NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 753 ฉันมาเพื่อเขาแค่คนเดียว
การคุกเข่าของฟีนิกซ์ในครั้งนี้ ไม่มีการยืนขึ้นอีกแล้ว
เลือดสดๆไหลออกมาเรื่อยๆ ถ้าเกิดตรวจสอบดีๆก็จะพบว่า พื้นแข็งๆแห่งนี้ มีรอยแตกปรากฏออกมา
ฟีนิกซ์ใช้การตายของตัวเองเพื่อขอโทษเมี๋ยวชุ่ย เพียงแต่ว่าใบหน้าของเมี๋ยวชุ่ย กลับไม่มีสีหน้าที่แสดงออกว่าให้อภัยเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของท่านจวน ดูแย่เป็นอย่างมาก……
ฟีนิกซ์ตายในวิลล่าจูเซียนของเขา การตายของฟีนิกซ์ เขาจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตระกูลตงฟางจะต้องเอาความโกรธมาลงที่ท่านจวนอย่างแน่นอน……
“ตายแล้ว?”
ท่านจวนกลืนน้ำลายตัวเอง แล้วเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน แล้วอุ้มฟีนิกซ์ขึ้นมา
ฟีนิกซ์ในตอนนี้ ไม่มีลมหายใจอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
บนพื้นไม่เพียงแค่ถูกฟีนิกซ์เอาหัวโขกจนเกิดรอยแตกออกมา มันอย่างเต็มไปด้วยคราบเลือด
“ทำไมแบบนี้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?”
เมี๋ยวชุ่ยถอนหายใจ แล้วหันหน้าไปอีกทาง ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
เมื่อฟีนิกซ์ตายแล้ว คนของตระกูลตงฟาง จะต้องไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆอย่างแน่นอน
เมี๋ยวชุ่ยเดินมาอยู่ตรงหน้าหบี่ฝาง “มาให้แม่ดูหน้าลูกชัดๆสิ”
“แม่ แม่พูดแบบนี้หมายความว่าไง” หลี่ฝางยิ้มแห้งๆแล้วพูดว่า “ทำอย่างกับว่าต่อไปจะไม่ได้เจอกันแล้วยังไงยังงั้น”
หลี่ฝางรู้สึกว่าคำพูดนี้ของแม่ตัวเอง แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
ทำไมมันถึงดูเหมือนกับว่ากำลังบอกลาตัวเองล่ะ?
ทันใดนั้น หลี่ฝางก็ทำหน้าเครียด แล้วมองไปยังแม่ของตัวเอง พูดออกมาด้วยจิตใจที่ไม่สงบว่า “แม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่รึเปล่า?”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นทั้งนั้น”
เมี๋ยวชุ่ยปลอบหลี่ฝาง แต่ความไม่สบายใจของหลี่ฝาง ก็ยังหนักอึ้งเหมือนเดิมรอบข้าง
โหจื่อ แม่มด และชายชุดดำสองคน ได้เข้าสู่การตีตอบโต้กลับพระอรหันต์ทั้งสิบแปดคน
โดยเฉพาะโหจื่อ หลังจากที่ได้กลืนยาลงไป ก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
หลี่ฝางมองดูความดุร้ายของโหจื่อ ถามเพื่อเปลี่ยนหัวข้อคุยว่า “แม่ เมื่อกี้ที่โหจื่อดื่มมันคืออะไรกันเหรอ? ผมขอสักขวดได้ไหม?”
