NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 779 กลยุทธ์การรบแบบวงล้อรถ
เมื่อสามปีที่แล้ว พวกเราทั้งสองฝ่ายตกลงกติกาไว้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ใครก็ห้ามใช้อาวุธร้อนทั้งนั้น” มู่หรงฉางเฟิงมองหน้าโหจื่อ แล้วพูดว่า “แกยังจำได้หรือเปล่า?”
มู่หรงฉางเฟิงพูดว่า “ฉันรู้ว่าแกเป็นนักแม่นปืนฝีมือเยี่ยม ยิงทุกนัดถูกทุกนัด แต่ว่าแกก็มีกันแค่สองคน มือสองข้างเท่านั้น จะเก่งกาจขนาดไหน แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะสู้กับมือปืนสิบกว่าคนของฉันได้ล่ะ?”
“ยังมีมือปืนซุ่มยิงของท่านจวน ตอนนี้ก็ได้ยึดพื้นที่ส่วนบนของเนินเขาแล้ว” มู่หรงฉางเฟิงพูดเสริมพลางแสยะยิ้ม
กลุ่มคนพวกที่มู่หรงฉางเฟิงพามานั้น โหจื่อไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่นัก
ฝีมือยิงปืนของโหจื่อ มีความแม่นยำถึงขั้นระดับหนึ่งแล้ว เขามีความมั่นใจว่าก่อนที่คนพวกนี้จะยิงปืนออกมา ก็สามารถที่จะจัดการพวกนั้นได้ทั้งหมด
แต่ว่า ถ้าเป็นมือปืนซุ่มยิงก็ไม่มีความมั่นใจมากนัก
ตำแหน่งของมือปืนซุ่มยิง มักจะอยู่ห่างออกไปราวประมาณหนึ่งถึงสองร้อยเมตร ระยะห่างขนาดนั้น ต่อให้โหจื่อรู้ตำแหน่งที่ถูกต้องของฝ่ายตรงข้ามก็ตาม แต่ว่ากระสุนปืน ก็ไม่สามารถที่จะยิงไปถึงตำแหน่งนั้นได้
อย่างน้อยมือปืนซุ่มยิง ก็ล้วนติดอาวุธปืนชนิดสไนท์เปอร์ไรเฟิลทั้งนั้น
ส่วนปืนในมือสองของโหจื่อนั้น ก็ล้วนเป็นชนิดที่วิถียิงระยะใกล้เท่านั้น
ถ้าระยะห่างเกินกว่าหลายร้อยเมตรแล้ว โหจื่อก็ยากที่จะจัดการได้
ดังนั้น โหจื่อจึงไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว จึงได้แต่ต้องใช้วิธีประนีประนอม โหจื่อมองดูมู่หรงฉางเฟิง แล้วหัวเราะ “ดี เพียงแต่ว่า พวกแกก็ทำเกินเหตุไปหรือเปล่า?”
“ใช้นักฆ่า 60 กว่าคน มาจัดการพวกเราสามคน ท่านจวนนี่ก็หน้าไม่อายไปหน่อยนะ”
โหจื่อแสยะยิ้ม มองหน้าท่านจวน “อายุปูนนี้แล้ว ระวังหน่อยได้หรือเปล่าล่ะ?”
