NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 673 ลู่เฟยยอมแพ้ทั้งกายและใจ
สีหน้าของเหอสง เปลี่ยนเป็นขาวซีดมาก
“พวกแกคงคิดจะผลักให้ตระกูลลู่ไปยมโลกทั้งตระกูลเลยสิ” เหอสงมองไปยังลุงเฉียน พูดด้วยสีหน้าเย็นชา
ลุงเฉียนหัวเราะแล้วพูดว่า “พวกเราจะไปช่วยพวกเขาเอง”
“ช่วยตระกูลลู่เหรอ? ถึงเวลาพวกแกก็เอาตัวไม่รอดแล้ว จะช่วยยังไง?” เหอสงพูดว่า “ฉันเฝ้าปกป้องดูแลตระกูลลู่มาหลายปีเช่นนี้ ไม่อยากเห็นตระกูลลู่ถูกกวาดล้างสิ้นซาก ท่านเฉียง ฉันยังอยากขอให้ท่านกับหลอซ่าโปรดให้ความเมตตาด้วย ปล่อยตระกูลลู่ไปเถอะ”
“ช่วงเวลาที่ผ่านมา ตระกูลลู่ก็ได้ตัดความสัมพันธ์กับพวกเขาไปนานแล้ว” เหอสงพูด
ลุงเฉียนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “สีดำก็ย่อมเป็นสีดำ จะล้างยังไงก็ยังเป็นสีดำ เรื่องนี้ฉันคิดว่าแกน่าจะรู้ดีมากกว่าฉัน ถ้าคนหนึ่งเคยฆ่าคนมาแล้ว หรือว่าเพราะเขาสำนึกผิดกลับตัวเป็นคนดี แล้วกฎหมายก็จะยกเลิกประหารชีวิตเขาเหรอ?”
“ท่านลู่ เป็นด่านปราการสำคัญของพวกเรา พวกเราต้องการเขา” ลุงเฉียนพูด
เหอสงมองหน้าลุงเฉียน แล้วหัวเราะ “หรือว่าแกไม่กลัวฉันจะสังหารกวาดล้างให้สิ้นซากเหรอ?”
“ถ้าแกมีความกล้าหาญชาญชัยพอ ก็เข้ามาได้เต็มที่เลย”
ลุงเฉียนหัวเราะแล้วพูดว่า “แน่นอน แกก็จะต้องมีความสามารถมากพอจึงจะทำเช่นนั้นได้”
ลุงเฉียนตบมือส่งสัญญาณ ด้านหลังภูเขาเทียม ก็ปรากฏมีชาย 4 คนออกมา
ทั้ง 4 คนนี้ ก็แยกย้ายกันล้อมเหอสงไว้ทั้ง 4 ด้าน
“แกสู้ชนะพวกเขาสี่คนก่อนแล้วค่อยคุยกัน” ลุงเฉียนพูด
เหอสงผลักตัวหลิงหลงออกไป มองหน้าลุงเฉียนแล้วพูดว่า “ได้ ถ้าฉันชนะพวกเขา 4 คน แกก็ต้องบอกตำแหน่งที่ตั้งของท่านลู่ให้ฉันด้วย”
“ฮ่าๆๆ แกก็ยังคิดหลงผิดอย่างนั้นอีก”
ลุงเฉียนพูดว่า “ท่านลู่แกไม่สามารถช่วยไปได้หรอก อีกอย่างฉันก็ไม่บอกแกหรอกว่าเขาอยู่ที่ไหน”
“แต่ว่าถ้าแกชนะพวกเขา 4 คนได้ ฉันก็อาจจะให้คุณชายน้อยของตระกูลลู่ ยกให้แก” ลุงเฉียนหัวเราะแล้วพูดว่า “เอาล่ะ พวกแกเริ่มได้แล้ว”
เหอสงมองหน้าลุงเฉียน แล้วพูดว่า “ยังไงก็แล้วแต่ วันนี้ฉันก็จะต้องพาท่านลู่ออกไปให้ได้”
“นอกจากหลอซ่ากลับมา ไม่เช่นนั้นแล้ว ไม่มีใครที่จะขวางฉันได้!”
