NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่624 มู่เสี่ยวไป๋คิดจะฆ่าส้าวส้วย
เริ่มจากวินาทีนี้ หลี่ฝางก็เข้าใจทันที ว่ามู่เสี่ยวไป๋ไม่ได้ล้อเล่นกับตัวเอง แต่เขามีความตั้งใจที่จะร่วมมือ และเป็นเพื่อนกับตัวเองจริง ๆ
แต่ว่า ให้ปล่อยวางเรื่องราวอคติในอดีต มันง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ?
พรรคพวกของเฉินฝูเซิง ต่างก็ตายในเงื้อมมือของชางสู่ หรือว่าความแค้นนี้จะไม่ชำระแล้วเหรอ?
หลี่ฝางพยักหน้า กล่าว: “พอใจมาก”
“งั้นต่อมา พวกเราก็คุยเรื่องร่วมมือกันได้แล้ว หมู่เสี่ยวไป๋พยักหน้า พลางกล่าว
แต่หลี่ฝางกลับหัวเราะเหอะ ๆ แล้วส่ายหน้า: “ฉันรับปากร่วมมือกับแกตั้งแต่ตอนไหนกัน?”
สีหน้าของมู่เสี่ยวไป๋พลันเคร่งขรึมลง เขาจ้องมองหลี่ฝาง: “แกคิดว่าฉันปั่นหัวเล่นง่ายใช่ไหม?”
“ก็ใช่ไง แกปั่นหัวเล่นง่ายจริง ๆ นี่นา” หลี่ฝางพยักหน้าพลางกล่าว
มู่เสี่ยวไป๋โมโหมากจนบริเวณหน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงแรง ๆ
ณ เวลานี้ มู่เสี่ยวไป๋ใช้สายตาแห่งความอาฆาตจ้องมองหลี่ฝาง: “หลี่ฝาง แกมันลูกไอ้ไง่ ฉันต้องการร่วมมือกับแกอย่างจริงใจ แกกลับปั่นหัวฉันเล่น? แกรู้ไหมว่าตอนนี้แกตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดไหน? ทั่วทั้งเมืองเอกนี่ แกมีเพื่อนอยู่สักกี่คนกัน? พวกส้งเคอ หวงเจ๋ เฝิงจื่อหลินนั่น แต่เดิมก็เป็นพวกไร้จุดยืนไม่มีความแน่วแน่ แค่ซือถูเฟยหรือมู่หรงฉางเฟิงคนใดคนหนึ่งยืนออกมา พวกมันก็ตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว”
“แต่ถ้ามีฉันอยู่ พวกเราจะกลายเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง พอถึงเวลานั้น ตระกูลมู่และตระกูลหลี่ร่วมมือกัน ก็จะสามารถล้มสี่ตระกูลใหญ่ลงได้ สลายการควบความที่สี่ตระกูลใหญ่ใช้ควบคุมเมืองเอกมานานหลายปี……”
“หรือแม้แต่ บางทีอาจจะขึ้นแทนตำแหน่งพวกเขาเลยก็ได้”
มู่เสี่ยวไป๋กัดฟันกล่าว
ณ เวลานี้ ความทะเยอทะยานของมู่เสี่ยวไป๋ ก็ได้แสดงออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
มู่เสี่ยวไป๋เข้าใจสถานะของตัวเองเป็นอย่างดี ในภายนอก ซือถูเฟยและมู่หรงฉางเฟิงได้บอกกับเขา ขอเพียงแค่ล้มหลี่ฝางลงได้ เช่นนั้นตระกูลมู่ ก็จะกลายเป็นตัวแทนของสี่ตระกูลใหญ่
แล้วในความเป็นจริงล่ะ?
สี่ตระกูลใหญ่มีประวัติยาวนาน และยังมีความลับที่น้อยคนนักที่จะรู้ อีกสามตระกูล จะยอมให้ตระกูลมู่เข้าไปร่วมแบ่งผลประโยชน์ด้วยได้ยังไง?