“เป็นยาที่สามารถกระตุ้นศักยภาพของตัวเองออกมาได้ ช่วงระยะเวลาสั่นๆมันสามารถช่วยให้ร่างกายของแกเข้าสู่สภาวะที่แข็งแกร่งที่สุดได้ แต่หลังจากที่ยาหมดฤทธิ์ ทั้งร่างจะเข้าสู่สภาวะที่เหนื่อยล้า ทุกอวัยวะของร่างกาย จะต้องเข้าสู่การพักผ่อน ไม่งั้นล่ะก็ ร่างกายจะต้องรับภาระอย่างหนัก ราวกับบาดเจ็บภายใน” พอเมี๋ยวชุ่ยพูดจบ ก็ลังเลไปพักนึง “ต้องลำบากเป็นอย่างมากกว่าจะผสมยาแบบนี้ออกมาได้ เพราะงั้นบนตัวของฉันเองก็มีไม่เยอะ”
“แกเก็บเอาไว้ป้องกันตัวเองก็ดีเหมือนกัน ถ้าเกิดเจอกับสถานการณ์ที่มันอันตรายจริงๆ ก็กลืนมันลงไป แต่แกต้องจำเอาไว้ให้ดีๆ ภายในครึ่งชั่วโมง จะต้องหนีออกมาจากอันตรายให้ได้ แล้วต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ให้ร่างกายค่อยๆเข้าสู่สภาวะปรกติ แล้วค่อยเคลื่อนไหวอีกที” เมี๋ยวชุ่ยพูดเตือนหลี่ฝาง
พอเมี๋ยวชุ่ยพูดจบ ก็พุ่งตัวเข้าไปยังกลางวงข้างใน เป็นตัวนำพวกโหจื่อ แล้วฆ่าพวก พระอรหันต์สิบกว่าคนจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
เอาตรงๆ สถานการณ์แบบนี้ หลี่ฝางเคยเห็นแค่ไม่กี่ครั้ง
หลี่ฝางเองก็เคยเห็นการฆ่าคนมาแล้ว แต่เหมือนกับแบบนี้ที่ไม่คิดจะไว้ชีวิตใครสักคน หลี่ฝางกลับรู้สึกว่ายากที่จะยอมรับเรื่องแบบนี้
ไม่ว่าจะยังไง ชีวิตสิบกว่าคน ก็จบลงไปแบบนี้แล้ว
แต่สำหรับเมี๋ยวชุ่ยและพวกโหจื่อแล้ว ดูราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
พอฆ่าพวกพระอรหันต์พวกนี้จนหมดแล้ว เมี๋ยวชุ่ยก็มองไปยังท่านจวน แล้วพูดว่า “กรงเล็บของแก ถูกฉันถอนออกจนหมดแล้ว บอดี้การ์ดของแก ตอนนี้ก็มีสภาพเดียวกันกับพวกพระอรหันต์”
ความจริงท่านจวนเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว สู้กันนานขนาดนี้ บอดี้การ์ดของเขา ก็ยังไม่มีใครเข้ามา ดูเหมือนว่า น่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับ บอดี้การ์ดของเขา
ท่านจวนราวกับไม่ได้ยิน ดูเหมือนว่า เขายังยึดติดอยู่กับ การตายของตงฟางหวั่นเอ๋ออยู่
หลี่ฝางลุกขึ้นมา แล้วเดินตามโหจื่อ ออกมาจากวิลล่าจูเซียน
ข้างนอกวิลล่าจูเซียน มีชายชุดดำหลายคน ยืนเรียงกันอยู่
และวิลล่าจูเซียนแห่งนี้ไม่ว่าที่ไหน ก็เห็นแต่ศพนอนกองอยู่บนพื้น ต่อให้มีบางคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขยับตัวได้แล้ว
หลี่ฝางกลับไม่เห็นผู้ชายที่สวมเสื้อลายพรางกับไอ้เด็กซน รถของพวกเขาที่จอดอยู่ข้างนอกวิลล่าจูเซียน เองก็หายไปแล้ว
ดูเหมือนว่า จะหนีไปแล้ว
เวลานี้ ก็มีเครื่องบินส่วนตัว ปรากฏออกมากลางอากาศ
หลังจากที่ค่อยๆจอดลงมา เมี๋ยวชุ่ยมองหลี่ฝางอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วพูดว่า “ลูก แม่ต้องไปแล้ว”
หลี่ฝางรู้ดีว่าแม่ของตัวเองกำลังจะไปที่ไหน เพราะงั้นจึงไม่ได้ถามอะไรมาก
