NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 778 มู่หรงฉางเฟิงมาแล้ว
“ในเมื่อความคิดอุดมการณ์ไม่ตรงกัน ก็ต่างฝ่ายแยกทางกันไปก็ดีแล้ว ในใจแกมีอะไรไม่พอใจ ทำไมไม่พูดออกมาล่ะ?”
มองดูท่านจวน ลุงเฉียนพูดอย่างเย็นชาว่า “แกพูดออกมา ทุกคนก็จะได้แยกย้ายกันไป ทำไมจะต้องมาวางแผนชั่วช้า ตามล่าล้างโคตรกันอย่างนี้ล่ะ?”
“ตอนนั้นแกแสดงละครได้สมจริงมาก นึกไม่ถึงว่าแกอายุปูนนี้แล้ว ก็ยังเป็นนักสดงที่มีฝีมือการแสดงดีเยี่ยมคนหนึ่ง ตอนนั้นฉันกับหลอซ่า ยังคิดว่าแกเป็นลูกผู้ใหญ่ที่ปราดเปรื่องคนหนึ่ง นึกว่าแกมีจุดยืนของตัวเอง หารู้ไม่……”
ลุงเฉียนหัวเราะ “แกก็ยังไปกับพวกลูกพี่หลิน ไปอยู่ร่วมแก๊งด้วยกัน”
“การค้าของลูกพี่หลินนั้น เป็นธุรกิจสีเทาที่ทำกำไรได้ดีที่สุด ฉันจะปล่อยให้มันหลุดมือไปได้อย่างไรกันล่ะ?” ท่านจวนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “ตอนนั้นถ้าฉันไปทำธุรกิจแบบนั้นต่อหน้าพวกแก ด้วยภาพลักษณ์ความเป็นแม่พระของพวกแก จะต้องลุกขึ้นมาต่อต้านฉัน ถึงเวลานั้นภายในจะเกิดความระส่ำระสายขึ้น ทีมงานที่ฉันอุตส่าห์สร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ก็ต้องล่มสลายไป”
“หลอซ่าซื้อใจคนมาโดยตลอด ถ้าหากเกิดความแตกแยกกันจริงๆ ไม่แน่ฉันอาจไม่ชนะก็ได้”
ท่านจวนพูดว่า “ดังนั้น ฉันจึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยกำลังจากภายนอก มาจัดการกับหลอซ่า”
“เป็นที่แน่ชัดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นฝีมือแกที่ผลักดันอยู่เบื้องหลังทั้งนั้น” ลุงเฉียนพูด
ก่อนหน้านั้น ลุงเฉียนเพียงแต่สงสัยเท่านั้นเอง แต่ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด
จากคำพูดของท่านจวนเมื่อครู่นี้ ลุงเฉียนถึงได้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วนั้น ล้วนเป็นแผนการของท่านจวนทั้งสิ้น ลุงเฉียนมองหน้าท่านจวน แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แกกับสี่ตระกูลใหญ่มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่? ทีแรกฉันก็สงสัยอยู่ว่า ทำไมสี่ตระกูลใหญ่ขับไล่พวกเราออกนอกประเทศแล้ว ยังไม่ยอมปล่อยพวกเราไปอีก ส่วนแกกลับแอบซ่อนตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก สี่ตระกูลใหญ่นี้ก็กลับไม่สนใจแกเลย ความแตกต่างอย่างนี้ ทำให้ฉันเกิดความสงสัยมาก ระหว่างแกกับสี่ตระกูลใหญ่ ต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน”
“แกเป็นใครกันแน่” ลุงเฉียนซักถามท่านจวน
ท่านจวนหัวเราะ “ฉันก็คือฉัน”
“ในเมื่อแกไม่ยอมส่งมอบท่านลู่ให้ฉัน งั้นฉันก็ไม่อยากพูดไร้สาระกับแกแล้ว”
ท่านจวนโบกมือ แล้วพูดว่า “ลงมือ”
พอท่านจวนพูดจบ นักฆ่าจำนวนหกสิบกว่าคนที่อยู่ข้างหลังเขา ทั้งหมดก็เดินตรงเข้าไปข้างหน้าพร้อมกัน มุ่งตรงไปยังทิศทางของหลี่ฝาง ในเวลานี้เอง โหจื่อก็ยกปืนขึ้นมาอย่างไม่ลังเลที่จะเหนี่ยวไกลปืนออกไป
ปั้งปั้งปั้ง !