มู่เสี่ยวไป๋รู้ดี ซือถูเฟยและมู่หรงฉางเฟิง แค่เพียงต้องการหลอกใช้เขาเท่านั้นเอง
ความสัมพันธ์ของพวกเขา ไม่ได้เป็นความร่วมมือที่แท้จริงเลยสักนิด มันก็แค่การหลอกใช้ชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง
ดังนั้น มู่เสี่ยวไป๋เพื่อที่จะเอาอกเอาใจหลี่ฝาง ถึงขั้นด่าซือถูเฟยไปในสาย
หลี่ฝาง แกลองคิดดูดี ๆ มีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง มันดีกว่ามีศัตรูเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนมากนะ” มู่เสี่ยวไป๋กล่าวอีกครั้ง
สามารถดูออกว่า เขาไม่อยากที่จะวางมือจากการร่วมมือกับหลี่ฝางไปแบบนี้
หลี่ฝางไม่ได้ครุ่นคิดเลยแม้แต่น้อย เขาส่ายหัวในทันที: “ไม่ดีกว่า ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างง่าย ๆ ไร้เดียงสา แต่แก่กลับเป็นคนที่กลืนคนแบบไม่คลายกระดูก ร่วมมือกับแก ฉันกลัวต้องเหนื่อยใจน่ะ”
“ยิ่งไปกว่านั้น ฉันร่วมมือกับแก แกจะให้ฉันอธิบายกับเฉินฝูเซิงยังไง?”
หลี่ฝางสายตาเย็นชา จ้องมองมู่เสี่ยวไป๋ พลางซักถาม: “พี่น้องของเขาตายไปคนหนึ่ง”
“ภายใต้การปะทะกัน จะต้องมีคนสละชีพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีเพียงแค่พี่น้องของเฉินฝูเซิงที่ตาย แล้วทางฝั่งฉันไม่มีคนบาดเจ็บล้มตายหรือยังไง? ถึงแม้หวางต้องจะตายเพราะฉัน แต่ก่อนที่มันจะตาย ก็ได้ถูกเฉินฝูเซิงทำให้พิการไปแล้ว มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร และพี่ใหญ่ของฉัน……”
พูดถึงมู่เหวินตง มู่เสี่ยวไป๋ก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบไปมองส้าวส้วย: “เขาเป็นคนทำใช่ไหม?”
“เมื่อคืนพี่น้องของผมก็ตายไปคนหนึ่งเหมือนกัน” ในเวลานี้เอง ชางสู่ก็พูดแทรกขึ้นมา
ในขณะที่ชางสู่พูด สายตาก็จ้องเขม็งไปที่ส้าวส้วย เห็นได้ชัด เขาเองก็กำลังสงสัยว่าพรรคพวกของตัวเอง ก็ได้ตายในเงื้อมมือของส้าวส้วย
“ถ้าพูดถึงเรื่องสละชีพ การสละชีพทางฝั่งพวกเรา มากกว่าแกตั้งเยอะ ฉันยังละทิ้งอคติของฉันได้เลย ทำไมแกถึงทไม่ได้ล่ะ?”
“คนทำการใหญ่ จะไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย หลี่ฝาง ทำไมเหตุผลเพียงแค่นี้ แกยังไม่เข้าใจอีกล่ะ?” มู่เสี่ยวไป๋ถึงขนาดมองหลี่ฝางด้วยความโมโหเล็กน้อย
สายตาที่เขามองหลี่ฝาง ราวกับมองคนหัวดื้อ ที่ดื้อรั้นสุด ๆ แล้วก็ไม่มีสมองด้วย
เป็นที่ประจักษ์ หลังจากที่ตระกูลมู่และตระกูลหลี่ร่วมมือกัน จะได้รับผลประโยชน์ที่มากขึ้น มีอนาคตที่งดงามกว่าเดิม
ถ้าเป็นคนที่สมองปกติล่ะก็ ไม่มีทางที่จะปฏิเสธแน่นอน
หลี่ฝางคนนี้ สมองไม่มีรอยหยักหรือยังไง?
