NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 775 เกมควรจะจบลงได้แล้ว
เฉินเสี่ยวอุ้มศพของจางหลง เจ้าตัวก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ
จางหลง เฉินเสี่ยว หม่าเฟิง หวางเชาทั้งสี่คน ได้เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงแต่รักใคร่เหมือนพี่น้อง………ก็ยังร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน
ตอนนี้ การตายของจางหลง ล้วนกระทบกระเทือนจิตใจอารมณ์ของพวกเขาทั้งสามคน…….
เฉินเสี่ยวตอนนี้ สีหน้าเหี้ยมเกรียม เขาเงยหน้าขึ้นมา จ้องมองโหจื่อ ใบหน้าเต็มไปด้วยพลังพิฆาต
“แกฆ่าพี่น้องฉัน……”
เฉินเสี่ยวกำหมัดไว้แน่น จนทำให้เกิดเสียงแก๊กๆดังขึ้น
“จุ๊ๆ แกเจ็บปวดตามไขข้อเหรอ?”
โหจื่อถามแบบแกมตลกว่า “พอดีฉันรู้จักกับหมอรักษาไขข้อกระดูกที่ดีมากคนหนึ่ง เอาไหมล่ะ ฉันจะแนะนำให้แกรู้จักดีไหม?”
“ช่างเถอะ ฉันคิดว่าแกคงจะไม่ได้ใช้แล้วล่ะ”
“เพราะว่า คืนนี้แกก็ต้องตายแล้ว”
โหจื่อหัวเราะไม่หยุด สีหน้าเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้นมาทันที “ฉันแนะนำร้านขายโลงที่ดีให้แกจะดีกว่านะ เขามีบริการเหมารวมทุกอย่างเสร็จสับอยู่ในนั้นหมดเลย ถ้าแกกับพี่น้องไปด้วยกันล่ะก็ คาดว่าพวกเขาจะให้ราคาพิเศษแบบยกแพ็คก็ได้นะ”
“อึ่ม เดี๋ยวฉันจะโทรศัพท์ให้เขาหน่อย”
โหจื่อพูดจบ เฉินเสี่ยวนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที ในมือของเขา ยังอุ้มศพของจางหลงอยู่เลย
เฉินเสี่ยวมองดูจางหลงในอ้อมกอด แล้วพูดว่า “ฉันจะไปแก้แค้นให้แกนะ”
เฉินเสี่ยวพูดพลางใช้มือลูบปิดตาของจางหลง ความหมายบอกให้เขาไปดีไปสู่สุคติ ในเมื่อเฉินเสี่ยวเตรียมพร้อมจะลงมือแล้ว งั้นหม่าเฟิงและหวางเชาสองคนนั้นก็ยืนอยู่ด้านข้าง
อย่างน้อย พวกเขาก็เป็นถึงยอดฝีมือระดับสูงในวงการต่อสู้ จัดการกับโหจื่อตัวเล็กๆเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่ใช้วิธีการสู้แบบรุมสังหารอย่างแน่นอน
สำหรับพวกเขาแล้ว นั่นถือว่าเป็นการหยามเกียรติเกินไป
ส่วนจางหลงนั้น ในบรรดาพวกเขาแล้ว เป็นคนที่อายุน้อยที่สุด และก็มีพรสวรรค์ทางด้านการต่อสู้ด้อยที่สุดคนหนึ่งด้วย……
แต่ว่าเฉินเสี่ยวไม่เหมือนกัน พละกำลังของเฉินเสี่ยวนั้น แข็งแกร่งกว่าจางหลงมากทีเดียว…….