กระสุนออกจากปากกระบอกปืนในมือของโหจื่ออย่างไม่ขาดสาย หลังจากที่กระสุนปืนถูกยิงออกไปแล้ว ส่วนนักฆ่าพวกนั้นก็ล้มลงกับพื้นทีละคนทีละคน
นักฆ่าบางคน ก็เริ่มวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
อย่างน้อย ฝีมือการยิงปืนของโหจื่อยอดเยี่ยมเกินไป ใครจะกล้าบุกขึ้นไปข้างหน้าเล่า?
ใครที่บุกขึ้นไปคนแรก ใครคนนั้นก็ต้องตายก่อน?
ดังนั้นทุกคนต่างก็คิดจะไปหลบอยู่ข้างหลัง ถึงแม้พวกเขารู้ว่า ในมือของโหจื่อมีปืนอยู่ไม่กี่กระบอก แล้วในปืนก็มีกระสุนไม่กี่นัดเท่านั้น
ท่านจวนพูดอยู่ข้างหลังว่า “ทุกคนไม่ต้องกลัว กระสุนเขาจะหมดแล้ว”
ท่านจวนดูเหมือนกำลังพูดจาไร้สาระ
ใครก็ต้องรู้อยู่แล้วว่า กระสุนในมือของโหจื่อใกล้จะหมดแล้ว
แต่ว่า แม้จะมีกระสุนเพียงแค่นัดเดียว ก็ไม่มีใครกล้าที่จะบุกขึ้นไปแล้ว
ใครกล้าบุกขึ้นไปเป็นคนแรก งั้นคนนั้นก็ต้องตายก่อนเป็นคนแรก
ดังนั้น ไม่มีใครโง่ที่จะบุกเข้าไปข้างหน้าก่อน ล้วนแต่ก้าวเท้าสั้นๆ เดินถอยหลังไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ท่านจวนเห็นฉากนี้แล้ว รู้สึกโมโหมาก “ไอ้พวกรักตัวกลัวตายทั้งนั้น”
“ทั้งหมดลุยเข้าไปเลย”
ท่านจวนสั่งการลงไป แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ต่อให้ท่านจวนพูดเหตุผลอย่างไร ก็ไม่มีใครยอมไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้
โหจื่อแสยะยิ้ม พูดข่มขู่ว่า “ฉันก็มีกระสุนแค่นัดเดียวเท่านั้น เพียงแต่ว่าไม่รู้กระสุนนัดนี้ จะให้ใครดี?”