“ไม่รู้ว่ามังกรจะไม่อยู่ร่วมกันกับงูหรอ ”
ไม่รอให้หลี่ฝางเอ่ยปาก ส้าวส้วยพลันเอ่ยขึ้นมา
ในสายตาของฉัน ตระกูลมู่ไม่ได้มีอะไรเลย ไม่คู่ควรที่จะเป็นพันธมิตรกับพวกเราด้วยซ้ำ พวกคุณไม่มีความสามารถนี้ และไม่มีคุณสมบัติพอ”
ส้าวส้วยจ้องมองมู่เสี่ยวไป และกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
สีหน้าของมู่เสี่ยวไป๋ ตะลึงงันไปสักครู่ จากนั้นก็หัวเราะเหอะ ๆ ขึ้นมาอย่างเยือกเย็น เมื่อเผชิญหน้ากับการดูถูกเหยียดหยามแบบนี้ เป็นธรรมดาที่ภายในใจของมู่เสี่ยวไป๋จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
แม้แต่ที่สูงส่งอย่างสี่ตระกูลใหญ่ ยังไม่กล้าดูถูกตระกูลมู่ขนาดนี้เลย
แต่ส้าวส้วยเป็นเพียงบอดี้การ์ด กลับพูดให้ตระกูลมู่อย่างสุดจะทนได้แบบนี้
จุดจุดนี้ มู่เสี่ยวไปทนไม่ได้
“ผมรู้ว่าคุณไม่พอใจ แต่นี่คือความจริง คุณต้องยอมรับมันให้ได้” มู่เสี่ยวไปโมโหแทบตาย แต่ส้าวส้วยก็ยังคงพูดต่อไป โดยที่ไม่ได้สนใจความรู้สึกของมู่เสี่ยวไป๋เลยสักนิด
“เหอะ ๆ ตลกจริง ๆ เลย”
“แค่คนรับใช้คนหนึ่งเท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่าจะปากดีขนาดนี้”
“ถ้าตระกูลหลี่ของพวกแกร้ายกาจอย่างที่แกพูดจริง แล้วทำไม่เมื่อสามปีก่อนถึงได้ถูกสี่ตระกูลใหญ่เล่นงานจนต้องหนีหัวซุกหัวซนล่ะ?”
มู่เสี่ยวไป๋เหน็บแนมกลับ
“สามปีก่อนก็คือสามปีก่อน ตอนนี้ก็คือตอนนี้”
มองดูมู่เสี่ยวไป๋ แล้วส้าวส้วยก็ยิ้มกล่าว: “ความจริงแล้ว ถ้าพวกเราอยากจะทำลายตระกูลมู่ ก็สามารถทำลายได้ ที่ยังเอาพวกคุณไว้ แค่อยากฝึกฝนเจ้านายของเราเท่านั้นเอง”
“แกว่ายังไงนะ?”
คำพูดที่ออกมาจากปากของส้าวส้วย ตระกูลมู่นั้นอ่อนแออย่างมาก
ทำลายตระกูลมู่ ง่ายราวกับบีบลูกไก่ในกำมือ
มู่เสี่ยวไป๋กัดฟันจ้องมองส้าวส้วย แล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น: “แกแม่งคุยโวโอ้อวดอะไรน่ะ?”
“อย่าคิดว่าตัวเองมีฝีมือเพียงเล็กน้อย ก็สามารถคุยโวโอ้อวดอย่างไร้ยางอาย ฉันจะบอกแกให้นะ……”
มู่เสี่ยวไป๋ทำเสียงฮึดฮัดทางจมูก แล้วกล่าวด้วยความอาฆาตอย่างสุดขีด: “ถ้าแกกล้าเหยียดหยามตระกูลมู่ของเราอีก เชื่อไหมว่าฉันจะจัดการแกในตอนนี้เลย”
“ผมไม่ได้เหยียดหยามตระกูลมู่ของพวกคุณ”
ส้าวส้วยยังคงกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง: “ผมก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง”
“ไม่เพียงแค่คุณ แม้แต่สี่ตระกูลใหญ่ สำหรับพวกเราแล้ว ก็ไม่ต่างกัน” ส้าวส้วยกล่าว
หลี่ฝางรู้สึกว่า คำพูดพวกนี้ที่ส้าวส้วยพูด ค่อนข้างจะขี้โม้ไปหน่อย
แต่ว่า ส้าวส้วยก็ไม่ใช่คนที่ชอบคุยโวโอ้อวดอะไร
จ้องมองส้าวส้วยอยู่สักพัก มู่เสี่ยวไป๋พลันกำหมัดแน่น และทุบลงไปบนโต๊ะกาแฟ แล้วกล่าว: “ชางสู่ เรียกคนของแกเข้ามา แล้วจัดการกับไอ้คนปกดีนี่ เอามันให้ตาย”
เมื่อชางสู่ได้ยินคำสั่งนี้ เขาก็ยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างพอใจ
เห็นได้ชัดว่า เขารอมาเวลานี้มานานแล้ว
ในที่สุดก็สามารถล้างแค้นให้กับพรรคพวกของตัวเองได้ วินาทีนี้ เป็นไปได้ยังไงที่ชางสู่จะไม่ดีใจ?
