NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 661 ศิษย์พี่ของโหจื่อ
นี่ไม่ใช่หูเฟย แล้วจะเป็นใคร?
ในขณะที่หลี่ฝางกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น รถจอดลงทันที
“ขับต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ทางเดินที่เหลือ พวกเราเดินเข้าไป” โหจื่อจอดรถแล้วพูดออกมา
จากนั้นหลี่ฝางและโหจื่อลงมาจากรถ
ข้างหน้า เป็นชนบทที่ยากจนและห่างไกล
หมู่บ้านนี้ ไม่ใหญ่นัก และทางเข้าหมู่บ้าน ก็มีแค่ทางเดียว
ทางเดินนี้ ได้มีรถสิบกว่าคัน ขวางทางไว้หมดแล้ว
เห็นได้ชัดว่า มีคนกลุ่มหนึ่ง มาถึงที่นี่ ก่อนหลี่ฝางและโหจื่อหนึ่งก้าว
ทำให้จิตใจของหลี่ฝาง ยิ่งกระวนกระวายขึ้นไปอีก
“ไม่รู้พวกเธอเป็นยังไงบ้าง” หลี่ฝางถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
โหจื่อหัวเราะเคอๆ ออกมา เบ้ปากแล้วพูดขึ้นว่า: “วางใจได้ ดูจากสถานการณ์แล้ว พวกเขายังจับตัวคนไม่ได้หรอก”
“นี่ถ้าหากว่าจับคนได้แล้ว รถพวกนี้ คงจะขับกลับไปแล้ว” โหจื่อพูดออกมา
หลี่ฝางตอบอือออกมา ค่อยๆ เดินย่องผ่านทางลัด เข้าไปหมู่บ้านข้างใน
ส่วนโหจื่อนั้นเดินกร่างเข้าไป เสมือนไม่เกรงกลัวคนพวกนี้เลย
เพราะว่า โหจื่อมีฝีมือในการยิงปืนอย่างแม่นยำ เป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่เขาไม่เกรงกลัวคนพวกนี้
และในเวลานี้ มีกระสุนนัดหนึ่ง ยิงเฉียดผ่านร่างของโหจื่อ พุ่งมาที่หลี่ฝาง เพื่อยิงเขา
โหจื่อรีบดึงแขนของหลี่ฝาง แล้วหลบอย่างรวดเร็ว ทำให้หลี่ฝางรอดพ้นอันตรายมาไปได้
ถ้าคนคนหนึ่ง มีประสบการณ์การหลบหนีจากความตายมาแล้วหลายสิบครั้ง เขาก็จะมีสัมผัสที่หก เมื่อมีเหตุการณ์อันตรายเกิดขึ้น เขาจะมีสัมผัสรับรู้ได้ล่วงหน้าก่อน
เหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ หลี่ฝางเหมือนสัมผัสมันได้ก่อนแล้วว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
ถึงแม้โหจื่อจะไม่ดึงตัวเขา แต่หลี่ฝางเชื่อว่า กระสุนนัดนั้น ถ้ายิงถูกเขาก็คงยิงโดนแขนเท่านั้น ไม่ถึงกับยิงถูกจุดที่เอาชีวิตของเขาได้
“คือเธอ!”
สีหน้าของโหจื่อ เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ใคร?” หลี่ฝางถามออกมา
เห็นได้ชัดว่า คนฝ่ายตรงข้ามที่ยิงปืนมา โหจื่อรู้จัก
“ศิษย์พี่ฉันเอง ก่อนหน้านั้น แม่ของนายเคยรับลูกศิษย์ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ว่าสุดท้ายแล้ว เธอไม่ได้ไปด้วยกันกับพวกเรา ได้ยินว่า ตอนนี้เข้าไปอยู่กับสี่ตระกูลใหญ่” สีหน้าของโหจื่อ ค่อนข้างเครียดเล็กน้อย
“เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันจะมา?” โหจื่อขมวดคิ้วเข้าหากัน พูดพึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้นหลี่ฝางนึกขึ้นได้
เมื่อไม่นานมานี้ หวางเสี่ยวหยวนและพ่อของเขา กำลังจะคุยความลับกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีมือปืนลึกลับคนหนึ่งปรากฏตัวออกมา? และมือปืนคนนี้ เกือบเอาชีวิตของหวางเสี่ยวหยวนไป ต่อหน้าพ่อของเขาแล้ว
หลังจากนั้น พ่อของเขาวิ่งไล่ล่าไปถึงในป่า แต่กลับไม่พบเจออะไรเลย
คิดว่า มือปืนที่ยิงหวางเสี่ยวหยวนในวันนั้น กับคนที่จะเอาชีวิตหลี่ฝางในวันนี้ ต้องเป็นคนเดียวกันแน่
หลี่ฝางขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วพูดขึ้นว่า: “แม่งเอ๊ย แม่ฉันเป็นคนสอนเธอยิงปืน เธอกลับใช้มันมาฆ่าฉัน ช่างไร้ยางอายสิ้นดี”
“เธอรักเงินมากกว่า กระสุนหนึ่งนัด ห้าแสนหยวน!”
