NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่ 827 ภาวะวิกฤตรุนแรงยิ่งขึ้น
สถานตากอากาศเหรอ?
ตอนแรกหลี่ฝางก็รู้สึกตะลึง จากนั้นก็ยิ้มอย่างเจื่อนๆ
ตอนนี้เขารู้สึกแอบดีใจที่ฉินวี่เฟยไม่ได้อยู่ที่สถานตากอากาศแล้ว ไม่เช่นนั้นละก็หญิงสาวทั้งสองคนนี้เมื่อเจอหน้ากันก็ไม่รู้จะเกิดเรื่องยุ่งยากอะไรขึ้นอีก
พูดตามความจริง ตอนนี้ความรู้สึกของเขาสับสนมาก ในเมื่อได้อยู่กับฉินวี่เฟยแล้ว แต่ตอนนี้กลับดึงเอาลู่หลุ่ยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะให้ลู่หลุ่ยจากไปตอนนี้ อีกทั้งระหว่างทางที่พบกับเรื่องราวอันตรายขึ้นนี้ ลู่หลุ่ยต้องเผชิญความลำบากก็เพราะว่าเขา จึงคาดเดาได้ยากมากถ้าหากลู่หลุ่ย ไม่ได้อยู่ข้างกายหลี่ฝางแล้วจะต้องเผชิญกับภัยอันตรายมากน้อยเพียงใด
ระหว่างทางที่กลับไปนั้น ภายในรถมีพยาบาลคอยช่วยทำแผลอย่างง่ายๆให้กับหลี่ฝาง
“ตั้งลั่ง” กระสุนปืนสีเหลืองทองก็ตกลงมาบนจาน ลูกกระสุนที่เปื้อนเลือดนั้นมีลักษณะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถูกฝังอยู่ในกล้ามเนื้อของหลี่ฝาง แต่ยังไม่ได้ทะลุออกไป
“คราวนี้แกทำได้ไม่เลวเลย” หลังจากที่ส้าวส้วยนั่งดูการทำแผลของหลี่ฝางอย่างเงียบๆแล้ว จากนั้นก็ชมด้วยรอยยิ้ม
“แกก็อย่าหัวเราะเยาะฉันสิ” หลี่ฝางอดไม่ได้ที่จะยิ้มฝืดๆ
“ไม่ใช่หัวเราะเยาะ จริงจังนะ” สีหน้าส้าวส้วยเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “พูดตามความจริงนะหลังจากที่ฉันกลับมาจากเมืองนอกแล้วฉันคิดไม่ถึงจริงๆเลยว่าจะมีใครกล้าที่จะซุ่มยิงแกอย่างอุกอาจได้ขนาดนี้ พวกฉันล้วนเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตฝ่าดงกระสุนปืนมาอย่างโชกโชนแล้วทั้งนั้น แต่แกไม่ใช่ เมื่อก่อนฉันยังเป็นห่วงว่าแกมีแต่พละกำลังแต่ยังไม่มีสติยั้งคิด ตอนนี้ฉันวางใจแล้ว ลูกชายของหลอซ่าก็คือลูกชายของหลอซ่า ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่โดดเด่นสะดุดตายังไง เมื่อเริ่มกางปีกโบยบิน ก็สามารถทะยานไปสู่เหนือสวรรค์ชั้นเก้าได้เลย ทำให้ผู้คนล้วนคอยแหงนหน้ามองไปตามกัน”
หลี่ฝางนึกไม่ถึงว่า ส้าวส้วยถึงกับพูดชมเขาด้วยคำติชมที่สูงค่าถึงเพียงนี้ เขารู้สึกหลงระเริงลืมตัวไปชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อก่อนนั้นอยู่ต่อหน้าส้าวส้วย โหจื่อคนพวกนี้แล้ว ตัวเองก็เหมือนกับน้องชายคนหนึ่ง ไม่มีเรี่ยวแรงแม้กระทั่งจับไก่สักตัว หรือแม้แต่กลอุบายและเล่ห์เหลี่ยมก็สู้คนอื่นไม่ได้เลย ที่ผ่านมาก็ได้แต่อาศัยพวกเขาตัวเองจึงได้เป็นคุณชายมาโดยตลอด ถ้าไม่มีพวกเขาแล้ว ตัวเองก็คงไม่เป็นอะไรสักอย่าง
แต่ว่าตอนนี้หลี่ฝางกลับพบว่า เขาค่อยๆเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจนไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้แล้ว เขาก็อยากจะกลายเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีความสามารถเพียงพอที่จะไปกันแดดกันฝน พร้อมที่จะรับมือกับศัตรูจากทั่วสารทิศได้
“ใช่แล้ว เรื่องราวคราวนี้จะเป็นแผนการของมู่หรงฉางเฟิงจริงเหรอ?” หลี่ฝางรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก มู่หรงฉางเฟิงบ้าคลั่งได้ถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่” เมื่อพูดถึงปัญหานี้แล้ว ส้าวส้วยก็รู้สึกจริงจังขึ้นมาไม่น้อยเลย “มู่หรงฉางเฟิงใจไม่กล้าขนาดนี้หรอก และก็ไม่มีความเก่งกาจสามารถขนาดนั้นด้วย ฉันสังเกตเห็นเงาร่างของบางคนในอดีตที่แฝงอยู่ในตัวของคนที่ลงมือพวกนั้น”
“คนในอดีตเหรอ?”