เหอสงมองไปยัง 4 คนนี้ด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าเต็มไปด้วยพลังพิฆาต
ส่วนชายทั้งสี่คนนี้ ต่างก็ปิดคลุมใบหน้าไว้ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดดำทั้งชุด ดูราวกับเป็นพวกภูตผีปีศาจ
แววตาของพวกเขา ไม่มีความรู้สึกใดๆ ได้แต่จ้องหน้าเหอสง
หนึ่งในนั้น คนที่มีรูปร่างสูง 2 เมตรกว่า เขายกก้อนหินจากภูเขาเทียมขึ้นมาก้อนหนึ่ง ก้อนหินก้อนนั้น มีน้ำหนักมากถึง 200 กว่ากิโลกรัม
คนรูปร่างสูงคนนี้ยกมันขึ้นมาอย่างง่ายดาย จากนั้นก็ทุ่มไปยังเหอสง
เหอสงพูดอย่างดูถูกว่า “ก็มีเพียงแค่พละกำลังอย่างเดียวเท่านั้นเอง!”
พูดพลางเหอสงสูงก็เอียงตัวหลบพ้นไปได้
ส่วนที่เหลืออีก 3 คน แทบจะลงมือพร้อมกัน ย่างก้าวขาออกไป พุ่งกระโจนเข้าไปหาเหอสง
ทั้งสามคนนี้ เข้ามาจากสามทิศสามทาง ท่าทางแต่ละคนดุดันยิ่งนัก ใบหน้าของเหอสง แสดงออกถึงความหนักแน่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เหอสงเฝ้าคุ้มครองท่านลู่มาโดยตลอด เคยเผชิญเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกขนหัวลุกครั้งหนึ่ง นั่นก็คือการประมือกับหลอซ่าในครั้งนั้น
ในเวลาเดียวกันนี้เอง กลุ่มคนพวกโหจื่อและลู่เฟยก็วิ่งเข้ามา ร่วมชมดูการต่อสู้ด้วย
“แม้แต่ซือปาจี้ก็ยังต้องลงมือด้วยเลย” หลิงหลงขมวดคิ้ว แล้วสูดลมหายใจเข้าไปอย่างแรง
ลุงเฉียนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ลูกพี่ไม่อยู่ ส้าวส้วยก็ไม่อยู่ ก็เลยต้องอาศัยพวกเขา”
“เหอสงคนนี้ ไม่ใช่จะต่อกลอนกันง่ายๆ เมื่อก่อนนั้นไปฝึกเรียนกับอาจารย์พร้อมกับลูกพี่เรา วรยุทธ์ในตัวเขาเก่งกาจทีเดียวเลย” ลุงเฉียนพูด
เรื่องนี้ หลิงหลงก็ย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
เมื่อพบกับเหอสง หลิงหลงไม่มีแม้แต่โอกาสจะหลบหนี
ลู่เฟยเมื่อเห็นเหอสงแล้ว ตกตะลึงตาค้าง “ลุงเหอ!”
ลู่เฟยคิดไม่ถึงว่าเหอสงจะมาด้วย แต่เมื่อเห็นเหอสงแล้ว ในใจของเขาก็โล่งอกขึ้นมาทันที
ลู่เฟยรู้สึกว่าข้างกายตัวเองเต็มไปด้วยความปลอดภัยมากขึ้นทันที
หลายปีมานี้ ตระกูลลู่ก็เหมือนกับมีเทพเจ้าคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือเหอสง ราวกับว่าถ้าเหอสงยังอยู่ ก็จะไม่มีศัตรูอะไรที่จัดการไม่ได้เลย
ต่อให้ศัตรูจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน ก็ยังสู้เขาเหอสงไม่ได้
อีกอย่างวรยุทธ์ของลู่เฟยนั้น เหอสงก็เป็นคนฝึกสอนให้
“แกก็คือหลิงหลงเหรอ?” มองหน้าหลิงหลง ลู่เฟยก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แกไม่ใช่ถูกคนของฉันจับไว้แล้วเหรอ?”