และหลี่ฝางเองก็เข้าใจดีว่าที่ๆกำลังจะไปมันอันตรายขนาดไหน ตอนแรกหลี่ฝางกะจะเปิดปากห้าม แต่ว่าพอลมถึงคอ ก็กลืนกลับไป หลี่ฝางเข้าใจเป็นอย่างดี แม่ของตัวเอง เมื่อตัดสินใจที่จะทำแล้ว ต่อให้ตัวเองจะพูดยังไง ก็คงทำอยู่ดี
หลี่ฝางมองไปยังแม่ของตัวเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวังและความอาลัยอาวรณ์ “แม่ พาคุณพ่อกลับมาให้ได้นะ”
“จะต้องพาคุณพ่อกลับมาได้นะ” ตอนนี้ ภายในใจของหลี่ฝาง เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและความร้อนรน
เดิมที หลี่ฝางแค่ต้องเป็นห่วงพ่อของตัวเอง แต่ตอนนี้ กลับต้องเป็นห่วงแม่ของตัวเองอีกด้วย
ทั้งสองคนเป็นคนที่ใกล้ชิดกับตัวเองมากที่สุดในโลกนี้……
มีบางครั้งหลี่ฝางก็โกรธแค้นตัวเอง โกรธตัวเองที่ไร้ความสามารถ ถ้าเกิดตัวเองมีความสามารถมากกว่านี้ ก็สามารถช่วยพวกเขาได้ หรือถ้าเกิดช่วยพวกเขาได้ล่ะก็ มันคงจะดีไม่น้อย
ตอนที่เมี๋ยวชุ่ยกำลังเดินเข้าไปยังเครื่องบิน โหจื่อทนไม่ไหวจึงถามออกไป “จะปล่อยเขาไปแบบนี้จริงๆเหรอ?”
“แกหมายถึงท่านจวนเหรอ?” เมี๋ยวชุ่ยถาม
โหจื่อพยักหน้า แล้วพูดว่า “ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องง่ายๆอย่างให้เขายอมแพ้พวกเราแล้ว ตอนนี้ท่านจวนได้ร่วมมือกับพวกสี่ตระกูลใหญ่แล้ว ปล่อยเขาไป ก็เหมือนเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้”
“หลายปีมานี้ จิ้งจอกเฒ่าอย่างท่านจวน หลบซ่อนอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด ค่อยๆขยายอำนาจของตัวเอง ถ้าไม่กำจัดเขา เกรงว่าอนาคตจะเป็นการเพิ่มศัตรูให้กับพวกเราอีกคนนึง”
โหจื่อพูดอย่างไม่พอใจ
ตอนนี้ ฟีนิกซ์ฆ่าตัวตายแล้ว
พระอรหันต์สิบแปดคนเอง ก็ถูกแม่มดกับโหจื่อสังหารจนหมดแล้ว
และบอดี้การ์ดของท่านจวนที่อยู่ในวิลล่าจูเซียนแห่งนี้ ก็ถูกซือปาจี้ที่เมี๋ยวชุ่ยพามา สังหารหรือทำให้กลายเป็นคนพิการจนหมดแล้ว……
เพราะงั้นทั่วทั้งวิลล่าจูเซียน เรียกได้ว่าเหลือแค่ตาแก่แย่ๆอย่างท่านจวนแค่คนเดียวแล้ว
และการฆ่าคนแก่คนนึง ไม่ต้องพูดถึงยอดฝีมืออย่างโหจื่อ แม้แต่หลี่ฝาง ก็ยังสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย
เพราะงั้น นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะฆ่าท่านจวนทิ้งซะ
เมี๋ยวชุ่ยในเตอนนี้กลับส่ายหัวออกมา “เขาเคยเป็นผู้นำของลูกพี่พวกแก เคยมีบุญคุณต่อลูกพี่ของพวกแก ก่อนที่ลูกพี่พวกแกจะออกเดินทาง ได้ให้คำสั่งเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องไว้ชีวิตของเขา”
“ลูกพี่รู้ว่าท่านจวนร่วมมือกับศัตรูงั้นเหรอ?” โหจื่อรู้สึกตกใจเล็กน้อย
ถ้าเกิดหลอซ่ารู้อยู่แล้วว่าท่านจวนจะทรยศ รู้ว่าร่วมมือกับศัตรูตั้งแต่แรกแล้วล่ะก็ ทำไมยังเลือกที่จะเชื่อใจเขา และยังร่วมมือกับเขาอีกล่ะ?