“ฉันไม่ใช้ปืนก็ได้ แต่ว่าพวกแกก็อย่าทำเกินเหตุไป ไม่เช่นนั้นละก็……อย่ามาโทษฉันแล้วกัน”
โหจื่อสีหน้าเย็นชา ส่องประกายพลังพิฆาตออกมา “หากบีบคั้นฉันมากเกินไป…….”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น ทันใดนั้นโหจื่อก็ยกปืนในมือของตัวเองขึ้นมา เล็งไปที่มู่หรงฉางเฟิงและท่านจวน แล้วยิงออกไป
เสียงปืนดังลั่นขึ้นสองนัด ท่านจวนและมู่หรงฉางเฟิงต่างก็ตกใจขวัญกระเจิงไปเลย
ท่านจวนยังนับว่าดีหน่อย ถึงแม้นตัวจะสั่นเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็ยังไม่ได้นั่งลงไปส่วนมู่หรงฉางเฟิงนั้นก็ไม่ไหวเลย มู่หรงฉางเฟิงตกใจจนนั่งลงกับพื้น ผ่านไปครึ่งค่อนวันจึงจะลุกยืนขึ้นมา
กระสุนปืน ก็เพียงแค่เฉี่ยวหัวพวกเขาไปเท่านั้น แต่ยังไม่ได้ยิงถูกคนเลย
ระยะห่างที่พอดีเช่นนั้น ยิงได้แม่นยำมากทีเดียว
พวกกลุ่มคนที่มู่หรงฉางเฟิงพามานั้น เมื่อเห็นแล้ว ต่างก็แสดงความรู้สึกศรัทธาชื่นชมท่วงท่าของโหจื่อออกมา
เพราะว่าสำหรับมือปืนแล้ว เทคนิคการยิงของโหจื่อนั้น นับว่าถึงขั้นระดับเทพเลยทีเดียว
ถ้าเรียกเขาว่าเทพนักแม่นปืน ก็ไม่น่าจะเกินเลยไป
ไม่มีใครกล้าที่จะขยับ ถึงแม้ในมือพวกเขาจับปืนกันอยู่ก็ตาม แต่ว่าพวกเขารู้ดีว่า มือของพวกเขา จะไม่มีทางที่จะไวกว่ามือของโหจื่ออย่างแน่นอน
นอกจากว่าคนพวกนี้สามารถยิงปืนไปยังโหจื่อพร้อมกันในเวลาเดียวกัน ไม่เช่นนั้นแล้วโหจื่อก็ยังคงสามารถยิงทำร้ายพวกเขาทีละคนได้
แต่ถ้าจะทำให้ทุกคนยิงปืนออกไปพร้อมกันทีเดียว แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร?
พวกเขาเหล่านี้ คงไม่มีจิตสัมผัสรับรู้ที่สูงขนาดนั้น
มู่หรงฉางเฟิงสำรวจแล้วว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ก็รีบลุกขึ้นยืน เขามองดูโหจื่อแล้วตะโกนด่าด้วยความโกรธว่า “แกทำอะไรของแก?”
“แม้งแกจะบ้าแล้วหรือไง?” มู่หรงฉางเฟิงโกรธจัด
โดยเฉพาะปฏิกิริยาการตอบโต้ของเขาเมื่อครู่นี้ ที่แสดงท่าทีตื่นตกใจมากเกินไปเมื่อเทียบกับท่าทีของท่านจวนแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกอับอายขายหน้าเล็กน้อย
ส่วนคนที่อยู่ที่นี่ ต่างก็ได้เห็นกันหมดแล้ว โหจื่อไม่ได้คิดจะยิงปืนเพื่อฆ่าใครทั้งนั้นเพียงแต่คิดว่า จะส่งสัญญาณเตือนมู่หรงฉางเฟิงและท่านจวนเท่านั้นเอง
อีกทั้ง ก็ยังเป็นพิสูจน์ความแม่นยำในการยิงปืนของเขาด้วย
โหจื่อพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆเรียกว่า “ฉันเพียงแต่อยากบอกแกว่า ถ้าหากพวกแกข่มเหงกันจนเกินไปแล้ว ฉันก็จะยิงระเบิดสมองพวกแกสองคนก่อนเลย”
“เมื่อกี้พวกแกก็เห็นแล้ว ถ้าฉันคิดจะฆ่าพวกแก สามารถที่จะยิงก่อนที่พวกเขาจะยิงเสียอีก แล้วก็จะจบชีวิตพวกแกได้เลย”
โหจื่อพูดว่า “ถ้าอยากจะสู้ ได้เลย ทยอยกันมาตัวต่อตัว อย่าเล่นแบบสิบรุมหนึ่ง มันคือการต่อสู้เหรอ? นี่แม้งเรียกว่าหมาหมู่ชัดๆ ฉันไม่เคยคิดจะแหกกฎกติกา แต่ขอเตือนพวกแกก่อน พวกแกอย่าบีบคั้นฉันมากเกินไป”
หลังจากที่โหจื่อจบแล้ว มู่หรงฉางเฟิงกัดฟันด้วยความโกรธจัด
สีหน้าของท่านจวนก็เคร่งขรึมเช่นกัน
ท่านจวนหันหลังกลับไปมองมู่หรงฉางเฟิง แล้วพูดว่า “ไปรวบรวมยอดฝีมือมากกว่านี้มา”
“เมืองตงไห่ทั้งเมือง หรือว่าจะไม่มียอดฝีมืออีกแล้วเหรอ?”