เมื่อครู่นี้จางหลงยังสามารถสู้กับโหจื่อเสมอกันได้ งั้นเฉินเสี่ยว ก็คงจะต้องเป็นฝ่ายเหนือกว่าอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่เฉินเสี่ยวก็ยังชกใส่โหจื่ออย่างแรงไปหนึ่งที
มุมปากของโหจื่อ ก็ยังมีเลือดซึมออกมา นี่แสดงว่าเขาก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว
ถ้าอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว เฉินเสี่ยวยังไม่สามารถสังหารโหจื่อได้ งั้นก็คงเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อแล้ว
ดังนั้น หม่าเฟิงและหวางเชา จะไม่มีทางที่จะเข้าไปช่วยอย่างเด็ดขาด
หวางหวังรับศพจางหลงมาจากมือของเฉินเสี่ยว แล้วกำชับเฉินเสี่ยวว่า “พี่รอง ฆ่าเขาให้ได้เลยนะ”
เฉินเสี่ยวพยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยพลังพิฆาต “สามคนนี้ ฉันจะไม่ให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว”
หลังจากที่เฉินเสี่ยวพูดจบ ก็เริ่มขยับตัว เมื่อเขาเคลื่อนไหว แม้กระทั่งอากาศรอบๆก็เคลื่อนไหวตามไปด้วย กลิ่นอายสังหารก็แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเขา หลี่ฝางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
หลี่ฝางรู้ว่า ถ้าตัวเองประมือกับคนนี้แล้ว เกรงว่าจะต้องตายอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าในตัวของหลี่ฝาง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาลไร้ขอบเขตที่ซ่อนเร้นอยู่ เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังมหาศาลที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าจะต้องปลดปล่อยพวกนี้ออกมาใช้ล่ะก็ ก็ยังต้องอาศัยช่วงเวลาอีกระยะหนึ่ง
หลี่ฝางยังไม่รู้จักเทคนิคในการฆ่าคน ขาดแคลนประสบการณ์ต่อสู้ในสนามจริง
แต่ว่าโหจื่อไม่เหมือนกัน โหจื่ออยู่เมืองนอกมาสามปีแล้ว ได้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน และยังเคยปฏิบัติการลับในการลอบสังหารมานับครั้งไม่ถ้วนอีกด้วย
อีกทั้งยังทำหน้าที่ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้จนสำเร็จลุล่วงได้ดี นี่เป็นเหตุทำให้ชื่อเสียงฉายาว่ารอยกระสุนของเขานี้ โด่งดังไปทั่วในวงการทหารรับจ้าง
ความเร็วของเฉินเสี่ยวนั้นมีความไวมาก แต่ของโหจื่อ ก็ไม่ได้ช้าเหมือนกัน
ทั้งสองคนได้ประมือกันครั้งแรก ก็ทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกหวาดหวั่น
ยามเมื่อยอดฝีมือประมือกัน ทุกกระบวนท่าก็ล้วนแต่สังหารคนได้ทั้งนั้น ไม่มีโอกาสในทำการทดสอบ เมื่อเริ่มลงมือ ต่างฝ่ายต่างก็มุ่งจัดการฝ่ายตรงข้ามถึงขั้นเอาชีวิตกันให้ได้
การประมือในลักษณะเพื่อลองทดสอบนั้น ก็มีเพียงแต่ภายใต้สถานการณ์ที่เต็มเปี่ยมด้วยพละกำลังที่แน่นอน จึงจะเกิดขึ้นได้
ส่วนโหจื่อและเฉินเสี่ยวนั้น ต่างฝ่ายต่างเข้าใจดีว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการช่วงชิงมา ก็คือความเหลื่อมล้ำระหว่างกระบวนท่าเท่านั้นเอง
ความเหลื่อมล้ำระหว่างกระบวนท่าเพียงท่าเดียวเท่านั้น ก็มากเกินพอที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามถึงแก่ชีวิตได้