หลิงหลงไม่ได้สนใจลู่เฟย ได้แต่จ้องดูการต่อสู้ระหว่างเหอสงกับคนชุดดำ
ลู่เฟยขมวดคิ้วทันที เขาเอามือถือออกมา โทรศัพท์ให้ชายผมแสกกลาง
แต่ว่า ปลายทางนั้นไม่มีใครรับสาย ตอนนี้ ลู่เฟยมองไปยังหลิงหลงอย่างร้อนรน แล้วพูดว่า “เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่? แล้วลูกน้องฉันล่ะ”
“ถูกฉันฆ่าตายแล้ว” หลิงหลงพูดอย่างเรียบง่าย
“อะไรนะ แกฆ่าลูกน้องฉันเหรอ?” ลู่เฟยได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมาทันที
“ถูกต้องแล้ว เพราะว่าเขาตบฉันหนึ่งที ดังนั้นฉันจึงฆ่าเขา ทำไมเหรอ มีปัญหาเหรอ? ”
หลิงหลงมองค้อนลู่เฟย ด้วยท่าทีที่เหยียดหยามมาก
ลู่เฟยกัดฟันอย่างแรง มองหน้าหลิงหลงแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “นังนี่แม้งรนหาที่ตาย!”
พูดจบ ลู่เฟยก็บุกเข้าไปหาหลิงหลงทันที
ส่วนหลิงหลงนั้นก็ไม่ใช่พวกอ่อนหัด ใช้มีดแทงไปยังลู่เฟย
ลู่เฟยนึกไม่ถึงว่าวรยุทธ์ของหลิงหลงสูงส่งเพียงนั้น จึงถูกมีดบาดเข้าที่แขน แต่ว่าบาดแผลไม่ลึกเท่าไหร่นัก
ลู่เฟยยิ้มแบบหยอกเย้า “ที่แท้แกก็เป็นวรยุทธ์นี่เอง”
“พูดไร้สาระ!” คราวนี้ ถึงทีหลิงหลงจู่โจมบ้างแล้ว
ส่วนลู่เฟยกำลังจะตั้งรับมือ โหจื่อกลับลอบโจมตีข้างหลังเขา ทำให้ลู่เฟยถูกรุมทันที
“โคตรแม้งโว้ย พวกแกเล่นสองรุมหนึ่งเลยเหรอ?” ลู่เฟยโวยวาย
“ยังไงเหรอ ที่นี่ไม่ใช่ลานเวทีประลอง ใครเป็นคนกำหนดว่าต้องหนึ่งต่อหนึ่งล่ะ? ฮ่าๆๆไอ้โง่เอ๊ย แกก็ไม่ดูว่าตัวเองประสบชะตากรรมอะไรอยู่ สถานการณ์ที่ศัตรูมีมากแต่ฝ่ายเรามีน้อย แกก็ต้องหัดรู้จักอดทนไว้มั่ง” โหจื่อมองหน้าลู่เฟย แล้วพูดเยาะเย้ย
หลิงหลงไม่เหมือนโหจื่อ พูดมากเช่นนั้น เธอได้แต่ลุยเข้าไปยังลู่เฟยอย่างเดียว
โหจื่อจะช่วยหรือไม่ได้ช่วย ใบหน้าของหลิงหลง ก็ไม่ได้มีอะไรสะทกสะท้านเลย
ลุงเฉียนหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าหนูตระกูลลู่ คราวนี้ก็นับว่าเสียเปรียบแล้วล่ะสิ”
ถึงแม้ว่าต้องเผชิญกับยอดฝีมือทั้ง 2 คน แต่ว่าลู่เฟยก็ไม่ได้เกรงกลัวอะไรเลย อย่างน้อยลู่เฟยก็เคยได้ฝึกวรยุทธ์กับเหอสงมาตั้งแต่เด็ก ก็นับว่าได้ฝึกเรียนฝีมือการต่อสู้ที่เก่งกาจติดตัวมา ก่อนหน้านั้น เขาคนเดียวยังเคยต่อสู้กับ 10 กว่าคนได้เลย
ตอนนี้แค่เผชิญหน้ากับ 2 คนเท่านั้น เขาจะไปกลัวอะไรเล่า?
