเป้าหมายมาที่ตัวเอง
“แต่ทำไมถึงไม่ฆ่าฉันล่ะ?” หลี่ฝางถาม
“เหตุผลนั้นง่ายมาก แกเป็นคนเดียวบนโลกนี้ ที่หลอซ่าห่วงใยที่สุด ขอแค่หลอซ่ากลับมา จะต้องติดต่อไปหาลูกชายของตัวเองแน่ เพราะงั้นจึงเก็บแกไว้ ทุกคนถึงจะตามรอยหลอซ่าได้ แต่ถ้าเกิดฆ่าแกซะ งั้นตอนที่หลอซ่ากลับมา พวกเราก็จะไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลยแม้แต่น้อย”
“อีกอย่าง แกเป็นแค่นักเรียกม.ปลายธรรมดา เรื่องที่เกี่ยวกับพ่อแก แกไม่รู้แม้แต่นิด อีกอย่าง แกก็อ่อนแอมาก ตอนอยู่โรงเรียนก็ถูกรังแกทุกวัน คนแบบแก เก็บไว้ ก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเราได้”
“ตอนนั้นที่ต้องการฆ่าแก ความจริงก็เป็นแค่การแสดง พวกเราสงสัยมาโดยตลอดว่า หลอซ่าจะต้องส่งคนไปปกป้องแกอย่างลับๆแน่ ถ้าเกิดตอนที่แกตกอยู่อันตราย คนพวกนี้ จะต้องปรากฎออกมาแน่ น่าเสียดาย สิ่งที่พวกเราคาดไว้ มันผิดพลาด”
“พวกเราเคยสงสัยว่า พวกเราน่าจะเข้าใจผิดก็ได้ แกอาจจะไม่ใช่ลูกชายหลอซ่า ต่อมาฉันถึงได้เข้าใจ ความจริง หลอซ่ากำลังปกป้องแก ถ้าเกิดเขาติดต่อหาแก หรือส่งคนไปปกป้องแก บางที แกอาจจะตกอยู่ในอันตรายตั้งนานแล้ว”
“แกและพ่อของแก ขอแค่มีการติดต่อแม้แต่น้อย งั้นพวกเราก็จะลักพาตัวแก แล้วบีบให้พ่อแกปรากฏตัวออกมา”
ท่านลู่พอพูดถึงตรงนี้ ก็หัวเราะออกมา “แต่ว่า พ่อของแกเป็นคนที่ใจแข็งมาก สามปี ไม่เคยติดต่อหาแกสักครั้ง แกน่าสงสารมาก มีครั้งนึง แกป่วยแต่ไม่มีเงินเข้าโรงบาล ตัวร้อนจนเกือบตายอยู่ที่หอพักโรงเรียน เป็นเพื่อนร่วมหอขอองแกที่เป็นคนแบกแกเข้าโรงบาล ออกเงินแทนแก ทั้งค่าฉีดยาและยา”
พอพูดถึงเรื่องที่เคยผ่านมา ข้างในใจของหลี่ฝาง จู่ๆก็เริ่มรู้แย่ขึ้นมา
“ฮ่าๆ เสี่ยวฝาง แกเกลียดพ่อของแกไหม?” ท่านลู่ถาม
หลี่ฝางพยักหน้า ไม่ได้พูดปฏิเสธ “หายไปด้วยไม่บอกสักครั้ง หายหน้าหายตาเป็นเวลาสามปี ในฐานะพ่อคนนึง แน่นอนว่าเขาผิดพลาดในหน้าที่นี้ คนที่เป็นลูกอย่างฉัน ก็ควรที่เกลียดเขา แต่ว่า ฉันเองก็เข้าใจเขาเหมือนกัน ข้างกายเขา มีคนอยู่มาก เขาไม่ติดต่อหาฉัน ไม่กลับมา ล้วนเป็นเพราะเหตุจำเป็น เขาไม่สามารถทำเป็นไม่สนใจชีวิตมากขนาดนั้นได้”
สายตาที่ท่านลู่มองหลี่ฝาง อึ้งไปพักนึง “อายุแค่นี้ แต่ใจกว้างซะจริง”
พอมองหน้าท่านลู่ หลี่ฝางก็ถามขึ้นมาว่า “ท่านลู่ คุณคงไม่มาที่นี่เพื่อให้เราแตกคอกันใช่ไหม?”
“ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้น”
ท่านลู่ส่ายหัว “ก็แค่คืนนี้นอนไม่หลับ เลยอยากจะแวบมาดูแกสักหน่อย พร้อมกับแวบมาถามแกสักหน่อย แกสามารถยอมรับ ผู้หญิงข้างกายที่แกรักตายจากไปได้รึเปล่า?”
“ยอมรับเพื่อนที่อยู่ข้างกายตายจากไปได้รึเปล่า?”