NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่604 คุณขู่ผม?
แสดงความสามารถ?
หลี่ฝางนิ่งไปเล็กๆ พ่อของเขากลับมาตั้งนาน แค่นั้นยังแสดงให้เห็นไม่พอหรือไง?
ทั้งกำลังเงินทั้งกำลังคน หลี่ฝางเองก็เห็นมานับไม่ถ้วนแล้ว
แต่ได้ยินสิ่งที่ส้าวส้วยต้องการจะสื่อ เหมือนจะยังมีอะไรแอบแฝงไว้อยู่?
หลี่ฝางเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ เขาถามส้าวส้วย “ทำไมฟังที่นายพูดแล้วฉันรู้สึกเหมือนว่าตระกูลตัวเองกำลังซ่อนความสามารถอะไรไว้อยู่อย่างนั้นแหละ?”
“ถ้าตระกูลหลี่มีของแค่นี้ คงไม่มีชีวิตรอดกลับมาจากต่างประเทศได้จริงไหมครับ? ไหนจะกล้าถอนรากถอนโคนคนของสำนักหยิ่งซาอีก?”
ส้าวส้วยหัวเราะหึๆ เสียงหัวเราะดูไม่ใส่ใจนัก “ความจริงแล้วตระกูลหลี่ของเราซ่อนของไว้ครับ แต่พยายามทำตัวให้คนอื่นประเมินเราต่ำๆ เพราะกลัว”
“กลัว?” หลี่ฝางขมวดคิ้ว “กลัวอะไร?”
“กลัวสี่ตระกูลใหญ่จะตื่นตระหนกจนไม่กล้าโผล่หัวออกมาให้เห็น” ส้าวส้วยพูดเรียบๆ
หลี่ฝางมองส้าวส้วย ไม่ได้พูดอะไรไปพักใหญ่ คำพูดคำจานี้มันโคตรขี้โม้ซะไม่มี
“ซุนจิ้นขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลจูเก่อหรือยัง?” หลี่ฝางถาม
“ใช่ครับ หลังจากที่ซุนจิ้นออกมาจากถ้ำ ก็ได้เพชรพลอยติดมือมาไม่น้อย บรรพบุรุษของตระกูลจูเก่อขึ้นชื่อเรื่องขโมยสมบัติในสุสาน ทำให้สมบัติตกทอดมาถึงคนรุ่นหลังไว้ไม่น้อย ทั้งหมดนั้นถูกซ่อนไว้ในถ้ำหลายแห่ง บนโลกนี้นอกจากนอกจากซุนจิ้นก็คงไม่มีใครเข้าไปในนั้นได้ง่ายๆ ตระกูลจูเก่อสืบทอดวิชาที่ฝึกฝนกันมารุ่นต่อรุ่น ใครก็ตามที่เข้าไปในถ้ำแล้วสามารถออกมาได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นผู้หญิงหรือชาย ก็จะได้รับการสืบทอดเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป ซุนจิ้นในตอนนี้กลายเป็นจูเก่อจิ้นไปแล้วครับ แต่แน่นอนว่าในตอนแรกซุนจิ้นเองก็ปฏิเสธ แต่เพราะเป็นปรารถนาของลูกพี่ เขาอยากให้ซุนจิ้นรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลอย่างถูกต้อง แต่เพราะพวกเราล้างโคตรตระกูลนั้น คนเก่าแก่หลายๆคนของจูเก่อไม่ยอมรับในตัวซุนจิ้น บางส่วนก็ออกมาต่อต้านอย่างเปิดเผย แต่บางส่วนก็ออกมาจากตระกูลอย่างเงียบๆ”
“ชายแก่ที่คิดจะลอบฆ่าคุณที่โรงเรียนมัธยมโบตั๋น เป็นแค่หนึ่งในนั้น”
หลี่ฝางขมวดคิ้ว “ทำไมพูดอย่างกับว่าฉันกำลังตกอยู่ในอันตราย?”
