NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 672 คนที่เอาชนะแม่มดได้
เมื่อโหจื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขานึกไม่ถึงเลยว่า หลิงหลงถึงกับถูกจับได้แล้ว
“ฉันดูถูกคนของแกมากไป”
ทันใดนั้น ใบหน้าของโหจื่อ แสดงออกถึงความรู้สึกที่สำนึกผิด
เป็นเพราะว่าโหจื่อหักหลังหลิงหลง จึงทำให้หลิงหลงต้องเผชิญกับความโชคร้าย
“นึกไม่ถึงเลยว่าพวกลูกน้องเศษสวะของแกพวกนั้น สามารถที่จับหลิงหลงไว้ได้” โหจื่อมองไปยังลู่เฟยด้วยสีหน้าที่คาดคิดไม่ถึง แล้วพูดขึ้นมา
ลู่เฟยมองดูโหจื่อ แล้วส่ายหน้าว่า “คนของหลอซ่าอะไรก็ดีทุกอย่าง มีอยู่อย่างเดียวที่ไม่ดี นั่นก็คือ พวกแกลำพองใจมากเกินไป นึกว่าใต้หล้านี้ ไม่มีใครที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกแกได้เลย”
“เอาเถอะ พูดเรื่องสำคัญกันดีกว่า เมื่อกี้แกบอกว่า ถ้าฉันสามารถจับเพื่อนแกได้ แกก็จะ ส่งพ่อฉันคืนมาให้ฉัน”
ลู่เฟยมองดูโหจื่อแล้วพูดว่า “ฉันหวังว่าแกคงรักษาคำพูดนะ”
โหจื่อไม่พูดอะไร มอดูลู่เฟยแล้วพูดว่า “รอให้หลิงหลงมาก่อน ฉันก็จะมอบท่านลู่คืนให้แก”
“พูดได้ก็ย่อมทำได้” ใบหน้าโหจื่อก็ไม่มีท่าทีหยอกล้ออีกเลย
ส่วนนัยน์ตาของลู่เฟย ก็ส่องประกายความโหดเหี้ยมออกมาทันควัน
ลู่เฟยก็ได้เตรียมการเรียบร้อยแล้ว รอให้พ่อของตนเองปลอดภัยกลับมาก่อน แล้วจึงลงมือจัดการสถานตากอากาศนั่นเสีย
อาศัยจังหวะที่หลอซ่าไม่อยู่ จัดการสังหารพวกโหจื่อพร้อมกันทีเดียวให้หมด
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ชายผมแสกกลางก็พาหลิงหลงมาถึงทางเข้าสถานตากอากาศ
ชายผมแสกกลางจึงโทรศัพท์ไปหาลู่เฟย แล้วพูดว่า “ลูกพี่ ผู้หญิงที่ท่านต้องการมาแล้วครับ”
“ดี”
ลู่เฟยยิ้มอย่างสบายใจ มองดูโหจื่อแล้วพูดว่า “ตอนนี้ พวกเรามาแลกเปลี่ยนตัวประกัน ได้แล้ว”
“รอเดี๋ยว” โหจื่อส่ายหน้า “ฉันขอตรวจสอบหน่อย ว่าแกจับคนของฉันมาได้จริงหรือเปล่า”
“ขอโทรศัพท์ให้ฉันหน่อย”
โหจื่อรับมือถือของลู่เฟยมา แล้วพูดว่า “ขอพูดกับหลิงหลงหน่อย”
ชายผมแสกกลางก็เอามือถือไว้ข้างหูหลิงหลง โหจื่อก็ถามว่า “ถูกจับจริงเหรอ?”
โหจื่อไม่อยากจะเชื่อ อย่างน้อยความสามารถของหลิงหลง เขาก็ย่อมต้องรู้ดีว่า แค่ฝีมือของกลุ่มชายผมแสกกลางพวกนั้น มันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงหลงอย่างแน่นอน
“แล้วแกคิดว่ายังไงล่ะ?” หลิงหลงยิ้มอย่างแปลกประหลาด
หลังจากนั้น ชายผมแสกกลางก็รู้สึกมีอะไรผิดปกติ แต่ว่าก็สายไปเสียแล้ว
ขณะนั้นเอง หลิงหลงก็เหมือนเล่นมายากล ทันใดนั้นเชือกในมือก็หลุดออกจากกัน มือนั้นไหลเลื่อนราวกับงูเลื้อย เข้าล็อกคอของชายผมแสกกลางไว้ แล้วพูดว่า “แกคิดว่า ฉันยอมก้มหัวให้แก เพราะคุณชายตระกูลฉินคนนั้นเหรอ?”