ท่านจวนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “พวกเรามีเวลาเหลือเฟือ แล้วก็มีเงินด้วย”
มู่หรงฉางเฟิงก็ย่อมเข้าใจชัดเจนว่า พวกเขามีเวลาเหลือเฟือ
ขอเพียงแต่หลอซ่ายังไม่กลับมา พวกเขาก็สามารถจัดการพวกหลี่ฝางได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปได้
เพียงแต่ว่า พวกยอดฝีมือที่แท้จริงพวกนั้น ไม่ใช่ว่าจะใช้เงินซื้อได้เสมอไป
ไม่ว่ายอดฝีมือคนไหน ก็ล้วนแต่ผ่านการฝึกฝนที่เหนือมนุษย์มาแล้วทั้งนั้น คนอย่าง พวกเขา ถ้าคิดต้องการอยากได้เงิน แล้วเงินจะขาดมือเหรอ?
ถ้าคิดจะใช้เงินจ้างพวกเขา ก็ยากลำบากเกินไป
ทางเดียวที่สามารถทำได้ก็คือ ก็ต้องอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวใช้เครือข่ายในการช่วยเหลือ
มู่หรงฉางเฟิงรู้สึกลำบากใจ ท่านจวนก็พูดด่าทอว่า “ยังไงกัน แกมองฉันทำไม ฉันก็อายุปูนนี้แล้ว หรือว่าจะให้ฉันลงเขาไปหาด้วยตัวเองงั้นเหรอ? อีกอย่างหนึ่ง จะให้ฉันไปหาใครล่ะ? ยอดฝีมือข้างกายฉันก็ตายไปแล้วสองคน บาดเจ็บอีกสองคน แกก็เห็นอยู่แล้ว”
ท่านจวนหมายถึงพวกหม่าเฟิงสี่คนพี่น้อง
มู่หรงฉางเฟิงมองค้อนท่านจวน แล้วพูดว่า “ฮึ ท่านจวน ฉันจะลงเขาไปหายอดฝีมือก็ได้ แต่แกก็อย่าคิดจะอ้างความเป็นอาวุโส ใครๆก็รู้ว่าร่างกายแกยังแข็งแรงดี”
“อีกอย่างหนึ่ง ฉันก็ไม่ใช่ลูกน้องแก แกอย่ามาชี้นิ้วสั่งฉัน”
มู่หรงฉางเฟิงพูดอย่างไม่พอใจ “กรุณาระวังกิริยาท่าทางของแกด้วย”
ท่านจวนพูดว่า “เอาเถอะ นี่มันเวลาอะไรกันแล้ว ยังจะมาสนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้อีก? ทุกคนตอนนี้มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือจัดการโหจื่อพวกเขาให้สิ้นซาก หลังจากนั้นก็จะได้ไปชี้แจงตระกูลตงฟางได้”
“งั้นแกก็เฝ้าพวกเขาไว้แล้วกัน”
มู่หรงฉางเฟิงพูดย้ำเตือน แล้วพูดกับมือปืนของตัวเองว่า “เฝ้าเขาให้ดีๆ เห็นไอ้เด็กน้อยคนนั้นไหม?”