“หรือไม่ ก็ให้แกแล้วกัน”
โหจื่อหันปืนเล็งไปยังท่านจวนทันที
สีหน้าท่านจวนเคร่งขรึมขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้มีความตื่นเต้นหวาดกลัว “ในเมื่อแกจะใช้ปืน ฉันก็ไม่อยากปิดบังซ่อนเร้นอะไร หลายปีที่ผ่านมานี้ ฉันก็ได้ฝึกพวกเด็กรุ่นใหม่ที่ใช้ปืนขึ้นมามากมาย ถึงแม้ฝีมือการยิงปืนของพวกเขาไม่ได้เก่งเท่าแกกับฟีนิกซ์ แต่ก็สามารถใช้การได้ดี”
ท่านจวนพูดจบ ก็หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมา กำลังจะโทรออก แต่กลับถูกโหจื่อยิงแตกหักกระจาย
“กระสุนเขาหมดแล้ว”
เมื่อเห็นโหจื่อยิงกระสุนนัดสุดท้ายออกไปแล้ว มีนักฆ่าคนหนึ่ง แววตาเป็นประกาย รีบตะโกนออกมา
จากนั้นก็มีนักฆ่ากลุ่มหนึ่งบุกเข้ามา แต่ว่าในเวลานี้เอง โหจื่อก็โยนปืนในมือทิ้งไป แล้วชักปืนอีกกระบอกหนึ่งออกมา ปั้งปั้งปั้งยิงรัวไปสามนัด
นักฆ่าหกคนก็ล้มลงไปกับพื้น
กระสุนนัดเดียว ก็สามารถฆ่าคนได้ถึงสองคน
อีกทั้งยังสามารถยิงสามนัดภายในหนึ่งวินาทีได้
ฉากที่ปรากฏนี้ ทำให้นักฆ่าทั้งหลายต่างตกใจขวัญกระเจิง
ในองค์กรนักฆ่าอย่างเซราฟิมนี้ พวกเขาก็เคยเห็นยอดฝีมือนักแม่นปืนมาก่อนแล้ว อีกทั้งคนของพวกเขาเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็ล้วนรู้จักการใช้ปืนทั้งนั้น
แต่ว่า คนที่สามารถใช้ปืนถึงระดับขั้นเทพเช่นนี้ กลับไม่มีสักคน
อย่าว่าแต่เคยเห็นเลย ต่อให้แค่คิดก็ไม่กล้าที่จะไปคิดเลย
คนอะไร สามารถยิงปืนสามนัดติดต่อกันภายในหนึ่งวินาที……
ประเด็นนี้ เชื่อว่ามีคนจำนวนมากที่สามารถทำได้
แต่ว่าทั้งสามนัดนี้ สามารถยิงถูกคนละก็ เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่จะทำได้
ถึงแม้สามารถทำได้ งั้นก็คงไม่สามารถที่ใช้กระสุนนัดเดียว ยิงระเบิดคนตายได้ถึงสองคนกระมัง
การกระทำที่บ้าระห่ำเช่นนี้ แทบจะไม่มีใครเชื่อเลย
ถ้าหากโหจื่อไม่ใช่ศัตรูแล้วละก็ มีพวกนักเล่นปืนหลายคน คิดอยากที่จะมาขอให้โหจื่อเป็นอาจารย์สอนวิธีการยิงปืนให้กับพวกเขา
โหจื่อแสยะยิ้ม แล้วพูดว่า “ท่านจวน เดิมทีแกควรจะเรียกมือปืนของแกเข้ามาก่อนล่วงหน้า แต่ไม่ใช่มาเล่นปาหี่อยู่แถวนี้ แกนึกว่าพวกเรากำลังเล่นเกมลุยฝ่าด่านกันเหรอไง พอกำจัดปีศาจตัวหนึ่งแล้ว แกค่อยปล่อยปีศาจอีกตัวหนึ่งออกมา”
ถ้าแกให้สี่ผู้พิทักษ์ แล้วก็นักฆ่าพวกนี้ออกมาพร้อมกัน มันก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้หรอก”
โหจื่อยิ้มอย่างเรียบง่าย
ตอนนี้ ต่างฝ่ายต่างก็ตกอยู่ในสภาวะที่นิ่งเฉย
ใครก็ไม่กล้าที่จะขยับตัว
ในตัวของโหจื่อ ไม่แน่อาจจะมีปืนซ่อนอยู่ แต่ว่า ปืนที่อยู่ในตัวเขานั้น ไม่สามารถที่จะสังหารพวกนักฆ่าได้มากมายเท่าไหร่นัก
ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าที่จะยิงปืนออกไปโดยง่ายดาย
แต่ว่าหากมีคนไม่เชื่อฟัง อยากจะทำตัวเด่นดัง ไม่มีใครจะไปปรานีคนแบบนี้ เขาจะต้องชักปืนออกไป แล้วยิงใส่ฝ่ายตรงข้าม
คนของท่านจวนทางนี้ ใครก็ไม่อยากเข้าไปรับความตาย
อดทนรอเหรอ?