เพียงแค่กระบวนท่าเดียว ก็เพียงพอแล้ว
เฉินเสี่ยวกระโดดเตะด้วยพลังมหาศาล โหจื่อก็ยื่นมือออกไปขวางไว้ กลับต้องถอยหลังไปหลายก้าวอย่างไม่หยุดยั้ง
หลังจากโหจื่อถอยหลังไปหลายก้าวแล้ว แสดงอาการหายใจที่ไม่สม่ำเสมอออกมาให้เห็น
โหจื่อหายใจกระหืดกระหอบ เฉินเสี่ยวสังเกตเห็นจังหวะก้าวเท้าของโหจื่อสับสนมาก จึงแสยะยิ้มอย่างดูถูก “ฉันตอนนี้จะมาเอาชีวิตแก ให้แกไปอยู่เป็นเพื่อนพี่น้องฉัน”
จากนั้นก็กระโดดเตะด้วยความเร็วสูงสุด พลังมหาศาลนั้นทำให้โหจื่อดูเหมือนแทบจะต้านทานไม่ไหว
การถูกโจมตีครั้งนี้ โหจื่อไม่เพียงแต่ถอยหลัง อีกทั้งในปากก็ยังอาเจียนเลือดสดๆออกมาอีกด้วย
หลังจากที่กระอักเลือดออกมาแล้ว หลี่ฝางก็กำหมัดไว้แน่น ดวงตาแดงก่ำเป็นสีเลือด
หลี่ฝางรู้ดีว่า ถ้าขืนยังสู้ต่อไป โหจื่อจะต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน
ดังนั้นหลี่ฝางในเวลานี้ ไม่สามารถที่จะยืนดูละครต่อไปได้อีกแล้ว เขาจะต้องลงมือเพื่อช่วยเหลือโหจื่อ แต่ว่า ขณะที่เขากำลังจะขยับตัวนั้น หม่าเฟิงและหวางเชา ก็ก้าวเดินเข้ามาข้างหน้า มองหน้าหลี่ฝางอย่างดุดัน เพื่อเป็นการแสดงการแจ้งเตือน
ถ้าหลี่ฝางกล้าเข้าไปช่วยล่ะก็ งั้นหม่าเฟิงและหวางเชา ก็จะต้องเข้าไปช่วยเหมือนกัน
นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลย…….
หลี่ฝางถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกร้อนรนมาก ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้อย่างแน่นอน
หลี่ฝางเข้าใจดีว่า ตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหม่าเฟิงหรือหวางเชา แม้แต่จางหลงนั้น ตัวเองก็ไม่อาจจะสู้เขาได้เลย
หลี่ฝางส่งสายตาขอความช่วยเหลือ มองไปยังลุงเฉียน
ลุงเฉียนได้แต่มองไปยังหลี่ฝาง ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “รอดูไปก่อนค่อยว่ากัน”
ความจริงแล้ว โหจื่อก็ได้ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปแล้ว ไม่เห็นจะต้องคอยดูต่อไปอีกเลย แต่ว่าลุงเฉียนเข้าใจดีว่า ถ้าเขาและหลี่ฝางใครกล้าขยับ งั้นหม่าเฟิงและหวางเชาก็จะต้องขยับตามด้วยเช่นกัน
ถึงเวลานั้น คนที่ตายไม่ใช่เพียงแต่โหจื่อคนเดียวเท่านั้น
หลี่ฝางขมวดคิ้ว ถามอย่างร้อนรนว่า “ยังรอดูอะไรอีกล่ะ? โหจื่อเจ้างั่งนี่กระอักเลือดออกมาแล้ว”
ลุงเฉียนมองดูหม่าเฟิง แล้วพูดว่า “เฉพาะพละกำลังของฉัน ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหม่าเฟิงคนนั้น อย่างมากก็แค่ช่วยสกัดกั้นหวางเชาเท่านั้นเอง ถ้าพวกเราลงมือช่วยโหจื่อ พวกเขาสองคนก็ต้องลงมือด้วยเหมือนกัน”
“ดังนั้นแล้ว เข้าไปช่วยก็ไม่มีประโยชน์”
ลุงเฉียนพูด
หลี่ฝางโกรธจนอยากจะด่าคน นี่มันเวลาอะไรกันแล้ว ยังจะมาวิเคราะห์สถานการณ์สนามรบอยู่อีกเหรอ?
เวลาเผาขนขนาดนี้แล้ว ควรจะเริ่มช่วยชีวิตคนก่อนได้แล้ว
หลี่ฝางกัดฟัน กำหมัดไว้แน่น ส่วนลุงเฉียนก็ได้แต่ดึงแขนของหลี่ฝาง แล้วพูดว่า “โหจื่อยังไม่ได้แพ้”
หลี่ฝางก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ลุงเฉียนเอาความเชื่อมั่นนี้มาจากไหน
ทันใดนั้น หลี่ฝางก็นึกขึ้นได้ว่า ความถนัดที่ร้ายกาจที่สุดของโหจื่อ ไม่ใช่ปืนเหรอ?
