NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่573 แกรนหาที่ตายหรือไง?
“คนไหน?” จูเปิ่น เสี่ยวซานจื่อและคนอื่น ๆ ได้ยินดังนั้น ต่างก็หันหน้ากลับ มองไปยังหรุ่ยเหวินเจ๋
หรุ่ยเหวินเจ๋ได้คืบจะเอาศอก เขามองจูเปิ่นอย่างเรียบ ๆ กล่าว: “ลูกพี่ ผมมีข้อเรียกร้อง”
“บอกแล้วไงว่าจะให้แกแสนหนึ่ง แกยังต้องการอะไรอีก? เงินเดือนแกสามปี ก็น่าจะแค่แสนหนึ่งสินะ?” จูเปิ่นขมวดคิ้ว สีหน้าเย็นชา
หรุ่ยเหวินเจ๋ส่ายหัว กล่าว: “ผมไม่ต้องการเงิน เงินค่าเหนื่อยหนึ่งแสนนั่น ถือว่าผมตอบแทนพวกพี่แล้วกัน ผมอยากจะติดตามพวกพี่ เป็นลูกน้องของพวกพี่”
หลังจากที่เสี่ยวซานจื่อได้ยินดังนั้น เขาก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมาทันที ชี้ไปที่หรุ่ยเหวินเจ๋ จากนั้นก็หัวเราะฮ่า ๆ : “เจ้าหนุ่มคนนี้น่าสนใจดีแฮะ”
“ใช่น่าสนใจมากจริง ๆ” คนขับรถก็หัวเราะตาม
ทุกคนต่างก็หัวเราะ ยกเว้นจูเปิ่น สีหน้าของเขา ค่อย ๆ หม่นหมองลง: “น้องชาย แกกำลังข่มขู่ฉันเหรอ?”
“ไม่ใช่นะครับ ผมกำลังต่อรองกับพี่ต่างหาก ลูกพี่ พี่ได้ไม่เสียหายอะไรเลย ไม่เพียงไม่ต้องเสียเงินโดยไม่จำเป็น ทั้งยังได้ลูกน้องที่ซื่อสัตย์มาเพิ่ม คุ้มค่าแบบนี้ทำไมไม่เอาล่ะครับ?” หรุ่ยเหวินเจ๋กล่าวอย่างเรียบ ๆ
จูเปิ่นยิ้มมุมปาก ด้วยท่าทางหน้าซื่อใจเหี้ยม: “เจ้าหนุ่ม นายไม่ได้กำลังคุยข้อต่อรอง แต่เป็นการฉวยโอกาส เข้าใจไหม?”
จูเปิ่นหยิบปืนออกมาจากบริเวณหน้าอก จากนั้นก็จ่อไปที่หน้าอกของหรุ่ยเหวินเจ๋ พลางกล่าว: “ฉันถามแกอีกครั้ง คนไหน?”
เสี่ยวซานจื่อยื่นมือออกไปห้าม นึกไม่ถึงกลับถูกจูเปิ่นหันกลับมาถลึงตาใส่: “แกมันเป็นไอ้โง่หรือไง? แกแม่งเป็นพวกใครกันแน่ ไม่ช่วยคนกันเองแต่กลับไปช่วยคนอื่น”
“ฉันกำลังช่วยนายน้อยอยู่นะ” จูเปิ่นกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ลูกพี่ ช่วยนายน้อย ก็ไม่เห็นต้องใช้ปืนจ่อหรุ่ยเหวินเจ๋เลยนี่นา เจ้าหนุ่มคนนี้ก็น่าสงสารเหมือนกันนะ ไม่เพียงถูกแฟนทิ้ง ยิ่งไปกว่านั้นทั้งชีวิตยังไม่เคยได้มีชีวิตที่สบายเลย ถ้าพี่ยิงมันตายจริง ๆ คงบาปมากเลย รู้ไหม?” เสี่ยวซานจื่อยืนอยู่ข้าง ๆ หรุ่ยเหวินเจ๋ และพูดแทนเขา
แต่เสี่ยวซานจื่อก็รู้จักนิสัยของพี่ใหญ่ตัวเองดี เขามองหรุ่ยเหวินเจ๋ย่างลุกลี้ลุกลน พลางกล่าว: “น้องชาย เลิกเล่นได้แล้ว รีบบอกมา ตกลงแล้วคนไหนกันแน่?”
