NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 769 ฉันให้แกคุกเข่าให้พอเลย
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ที่จัตุรัสเย่หมิงจู
กลุ่มคนจำนวนมากมาย มาจากทั่วสารทิศเพื่อมารวมตัวกันที่นี่ โดยมีมู่เสี่ยวไป๋เป็นจุดศูนย์รวม
ในขณะที่มู่เสี่ยวไป๋กำลังเตรียมตัวจะจากไปนั้น ก็มีรถคันแล้วคันเล่าจำนวนมากมาย มาปรากฏอยู่ตรงหน้ามู่เสี่ยวไป๋
รถคันที่นำขบวนเป็นรถจิ๊บคันหนึ่ง
ไอ้เด็กซนและผู้ชายที่สวมเสื้อลายพรางกระโดดลงมาจากรถจิ๊บ ไอ้เด็กซนมองหน้ามู่เสี่ยวไป๋แล้วแสยะยิ้ม “ฉันยังนึกว่าลูกน้องฉันจะอำฉันเล่น นึกไม่ถึงเลยว่า แหล่งที่ทำกินของพวกเรา เป็นฝีมือแกที่ทุบทำลายจริงด้วย!”
“ไอ้มู่เสี่ยวไป๋เอ๊ยมู่เสี่ยวไป๋ แกนี่มันไอ้สุนัขกินบนเรือนขี้บนหลังคา พวกเราอุตส่าห์ใจดีช่วยแก ให้แกยืมคนไปจัดการกับหลี่ฝาง แต่แกกลับย้อนรอยใช้คนของพวกเรา มาทุบทำลายแหล่งทำกินของพวกเรา ภายในคืนหนึ่งถูกทุบทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง ฮ่าๆ…”
ไอ้เด็กซนพูดพลางทำตาหรี่ใส่
ไอ้เด็กซนชักสีหน้าแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่มั้ย?”
มู่เสี่ยวไป๋ไม่พูดอะไร เพียงแต่มองหน้าไอ้เด็กซนและผู้ชายที่สวมเสื้อลายพราง ส่ายหน้าแล้วขับรถออกไป
“คิดจะหนีเหรอ? มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”
ไอ้เด็กซนพูดพลางให้ลูกน้องตัวเองเอารถขับไปขวางทางของมู่เสี่ยวไป๋ไว้
“ฉันว่านะมู่เสี่ยวไป๋ แกไม่คิดจะชี้แจงพวกเรามั่งเลยเหรอ?”
“ฮาๆ แค่คำอธิบายก็ไม่มีเหรอ?” ไอ้เด็กซนถามอย่างไม่หยุดหย่อน
ส่วนมู่เสี่ยวไป๋สูดลมหายใจอย่างแรง ก็รีบพูดขึ้นมาทันที “พูดตามความจริงนะ ตอนนี้ฉันไปอยู่กับพวกตระกูลหลี่แล้ว”
“โคตรแม้งเอ้ย” พอได้ยินคำพูดนี้แล้ว ไอ้เด็กซนกำหมัดไว้แน่น แทบอยากชกหน้ามู่เสี่ยวไป๋ให้กระเด็นกลับไปอยู่ท้องแม่เลย
ไอ้เด็กซนมองดูมู่เสี่ยวไป๋ด้วยสายตาเย็นชา “สมองแกแม้งเลอะเลือนไปแล้ว ไปซุกปีกหลี่ฝางเหรอ?”
“เขาเป็นแค่เศษสวะเท่านั้นเอง ไปอยู่กับเขาแล้วแกจะมีทางก้าวหน้าเหรอ?” ไอ้เด็กซนพูดอย่างโมโห
ถึงแม้ว่าไอ้เด็กซนจะไม่เชื่อก็ตาม แต่ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาไม่เชื่อก็ไม่ได้แล้ว
การที่มู่เสี่ยวไป๋พาคนมาทุบทำลายแหล่งหากินของท่านจวนนั้น ก็เพียงอยากจะทำให้หลี่ฝางดูเท่านั้นเอง
คล้ายเป็นกับการแสดงความจงรักภักดี
มู่เสี่ยวไป๋มองค้อนไอ้เด็กซน “แกพูดจาระวังหน่อย”
“ฮาๆ ช่วยพูดจาออกรับแทนเจ้านายใหม่แกเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ? เป็นคุณชายใหญ่ตระกูลมู่แกไม่เอา กลับไปเป็นขี้ข้าของคนอื่น แกว่าแกมันใฝ่ต่ำหรือเปล่า”
“หลี่ฝางคนนั้น ถ้าไม่มีพ่อแม่เขา ไม่มีคนรอบกายของเขา เขานับว่าเป็นตัวอะไรกัน?”