โหจื่อขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วพูดขึ้นว่า: “นั่นคือราคาของเธอก่อนหน้านั้น ไม่รู้ตอนนี้ขึ้นราคาแล้วหรือยัง”
“ดูแล้ว การกู้ภัยครั้งนี้ คงไม่ง่ายขนาดนั้น”
โหจื่อเม้มปากแล้วพูดขึ้นว่า: “เธออยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าเรา ถ้าพวกเราปรากฏตัว เธอต้องลงมือยิงแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นควรทำยังไงดี?หรือว่าพวกเราจะหลบซ่อนที่นี่โดยไม่ทำอะไรเลยเหรอ?”
หลี่ฝางขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นว่า: “ถ้าอย่างนั้นฉินหยีหรันกับฉินวี่เฟยจะทำยังไงดีหล่ะ?พวกเราไม่ไปช่วยพวกเธอแล้วเหรอ จะช้าหรือเร็วพวกเธอต้องถูกคนของมู่หรงฉางเฟิงจับตัวไปได้แน่”
“ฉันคิดหาวิธีก่อน” โหจื่อขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า: “คนเราต้องช่วยอยู่แล้ว แต่ว่า พวกเราต้องรับประกันชีวิตของตัวเองก่อน นายว่าใช่ไหม?เมื่อกี้นายก็เห็นแล้ว เธอต้องการเอาชีวิตของนาย”
“แม่งเอ๊ย ถ้าแม่ของนายอยู่ด้วย คงจะดีมาก”
โหจื่อขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วพูดออกมา
“คำพูดแกมันไร้สาระสิ้นดี” หลี่ฝางบ่นออกมา
ผ่านไปสักพัก อารมณ์ของหลี่ฝางนิ่งขึ้นขึ้น พูดกับโหจื่อด้วยความเกรงใจว่า: “ขอโทษด้วย เมื่อกี้ฉันพูดจาแรงไปหน่อย ฉันไม่ควรใส่อารมณ์กับนายหรือบ่นอะไรนาย เพราะว่า ที่นายมาก็เพราะช่วยเหลือฉัน”
“เคอๆ ไม่เป็นไร” โหจื่อไม่ได้เก็บไปใส่ใจเลยด้วยซ้ำ
“ฉันพอจะรู้ตำแหน่งของเธออยู่ แต่ว่า ฉันไม่กล้าเสี่ยง ถ้าอาจารย์ฉันส้าวส้วยอยู่ อาจจะร่วมมือกับฉันได้ แต่น่าเสียดาย อาจารย์ไม่อยู่
“ฉันตัวคนเดียว แถมถูกเธอบีบคอแน่นหนาขนาดนี้ และทำได้แต่รอ” โหจื่อขมวดคิ้ว พูดด้วยอาการเซ็งออกมา
โหจื่อถูกขนานนามว่าเป็นเทพแห่งนักแม่นปืน
แต่ตอนนี้ ถูกนักแม่นปืนอีกคนที่ฝีมือดีกว่า ล๊อกตายอยู่ที่นี่ และไม่กล้าปรากฏตัว ถ้าข่าวนี้ปล่อยออกไป ชื่อเสียงเทพแห่งนักแม่นปืน กังวลว่า คงขายขี้หน้าน่าดู
โหจื่อกับหลี่ฝาง อยู่ตรงนั้นห้านาทีเต็มๆ เวลานี้ หลี่ฝางได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
เป็นเสียงขัดขืนของฉินวี่เฟย
ในใจของหลี่ฝาง หมดหวังขึ้นมาทันทีแล้วพูดขึ้นว่า: “จบละ พวกเธอถูกจับแล้ว”
“เป็นไปตามคาด”
โหจื่อพูดขึ้นมาเบาๆ : “พวกเราออกไปไม่ได้ ฉินวี่เฟยกับฉินหยีหรัน ต้องถูกจับตัวไปแน่นอน”
หลี่ฝางเตรียมจะวิ่งออกไป แต่ถูกโหจื่อดึงตัวไว้
“ลูกพี่ ใจเย็นก่อน” โหจื่อมองไปที่หลี่ฝาง พูดขึ้นมา
“ฉันไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นจะยิงฉันตายหรอก อีกอย่าง ฉันรู้นายต้องการอะไร นายต้องการคน ที่ไปเลื่อนแบนความสนใจของเธอ ใช้เวลาเพียงวินาทีเดียว นายก็สามารถยิงถูกเธอได้ ใช่ไหม?”
