NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 676 สัมผัสที่หกของลู่หลุ่ย
ลงมาจากลิฟต์ หลี่ฝางกำลังจะออกจากโรงพยาบาล ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสนั่นหวั่นไหวดังมาจากข้างหลัง
หลังจากนั้น ทุกคนก็เข้าไปรวมตัวอยู่ด้วยกัน
เดิมทีหลี่ฝางก็ไม่อยากจะสนใจ แต่ว่าในเวลานั้นเอง ก็ได้ยินเสียงคนรอบด้านตะโกนขึ้นมาว่า
“ดูสิ มีคนกระโดดตึก!”
“โอ๊ย สงสัยคนกระโดดตึกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลที่สูงลิ่วไม่ไหวอีกคนแล้ว” มีคนพูดพลางถอนหายใจ
“ยังเป็นเด็กสาวอายุยังน้อยอยู่เลย ดูแล้วก็ประมาณ 20 ปีมั้ง? เฮ้ย น่าเสียดายจริงๆเลย!”
เมื่อได้ยินเสียงพวกนี้แล้ว หลี่ฝางก็รีบหันหลังกลับ มุ่งไปยังฝูงชนแล้วแหวกเข้าไป
บริเวณข้างศพนั้น ก็มีผู้คนล้อมรอบมุงดูเต็มไปหมด ส่วนหลี่ฝางมองลอดผ่านช่องฝูงชนเข้าไป ก็พอจะได้เห็นอยู่มุมหนึ่งบ้าง
ผมที่ยาวนั่น แล้วยังมีชุดเสื้อผ้าทั้งตัวนั่น…………
ถ้าไม่ใช่เซี่ยลู่ แล้วจะเป็นใครไปได้เล่า?
ที่จริงแล้วเหตุการณ์เช่นนี้ หลี่ฝางก็ได้คาดคิดไว้ก่อนแล้ว
ทำให้พ่อแม่ตัวเองเสียชีวิตด้วยน้ำมือของตัวเอง ในใจของเซี่ยลู่นั้น จะต้องรู้สึกสำนึกผิดอย่างมหันต์
ยิ่งไปกว่านั้น เซี่ยลู่ตอนนี้ จะยังมีอะไรเหลืออยู่อีก?
เธอไม่เหลืออะไรอีกแล้ว…………..
ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนมาปิดกั้นทางไว้ แล้วกันให้หลี่ฝางและคนอื่นออกไปอยู่รอบข้าง
ทั้งผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการทั้งหลายในโรงพยาบาลต่างก็ปวดหัวทันที
เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่อยากเห็นที่สุด
หลี่ฝางหยิบมือถือขึ้นมา แล้วโทรให้ลูกน้องตัวเอง “รีบส่งจางเสี่ยวเฟิงไปที่สนามบินด่วนเลย”
เซี่ยลู่ฆ่าตัวตายแล้ว เกรงว่าจางเสี่ยวเฟิง ก็คงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว?
หลี่ฝางซื้อตั๋วเครื่องบินให้จางเสี่ยวเฟิงไปเขตแอฟริกา จางเสี่ยวเฟิงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ นิสัยขี้เกียจทำงานเอาแต่กินเที่ยว ถ้าไปถึงที่นั่นแล้ว เกรงว่าจางเสี่ยวเฟิงจะทนอยู่ต่อได้ไม่นานเท่าไร ก็ต้องอดตายอย่างแน่นอน
“ตายก็ตายไปสิ”
ในใจของหลี่ฝางนั้น ไม่มีความสะทกสะท้านอย่างไรเลย
สำหรับเซี่ยลู่แล้ว ตั้งแต่วินาทีที่เธอนัดตัวเองขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วคิดจะทำร้ายตัวเองเป็นต้นมา หลี่ฝางก็ได้ตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับเธอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ฉันมิตรเพื่อนฝูง คนรักอันบริสุทธิ์ตอนสมัยยังเด็ก ทุกอย่างล้วนจบสิ้นลงไปหมดแล้ว
ที่เหลืออยู่ ก็มีเพียงแต่ความเกลียดชังและการแก้แค้น
หลี่ฝางขับรถเบนซ์รุ่นจี-คลาสของตัวเอง กลับไปที่มหาวิทยาลัย
ส่วนมหาวิทยาลัยทางนี้ หลี่ฝางก็ไม่ได้กลับมานานแล้ว เมื่อมาถึง หลี่ฝางก็เห็นประตูทางเข้าด้านหน้ามหาวิทยาลัย ติดโปสเตอร์ขวางอยู่เขียนไว้ว่า
ฉันรักลู่หลุ่ย…….