ชางสู่ผิวปากขึ้นมา คนที่อยู่ข้างนอก ก็วิ่งกรูเข้ามาทางร้านกาแฟทันที
“ฉันรู้ว่าแกร้ายกาจ แต่ว่ากังฟูอะไรนี่ เป็นสิ่งที่ถูกสังคมโละทิ้งไปแล้ว นอกเสียจากว่าแกจะเป็นเหมือนกับตำนานที่ฝันแทงไม่เข้า ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ วันนี้แกจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
มู่เสี่ยวไป๋กล่าวไป จากนั้นก็ส่งสายตา ให้กับคนที่อยู่ด้านหลังของตัวเอง
เสียงพรึบดังขึ้น
กลุ่มคนพวกนั้นก็หยิบปืนออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“แกมีชื่อว่าส้าวส้วยสินะ?” จ้องมองส้าวส้วย มู่เสี่ยวไป๋ก็เอ่ยถามขึ้นมา
ส้าวส้วยพยักหน้า มู่เสี่ยวไป๋กล่าวต่อ: “อย่าหาว่าฉันไม่ให้โอกาสแก ตอนนี้ถ้าแกยอมคุกเข่าขอร้อง และขอโทษฉัน บางทีฉันอาจจะไว้ชีวิตแกก็ได้”
ส้าวส้วยยิ้ม และไม่ได้กล่าวอะไร
รอยยิ้มนี้ เป็นที่ประจักษ์ว่ามีความเย้ยหยันปนอยู่
สีหน้าของมู่เสี่ยวไป๋ เคร่งขรึมลงมาทันที: “แกยังจะยิ้ม?”
ณ เวลานี้ในสายตาของมู่เสี่ยวไป๋ เป็นที่ประจักษ์ว่าส้าวส้วยจะต้องตายอย่างแน่นอน มู่เสี่ยวไป๋อยากจะเห็นส้าวส้วยคุกเข่าอ้อนวอนตัวเอง เพื่อชดใช้ กับคำพูดปากดีของตัวเองเมื่อกี้ แต่คิดไม่ถึง ว่าส้าวส้วยจะไม่สนใจใจดีเลยแม้แต่น้อย
คนคนนี้ไม่กลัวตายจริง ๆ หรือว่า การเคลื่อนไหวของเขา จะเร็วกว่าลูกปืนจริง ๆ?
“ความตายกำลังมาเยือน แกยังยิ้มออกมาได้?”
ส้าวส้วยกล่าวอย่างเรียบ ๆ : “ให้เวลาผมสักห้านาทีจะได้ไหม?”
“เวลาห้านาที?” มู่เสี่ยวไป๋มองดูส้าวส้วย และเอ่ยถามอย่างงุนงง: “เวลาห้านาที แกจะทำอะไรได้?”
“ให้คุณยอมยกธงขาว” ส้าวส้วยกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“คิก ๆ ”
มู่เสี่ยวไปหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา เขาจ้องมองส้าวส้วย แล้วกล่าว: “อย่าว่าแต่ห้านาทีเลย ต่อให้เป็นครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมง ฉันก็ให้แกได้ ฉันไม่เชื่อหรอก ว่าแกจะทำให้ฉันยอมแพ้ได้?”
หลังจากที่มู่เสี่ยวไป๋พูดจบ ก็ได้หันไปกล่าวกับหลิงหลง: “กาแฟคนละแก้ว เร็วหน่อย”
“พวกเรานั่งลงก่อน รอมันสักห้านาที”
ในเวลานี้ส้าวส้วยก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วพูดกับอีกฝั่งของสาย: “ปฏิบัติการ”
หลี่ฝางไม่รู้ว่าส้าวส้วยโทรศัพท์หาใคร แต่หลี่ฝางรู้ว่าส้าวส้วยคนนี้จะไม่ทำเรื่องที่ไม่มั่นใจอย่างเด็ดขาด