“ทำไมพวกมันจะอยากฆ่าฉัน? การที่ตระกูลจูเก่อถูกทำลายเกี่ยวอะไรกับฉัน? เป้าหมายของพวกมันควรจะเป็นซุนจิ้นหรือไม่ก็พ่อของฉันสิถึงะถูก?” หลี่ฝางพูดด้วยความไม่เข้าใจ
“เพราะคุณอ่อนแอ” ส้าวส้วยพูดไม่อ้อมค้อม
“งั้นซุนจิ้น? ฉันว่าเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนะ” หลี่ฝางเถียงกลับไม่ยอม
“ถึงซุนจิ้นจะไม่ได้เก่ง แต่ก็ฆ่ายาก ตอนนี้ซุนจิ้นเองก็คนกลุ่มนึงคอยคุ้มกันอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น เขามีสายเลือดของตระกูลจูเก่ออยู่ ไม่ว่ายังไง เขาก็คือคนของตระกูลจูเก่อ ถ้าฆ่าซุนจิ้น ก็เท่ากับเป็นการถอนรากถอนโคนตระกูลจูเก่อ เพราะแบบนั้นพวกมันถึงไม่ฆ่าซุนจิ้น”
“ส่วนลูกพี่ เดาว่าพวกมันคงไม่รู้ว่าลูกพี่อยู่ที่ไหน เพราะแบบนั้นพวกมันถึงได้เลล็งเป้ามาที่คุณ”
ส้าวส้วยพูด “แต่คุณไม่ต้องห่วง ตราบใดที่มีผมอยู่ รับรองว่าจะไม่มีใครมาทำร้ายคุณได้”
ส้าวส้วยพูดประโยคนั้นออกมาด้วยความมั่นใจอย่างที่สุด
ซึ่งแน่นอนว่า ส้าวส้วยเองก็ทำตามที่พูดได้จริงๆ
หลี่ฝางคิดมาตลอดว่า ถ้าไม่นับพ่อของตัวเอง ส้าวส้วยก็ถือว่าเป็นคนที่ฝีมือขั้นเทพที่สุดในตระกูลหลี่
“ฉันจะเข้าไปก่อน เดี๋ยวคุยกับจูฟิ่งปินเสร็จฉันจะแวะไปหาพวกจูเปิ่น เฮ้อ เรื่องคราวนี้…” พอคิดถึงเรื่องที่พวกจูเปิ่นโดนตัดหู ตัดนิ้ว ในใจของหลี่ฝางก็รู้สึกไม่ปกติ
ถึงพวกเขาจะทำงานเอาชีวิตเสี่ยงเพื่อแลกกับเงิน แต่หลี่ฝางก็อดรู้สึกผิดต่อพวกเขาไม่ได้อยู่ดี
แค่นึกๆว่าตอนที่เดินไปไหนต่อไหนข้างนอกด้วยสภาพที่มีหูข้างเดียว คงดึงดูดสายตาคนอื่นไม่น้อย
หรือจะพูดง่ายๆ คนที่ขาดหูไปข้างนึง ก็ไม่นับว่าเป็นคนสมบูรณ์แล้ว แต่นับว่าเป็นคนพิการ
“ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกครับ แค่มีชีวิตรอดกลับมาก็ดีแล้ว”
ในขณะที่ส้าวส้วยกลับมองว่าเป็นเรื่องปกติ “ไม่เผชิญกับความเสี่ยงก็ไม่มีทางรวย ก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร คนจากยุทธภพที่มาเสี่ยงตาย ถ้าไม่ได้รับบาดแผลซะบ้าง ก็คงไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง แล้วก็คงหาเงินไม่ได้จริงไหมครับ?”