“เออ นั่นเป็นศัตรูของพวกเราที่เมืองนอก”
“สำนักหยิ่งซาเหรอ?”
“แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ที่เป็นคนในราชวงศ์ ตอนนี้ฉันยังยืนยันไม่ได้” ส้าวส้วยส่ายหน้า ด้วยท่าทีที่หนักใจ
“เสี่ยวฝาง คนของสององค์กรใหญ่นี้มีอิทธิพลแข็งแกร่งกว่าที่แกคิดเสียอีก หนี้บุญคุณความแค้นของพวกเรากับสององค์การใหญ่นี้ ก็ซับซ้อนกว่าที่แกคิดเสียอีก ตอนนี้ฉันอาจจะไม่สามารถที่จะเล่าเรื่องราวรายละเอียดให้แกรู้ทุกอย่าง แต่ว่าสักวันหนึ่งแกคงต้องได้รับรู้เรื่องราวความจริงทุกอย่างในไม่ช้าก็เร็ว”
เมื่อฟังน้ำเสียงคำพูดของส้าวส้วยแล้ว ใจของหลี่ฝางก็รู้สึกเจ็บแปลบ แล้วถามว่า “พวกเขาใช้กำลังคนมากเท่าไหร่ที่มาจัดการพ่อฉันกันแน่?”
“ไม่มีใครรู้ แต่ว่าแกควรจะเชื่อมั่นในตัวเขานะ” ส้าวส้วยก็ยังไม่ยอมเปิดเผยเหมือนเดิมอาจจะเพราะว่าเขายังไม่มีความมั่นใจก็ได้
“ถ้าหากว่าสององค์กรใหญ่นั้นก็เข้ามาเล่นในเกมนี้ด้วยละก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานการณ์ของเมืองเอกนี้ก็จะยิ่งซับซ้อนยิ่งขึ้น แล้วอันตรายที่แกจะต้องเผชิญหน้าด้วยก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ แกเข้าใจความหมายที่ฉันพูดไหม เสี่ยวฝาง?”
หลี่ฝางแสยะยิ้ม เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรเล่า การไล่ล่ายิงอย่างอุกอาจตลอดทางที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นั้น ก็เป็นวิธีการอธิบายอย่างตรงไปตรงมาที่ทำให้เขาได้เข้าใจทุกอย่างแล้ว
นั่นเป็นภาวะวิกฤตที่ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ระดับชั้นก็ไม่เหมือนกันเลยทีเดียว เมื่อเปรียบเทียบกับความรุนแรงที่เข้ามาจู่โจมในวันนี้ การเตะต่อยเหมือนจิ๊กโก๋ปากทางสมัยก่อนนั้นก็ยิ่งไม่มีค่าควรที่จะไปพูดถึงเลย
ความจริงแล้วในคำพูดของส้าวส้วยนั้นยังแฝงความหมายที่ลึกซึ้งไว้อีกด้วย นั่นก็คือในขณะที่อันตรายที่เขาจะต้องเผชิญนั้นยิ่งมีมากขึ้นเท่าไร คนที่อยู่รอบข้างของเขาก็จะมีอันตรายมากขึ้นเท่านั้น อย่างเช่นลู่หลุ่ยเธอก็เหมือนหมากตัวหนึ่ง เป็นเหยื่อล้อให้หลี่ฝางมาติดเบ็ดได้ตลอดเวลา ส่วนชีวิตของเธอนั้นอาจพูดได้ว่าจะต้องสั่นคลอนอยู่ท่ามกลางพายุฝน ถ้าหากเป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่เพียงแค่ตัวหลี่ฝางคนเดียวแล้วละก็ ลู่หลุ่ยก็อาจมีอัตรายถึงแก่ชีวิตได้ตลอดเวลา
ความห่างเหินระหว่างหลี่ฝางและลู่หลุ่ยนั้น ก็ย่อมจะต้องยิ่งห่างกันมากขึ้นด้วย หลี่ฝางสามารถฟังเข้าใจความหมายที่ลึกลงไปของส้าวส้วยได้
ก็เหมือนกับพ่อแม่ของตัวเอง หากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มีความสามารถเพียงพอในการปกป้องตัวเองแล้วละก็ พวกเขาก็จะไม่สามารถที่จะอยู่เคียงคู่กันถึงทุกวันนี้ได้ รวมทั้งผู้ติดตามของพวกเขาด้วย อย่างเช่นส้าวส้วย โหจื่อ ซือปาจี้ เป็นต้น ผู้ที่ติดตามยอดฝีมือได้ก็ย่อมจะต้องเป็นยอดฝีมือเท่านั้น คนด้อยฝีมือก็ย่อมไม่มีสิทธิ์จะเข้าใกล้แม้แต่นิดเดียว
รถแล่นมาถึงสถานตากอากาศด้วยความรวดเร็ว ที่นี่ก็เหมือนเมื่อก่อน เงียบสงบมาโดยตลอด