“ดังนั้น ฉันยินยอมเป็นเหยื่อล่อให้นาย เพื่อดึงดูดเธอ”
หลี่ฝางพูดขึ้นว่า: “ฉันล่อให้เธอยิงหนึ่งนัด นายยิงเธอหนึ่งนัด พวกเราก็มีโอกาสเปลี่ยนจากพ่ายแพ้กลายเป็นชนะได้ และก็จะได้มีโอกาสช่วยฉินวี่เฟยกับฉินหยีหรันได้”
“นายนี่มันโง่สิ้นดี เธอได้ทรยศไปแล้ว และไม่เหลือเยื่อใยอะไรอีกแล้ว กระสุนนัดเมื่อกี้ เขาจงใจยิงใส่หัวใจของนาย นายคิดว่า นายสามารถหลบปืนของเธอได้เหรอ?ปืนนัดหนึ่งของเธอ อย่าว่าแต่นายเลย ขนาดฉันยังไม่แน่ใจว่าจะหลบได้หรือเปล่า”
โหจื่อดึงหลี่ฝางไว้ แล้วพูดขึ้นว่า: “ถ้าเกิดนายตายไป และช่วยฉินหยีหรันกับฉินวี่เฟยออกมาได้ แล้วมันจะมีประโยชน์เหี้ยอะไร”
ในขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น ฉินวี่เฟยและฉินหยีหรัน ได้ถูกนำตัวขึ้นรถไปแล้ว
เสียงสตาร์ทรถดังขึ้นมา และโทรศัพท์ของหลี่ฝาง ดังขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
ฉินวี่เฟยโทรศัพท์โทรเข้ามา
แต่หลี่ฝางรู้ คนที่โทรศัพท์มา ไม่ใช่ฉินวี่เฟยแน่นอน
หลี่ฝางเต็มไปด้วยความหนักใจ กดปุ่มรับโทรศัพท์ลงไป โทรศัพท์ของอีกฝั่ง เสียงของคุ้นเคยของมู่หรงฉางเฟิงดังขึ้นมา
“เคอๆ คุณชายหลี่ ช่างประจวบเหมาะเหลือกัน เมื่อกี้ฉันเห็นรถของนาย นายก็อยู่ที่นี่เหมือนกันเหรอ?”
มู่หรงฉางเฟิงพูดขึ้นมาว่า: “นี่มันจะตีสามแล้ว นายยังไม่นอนอีกเหรอ?”
“ทำไม นอนไม่หลับ?” มู่หรงฉางเฟิงถามออกมา
หลี่ฝางพยักหน้า พูดขึ้นว่า: “ใช่ นายก็นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาแบบนี้แล้วกัน ในเมื่อทุกคนนอนไม่หลับ ไปหาสถานที่สักแห่ง ดื่มเหล้าเล็กน้อย เพื่อฆ่าเวลา นายว่ายังไง?” มู่หรงฉางเฟิงถามออกมา
หลี่ฝางตอบตกลง: “ได้”
“ได้ ฉันอยู่ข้างรถนายแหละ ใกล้ๆ แถวนี้มีร้านเหล้าอยู่ร้านหนึ่ง” มู่หรงฉางเฟิงพูดว่า: “ฉันรอนาย”
พูดจบ มู่หรงฉางเฟิงวางสายลง
และในเวลานี้ หลี่ฝางมองไปที่โหจื่อแล้วพูดขึ้นว่า: “มู่หรงฉางเฟิงชวนพวกเราไปกินเหล้า”
“ไอ้นายคนนี้ ต้องไม่มีเรื่องดีแน่นอน”
โหจื่อส่ายหัว แล้วพูดขึ้นว่า: “ช่างมันเหอะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ลองไปดูก็ได้”
“แล้วเธอ……”
“เคอๆ เธอน่าจะไปแล้ว” โหจื่อพูดจบ ก็เดินนำหน้าออกไป
เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ ปลอดภัยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลี่ฝางเดินตามโหจื่อ เมื่อเดินมาถึงหน้ารถของตัวเอง
ข้างกายของมู่หรงฉางเฟิง มีแค่ฉินหยีหรันคนเดียวที่ยืนอยู่ด้วย และไม่เห็นเงาของฉินวี่เฟย
“เหลือแค่นายคนเดียวเหรอ?” หลี่ฝางกวาดสายตามองไป รถที่จอดอยู่บริเวณรอบๆ ไม่เห็นหมดแล้ว