“พูดเร็วหน่อย เราก็จะได้ปล่อยตัวแกไปเร็วขึ้น อีกอย่าง หนึ่งแสนหยวน จ่ายให้แกไม่ขาดแม้แต่บาทเดียว”
เสี่ยวซานจื่อพูดจบ ก็คว้าเข่าไปใต้เบาะรถ และหยิบเอาถุงขนาดใหญ่ใบหนึ่งออกมา ข้างในใส่เต็มไปด้วยเงินหยวน
นับออกมาหนึ่งแสน ในขณะที่เสี่ยวซานจื่อกำลังจะยื่นให้หรุ่ยเหวินเจ๋ ก็หยิบออกมาเพิ่มให้ไปอีกสองหมื่น: “ให้แกเพิ่มอีกสองหมื่น หักจากส่วนของฉัน”
“พวกเราสองคนต่างก็เป็นคนโชคร้ายเหมือนกัน เงินสองหหมื่นนี่ ถือว่าเป็นเงินใส่สองที่ฉันให้แกตอนแต่งงานแล้วกัน”
“เอาละ เลิกดื้อดึงได้แล้ว ฉันจะบอกแกให้ พี่ใหญ่ของฉันเป็นลาหัวดื้อตัวหนึ่ง ฉันยังไม่เคยเห็นใครหัวดื้อเท่าเขามาก่อนเลย”
เสี่ยวซานจื่อยื่นเงินให้หรุ่ยเหวินเจ๋ทีละนิด แต่ใครล่ะจะคิด ว่าหรุ่ยเหวินเจ๋จะไม่มองเลยแม้แต่น้อย ตายตาของเขาจ้องเขม็งอยู่ที่จูเปิ่น พลางกล่าว: “ลูกพี่ครับ พี่ถือว่าผมขู่พี่ก็ได้ แต่ผมเชื่อว่า พี่ไม่มีทางลั่นไกแน่นอน ฆ่าผม สำหรับพี่แล้วมีแต่ข้อเสีย ไม่มีข้อดีอะไรเลย พี่ไม่เพียงจะต้องแบกคดีฆาตกรรมเอาไว้ ทั้งยังเสียโอกาสในการจับตัวคนร้าย ผมตายไป อาจทำให้พวกนั้นแตกตื่น”
“ถ้าทำให้พวกมันแตกตื่นล่ะก็ นายน้อยอะไรนั่นของพี่……”
หรุ่ยเหวินเจ๋พูดไป มือก็พลางคว้าไปที่ปืนของจูเปิ่น เสี่ยวซานจื่อตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ: “สารเลว แกทำอะไรน่ะ? แกอยากตายใช่ไหม?”
เขาทำได้แค่จ้องมองหรุ่ยเหวินเจ๋จับปืนในมือของจูเปิ่น ลากไปวางที่หัวของตัวเอง
“ลูกพี่ ลั่นไกเถอะ ถือว่าเป็นผมที่บังคับพี่แล้วกัน”
“ผมไม่มีทางอื่นอีกแล้ว”
“ทำได้แค่นี้ ต้องขอโทษด้วย” หรุ่ยเหวินเจ๋กล่าว
พูดจบ จูเปิ่นหัวเราะอย่างเย็นชา: “เจ้าหนุ่ม แกคิดว่าฉันไม่กล้าใช่ไหม?”
เสียงปืนดังปังขึ้นหนึ่งนัด จูเปิ่นขยับนิ้วมือลั่นไกปืน และหรุ่ยเหวินเจ๋ก็ได้ตกใจกลัวจนหลับตาปี๋ แต่ก็ไม่ได้ขยับหลบใด ๆ เลย
ในตอนที่หรุ่ยเหวินเจ๋ลืมตาอีกครั้งนั้น เขาก็หัวเราะขึ้นมาอย่างดีอกดีใจ: “ผมยังมีชีวิตอยู่?”