ทนรอต่อไปอย่างนี้ ไม่ใช่วิธีที่แก้ปัญหาที่ดี
แต่ว่า จะมีใครมีวิธีที่ดีกว่านี้ล่ะ
จะให้ท่านจวนล้มเลิกการช่วยท่านลู่ เขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมจำนน อย่างน้อยคืนนี้ เขาสูญเสียคนไปมากแล้ว
คนในเซราฟิม ก็ตายไปหลายคนแล้ว เกรงว่าฝ่ายเซราฟิมทางนั้น เขาก็ไม่รู้จะอธิบายกับเขาอย่างไรดี
ส่วนการตายของจางหลงและเฉินเสี่ยว ก็ทำให้จิตใจของท่านจวนรู้สึกหดหู่เช่นกัน
ลุงเฉียนก้าวเดินไปข้างหน้า มองหน้าท่านจวน แล้วถามว่า “ท่านจวน ที่แกทำมาทุกอย่างนั้น เคยรู้สึกเสียใจบ้างหรือเปล่า?”
“ตอนนั้นคนที่ติดตามพวกเราไปนั้น ก็มีหลานในไส้ของแกด้วย แต่ตอนนี้ ร่างเขาก็ฝังกลบลงดินไปแล้ว” ลุงเฉียนพูดอย่างเย็นชาว่า “ก่อนหน้านั้น พวกเรายังนึกว่าการตายของเขาเป็นฝีมือของสี่ตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว แกเป็นคนที่ฆ่าเขาด้วยน้ำมือของแกเอง”
“นอกจากหลานแท้ๆของแกแล้ว ก็ยังมีคนจำนวนอีกมากมาย”
ลุงเฉียนมองหน้าท่านจวน แล้วถามว่า “คนตายมากมายขนาดนั้น หรือว่าแกไม่คิดจะวางมือบ้างเลยเหรอ? ทำอย่างนี้ต่อไป แกจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ?”
“เงินทองเหรอ? ลำพังเงินทองที่พวกเราช่วยหามาให้แก ก็เพียงพอที่จะให้แกใช้ไปอีกสิบชาติแล้วใช่ไหม?”
“ตำแหน่งฐานะเหรอ? แกเคยเป็นคนที่อยู่ในระดับผู้มีอิทธิพลที่สุดในเมืองเอกแล้ว ต่อให้ตอนนี้ก็ตาม แม้แต่สี่ตระกูลใหญ่ยังต้องเห็นแก่หน้าแกเลยใช่ไหม?”
“ฟีนิกซ์ หรือก็คือตงฟางหวั่นเอ๋อ ตายอยู่ในเขตอิทธิพลของแก แต่ว่าตระกูลตงฟางก็ยังไม่ได้ลงมือกับแกเลย นี่แสดงให้เห็นว่า ตำแหน่งฐานะของแก ไม่ได้ด้อยไปกว่าสี่ตระกูลใหญ่เลย”
“ยิ่งไปกว่านั้น ฉันสงสัยว่าแกกับท่านลู่พวกเขา ก็เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังสี่ตระกูลใหญ่เหมือนกัน”
ลุงเฉียนพูดว่า “แกก็อายุปูนนี้แล้ว ก็นับว่าได้มาถึงปั้นปลายของชีวิตแล้ว ทำไมยังหลงผิดไม่สำนึกอย่างนี้ ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า?”
“ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหรอ? อะไรคือถูก อะไรคือผิดล่ะ? ในสายตาของฉัน สิ่งที่ฉันอยากจะทำ ก็จะต้องทำมันให้ได้” ท่านจวนส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ความถูกผิดสำหรับฉันแล้ว มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย ต่อให้ฉันทำผิดไป ตอนนี้ฉันมาแก้ไขให้ถูกต้อง แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร? หรือว่าหลานฉันที่ตายไปแล้ว จะฟื้นขึ้นมาได้อีกไหม? ยังมีจางหลงและเฉินเสี่ยวที่ฉันเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก จะฟื้นขึ้นมาได้ไหม?