แต่ว่าในไม่ช้า ลู่เฟยก็พบว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดเลย เพราะว่าโหจื่อคนนี้เลวทรามต่ำช้าเกินไป เขามักจะไม่สู้กันซึ่งหน้าตามกติกา อีกอย่างเมื่อขณะลงมือ ก็มักจะฉวยโอกาสคอยลักลอบโจมตีตัวเองอยู่เสมอ
มีหลายครั้งที่โหจื่อมักจะหลบออกไปอยู่ไกลออกไปสี่ห้าเมตร จากนั้นก็คอยดูหลิงหลงกับลู่เฟยต่อสู้กัน
ขอเพียงแค่ลู่เฟยไม่ระวังตัวแสดงจุดอ่อนออกมาให้เห็น โหจื่อก็รีบลงมือทันที ซัดไปยังลู่เฟยหนึ่งที
บ่อยครั้งเข้า ลู่เฟยก็ถูกชกจนเลือดไหลซึมจากมุมปาก
ในระหว่างการประมือของยอดฝีมือนั้น มักจะพ่ายแพ้ให้แก่กัน ก็ตรงที่ครึ่งท่ากระบวนเพลงเท่านั้นเอง จุดอ่อนเพียงนิดเดียว ก็มากพอที่ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว
ผ่านไปหลายนาที ลู่เฟยก็เอาหลังพิงภูเขาเทียมก้อนหนึ่ง หายใจเหนื่อยหอบอย่างแรง หลิงหลงและโหจื่อ กลับยังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลย
ลู่เฟยรู้ดีว่า ถ้าขืนยังสู้ต่อไปอีก ตัวเองก็จะเอาชีวิตไม่รอดแน่ แต่ว่าตอนนี้ถ้าไม่สู้ต่อแล้ว ฝ่ายตรงข้ามเขาจะยอมปล่อยตัวเองเหรอ?
โหจื่อก็ยังยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางทะเล้นเหมือนเดิม มือทั้งสองข้างกอดอกไว้ ราวกับว่ากำลังชมการแสดงอยู่
ส่วนหลิงหลงเองก็ดูเหมือนแม่เสือสาวตัวหนึ่ง จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เหมือนกับกำลังจ้องตะครุบเหยื่อ
“อย่าทำร้ายชีวิตเขา”
วินาทีนี้เอง ลุงเฉียนส่งเสียงพูดกำชับหลิงหลงไว้
หลิงหลงพยักหน้า กำลังจะลงมือต่อไปอีกครั้ง แต่โหจื่อก็เข้ามาลากตัวเธอไว้ “พอแล้วล่ะ ปล่อยเขาไปเถอะ แกมองดูสายตาไอ้หมอนั่นที่มองพวกเราสิ ตกใจกลัวจนเหมือนหมาตัวหนึ่งแล้ว”
“ฉันถามแกหน่อย ลู่เฟย แกจะยอมแพ้หรือยัง?”