ก่อนอื่นหลี่ฝางก็รีบไปดูลุงเฉียนที่กำลังนอนจมอยู่ในห้องปลอดเชื้อ เขายังนอนสลบไม่รู้สึกตัวเหมือนเดิม รอบตัวเต็มไปด้วยเครื่องมืออุปกรณ์ระโยงระยางที่ใช้ควบคุมสภาวะร่างกายของเขา
ส่วนร่างกายของโหจื่อก็ฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว สามารถที่จะฝืนยืนขึ้นเดินด้วยตัวเองได้แล้ว แต่ว่าคราวที่แล้วเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสรุนแรงมาก ไม่เพียงแต่ภายนอกเท่านั้น ยังรวมไปถึงอวัยวะภายใน และกระทั่งระบบประสาท หากคิดจะให้ฟื้นคืนสู่สภาพเหมือนเดิมทุกอย่างนั้นเกรงว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว
แต่ว่า โหจื่อเจ้าหมอนี่ก็ยังหน้าตาระรื่นเหมือนเดิม เมื่อเห็นหลี่ฝางมาถึงแล้วก็เข้าไปทักทายเขา และให้หลี่ฝางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่กี่วันที่ผ่านมาให้เขาฟัง
เมื่อเขาได้ยินจากปากของหลี่ฝางเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่กี่วันนี้แล้ว อดไม่ได้ที่จะตบขาแล้วพูดว่า “เสียดายจริงๆที่ไม่ได้อยู่ข้างกายคุณชาย พลาดโอกาสเรื่องราวที่สนุกๆเช่นนี้ไปได้!”
หลี่ฝางอดไม่ได้ที่ทำตาค้อนใส่ สนุกเหรอ? เอาชีวิตให้รอดก่อนดีกว่าไหม!
แต่ว่าต่อจากนั้นโหจื่อก็พูดแสดงความเป็นห่วงเรื่องที่หลี่ฝางถูกซุ่มโจมตีเมื่อครู่ที่ผ่านมา อย่างน้อยการต่อสู้ที่อุกอาจรุนแรงเช่นนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง แทบจะพูดได้ว่าเป็นการจู่โจมที่เปิดเผยไม่ต้องเห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือต้องให้ตายกันไปข้างหนึ่งจึงจะยุติลงได้
สี่ตระกูลใหญ่ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ของพวกเขาได้จบลงไปแล้ว ภายใต้การนับวันที่ค่อยๆตกต่ำลงทุกที ก็เป็นเรื่องที่คาดเดาออกได้ว่ามีคนบางจำพวกวิ่งเข้าสู่เส้นทางความรุนแรงอย่างบ้าคลั่งได้
“หรือไม่ก็รอให้แผลฉันหายดีก่อน แล้วไปจัดการมู่หรงฉางเฟิงคนนั้นให้จมดินไปเลย! ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกเขายังจะหากระบอกเสียงจากที่ไหนได้อีก!” โหจื่อพูดอย่างเกรี้ยวกราด สายตาส่องประกายความเคร่งขรึม
หลี่ฝางสะดุ้งตกใจกับคำพูดของโหจื่อ คนอื่นพูดแล้วก็แล้วกันไป แต่ถ้าเป็นคนนี้แล้วละก็พูดได้ต้องทำได้แน่นอน เผื่อว่าเขาอาจจะย่องออกไปกลางดึกแล้วแอบไปยิงมู่หรงฉางเฟิงตายไปเลยก็ได้ งั้นก็จะต้องมีเรื่องราวสนุกเกิดขึ้นอีกแน่นอน
“แกรักษาตัวดีๆก่อนเถอะ หยุดคิดอะไรทุกอย่างชั่วคราวไปก่อน ไม่อย่างนั้นแกอาจจะ กลายเป็นลิงพิการก็ได้นะ” หลี่ฝางอดไม่ได้ที่จะพูดกระเซ้าเล่น
มาตรฐานการรักษาของหมอในสถานตากอากาศค่อนข้างสูงมาก เขาช่วยตรวจร่างกาย ให้กับลู่หลุ่ยอย่างรวดเร็ว แน่ใจแล้วว่าไม่มีโรคที่ตกค้างจากอาการบาดเจ็บ อีกทั้งเพียงแค่ให้พักผ่อนไม่กี่วันก็หายดีแล้ว
นี่กลับทำให้หลี่ฝางรู้สึกลำบากใจ เขาควรจะจัดการอย่างไรดีกับความรู้สึกที่มีต่อลู่หลุ่ย? ไม่ใช่สิ ตอนนี้ไม่เพียงแค่ปัญหาเรื่องความรู้สึกแล้ว เพียงแค่ให้อยู่ใกล้ชิดกับตัวเอง ก็สามารถทำให้ลู่หลุ่ยมีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้แล้ว