“ฟีนิกซ์ที่ตายไปแล้ว จะฟื้นคืนชีพมาได้อีกหรือเปล่า?”
ท่านจวนส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ไม่สามารถทำได้ทั้งนั้น”
“ชีวิตคนเราก็เหมือนการเล่นเกม มีคนอยากจะเป็นฝ่ายธรรมะ ส่วนบางคนก็ชอบที่จะเล่นเป็นฝ่ายอธรรม ส่วนฉัน ก็คือคนที่ชอบเล่นเป็นฝ่ายอธรรม ถ้าทำตามที่แกพูดมา ฉันกลับตัวกลับใจ ไปหาสถานที่เงียบๆแล้วอยู่อย่างมีความสุขในบั้นปลายชีวิตเหรอ? ฮ่าๆๆ ฉันก็ใกล้จะตายแล้ว เวลาที่เหลืออีกไม่มากนัก ใช้ชีวิตแบบนั้น จะมีความหมายอะไรล่ะ?”
“ฉันอยากจะอยู่อย่างมีความสุขหน่อย อย่างไหนที่มีความสุข ก็จะทำอย่างนั้น”
“ฉันอยากจะทำอะไร ก็ทำอย่างนั้น ฉันไม่เคยไปคิดไตร่ตรองถึงความถูกผิดอะไรทั้งนั้น”
“ฉันหาเงินมา ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเอามาใช้จ่ายอะไร เพียงแต่อยากจะให้จำนวนตัวเลขพวกนั้นบอกฉันว่า ฉันเป็นคนที่มีความสามารถมากมายขนาดไหน”
“ฉันจัดการพวกแก ก็ไม่ใช่เพราะว่ารังเกียจพวกแก ที่พวกแกทรยศต่อความคิดเห็นของฉัน แต่นั่นเป็นเพราะฉันอยากจะพิสูจน์ว่า ฉันสามารถฆ่าพวกแกได้ ฉันแข็งแกร่งกว่าพวกแก”
ท่านจวนพูดอย่างเรียบๆว่า “ฉันอยากจะทำอะไรก็ทำอะไร ไม่จำเป็นจะต้องอธิบายให้ใครเข้าใจ ยิ่งไม่ต้องการให้คนอื่นมาชี้นิ้วสั่งฉัน”
หลังจากที่ลุงเฉียนฟังจบแล้ว ก็ส่ายหัวอีกครั้งหนึ่ง “แกมันบ้าไปแล้ว”
ในเวลานี้เอง ทันใดนั้น เนินเขาข้างล่าง ก็มีรถหลายคันขับพุ่งขึ้นมา
คนที่นำหน้าขบวน ก็คือมู่หรงฉางเฟิง
มู่หรงฉางเฟิงลงมาจากรถ เดินตรงเข้ามาหาท่านจวน แล้วหัวเราะ “ท่านจวน แกนี้ก็ไม่ไหวเลยนะ เวลาผ่านไปตั้งนานแล้ว แกยังไม่สามารถที่จะจัดการพวกเขาได้เลย คนของตระกูลลู่ รอแกอยู่นานแล้วนะ แกตกลงกับพวกเขาแล้วว่า คืนนี้จะช่วยท่านลู่กลับไปอย่างปลอดภัย”
“อีกอย่าง แกยังบอกว่าจะจัดการโหจื่อกับตาแก่แซ่เฉียน จับหลี่ฝางกลับไปศึกษาวิเคราะห์ดู”
มู่หรงฉางเฟิงมองดูท่านจวน พูดอย่างเยาะเย้ยว่า “นานขนาดนี้แล้ว แกทำสำเร็จไปกี่เรื่องแล้วล่ะ”
มู่หรงฉางเฟิง กำลังประชดเยาะเย้ยท่านจวงอย่างชัดเจน อย่างน้อย สถานการณ์ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
แล้วยังจะต้องถามอีกเหรอ?