คิดว่า ลูกน้องของเขา ได้พาตัวของฉินวี่เฟย ออกไปจากหมู่บ้านนี้แล้ว
ข้างหมู่บ้าน มีร้านเหล้าร้านหนึ่ง ไฟยังสว่างอยู่
เมื่อกี้ตอนที่เข้ามานั้น หลี่ฝางจำได้อย่างชัดเจน ร้านเหล้าแห่งนี้ ไฟปิดอยู่
“ไม่ต้องแปลกใจ เมื่อกี้ฉันหาคนไปปลุกเถ้าแก่ให้ตื่นขึ้นมาแล้ว”
“อีกอย่าง เมื่อกี้ฉันได้สั่งเถ้าแก่ไปแล้ว ให้ช่วยทำกับข้าวสองสามอย่างให้ฉัน คิดว่าตอนนี้ กับข้าวน่าจะสุกแล้ว”
หลังจากพูดจบ มู่หรงฉางเฟิงเดินไป กอดฉินหยีหรันภรรยาตัวเองไว้ จากนั้นเดินเข้าไปร้านเหล้าด้านใน
ชื่อของร้านเหล้าแห่งนี้ ชื่อว่าร้านเหล้าหกเจ็ด
เถ้าแก่เป็นชายวัยกลางคนเกิดช่วงปีหนึ่งเก้าหกเจ็ด และได้เปิดร้านอาหารพื้นบ้านที่ชนบทนี้
อยู่ในสวนเล็กๆ ฟังเสียงกบร้อง หลี่ฝางและมู่หรงฉางเฟิงนั่งลงพร้อมกัน
มู่หรงฉางเฟิงหันไปมองโหจื่อ ยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นว่า: “ดูแล้ว ครั้งนี้พวกนายจะมาเสียเที่ยวนะ”
“เคอๆ เหมือนจะเป็นอย่างที่พูดเลย”
โหจื่อมองไปที่มู่หรงฉางเฟิง สีหน้าเย็นชา: “ฟีนิกซ์ กลายเป็นคนของนายตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เธอไม่ใช่คนของฉัน แค่ยืมมาใช้เท่านั้นเอง เมื่อกี้ เธอยิงไปหนึ่งนัด ฉันต้องเสียเงินไปหนึ่งล้านเหรียญ เห้อ มีคนมาคุยโม้ให้ฉันฟังว่าฝีมือการยิงปืนของเธอแม่นยำมาก ขนานนามว่ายิงร้อยนัดถูกร้อยนัด ดูนายสองคนสิ ไม่เห็นมีใครถูกยิงเลย รอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อน ฉันจะไปหาพวกเขา แล้วให้พวกเขาคืนเงินให้ฉัน” มู่หรงฉางเฟิงหัวเราะเหะๆ พูดออกมา
“ถ้าไม่ใช่ปืนนัดนั้น นายคิดว่า นายจะจับคนได้เหรอ?” หลี่ฝางมองมู่หรงฉางเฟิงด้วยสายตาเย็นชา แล้วพูดออกมา
“ก็ใช่ ถ้าเป็นแบบนั้น เงินนั่น ฉันก็จะไม่ไปขอคืนละ”
มู่หรงฉางเฟิงพูดจบหัวเราะเคอๆ ออกมา ชี้ไปที่กับข้าวบนโต๊ะ ยื่นตะเกียบคู่หนึ่งไปให้ฉินหยีหรัน แล้วพูดขึ้น
ว่า: “มาที่รัก วิ่งมาทั้งวันคงยังไม่ได้กินข้าวสิ มาลองชิมอาหารพื้นบ้านหน่อย ลุงคนเมื่อกี้พูดว่า กับข้าวที่นี่ ล้วน
เป็นผักที่เขาปลูกเอง ไม่ได้ฉีดยาอะไรทั้งนั้น เขียวขจีมาก”
ฉินหยีหรันไม่ได้รับตะเกียบไว้ เพียงแต่ใช้สายตาที่เย็นชานั้นมองไปที่มู่หรงฉางเฟิงแล้วพูดขึ้นว่า: “ปล่อยน้องสาวฉันไปซะ เรื่องระหว่างเราสองคน ทำไมต้องดึงเธอเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
“ใช่สิ มันเป็นเรื่องระหว่างสามีภรรยาของเราสองคน เธอเป็นแค่น้องเมีย มายุ่งอะไรด้วย แถมยังพาคุณหนีอีก เคอๆ”