“งั้นแกหมายความว่าอย่างไร” ชายผมแสกกลางมองดูหลิงหลงอย่างหวาดผวา
“ฉันเพียงแต่รู้สึกว่าร้านกาแฟของฉัน ไม่เหมาะสมที่ใช้ในการฆ่าคน ดังนั้นก็คิดอยากจะเปลี่ยนสถานที่ก็เท่านั้น” หลิงหลงยิ้มอย่างโหดเหี้ยม “สถานที่นี้ ก็ไม่เลวเลยทีเดียว”
พูดจบ หลิงหลงก็บิดคอชายผมแสกกลางจนกระดูกคอหักเสียงดังแกร๊ก
ชายผมแสกกลางไม่รู้หรอกว่าหลิงหลงเคยประสบอะไรมาบ้าง หลิงหลงในเวลานี้ ไร้อารมณ์ความรู้สึกอะไรมานานแล้ว
เธอจะทำเพื่อฉินจื่อยี่ แล้วทำลายแผนการของลุงเฉียนได้อย่างไรกันเล่า?
แท้จริงแล้ว มันก็เป็นเพียงแค่แผนการเฉพาะหน้าของหลิงหลงเท่านั้นเอง
ในระหว่างทางนั้น เดินทีหลิงหลงคิดจะหลอกล่อให้ชายผมแสกกลางไปที่โรงพยาบาล แล้วจึงจัดการสังหารเขาเสีย แต่หลิงหลงนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะเป็นการเปิดเผยตำแหน่งโรงพยาบาลส่วนตัวของตระกูลหลี่หรือไม่?
ดังนั้น หลิงหลงจึงตัดสินใจที่จะรอให้มาถึงสถานตากอากาศแล้วค่อยลงมือ
“ตอนนี้ แกสมควรตายแล้ว”
หลิงหลงพูดอย่างเลือดเย็น แล้วเดินจากไปโดยไม่หันไปมอง
ขณะนี้ ทุกคนต่างก็ตกใจสุดขีดกับการกระทำของหลิงหลง
“ทุกคนไม่ต้องกลัว ก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น ทุกคนลุยขึ้นไปพร้อมกันเลย”
คนพวกนี้ก็เป็นแค่นักเลงตัวเล็กๆ ล้วนแล้วแต่ทำตามหน้าที่ที่เคยผ่านความเป็นความตายมาเท่านั้นเอง ดังนั้น ความคิดจิตใจก็ยังคงเป็นใจดีสู้เสืออยู่
“ถูกต้อง ลุยเข้าไปพร้อมกันเลย”
ทันใดนั้น พวกชายหนุ่ม10 กว่าคนนั้นก็เริ่มลงมือพร้อมกัน ต่างพุ่งตรงไปหาหลิงหลง
แต่ว่าหลิงหลงไม่ได้อ่อนแออย่างที่พวกเขาคิด หลังจากไม่กี่นาทีผ่านไป คนพวกนี้ ต่างก็ล้มลงอย่างราบคาบภายใต้แข้งขาของหลิงหลง
ก็เป็นเวลานั้นเอง มีชายวัยกลางคน ปรากฏอยู่ตรงหน้าหลิงหลงอย่างกะทันหัน
“เป็นสาวเป็นนาง ทำไมถึงได้ลงมือรุนแรงขนาดนั้น”
วัยกลางคนคนนี้มองดูหลิงหลง แล้วขมวดคิ้ว “นี่คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยนะ”
“แกเป็นใคร?”