ไอ้เด็กซนหัวเราะ สีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“ได้ ในเมื่อแกติดตามหลี่ฝางแล้ว งั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจแล้วนะ” ไอ้เด็กซนโบกมือแล้วพูดกับลูกน้องตัวเองว่า “ทุกคนบุกเข้าไป จับมู่เสี่ยวไป๋ไอ้หมอนั่น ทุบขาทั้งสองข้างให้หักไปเลย”
“ในเมื่อเขาไม่อยากเป็นคน งั้นต่อไปก็ให้เขาคลานตามพื้น เหมือนสุนัขตัวหนึ่งก็แล้วกัน” ไอ้เด็กซนพูดอย่างเยือกเย็น
“แกคิดว่าฉันจะกลัวแกเหรอ?”
มู่เสี่ยวไป๋เดินลงมาจากรถ ตอนนี้คนที่อยู่ข้างหลังมู่เสี่ยวไป๋ มีคนจำนวนถึง 400 คนทีเดียว
ส่วนทางฝ่ายไอ้เด็กซนนั้นเหรอ?
อย่างมากก็ไม่เกิน 100 คนเท่านั้น
ความแตกต่างของยอดจำนวนคนนั้น ทำให้มู่เสี่ยวไป๋มีความมั่นใจอย่างมาก
“ถึงแม้คุณชายหลี่ให้ฉันทุบทำลายที่ทำกินของแกเท่านั้น ไม่ได้สั่งให้ฉันฆ่าแก แต่แกรนหาที่ตายเอง จะโทษฉันไม่ได้”
มู่เสี่ยวไป๋พูด
“พูดจาโอหัง”
ไอ้เด็กซนสูดลมหายใจเข้าแล้วพูดว่า “มู่เสี่ยวไป๋ ฉันจะจัดการแกก่อนเลย!”
ไอ้เด็กซนพูดพลางบุกเข้าไปด้วยความรวดเร็ว
ไอ้เด็กซนถึงแม้จะเหมือนคนแคระ แต่ว่าความว่องไวของเขาไม่ได้ช้าเลย อีกอย่างด้วยรูปร่างที่กะทัดรัด ในการตะลุมบอนเช่นนี้ เขาก็ย่อมได้เปรียบอย่างมาก
ชั่วพริบตาเดียว สถานการณ์ก็ชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาทันที
ในเวลาขณะนั้นเอง มือถือในกระเป๋าของซุนจิ้นก็ดังขึ้นทันที ซุนจิ้นเปิดดู เห็นว่าหลี่ฝางโทรมา เขาจึงรีบปลีกตัวออกจากฝูงชน แล้วรับโทรศัพท์
“ซุนจิ้น ภารกิจของแกจบแล้ว กลับออกไปได้แล้ว”
หลี่ฝางยืนอยู่กับที่เดิม มือข้างหนึ่งถือกล้องส่องทางไกล มืออีกข้างหนึ่งก็หนีบมือถือไว้ แล้วพูดกับซุนจิ้น
“คุณชาย คุณคิดจะ…”
หลี่ฝางหัวเราะ “คนของท่านจวนมาคิดบัญชีกับมู่เสี่ยวไป๋ ก็ให้พวกเขาสองคนค่อยๆคิดกันไปก็แล้วกัน พวกเราก็แค่ยืนอยู่ห่างๆ แล้วคอยชมดูการแสดงละครที่ดีๆเรื่องหนึ่งก็พอแล้ว”
ซุนจิ้นหัวเราะ “เข้าใจแล้วครับ คุณชายหลี่”
หลังจากวางสายแล้ว ซุนจิ้นก็เป่าปากเสียงหวีด จากนั้น หลังจากคนของตระกูลจูเก่อได้ยินสัญญาณแล้ว ก็เริ่มถอยหลบไปอย่างรวดเร็ว
เดิมทีคนของพวกไอ้เด็กซนอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ ล้วนถูกคนของตระกูลจูเก่อทำร้ายจนล้มลงไปกับพื้น
ไอ้เด็กซนก็นึกว่าตัวเองพ่ายแพ้แล้ว
แต่ใครจะคิดว่า ในระหว่างนั้น คนของตระกูลจูเก่อกลับสลายตัวไปอย่างกะทันหันเช่นนนั้นเล่า?