สีหน้าของมู่หรงฉางเฟิงไม่ค่อยพอใจนักแล้วพูดขึ้นว่า: “คุณพูดสิ นี่ไม่ใช่การลักพาตัวภรรยาของผมเหรอ
น้องเมียคนนี้ ใช้ไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวกลับไป ผมต้องสั่งสอนเธอสักหน่อยละ”
สีหน้าของหลี่ฝางเปลี่ยนไปเล็กน้อย คำพูดนี้ของมู่หรงฉางเฟิง มีส่วนหนึ่งที่ต้องการพูดให้เขาฟัง
ตะเกียบในมือของมู่หรงฉางเฟิง ยื่นอยู่กลางอากาศครึ่งค่อนวัน และฉินหยีหรัน ก็ไม่ยอมรับมันไปเลย
มู่หรงฉางเฟิงหัวเราะเคอๆ ออกมา แล้ววางตะเกียบไว้บนโต๊ะ จากนั้นยกแขนขึ้น ตบลงไปแรงๆ ที่บนใบหน้าของฉินหยีหรัน
และแรงตบครั้งนี้ ทำให้ฉินหยีหรันล้มไปกองอยู่ที่พื้น
เหมือนเวลาหยุดเดิน เถ้าแก่วัยกลางคนวิ่งเข้ามาหา ถามออกมาว่า: “เถ้าแก่ นี่มันอะไรกัน ภรรยาสวยงามขนาดนี้ ลงมือแรงขนาดนี้ได้ยังไง”
“ในสังคมตอนนี้ การจะหาภรรยาสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การมอบรักให้ยังถือว่าไม่พอเพียงเลย ทำไมถึงต้องลงมือหนักขนาดนี้ ท่านดูสิ ปากมีเลือดออกมาละ” เถ้าแก่วัยกลางคนพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง
เถ้าแก่วัยกลางคนอายุสี่สิบห้าแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นโสดอยู่
“นายอยากได้เหรอ ยกให้นายเลย”
มู่หรงฉางเฟิงยิ้มเล็กน้อย พูดออกมาอย่างคนใจกว้างว่า: “พาเธอไปห้องของนาย แล้วแต่นายจะทำยังไงก็ได้”
เถ้าแก่วัยกลางคนวันๆ อยู่แต่ในหมู่บ้าน ไม่เคยเห็นหญิงงามอย่างฉินหยีหรันมาก่อน
เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ เขารู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ เขาก็ส่ายหัว แล้วพูดขึ้นว่า: “เถ้าแก่ชอบพูดเล่นเหลือเกิน”
“ใครล้อเล่นกับนาย ผู้หญิงคนนี้ ถือว่าเป็นค่าอาหารของคืนนี้ก็แล้วกัน”
มู่หรงฉางเฟิงหัวเราะเยาะออกมา แล้วพูดขึ้นว่า: “ไม่ว่ายังไง ผู้หญิงคนนี้ ก็แค่นางแพศยาคนหนึ่งเท่านั้น”
“มู่หรงฉางเฟิง คุณมันไม่ใช่คน” เงยหน้ามองมู่หรงฉางเฟิง ฉินหยีหรันด่าเย็นชาออกมา
“ผมไม่ใช่คน?”
มู่หรงฉางเฟิงหัวเราะเคอๆ ออกมา ยกเก้าอี้ตัวเองขึ้นมา ฟาดลงไปบนศีรษะของฉินหยีหรัน: “ใช่ ผมมันไม่ใช่คน แล้วยังไง?”
หลี่ฝางทนดูไม่ได้ สื่อสายตาให้กับโหจื่อ และในขณะที่โหจื่อเตรียมจะลงมือนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่ง เดินเข้ามาจากข้างนอกพอดี
เธอใส่เสื้อสีดำทั้งตัว ผมยาวมัดไว้ข้างหลัง
เมื่อเห็นโหจื่อ เธอยิ้มให้เล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า: “ไม่เจอกันตั้งนานเลย โหจื่อ”
โหจื่อมองไปที่ผู้หญิงคนนั้น พูดออกมาอย่างตกใจว่า: “ฟีนิกซ์……