ท่านจวนคืนนี้ จะต้องทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างแน่เลย
ท่านจวนสีหน้าบึ้งตึง แสยะยิ้ม “คุณชายมู่หรงมาคราวนี้ ก็แค่อยากจะหัวเราะเยาะตาแก่อย่างฉันเหรอ? ถ้าเป็นเช่นนั้นละก็ งั้นแกก็ค่อยๆชมดูก็แล้วกัน”
“พูดแบบนี้ แสดงว่าท่านจวนยังไม่ได้ทำอะไรสำเร็จสักอย่างเลยเหรอ?” มู่หรงฉางเฟิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ งั้นก็ดูของฉันดีกว่า”
มู่หรงฉางเฟิงก็ตบมือ พวกคนที่อยู่ในรถของเขา ก็ทยอยกันลงมาจากรถ มือของคนเหล่านี้ ต่างก็ถือปืนอยู่ในมือ
“ฝีมือยิงปืนของโหจื่อ ฉันก็เคยเห็นมาก่อนแล้ว ฉันก็คาดเดาออกมาก่อนแล้วว่า แกจะต้องพ่ายแพ้ให้กับโหจื่อ ดังนั้น ฉันจึงตั้งใจเอาคนของฉันมาช่วยแกโดยเฉพาะ”
“วางใจเถอะ หลังจากที่ช่วยท่านลู่ออกมาได้แล้ว ผลงานก็ย่อมเป็นของแกคนเดียว” มู่หรงฉางเฟิงพูด “ฉันไม่ใช่จะมาแย่งความดีความชอบกับแก ฉันเพียงแต่เข้ามาช่วยเหลือแกเท่านั้นเอง”
“แกใจดีขนาดนั้นเลยเหรอ?” ท่านจวนมองหน้ามู่หรงฉางเฟิงด้วยความสงสัย
“แน่นอน ค่าตอบแทนฉันก็จะต้องรับอย่างแน่นอน แหล่งทำกินที่ถูกทุบทำลายในเมืองเอกของแกนั้น ฉันเตรียมที่จะหาคนไปปรับปรุงซ่อมแซมใหม่ จากนั้นก็เปิดกิจการใหม่แกวางใจเถอะ ท่านจวน รอให้เปิดกิจการเรียบร้อยแล้ว ฉันจะแบ่งหุ้นลมให้แกสิบเปอร์เซ็นต์”
มู่หรงฉางเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “เป็นยังไงล่ะ ท่านจวน?”
ขณะนี้ สีหน้าของท่านจวน เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
มู่หรงฉางเฟิงคนนี้กำลังคิดฉวยโอกาสที่ฮุบกิจการ แต่ว่า ท่านชวนก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ถ้าเขาไม่ทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้น เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตระกูลตงฟาง หรือแม้แต่ตระกูลลู่ทางนั้น เขาก็ไม่รู้จะอธิบายแก้ตัวอย่างไรได้เลย
ถึงเวลานั้น ท่านจวนจะต้องผิดใจกับคนจำนวนมากเลยทีเดียว
ดังนั้น ท่านจวนจึงจำเป็นที่จะต้องตกลงตามข้อเสนอของมู่หรงฉางเฟิง แต่ว่าท่านจวนกลับพูดอย่างเย็นชาว่า “ร้อยละสามสิบ ถ้าแกไม่ตกลง ฉันก็จะยอมปล่อยให้ที่พวกนั้นเป็นสถานที่ทิ้งขยะไปดีกว่า”
“ได้ ท่านจวนบอกเท่าไหร่ก็เท่านั้น”
มู่หรงฉางเฟิงพูดจบ ลูกน้องของเขา ก็เดินตรงเข้าไปหาหลี่ฝางและโหจื่อ
“โหจื่อ ถ้าแกอยากจะเล่นปืน งั้นทุกคนก็ต้องเล่นปืนด้วย” มู่หรงฉางเฟิงพูด