เมื่อเห็นโปสเตอร์แล้ว หลี่ฝางก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที นี่ใครบังอาจกล้าหาญถึงเพียงนี้ แม้แต่ผู้หญิงของตัวเองก็ยังกล้าจะมาแย่ง
พวกคนที่ขึงโปสเตอร์นี้ มีประมาณ 7-8 คน มองดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือของคนมีเงิน
หลี่ฝางจึงรีบโทรศัพท์ไปหาลู่เชา เพื่อสอบถามรายละเอียดสถานการณ์
ลู่เชาก็ส่ายหน้า แสดงว่าไม่รู้เรื่อง แต่มีอย่างหนึ่งที่มั่นใจ ก็คือคนพวกนี้ไม่ใช่คนแถวนี้
แต่เป็นฝีมือของคนอำเภอหลิน
หลี่ฝางหัวเราะแล้วมองดูคนพวกนี้ พูดเยาะเย้ยว่า “ก็ยังมีพวกที่ไม่กลัวตายจริงด้วย”
หลี่ฝางโทรศัพท์เรียกลู่หลุ่ยออกมา ชี้ไปที่โปสเตอร์แล้วถามเธอว่า “นี่มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่?”
“คุณไม่รู้จักดูเองเหรอไง?” ลู่หลุ่ยพูดยังเสียไม่ได้
หลี่ฝางทำตาขมึงใส่ลู่หลุ่ย “ฉันก็อยากจะถามคุณ ไอ้หมอนี่มันเป็นใคร?”
“มีคนมาก่อกวนคุณ คุณก็ไม่คิดจะบอกให้ฉันรู้มั่งเลยเหรอ?” หลี่ฝางถามลู่หลุ่ยด้วยน้ำเสียงที่พอประมาณ
ลู่หลุ่ยยิ้มแบบประหลาด แล้วพูดว่า “ก่อกวนแล้วมันยังไงล่ะ? ฉันชอบถูกก่อกวน มันยังดีกว่าที่ไม่มีใครสนใจไม่ใช่เหรอ?”
“หลี่ฝาง คุณบอกมาซิว่าแฟนหนุ่มอย่างคุณทำตัวเหมาะสมหรือเปล่า? หายไปทีก็ตั้งหลายวัน……..”
ลู่หลุ่ยขมวดคิ้วพูดด้วยความโมโหว่า “อย่างมากก็แค่ส่งข้อความมาให้ฉันไม่กี่ประโยค ฉันไม่ตอบคุณ คุณก็ไม่รู้จักโทรศัพท์มาถามบ้างเลย…….”
“ฉันก็อยากจะถามหน่อย เป็นเพราะใจคุณกว้างกว่าชายหนุ่มคนอื่น หรือจะพูดว่า ในใจคุณที่แท้ไม่เคยมีฉันอยู่เลยใช่ไหม?”
หลี่ฝางพูดด้วยเสียงอ่อยว่า “เมื่อคืนฉันก็โทรศัพท์หาคุณแล้วไม่ใช่เหรอ? แต่ว่าคุณไม่ได้รับสาย”
“ฮ่าๆๆ โทรศัพท์มาช่วงใกล้รุ่งตอนตีสองกว่า อย่างนั้นเหรอ? แล้วเป็นยังไงล่ะ คุณอยู่อเมริกาหรือว่าอยู่ประเทศไหน? เวลามันต่างกับฉันที่นี่หรือไง?” ลู่หลุ่ยทำตาถลนใส่หลี่ฝาง แล้วพูดว่า “พอเจอหน้ากัน ก็ถามฉันว่าโปสเตอร์นี่มันเป็นเรื่องอะไรกัน หรือว่าคุณไม่รู้จักหาคำตอบเองเหรอ?”