ลูกปืนที่จูเปิ่นยิงออกมานั้น ไม่ได้ยิงไปที่หัวของหรุ่ยเหวินเจ๋ แต่เป็นยิงเฉียดหูของหรุ่ยเหวินเจ๋ไป
“แกยังไม่ตาย”
จูเปิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ: “แต่ก็ใกล้แล้ว”
กล่าวไป จูเปิ่นก็ขยับปืนไปที่หัวของหรุ่ยเหวิรอบคอบ แล้วตีลงไปอย่างหนัก
หรุ่ยเหวินเจ๋ล้มนอนลงไปกับพื้น แต่ไม่นานเขาก็ลุกขึ้นมา มาถึงตอนนี้จูเปิ่นถึงได้ยิ้มออกมา: “ไม่เลวนี่ มีความอดทนดี”
“เมื่อกี้แกไม่ได้หลบลูกปืนนัดนั้น ดูแล้วแกได้เตรียมใจตายไว้แล้ว ในเมื่อแกมีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขนาดนั้น งั้นฉันก็จะให้โอกาสแกสักครั้ง”
“ขอบคุณลูกพี่มากครับ” สีหน้าของหรุ่ยเหวินเจ๋ เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นดีอกดีใจขึ้นมาทันที
แต่จูเปิ่นกลับหัวเราะเหอะ ๆ กล่าว: “อย่าดีใจเร็วเกินไป ฉันแค่บอกว่าให้โอกาสแก ไม่ได้บอกว่ารับแกแล้วสักหน่อย”
“ถ้าแกสามารถผ่านแบบทดสอบที่ฉันจัดไว้ให้แกได้ งั้นนายก็จะกลายเป็นคนของฉัน”
จูเปิ่นยิ้มเล็กน้อย กล่าว: “ถ้าหลังจากนี้แกโชคดี งั้นต่อไปนี้ แกจะต้องได้เสพสุขกับความเจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยเงินทองอย่างไม่สิ้นสุดแน่นอน ดูอย่างในมือของเสี่ยวซานจื่อสิ นาฬิกาโรเล็กซ์ ราคาแสนกว่า พ่อกับแม่ของเขาต่างก็มีบ้าน และล้วนซื้อด้วยเงินสดทั้งนั้น”
“เสี่ยวซานจื่อ อยู่กับฉันมาแค่ห้าปีเอง”
เมื่อได้ยินดังนั้น บนใบหน้าของหรุ่ยเหวินเจ๋ ก็ปรากฏแววตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที
“อย่าตื่นเต้นดีใจเร็วเกินไป ฉันมอบภารกิจให้แกหนึ่งอย่าง ภารกิจสำเร็จ ไม่เพียงจะได้เป็นคนของฉัน นอกจากนั้น เงินค่าเหนื่อยจำนวนหนึ่งแสน ฉันจะจ่ายให้แกโดยไม่ขาดแม้แต่บาทเดียว” จูเปิ่นกล่าว
“ภารกิจอะไรครับ?” หรุ่ยเหวินเจ๋กล่าวด้วยท่าทีรีบร้อน
“หลอกล่อฆาตกรตัวจริง ไปในที่ที่ไม่มีคน” จูเปิ่นกล่าว: “ที่ท่าเรือคนเยอะเกินไป ถ้าลงมือที่นี่ ไม่เพียงมีความเสี่ยงสูง อีกทั้งเรื่องที่ก่อขึ้นมา ก็จะเป็นเรื่องใหญ่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา ฉันกลัวว่าเมื่อเสร็จงานเราจะรับมือไม่อยู่”
“แกหลอกล่อพวกมันไปในที่ที่ไม่มีคน แล้วพวกเราค่อยลงมือ”
“น้องชาย ภารกิจนี้มีความเสี่ยงสูง แกพิจารณาดูหน่อยไหม?” จูเปิ่นพึ่งกล่าวจบ หรุ่ยเหวินเจ๋ก็ได้เปิดประตูรถทันที แล้วหัวเราะอย่างเย็นชา กล่าว: “ถ้าผมตาย เงินหนึ่งแสนนั่นส่งไปให้พ่อแม่ของผม ที่อยู่พวกลูกพี่น่าจะรู้แล้ว”
“ไปเถอะ ฉันรับปากแก” จูเปิ่นพยักหน้า กล่าว: “นับจากนี้เป็นต้นไป แกได้เป็นพี่น้องของฉันแล้ว พ่อแม่ของแก ก็เหมือนกับพ่อแม่ของฉัน ถ้าแกตายไป ฉันจะกตัญญูพวกเขาแทนแกเอง”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก ขอแค่ไม่ให้พวกเขาอดตายก็พอ” หรุ่ยเหวินเจ๋โบกมือ แล้วเดินเข้าไปในกลุ่มคน
หลังจากที่หรุ่ยเหวินเจ๋จากไปแล้ว เสี่ยวซานจื่อก็อยากจะลงไปจากรถเหมือนกัน แต่ก็ถูกจูเปิ่นห้ามเอาไว้ทันที: “แกจะไปไหน?