“ใช้ชีวิตเรียบง่าย สงบ ปลอดภัย แล้วปีๆนึงหาเงินได้มากขนาดนั้น? เหอะๆ ถ้ายุทธภพเป็นแบบนี้ได้จริง งั้นทุกคนก็คงไม่ต้องแข็งขันกันเรียนหนังสือ แล้วออกมาทำงานเสี่ยงตายแบบนี้กันหมดแล้วสิครับ”
หลี่ฝางพยักหน้านิดๆ รู้ดีว่าส้าวส้วยกำลังปลอบใจเขาอยู่
คำพูดของส้าวส้วยก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล ถ้าออกมาทำงานแบบนี้แล้วไม่ต้องเสี่ยงตาย งั้นใครๆก็คงออกมาทำกันหมดแล้ว
หลี่ฝางเปิดประตู แล้วเดินเข้าไปในห้องพักของจูเฟิ่งปิน ส่วนจูเฟิ่งปินเมื่อเห็นหน้าหลี่ฝาง ก็รีบวิ่งเข้ามาหา
“น้องสาวผมล่ะครับ?” สีหน้าของจูเฟิ่งปินร้อนรน
“คุณชายหลี่ พาน้องสาวผมกลับมาด้วยไหมครับ?” จูเฟิ่งปินเหล่มองไปที่นอกประตู
“โทรศัพท์ของผมหาย ติดต่อใครไม่ได้เลย…อยากจะโทรหาน้องสาวก็ยังทำไม่ได้” จูเฟิ่งปินมีสีหน้าที่ร้อนรน ราวกับว่าในใจของเขามีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
“ไม่มีอะไรหรอก”
หลี่ฝางมองจูเฟิ่งปิน แล้วถาม “ความผิดของมู่เสี่ยวไป๋ เขียนมาหมดหรือยัง?”
“เขียนเสร็จแล้วครับ” จูเฟิ่งปินลังเลเล็กน้อย แต่ก็ส่งกระดาษให้หลี่ฝาง
หลี่ฝางก้มหน้ากวาดสายตาดูนิดนึง เนื้อหาที่จูเฟิ่งปินเขียนลงบนกระดาษกับที่เฉิงหยุนเขียน โดยภาพรวมไม่ได้ต่างกันนัก หรือจะพูดอีกอย่าง จูเฟิ่งปินไม่ได้เขียนเรื่องใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ให้กับหลี่ฝาง
“น้องสาวผมกับพี่หยุนล่ะครับ คุณชายหลี่ เหมือนจะยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยนะ” ท่าทีของจูเฟิ่งปินเปลี่ยนเป็นกระวนกระวายขึ้นมา
ในยุคสมัยนี้ โทรศัพท์เป็นเครื่องมือที่ทำให้คนเรารู้สึกปลอดภัย เมื่อไม่มีมัน เราก็จะรู้สึกโหวงๆไม่สบายใจขึ้นมา
และโทรศัพท์ของจูเฟิ่งปิน ถูกส้าวส้วยยึดไป
ที่ต้องยึดโทรศัพท์ของจูเฟิ่งปิน ก็เพื่อป้องกันการทำภารกิจช่วยเหลือล้มเหลว เมื่อมู่เสี่ยวไป๋ข่มขู่จูเฟิ่งปินผ่านโทรศัพท์
“พวกเขาปลอดภัยดี” หลี่ฝางพูดเรียบๆ
“คุณชายหลี่โกหกผม ถ้าพวกเขาปลอดภัยจริงทำไมถึงไม่พาพวกเขามาหาผม? ไหนจะเอาโทรศัพท์ผมไปอีก? ตอนที่พวกคุณมาช่วยผมโทรศัพท์ยังอยู่ แต่หลังจากที่ผ่าตัดเสร็จ พวกคุณก็เอาโทรศัพท์ของผมไป แล้วที่น่าสงสัยที่สุด สายโทรศัพท์ในโรงแรมนี้ก็ถูกตัดทั้งหมด ไม่มีทางติดต่อภายนอกได้เลย คุณชายหลี่จะช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ”
สายตาของจูเฟิ่งปินที่มองไปยังหลี่ฝางเต็มไปด้วยความระแวดระวังไม่ไว้ใจ
หลี่ฝางไม่ตอบ แต่สบตาจูเฟิ่งปินแล้วถามกลับ “แค่นี้หรอ? นายกุมความลับไว้แค่นี้? ยังมีอะไรที่ยังไม่ต้องเขียนลงไปอีกหรือเปล่า?”