“ฉันยังหาคำตอบไม่ได้เลย……” หลี่ฝางพูด
“ใต้หล้านี้ยังมีเรื่องอะไรที่คุณชายหลี่ไม่สามารถสืบรู้ได้มั่งล่ะ…….” ลู่หลุ่ยพูด
ความรู้สึกของหลี่ฝางตอนนี้ ก็สับสนวุ่นวายมาก เดิมทีหลี่ฝางรู้สึกละอายใจต่อลู่หลุ่ย อย่างน้อยเวลาที่ผ่านมานี้ หลี่ฝางงานยุ่งมากจริงๆ จึงไม่ค่อยโทรศัพท์หาลู่หลุ่ย
แน่นอน ในช่วงเวลาปกตินั้น ถ้าเวลากลางคืนพอมีเวลา หรือว่าตอนตื่นนอนแล้ว หลี่ฝางก็จะส่งข้อความให้กับลู่หลุ่ย ลู่หลุ่ยก็มักจะไม่ค่อยตอบ ด้วยเหตุนี้ หลี่ฝางและลู่หลุ่ยทั้งสองคนก็ค่อยๆห่างเหินกันไปบ้าง
แต่ตอนนี้หลี่ฝางมาคิดคิดดูแล้ว ที่ลู่หลุ่ยไม่ตอบข้อความของตัวเอง ไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่ว่าง และไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่ได้อ่านข้อความ แต่เป็นเพราะว่าเธอกำลังโกรธอยู่
หลี่ฝางอยากจะตบหน้าตัวเองให้ตายไปเลย ทำไมตัวเองถึงได้โง่อย่างนี้ แค่นี้ก็นึกไม่ถึง
แต่หลี่ฝางก็ยังเป็นคนขี้หึงคนหนึ่ง เมื่อเห็นโปสเตอร์แสดงความรักในใจ ความละอายใจของหลี่ฝาง ก็ถูกปิดบังด้วยความโทษะจนทำให้เสียสติ โดยเฉพาะตอนที่ถามลู่หลุ่ย เวลาที่ลู่หลุ่ยไม่ตอบ………..
“คุณว่าฉันเป็นแฟนหนุ่มที่ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ งั้นแฟนสาวอย่างคุณล่ะ? ในเมื่อมีคนมารบกวนคุณ แต่คุณไม่คิดที่จะบอกฉันบ้างเลยเหรอ?” หลี่ฝางทำตาขมึงใส่ลู่หลุ่ย
“มีอะไรน่าบอกล่ะ…….” ลู่หลุ่ยพูดอย่างเสียไม่ได้ “คุณเรียกฉันมา ถ้าแค่ถามฉันเรื่องนี้ละก็ งั้นก็ไม่ต้องถามดีกว่า เพราะว่าฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ฉันว่านะหลี่ฝาง คุณหมายความว่ายังไงกัน ช่วงเวลาที่ผ่านมา คุณไปทำอะไรมากันแน่? หรือว่าคุณไม่คิดจะมาอธิบายให้ฉันฟังบ้างเลยเหรอ?”
“ทางที่ดีคุณควรจะให้เหตุผลที่เพียงพอกับฉัน ไม่เช่นนั้นละก็……” ลู่หลุ่ยโกรธมาก แต่ก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาข่มขู่หลี่ฝาง
เลิกกันเหรอ?
อย่างน้อยหลี่ฝางก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดต่อเธอมาก่อน อย่างมากก็แค่ห่างเหินเธอไปบ้าง ก็ไม่น่าจะถึงขนาดต้องมาเลิกรากัน”
“ที่บ้านเกิดเรื่องนิดหน่อย”
หลี่ฝางเอามือลูบหัวตัวเองแล้วพูดว่า “เมียจ๋า ถือว่าฉันเป็นคนผิดก็แล้วกัน ได้ไหมล่ะ ฉันขอโทษคุณ เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะเลี้ยงคุณกินข้าว เพื่อเป็นการไถ่โทษ”
“อะไรที่เรียกว่าถือว่าคุณผิดก็แล้วกัน นี่มันความผิดของคุณชัดๆ คนอื่นเขาคบหากัน จะแช่เย็นแฟนสาวได้นานขนาดนี้เหรอ? ไม่กี่วันก่อนฉันไม่สบายเป็นไข้หวัดแล้ว คุณรู้บ้างหรือเปล่า?” ลู่หลุ่ยทำตามองค้อนหลี่ฝาง
หลี่ฝางก็รีบไปแตะหน้าผากของลู่หลุ่ย แล้วถามว่า “แล้วหายหรือยังล่ะ เมียจ๋า”