“ลูกพี่ เขาเป็นเด็กใหม่ ผมกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเขา”
“นี่เป็นสิ่งที่มันเลือกเอง แกไม่ต้องไปช่วยมัน ถ้าครั้งนี้นายช่วยมัน ครั้งต่อไปในใจของมันก็จะเกิดความพึ่งพาแกขึ้นมา” จูเปิ่นกล่าว
“อีกอย่าง คนพวกนั้น คงจำหน้าพวกเราได้ และจดจำจนขึ้นใจตั้งนานแล้ว”
เสี่ยวซานจื่อทอดถอนใจ และไม่ได้พูดอะไรอีกเลย
และอีกด้านหนึ่ง หลี่ฝางและส้าวส้วย ก็ได้อยู่อีกด้านของท่าเรือ และจับตาดูทุกการกระทำของจูเปิ่น
ทางส้าวส้วยและหลี่ฝาง ได้รู้แล้วว่าฆาตกรเป็นใคร และหลี่ฝางก็ได้ตัดสินใจแล้ว ว่าถ้าหากพวกจูเปิ่นจัดการไม่สำเร็จ เขาก็จะให้ส้าวส้วยลงมือ
แต่ว่าถ้าหากเป็นเช่นนั้น ก็พิสูจน์ได้ว่าพวกจูเปิ่นไม่มีความสามารถพอ เรียกให้พวกเขารีบไสหัวกลับภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปจะดีกว่า อย่าอยู่ขายหน้าที่นี่อีกเลย”
“ทำไมพวกเขาถึงให้คนนอกคนหนึ่งลงรถล่ะ ให้ไปเข้าใกล้ฆาตกรเหรอ?” หลี่ฝางมองดูเหตุการณ์ตรงหน้า แล้วเอ่ยถามหลินส้าวส้วยขึ้นมาด้วยความสงสัย
ส้าวส้วยหัวเราะเหอะ ๆ พลางกล่าว: “คนเยอะไป ไม่สะดวกลงมือ การทำงานของจูเปิ่นคนนี้ ชำนาญรอบคอบไม่น้อย คนคนนี้ สามารถให้ทำงานสำคัญได้ เพราะว่าเขาทำงานรอบคอบและเก็บความลับ จะไม่ก่อเรื่องวุ่นวายให้เราได้ง่าย ๆ ”
“มิน่าพ่อของเฉินฝูเซิง ถึงได้ส่งจูเปิ่นมา ที่แท้ก็เพื่อทดแทนจุดด้อยของเฉินฝูเซิงนี่เอง เฉินฝูเซิงคนนี้ ทำงานไม่รอบคอบหุนหันพลันแล่น ไม่ค่อยคำนึงถึงผลที่ตามมา ยิ่งชอบไม่จัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในภายหลัง แต่ว่าเขาก็ทำงานได้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ”
“และการมีตัวตนอยู่ของจูเปิ่น สามารถทดแทนจุดด้อยของเฉินฝูเซิงได้อย่างพอดิบพอดี”
หรุ่ยเหวินเจ๋มาถึงขอบท่าเรือ เขามองดูคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่บนเรือ จากนั้นก็ตะโกนออกมา: “ลูกพี่ ๆ ผมตามหาพวกคุณตั้งนานแน่ะ”
“แกเองเหรอ?”
“แกตามหาพวกเราทำไม?”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถาม หรุ่ยเหวินเจ๋ก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก กล่าว: “ช่วงนี้ค่อนข้างจะขัดสน ดังนั้น ผมก็เลยอยากจะยืมเงินกับพวกลูกพี่หน่อย ไม่เยอะหรอก แค่สองแสนกว่า ๆ เอง”
พูดจบ หรุ่นเหวินเจ๋ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าว: “ถ้าไม่ให้ยืมล่ะก็ พวกลูกพี่ ก็อย่าหาว่าผมไม่ไว้หน้าแล้วกัน”
“แกรนหาที่ตายหรือไง?” ชายฉกรรจ์หนึ่งในนั้นได้ขมวดคิ้วอย่างเยือกเย็น