“คุณชายหลี่คิดจะทำอะไรกันแน่?” จูเฟิ่งปินขมวดคิ้ว “ทั้งขโมยโทรศัพท์ ทั้งตัดสายโทรศัพท์ การกระทำทุกอย่างของคุณ ทำให้ผมรู้สึกว่าคุณเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับมู่เสี่ยวไป๋เลย”
“คุณชายหลี่ ผมเริ่มจะไม่เชื่อคุณแล้ว เงินสดสิบล้านคุณคงไม่ได้คิดจะให้ผมจริงๆใช่ไหม? คุณไม่ได้ตั้งใจจะพาผมหนี? แผนการของคุณคือต้องการให้พวกเราเขียนความผิดที่มู่เสี่ยวไป๋ทำ พอหลอกใช้พวกเราเสร็จแล้ว คุณก็จะฆ่าปิดปากสินะ?”
จูเฟิ่งปินมองหลี่ฝาง ขบกรามแน่น “คุณชายหลี่ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรอครับ?”
“ฉันไม่เคยหลอกนาย”
หลี่ฝางพูด “ฉันเตรียมการพาพวกนายหนีแล้ว หลังจากนี้ครึ่งชั่วโมงจะมีรถบรรทุกคันนึงขับออกจากเมืองเอก ฉันสั่งให้พวกเขามารับพวกนายแล้ว”
“ส่วนเงินสิบล้าน หึ ตระกูลหลี่ของฉันขัดสนเรื่องแบบนี้หรือเปล่า ฉันว่านายเองก็น่าจะรู้ดี”
หลี่ฝางมองจูเฟิ่งปิน “หลอกหรือฆ่าปิดปากพวกนายทิ้ง ส่งผลดีกับฉันตรงไหน?”
จูเฟิ่งปินคิด แล้วพูดต่อ “แน่นอนว่าไม่ได้ส่งผลดีกับคุณสักนิด แต่เรื่องสายโทรศัพท์ที่ถูกตัดจะอธิบายว่ายังไงล่ะครับ? โทรศัพท์ผมถูกขโมยไป ผมยังพอหลอกตัวเองได้ว่ามันอาจจะหล่นระหว่างทาง แต่สายโทรศัพท์ในโรงแรมที่ถูกตัด…”
“นี่เป็นโรงแรมของตระกูลหลี่ แล้วห้องที่นายอยู่ เป็นห้องที่ฉันเอาไว้ขังคนโดยเฉพาะ เพราะงั้นถ้าสายโทรศัพท์จะถูกตัดก็เป็นเรื่องธรรมดา” หลี่ฝางคิดข้อแก้ตัวไว้ได้สักพักแล้ว
“จูเฟิ่งปิน ดูเหมือนนายจะตกหล่นอะไรไปหรือเปล่า?”
หลี่ฝางมองหน้าจูเฟิ่งปินแล้วยิ้ม “คิดดูใหม่ให้ดีๆ นายยังทำงานอะไรให้มู่เสี่ยวไป๋อีกหรือเปล่า อะไรที่สามารถทำให้มู่เสี่ยวไป๋กลัว?”
“ไม่มีแล้วครับ” จูเฟิ่งปินส่ายหน้า “ทั้งหมดที่จำได้ผมก็เขียนลงไปบนกระดาษแล้ว อย่างอื่นผมจำไม่ได้จริงๆ”
“คิดดูให้ดีๆ” หลี่ฝางฉีกยิ้มเย็นยะเยือก “อย่าลืมสิ น้องสาวนายยังอยู่ในมือฉันนะ”
“คุณขู่ผมหรอ?” สีหน้าของจูเฟิ่งปินที่มองไปยังหลี่ฝาง จู่ๆก็เปลี่ยนไป…