“หายไปนานแล้ว” ลู่หลุ่ยปัดแขนของหลี่ฝางออกไป แล้วพูดว่า “เอาละ คราวนี้ฉันให้อภัยคุณก็แล้วกัน แต่ว่าหลี่ฝาง คราวหน้าจะไม่มีข้อยกเว้นอีก”
สีหน้าของลู่หลุ่ย ก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “ฉันไม่อยากจะสงสัยคุณหรอก ฉันรู้ว่าการที่จะคบหากันนั้น ต่างฝ่ายต่างจะต้องเชื่อใจซึ่งกันและกันเป็นหลักพื้นฐานอยู่แล้ว แต่ฉันหวังว่า ไม่ว่าคุณจะเจออะไรมา ก็ต้องมาบอกฉัน อย่าให้ถึงขั้นที่ไม่บอกกล่าวอะไรกันเลยแล้วก็ลาจากไป”
“ถึงแม้เราสองคนจะมีอะไรกันแล้ว แต่ฉันก็ไม่บังคับให้คุณต้องมารับผิดชอบฉันหรอก นั่นเป็นการสมยอมของฉันเอง ถ้าคุณไม่รักฉันแล้ว ก็รบกวนคุณช่วยบอกฉันสักคำ เราสองคนจะได้เลิกรากันด้วยดี”
ลู่หลุ่ยมองดูหลี่ฝาง ด้วยสายตาที่สับสนแล้วพูดว่า “ตอนนี้ฉันมีความรู้สึกว่า เมื่อคบกับคุณแล้ว ฉันไม่มีความรู้สึกปลอดภัยในใจเลย รู้สึกวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา”
สีหน้าหลี่ฝาง รู้สึกเคอะเขินมาก
คำพูดของลู่หลุ่ยนั้น ดูเหมือนบาดลึกลงไปในขั้วหัวใจของหลี่ฝาง
ทันใดนั้น ความรู้สึกละอายใจของหลี่ฝางที่มีต่อลู่หลุ่ยนั้น ก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น……….
หลี่ฝางพยักหน้า แล้วพูดว่า “เมียจ๋า ต่อไปฉันไม่กล้าอีกแล้วนะ”
“เอาเถอะ ไม่ต้องมาพูดคำหวานอะไรหรอก ฉันเป็นคนหูเบา ไม่อยากถูกคุณหลอกอีกทางที่ดีก็แสดงออกทางการกระทำจะดีกว่านะ” ลู่หลุ่ยพูด ก็เป็นอันว่าให้อภัยหลี่ฝางแล้ว
จากนั้น ลู่หลุ่ยก็พูดว่า “ป้ายโปสเตอร์ได้แขวนมาสองวันติดต่อกันแล้ว ฉันก็ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แล้วเจ้าของฉันก็ไม่เคยเห็นเลย แต่ไม่กี่วันมานี้ ฉันได้รับดอกไม้หลายครั้งแล้ว เช้ากลางวันเย็น มีคนส่งมาให้ฉัน อีกอย่างเวลาส่งแต่ละครั้ง ก็หลายร้อยดอกเลยทีเดียว”
“แล้วเขาเขียนชื่อไว้เหรอเปล่าล่ะ?” หลี่ฝางถามพลางขมวดคิ้ว
ลู่หลุ่ยส่ายหน้า แล้วพูดว่า” “ไม่มี ฉันมีความรู้สึกว่า ไอ้หมอนั่นคงไม่ได้ชอบฉันหรอกไม่ใช่จะมาจีบฉัน เขาทำเช่นนี้ดูเหมือนว่ากำลังจะท้าทายคุณอยู่”
“เขาดูเหมือนจะรู้ว่าฉันเป็นแฟนสาวของคุณ ดังนั้นจึงจงใจที่ขอความรักจากฉันอย่างเปิดเผย” ลู่หลุ่ยพูด
“แล้วคุณรู้ได้อย่างไร” หลี่ฝางรีบถาม
“สัมผัสที่หกของผู้หญิงไงล่ะ มันแม่นยำมากเลยนะ” ลู่หลุ่ยพูด
หลี่ฝางหัวเราะ มองดูลู่หลุ่ยแล้วพูดว่า “งั้นความรู้สึกสัมผัสที่หกของคุณ ยังรู้สึกอะไรอีกหรือเปล่าล่ะ?”
“ฉันรู้สึกได้ว่า ไม่กี่วันมานี้ คุณจะต้องไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่นอย่างแน่นอนเลย” ลู่หลุ่ยมองหน้าหลี่ฝาง พูดอย่างทีเล่นทีจริง
“ช่างเถอะ ฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ” ลู่หลุ่ยพูดจบก็ส่ายหน้า