มู่หรงฉางเฟิงชี้ไปยังหลี่ฝาง แล้วพูดว่า “ถ้าพวกเขายังใช้ปืนอีกละก็ พวกแกก็ยิงสวนไปได้เลย ยิงไอ้หนุ่มคนนั้นให้ตายไปเลย เขาชื่อหลี่ฝาง เป็นลูกชายของหลอซ่า”
มือปืนพวกนั้นฟังแล้ว ต่างก็พยักหน้า
จากนั้น มู่หรงฉางเฟิงก็ลงไปจากเขา ไปหายอดฝีมือมาช่วย
ส่วนตอนนี้ พวกที่เรียกตัวเองว่านักฆ่า ต่างก็ยืนอยู่ตรงนั้น พรรคพวกของพวกเขาตายไปหลายคน เวลานี้ พวกเขาก็โกรธแค้นจนตาแดงก่ำแล้ว
ไม่รอให้ท่านจวนสั่งการ ไม่สนใจระเบียบกติกาบ้าบออะไรอีกแล้ว
หนึ่งในนักฆ่าพวกนั้นมองดูโหจื่อ แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “แกฆ่าเสี่ยวชี ฉันจะแก้แค้นให้เขา”
โหจื่อจะไปรู้ว่าใครเป็นเสี่ยวชี แต่ระหว่างที่คนนี้เข้ามาใกล้ ในมือของโหจื่อก็ปรากฏมีดด้ามหนึ่ง แล้วเสียบเข้าไปในร่างของนักฆ่าคนนี้
ความเร็วของโหจื่อว่องไวมาก เขาใช้พละกำลังที่แท้จริงของตัวเองออกมาจนหมด
ในนาทีนี้ โหจื่อไม่กล้าเล่นหยอกล้อกับพวกเขาอีก อย่างน้อยในเวลาวิกฤตเช่นนี้ หากมีความลังเลใดๆและการออมแรงแล้ว ก็จะทำให้ตัวเองถึงแก่ชีวิตได้
ถึงแม้ว่าเมื่อครู่ได้สังหารนักฆ่าไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังมีนักฆ่าอีกเป็นจำนวนมากมาย
โหจื่อเผยพละกำลังของตัวเองออกมาทั้งหมด เพื่อที่จะเป็นการสยบคนพวกนี้ไว้ ในแง่ของขวัญกำลังใจแล้ว ทำให้พวกเขาเกรงกลัวก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง
ไม่เช่นนั้นแล้ว หากพวกเขาบุกเข้ามาพร้อมกันละก็ อย่าว่าแต่โหจื่อเลย ต่อให้มีหลี่ฝางและลุงเฉียนคอยช่วยเหลือ เกรงว่าเขาทั้งสามคน ก็ต้องถูกนักฆ่าเหล่านี้จัดการอย่างราบคาบเป็นแน่แท้
“แก้แค้น”
นักฆ่าอีกคนพูด
จากนั้น เขาก็ร่วมมือกับอีกสองคน มุ่งตรงไปยังโหจื่อพร้อมกัน
พวกเขาก็ไม่ได้ทำเกินไป เข้ามาเพียงแค่สามคน แต่นักฆ่าทั้งสามคนนี้ ร่วมมือกันได้อย่างลงตัว แยกย้ายกันไปอยู่คนละมุมเป็นรูปสามเหลี่ยม แล้วล้อมรอบโหจื่อไว้
ประกายไฟที่เกิดจากการปะทะ มีดของพวกเขา และมีดของโหจื่อ ก็ได้ปะทะกันขึ้น
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งนาที นักฆ่าทั้งสามคนก็ล้มลงนอนกับพื้น ลุกขึ้นมาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้ ยังมีนักฆ่าที่อดรนทนไม่ไหว ถึงแม้พวกเขาเห็นความร้ายกาจของโหจื่อแล้ว แต่ว่าโหจื่อก็เป็นแค่คนคนหนึ่ง เขาก็น่าจะเหนื่อยล้าบ้างแล้ว จึงมีนักฆ่าอีกห้าคนบุกขึ้นมาอีก คราวนี้หลี่ฝางเริ่มจะโมโหแล้ว เขากำหมัดไว้แน่น คิดจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่กลับถูกลุงเฉียนลากเอาไว้ “รอดูไปก่อน ตอนนี้โหจื่อยังไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา”
“แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก ต่อให้โหจื่อไม่ถูกฆ่าตาย ก็ต้องสู้กับพวกเขาจนเหนื่อยตายแน่” หลี่ฝางพูดพลางขมวดคิ้ว
ลุงเฉียนฉลาดขนดไหน มีเหรอที่จะดูไม่ออกว่า ฝ่ายตรงข้ามใช้กลยุทธ์การรบแบบวงล้อรถ ลุงเฉียนเหลือบตาไปมองหลี่ฝาง แล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”
“ฉันจำได้ว่า ก่อนที่แม่แกจะจากไปนั้น เคยให้สารกระตุ้นสเต็มเซลล์ขวดเล็กๆไว้กับแกใช่ไหม? ฉันคิดว่าแกคงไม่ได้ใช้แล้ว อีกเดี๋ยว ถ้าโหจื่อทนไม่ไหวจริงๆ ก็ให้เขาใช้แล้วกันนะ”
ลงเฉียนพูด
หลี่ฝางเกือบจะลืมเรื่องสารกระตุ้นสเต็มเซลล์ไปแล้ว แต่ว่า ถ้าหากใช้สารกระตุ้นสเต็มเซลล์แล้ว นั่นก็หมายความว่า อย่างมากโหจื่อก็จะทนได้อีกครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่ถ้าเวลาผ่านไปแล้ว….