มองดูชายวัยกลางคน ในสายตาของหลิงหลง ส่องประกายความระแวดระวังออกมา
ชายวัยกลางคนคนนี้ ก็คือคนที่ทำร้ายแม่มดจนได้รับบาดเจ็บ
“ฉันชื่อเหอสง แกอาจจะไม่รู้จักฉันก็ได้”
เหอสงพูดแนะนำตัวเสร็จแล้ว ก็เดินไปหาหลิงหลง “ฉันต้องการให้แกช่วยฉันทำงานอย่างหนึ่ง”
“เรื่องอะไรเหรอ?” หลิงหลงมองดูเหอสงแล้วถามขึ้นมา
เหอสงหัวเราะแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ พูดไปแล้วแกก็คงไม่เห็นด้วย ฉันว่าฉันไม่พูดดีกว่า”
เหอสงย่างก้าวเท้าขึ้น วิ่งเข้าหาหลิงหลงซึ่งๆหน้า
ถึงแม้ว่าเหอสงจะมีอายุมากแล้ว แต่ตอนที่เขาวิ่งนั้น กลับวิ่งเร็วกว่าเสือชีต้าห์เสียอีก
ทันใดนั้น ประสาทของหลิงหลงก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที เธอรู้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้ยอดฝีมือแล้ว หลิงหลงจึงไม่รีรอ ชักมีดในแขนเสื้อตัวเองออกมา จากนั้นก็รวบรวมสมาธิไว้แน่วแน่
ก่อนที่เหอสงจะเข้ามาประชิดตัว หลิงหลงก็ใช้มีดฟันเข้าไปยังใบหน้าของเหอสงอย่างรวดเร็ว
หลิงหลงรู้สึกว่าคมมีดนั้นจะต้องบาดถูกใบหน้าของเหอสงอย่างแน่นอน แต่ว่า ชั่วพริบตาเดียวกลับพบว่า เหอสงยังไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย
“ฮาๆ เกือบไปแล้ว”
เหอสงยิ้มเล็กน้อย พูดด้วยเสียงเรียบๆว่า “คนที่หลอซ่าฝึกสอนออกมา แต่ละคนล้วนมีฝีมือยอดเยี่ยมกันทั้งนั้นเลย”
“แกรู้จักกับลูกพี่ของพวกเราด้วยเหรอ?”
ในดวงตาของหลิงหลง ส่องประกายความรู้สึกสับสนออกมา
“ฉันเคยประมือกับเขามาแล้ว”
คำพูดของเหอสง ทำให้หลิงหลงเกิดความรู้สึกถดถอยขึ้นมา
อย่างน้อยวรยุทธ์ของหลอซ่าสูงส่งเพียงใดนั้น หลิงหลงก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจดี ศัตรูที่เคยประมือกับหลอซ่า แล้วยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ก็ยอมไม่ใช่พวกฝีมือธรรมดาอย่างแน่นอน
“ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแก ลาล่ะ” หลิงหลงรีบวิ่งหนีทันที แต่ว่า เหอสงไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเธอไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
เหอสงตามขึ้นไปติดๆ ขณะที่หลิงหลงเกือบจะเข้าไปถึงสถานตากอากาศแล้วนั้น ทันใดนั้น มีมือคู่หนึ่ง เข้ามาจับศีรษะด้านหลังของหลิงหลงไว้
หลิงหลงจึงหยุดก้าวเดินต่อไปทันที
ส่วนเหอสงก็หัวเราะขึ้นมาทันควันแล้วพูดว่า “ถ้าเดินหน้าไปอีกก้าวหนึ่ง ฉันก็จะฆ่าแก”
“ไม่ต้องหรอก ฉันจัดการตัวฉันเองก็แล้วกัน”
หลิงหลงเป็นคนไร้จิตใจเมตตาจริงๆ เธอไม่ปรานีต่อคนอื่นเลย แม้แต่กับตัวเองก็ยังไร้ความปรานีเช่นกัน
หลิงหลงรู้ดีว่า ถ้าตัวเองถูกจับได้แล้ว จะต้องถูกเอาไปเป็นตัวประกันเพื่อแลกเปลี่ยนกับท่านลู่
ดังนั้น ต่อให้หลิงหลงต้องเสียสละชีวิตของตัวเอง ก็ไม่อยากจะเป็นภาระให้กับองค์กรของตัวเอง
“ฉันไม่ได้ให้เธอไปเป็นตัวประกัน”
หลิงหลงยกมือที่จับมีดไว้ เล็งตรงไปยังหัวใจตัวเอง แล้วแทงเข้าไป แต่ว่าในวินาทีนั้นเอง เหอสงก็รีบขัดขวาง ใช้มือทั้งสองหนีบจับมีดของหลิงหลงเอาไว้
“หลอซ่าฝึกคนพวกนี้ให้เป็นคนแบบไหนกันแน่? พวกแกเป็นคนบ้าทั้งนั้นเลยเหรอ?”
เหอสงขมวดคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เรื่องแค่นี้ก็ถึงกับต้องไปตายแล้ว พวกแกไม่รู้จักถนอมชีวิตของตัวเองไว้บ้างเลยนะ”
ลุงเฉียนไม่รู้ออกมาจากทางไหน
“ปล่อยเธอไปเถอะ” ลุงเฉียนมองหน้าเหอสงแล้วพูดว่า “อย่าหวังว่าจะเอาตัวประกันมาแลกกับตัวประกันเลย วิธีนี้ใช้กับพวกเราที่นี่ไม่ได้หรอก”
“แกก็เห็นแล้วนะว่า ยัยหนูคนนี้ถึงตัวจะตาย ก็ไม่ยอมเป็นตัวประกันให้แกหรอก” ลุงเฉียนพูดอย่างราบเรียบ
ใบหน้าของเหอสงบึ้งตึงมาก เขามองหน้าลุงเฉียนแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นที่ฉันจับมาได้ก็ไม่เสียแรงเปล่าเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ แล้วยังไงล่ะ แกก็ยังอยากให้เธอตายจริงเหรอ ฉันบอกให้แกรู้ไว้นะ เหอสง ไม่ว่าเธอจะตายด้วยวิธีฆ่าตัวตาย หรือว่าถูกแกฆ่าตายก็แล้วแต่ หนี้แค้นนี้ พวกเราก็ต้องคิดบัญชีกับตัวแกทั้งนั้น”
ลุงเฉียนหัวเราะแล้วพูดว่า “แกก็น่าจะรู้จักนิสัยของหลอซ่าดีนะ”
“ถ้ายัยหนูคนนี้ตายนะ รับรองหลอซ่าไม่ปล่อยแกไว้แน่” ลุงเฉียนพูด
เหอสงพูดว่า “ฉันก็ไม่อยากฆ่าคนเหมือนกัน อีกอย่างพวกแกดูเหมือนว่าจะจับคนผิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นท่านลู่หรือว่าฉัน ก็ไม่เคยคิดจะเป็นศัตรูกับพวกแก อีกอย่างเมื่อ 3 ปีที่แล้ว คนที่ไล่พวกแกออกไปคือสี่ตระกูลใหญ่ แล้วคนที่ตามฆ่าพวกแกก็เป็นคนอื่น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับท่านลู่เลย ทำไมจะต้องทำให้ท่านลู่ต้องเดือดร้อนด้วย?”
“ให้พวกเราพาท่านลู่กลับไปจะดีกว่า ฉันขอรับรองแทนท่านลู่ ขอเพียงแต่ให้ท่านลู่ปลอดภัย ฉันกล้ารับรองว่า ตระกูลลู่จะไม่มาเอาเรื่องกับพวกแกอย่างแน่นอน”
เหอสงพูดว่า “ท่านเฉียน ขอให้เชื่อใจฉันเถอะ”
“ฮ่าๆๆ ฉันเชื่อใจแกอยู่แล้ว แต่ว่าพวกเราไม่ได้กลัวพวกแกตระกูลลู่มาหาเรื่องหรอกนะ”
“อีกอย่างหนึ่ง พวกเราก็จับคนมาได้แล้ว ก็ไม่ได้จับผิดคนอย่างที่พูด แกพูดมาก็ไม่ผิดหรอก ท่านลู่ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับพวกเรา แต่ว่า ในตัวท่านลู่นั้น มีสิ่งของที่พวกเราอยากจะได้อยู่”
ลุงเฉียนพูดว่า “ฉันขอรับประกันกับแกว่า ฉันจะไม่ทำร้ายท่านลู่ อีกอย่างในช่วงเวลาที่หลอซ่ากลับมานั้น ฉันก็ขอรับประกันความปลอดภัยของเขาด้วย”
“ไปเถอะ”
ลุงเฉียนโบกมือให้กับเหอสงแล้วพูดว่า “พาเจ้าหนูตระกูลลู่นั่นไปด้วย”