ตั้งแต่ต้นจนจบ โหจื่อก็ยังไม่เคยได้ใช้ปืนเลย ดังนั้น โหจื่อไม่ใช่ไม่มีโอกาสที่จะพลิกเกมกลับมาได้
เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว ในใจของหลี่ฝางก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก
อย่างน้อย ตอนนี้โหจื่อก็ยังถูกจู่โจมจากเฉินเสี่ยวไอ้หมอนั้นอยู่ แล้วจะมีโอกาสในการชักปืนตอนไหนกันเล่า?
ในจิตใจของหลี่ฝาง กลายเป็นตื่นเต้นและร้อนรนมาก แต่ว่า แต่กลับจนหนทาง
หม่าเฟิงมองดูลุงเฉียนด้วยสายตาเหยียดหยาม ราวกับว่าไม่รีบร้อนที่จะลงมือสังหารลุงเฉียนและหลี่ฝาง จิตใจของเขาโหดเหี้ยมมาก เขาจะให้หลี่ฝางและลุงเฉียนยืนมองดูการตายของโหจื่อก่อน
รอให้โหจื่อตายแล้ว พวกเขาจึงค่อยลงมือ
คืนนี้ พวกเขาก็เหมือนเป็นผู้ชนะ กำชัยชนะอยู่ในมือแล้ว
ส่วนหวางเชาดูเหมือนจะทนรอไม่ไหวแล้ว เขามองไปยังหลี่ฝาง สายตาส่องประกายพลังพิฆาต “พี่ใหญ่ หรือว่าฉันจะไปจัดการไอ้เด็กน้อยนั้นก่อนดีล่ะ”
“ในตัวของไอ้เด็กน้อยนั้น มันมีอะไรที่แปลกประหลาดอยู่”
หม่าเฟิงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “เขาใช้เวลาไม่กี่วัน ก็กลายเป็นคนคนละคนอย่างกะทันหันท่านจวนบอกว่า ในตัวของเขาจะต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่ เมื่อกี้ตอนพวกเราเพิ่งมาถึง ท่านจวนสั่งว่า คนอื่นสามารถฆ่าได้ทุกคน แต่ว่าชีวิตของไอ้เด็กนี้ต้องเก็บเอาไว้ จับเขากลับไปศึกษาวิเคราะห์ดูว่า คนขี้ขลาดอย่างเขาทำไมจึงกลายมาเป็นยอดฝีมือได้รวดเร็วขนาดนี้ได้”
“ไอ้เด็กซน ก็ตายอยู่ในเงื้อมมือเขาด้วย”
หม่าเฟิงพูดต่อหน้าหลี่ฝางอย่างไม่ปิดบังว่า “ไอ้เด็กซนคนนั้นถึงแม้วรยุทธ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ยังมีพื้นฐานที่ดี”
“อีกอย่างเมื่อกี้แกก็เห็นแล้วใช่ไหมว่า ฝีมือของเขาอาจจะด้อยไปบ้าง แต่ว่าดูเหมือนความเร็วของเขาว่องไวมาก ถ้าได้รับการฝึกฝนมากขึ้น เขาก็จะกลายเป็นโหจื่อคนต่อไป”
หม่าเฟิงพูด
หวางเชาก็รู้สึกว่ามีความไม่ชอบมาพากลเหมือนกัน “จริงอยู่ ไม่เพียงแต่ลูกชายของหล่อซ่าเท่านั้น แม้กระทั่งโหจื่อคนนี้ เมื่อสามปีก่อน ไหนเลยจะมีฝีมือดีเยี่ยมขนาดนี้ แม้แต่เสี่ยวหลงยังถูกเขาฆ่าตายเลย แม้งเอ๊ย เขาเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขนาดนี้ จะต้องใช้วิธีลัดอะไรสักอย่าง ต้องบีบบังคับให้พวกเขาคายความลับออกมาให้ได้ จากนั้นค่อยกำจัดพวกเขาทิ้งเสีย”
ส่วนตอนนี้ การสู้รบระหว่างโหจื่อและเฉินเสี่ยวนั้น ก็มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว ก็เป็นเวลานี่เอง ทันใดนั้นโหจื่อก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัวออกมา
“เกมควรจะจบลงได้แล้ว” โหจื่อพูดขึ้นมาทันควัน