โหจื่อไม่เข้าใจเล็กน้อย
เมี๋ยวชุ่ยพยักหน้า แล้วพูดว่า “เขาเดาออกอยู่แล้ว”
“แต่ว่า เขาก็ยังเลือกที่จะปล่อยท่านจวนเอาไว้ ไว้ชีวิตของเขาเอาไว้ก่อน รอให้พวกเรากลับมาค่อยว่ากันอีกที” พอเมี๋ยวชุ่ยพูดจบ ก็ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า มุ่งตรงไปยังทางเครื่องบิน
และคนสวมหน้ากากส่วนใหญ่ ก็เดินตามไปพร้อมกัน เหลือเอาไว้แค่สี่คน ให้เดินตามหลี่ฝาง
ในเวลานี้ แม่มดก็ตบไหล่อของโหจื่อ แล้วพูดว่า “ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแกแล้ว ปกป้องคุณชายให้ดีๆล่ะ”
พอพูดจบ แม่มดเองก็เดินไปยัง เครื่องบินที่กำลังจะบินขึ้น
โหจื่อมองแม่มด แล้วถามว่า “เธอเองก็จะไปเหรอ?”
ดูเหมือนว่า นี่เป็นการตัดสินใจกะทันหันของแม่มด และก็ยังไม่ได้รับการยินยอมจากเมี๋ยวชุ่ย เมี๋ยวชุ่ยหันกลับมา มองไปยังแม่มดแล้วพูดว่า “เธออยู่ที่นี่แหละ”
“ไม่ ฉันเองก็จะไปด้วย”
แม่มองมองเมี๋ยวชุ่ย แล้วพูดว่า “ไม่ว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ ฉันก็ไปอยู่ดี ที่ฉันมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อคนๆนึง นั่นก็คือส้าวส้วย ตอนนี้ส้าวส้วยตกอยู่ในอันตราย ฉันจะเอาแต่นั่งดูอยู่เฉยๆได้ยังไงกัน?”
“ก่อนหน้านี้ ฉันบาดเจ็บอยู่ ตอนนี้ บาดแผลของฉันก็หายดีแล้ว ต่อให้ครั้งนี้พวกคุณไม่พาฉันไปด้วย ฉันก็คงไปด้วยตัวเองอยู่ดี” ใบหน้าของแม่มดเต็มไปด้วยความแน่วแน่
โหจื่อก้มหน้าให้กับเมี๋ยวชุ่ย แล้วพูดว่า “อาจารย์ พาแม่มดไปด้วยเถอะ”
“พูดตรงๆ ฉันเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ อยากจะตามพวกคุณไปด้วยเหมือนกัน” โหจื่อพูดต่อ “ไม่ว่าจะยังไงมีคนเพิ่มคนนึง ก็เท่ากับมีความหวังเพิ่งขึ้นอีกหน่อย”
ในที่สุดเมี๋ยวชุ่ยก็ยอมให้แม่มดตามไปด้วย แม่มดหันกลับมา แล้วพูดขอบคุณโหจื่อ แล้วเดินเข้าไปยังเครื่องบิน
หลังจากที่เครื่องบินบินออกไป โหจื่อก็โบกมือลา
หลี่ฝางมองโหจื่อ แล้วพูดว่า “พวกเราเองก็ไปเถอะ”
“ไป?”
โหจื่อหัวเราะ ใบหน้าเผยความเย็นชาออกมา “ข้างในบ้านยังมีจิ้งจอกเฒ่าอยู่คนนึงที่ยังไม่ได้กำจัด”
“หมายความว่าไง?” หลี่ฝางพูดถาม ด้วยความมึนงง
“ฉันจะไปฆ่าเขา” โหจื่อพูดด้วยเสียงที่เย็นชา
หลี่ฝางมองโหจื่อด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อกี้โหจื่อเพิ่งจะตกลงกับแม่ของตัวเองว่า จะไม่แตะต้องท่านจวน แต่ตอนนี้แม่ของตัวเองเพิ่งออกไป โหจื่อก็เปลี่ยนความคิดทันที
“รอฉันหนึ่งนาที” โหจื่อพูด