โหจื่อมองดูลู่เฟย แล้วยักคิ้วถามว่า “ถ้าแกยอมแพ้ งั้นวันนี้ก็หยุดพอแค่นี้ แต่ถ้ายังไม่ยอมแพ้ละก็”
ยังไม่ทันรอให้โหจื่อพูดจบ ลู่เฟยก็รีบพูดว่า “ฉันไม่ยอม พวกแกสองรุมหนึ่ง จะนับว่าชนะได้ยังไง? ถ้าแน่จริงก็มาสู้กันตัวต่อตัวสิ”
หลิงหลงพูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “โหจื่อ แกไม่ต้องลงมือ”
“ไม่มีปัญหา”
โหจื่อจึงเดินถอยหลังไปหลายก้าว ส่วนหลิงหลงมองหน้าลู่เฟยแล้วพูดว่า “แกได้รับบาดเจ็บแล้ว ดังนั้น เพื่อความยุติธรรม ฉันก็ต้องเหมือนกัน” พูดพลางหลิงหลงก็เอามีดแทงเข้าร่างกายตัวเองหนึ่งแผล
อีกทั้งบาดแผลก็ลึกมากด้วย
ในขณะที่หลิงหลงลงมือทำร้ายตัวเองนั้น ก็ยังไม่กะพริบตาเลย เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว ลู่เฟยก็ตกตะลึงงงชั่วครู่ เขาคิดไม่ถึงเลยว่า หลิงหลงถึงกับทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้
หลิงหลงจ้องหน้าลู่เฟยไม่ละสายตา แล้วพุ่งตัวเข้าไป ท่วงท่าการใช้มีดฟันแทงของเธอนั้น ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว
ถึงแม้ว่าเมื่อครู่ลุงเฉียนได้กำชับไว้แล้วว่า อย่าให้เธอฆ่าลู่เฟย แต่ท่าทางของหลิงหลงนั้น กลับไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนปรนเลย
หากลู่เฟยหลบไม่ทัน งั้นก็จะต้องถูกหลิงหลงฆ่าตายอย่างแน่นอน
หลังจากที่ลู่เฟยได้หยุดพักชั่วคราว ก็ได้ฟื้นฟูพละกำลังคืนมามากแล้ว ทันใดนั้นเขาก็เกิดความรู้สึกเลื่อมใสในตัวหลิงหลงอย่างบอกไม่ถูก
ในขณะเดียวกัน ในใจก็ยิ่งรังเกียจความเจ้าเลห์เพทุบายของโหจื่อมากยิ่งขึ้น
ระหว่างโหจื่อกับหลิงหลง มันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
โหจื่อคนนี้ ก็คือคนถ่อยที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย นอกจากชอบใช้วิธีหมาหมู่แล้ว ยังชอบแอบลอบกัดคนอื่นตอนทีเผลออีกด้วย ซึ่งมันล้วนเป็นการกระทำของคนเลวทั้งสิ้น
แต่หลิงหลงนั้น ถึงแม้จะเป็นแค่หญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่ง แต่ว่าการกระทำของเธอนั้น ยิ่งดูเหมือนผู้ทรงคุณธรรมสูงส่งคนหนึ่ง
การต่อสู้ระหว่างหลิงหลงกับลู่เฟยนั้นยากที่จะแยกออกจากกันได้ ส่วนเหอสงและชายชุดดำทั้ง 4 ทางนี้ก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
โหจื่อยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะแล้วพูดว่า “สนุกจังเลย ถ้าตอนนี้มีคนมาขายเมล็ดก๋วยจี้ละก็ ยิ่งดีใหญ่เลย”
หลี่ฝางมองดูเหอสงที่คนเดียวสู้กับสี่คน รู้สึกตกใจตะลึงงงไปหมด
ถึงแม้จะสู้พ่อของตัวเองไม่ได้ที่คนเดียวยังสู้กับหลายคนได้ แต่เหอสงคนนี้ ก็นับว่าเป็นสุดยอดฝีมือในบรรดาหมู่ยอดฝีมือด้วยกัน
“ตาแก่คนนี้ ถือว่ามีความอดทนได้ดี คนเดียวสู้กับสี่คน ยังสู้ได้นานขนาดนั้นเลย” หลี่ฝางส่ายหน้าพลางยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าพละกำลังของเขาเริ่มถดถอยแล้ว คิดว่าคงทนได้อีกไม่นานแล้ว”
ลุงเฉียนพยักหน้าแล้วพูดว่า “เขาก็เพียงแค่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้นเอง”
ผ่านไปอีก 5 นาที มีดของหลิงหลง ก็พุ่งเข้ามาตรงกลางระหว่างลูกตาทั้งสองข้างของลู่เฟย ห่างเพียงแค่ 1 เซนติเมตรเท่านั้นเอง
หลิงหลงก็หยุดทันที ลู่เฟยตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ
“แกแพ้แล้ว”
สีหน้าไร้ความรู้สึกของหลิงหลงมองไปยังลู่เฟย แล้วประกาศผลการแข่งขันด้วยเสียงที่ราบเรียบ
แล้ววินาทีนี้เอง ลู่เฟยก็ยอมแพ้แล้ว
อย่างน้อย ชีวิตของตัวเอง ก็เกือบจะถูกหลิงหลงเอาไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อความยุติธรรมแล้ว หลิงหลงเธอยังทำร้ายตัวเองก่อนที่จะเริ่มการต่อสู้กันอีกด้วย ตอนนี้บาดแผลของเธอเลือดยังไหลไม่หยุดเลย
ถ้าหากว่ายังไม่ยอมแพ้อีก งั้นตัวเองก็จะเหมือนโหจื่ออย่างนั้น กลายเป็นพวกคนเลวไร้ยางอายไปด้วยหรือเปล่า?