ไอ้เด็กซนก็ยิ้มขึ้นมาทันที พูดด้วยรอยยิ้มที่โหดร้าย “ฮาๆ มู่เสี่ยวไป๋ คราวนี้แกเสร็จแน่”
เดิมทีที่มู่เสี่ยวไป๋กำชัยชนะในมือแล้ว ก็ตกใจลนลานขึ้นมาทันที
เมื่อคนของตระกูลจูเก่อสลายตัวกันหมดแล้ว เดิมทีคนที่หมอบคลานอยู่กับพื้นนั้น ก็ลุกขึ้นยืนทันที
ประกอบกับฝีมือร้ายกาจของไอ้เด็กซนและผู้ชายที่สวมเสื้อลายพราง ทำให้มู่เสี่ยวไป๋เริ่มเสียเปรียบทันที
ถ้าชางสู่กลับมา มู่เสี่ยวไป๋อาจมีโอกาสพลิกกลับมาชนะก็ได้
แต่ว่าเมื่อกี้ตอนที่อยู่ไนต์คลับ มู่เสี่ยวไป๋ไม่สนใจความเป็นความตายของชางสู่เลย คนเช่นนี้ ยังจะมีใครที่จะยอมเสียสละชีวิตเพื่อช่วยตัวเองเล่า?
“มู่เสี่ยวไป๋ คนกลุ่มนั้นที่หนีไป เป็นคนของตระกูลจูเก่อหรือ?”
ไอ้เด็กซนยิ้มอย่างโหดเหี้ยม
มู่เสี่ยวไป๋ มองหน้าไอ้เด็กซน ท่าทางน่าเกลียด “ที่แท้พวกแกก็รู้มาก่อนแล้ว”
“พวกแกรู้มาก่อนแล้วว่าหลี่ฝางยังมีไพ่ใบสุดท้ายยังไม่ได้หงายออกมา มิน่าล่ะ มิน่าเรื่องดีๆอย่างนี้จะเหลือตกมาถึงฉัน ที่แท้พวกแกจงใจที่จะขุดหลุมพรางล่อฉัน”
มู่เสี่ยวไป๋พูดด้วยความโกรธจัด
“ใช่แล้ว พวกเราจงใจปิดบังแกจริงๆ แต่ว่าพวกเราก็แบกรับกระสุนแทนแกมาไม่น้อยเลย เพียงแต่ว่าแกมันเศษสวะเกินไป…”
คนของท่านจวน สกัดกั้นชายคลุมหน้าทั้งสี่คนที่อยู่ข้างกายของหลี่ฝางไว้แล้ว
“แกพาผู้คนมากมายขนาดนั้น สามารถที่จะบุกลุยเข้าไป สังหารหลี่ฝางได้แล้ว จากนั้นก็หนีออกมา”
“ทำไมแกถึงเสียเวลาเปล่าประโยชน์อย่างนั้น รอให้คนของตระกูลจูเก่อมาถึงจนได้?”
“อีกอย่างฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ในเมื่อคนของชางสู่ต่างก็พกอาวุธปืนไป ต่อให้แกสู้เขาไม่ได้ ก็ไม่ต้องถึงขนาดที่ไปเป็นขี้ข้าของหลี่ฝางใช่ไหม?”
ไอ้เด็กซนส่ายหน้า มองหน้ามู่เสี่ยวไป๋“พ่อบุญธรรมฉันพูดไม่ผิดเลย มู่เสี่ยวไป๋ แกก็เป็นเพียงแค่คนที่ชอบแอบอยู่ข้างหลัง คอยยุแยงตะแคงรั่ว มีความฉลาดเล็กน้อยเหมือนพวกตัวตลกที่กระโดดโลดเต้นเท่านั้นเอง เมื่อเจอปัญหาใหญ่ทีไร แกก็กลายเป็นกุ้งที่ขาอ่อนปวกเปียกไปเลย”
ไอ้เด็กซนพุ่งตัวไปข้างหน้า แล้วใช้ขาเตะเข้าไปที่หัวเข่าของมู่เสี่ยวไป๋
สิ้นเสียงของกระดูกที่แตกหัก มู่เสี่ยวไป๋ก็คุกเข่าลงไปกับพื้น ขาข้างหนึ่งก็ถูกเตะจนกระดูกหักไปแล้ว
“ในเมื่อแกชอบคุกเข่าขนาดนั้น งั้นฉันก็จะให้แกคุกเข่าจนพอใจแล้วกัน” ไอ้เด็กซนพูดอย่างเยือกเย็น