“ตอนนี้ แกจะยอมแพ้ได้หรือยัง?” หลิงหลงถามต่อไปอีก
ลู่เฟยพยักหน้าพูดว่า “ยอมแล้ว ฉันยอมรับว่าฝีมือฉันสู้แกไม่ได้ แต่ว่าพี่น้องของฉัน ก็ไม่ควรจะตายเปล่า ฉันจะต้องมาหาแกอีก”
หลิงหลงเก็บมีดของตัวเองไว้ ลุงเฉียนพูดกับหลิงหลงว่า “ไปทำแผลให้เรียบร้อยก่อนเถอะ”
หลิงหลงพยักหน้า แล้วก็หายตัวไปจากสายตาทุกคนอย่างรวดเร็ว
โหจื่อมองหน้าลู่เฟยแล้วหัวเราะพูดว่า “ขายหน้าหรือเปล่าเนี่ย? แม้แต่ผู้หญิงคนเดียวก็ยังสู้ไม่ได้ ถ้าฉันเป็นแกนะ ตายไปให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้ว”
“แกมันไอ้สาระเลว แน่จริงเรามาสู้กันตัวต่อตัวสิ” ได้ยินคำเย้ยหยันของโหจื่อ ในใจลู่เฟยก็ลุกเป็นไฟ แล้วบุกเข้าไปทันที
“ได้สิ ตัวต่อตัวก็ตัวต่อตัว ฉันกลัวแกเหรอไง”
โหจื่อก็เดินไปตรงหน้าของลู่เฟย ยักคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “มาเลย เราสองคนมาสู้กันสักตั้ง ฝ่านไหนที่แพ้แล้ว ต้องคุกเข่าลงแล้วเรียกฝ่ายชนะว่าคุณปู่ แกกล้าไหมล่ะ ?”
“แก……..เวลานี้แกคิดจะสู้กับฉัน นี่ไม่ใช่เอาเปรียบฉันอยู่เลย?”
ลู่เฟยพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เมื่อครู่ลู่เฟยเพิ่งจะสู้กับหลิงหลงมา อีกทั้งยังบาดเจ็บอยู่ แต่โหจื่อนั้นร่างกายกลับสมบูรณ์ทุกอย่าง แล้วจะประลองกันยังไงล่ะ?”
ถ้าเกิดต่อสู้ขึ้นมา ลู่เฟยก็คงต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน แต่โหจื่อก็ไม่สนใจประเด็นนี้เลย ได้แต่มองหน้าลู่เฟยแล้วพูดว่า “อย่าพูดมาก กล้าสู้ไหมล่ะ? ถ้าไม่กล้าก็อย่ามาพูดอะไรมากมาย”
ลู่เฟยใบหน้าแดงก่ำ ต้องอดทนกับโหจื่อไปก่อน เขารู้ดีว่า ถ้าหากต่อสู้กับโหจื่อขึ้นมาจริงๆแล้วละก็ ความอัดอั้นตันใจที่จะตามมาก็จะมากยิ่งขึ้น
แล้วในเวลาเดียวกันนี้เอง เหอสงนั้นก็หมดแรงสู้ต่อไปได้อีก จึงได้ยอมพ่ายแพ้ไป