NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่625 มู่เสี่ยวไป๋แพ้โดยสิ้นเชิง
เวลาห้านาที จะสามารถทำอะไรได้?
ทานไอศกรีมหนึ่งไม้ ดื่มกาแฟหนึ่งแก้วอย่างช้า ๆ ……
ระยะเวลาเพียงแค่นี้ สามารถพูดได้ว่าไม่พอทำอะไรสักอย่าง
แต่ส้าวส้วยกลับบอกกับมู่เสี่ยวไป๋ ว่าห้านาทีหลังจากนี้ จะทำให้เขายอมจำนนเอง
หลี่ฝางไม่รู้ว่าส้าวส้วยไปเอาความมั่นใจมาจากไหน
เป็นไปได้ไหมว่า ส้าวส้วยได้วางแผนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว?
โทรศัพท์สายนี้ ดูก็รู้ว่าไม่ได้โทรอย่างฉุกละหุก ไม่เช่นนั้นล่ะก็ เป็นไปไม่ได้ที่พอมีคนรับสาย ก็พูดคำนั้นออกมาทันที ว่าปฏิบัติการ!
แต่มู่เสี่ยวไป๋กลับไม่ได้ใส่ใจกับโทรศัพท์สายนี้ของส้าวส้วย เขาเพียงแค่มองส้าวส้วยราวกับมองคนปัญญาอ่อนคนหนึ่ง
“คำพูดนี้ ถ้าหากเป็นหลี่ฝางพูดกับฉัน ฉันอาจจะพิจารณาดูบ้างว่าหลี่ฝางมีทางหนีทีไล่อะไรที่จะต่อกรกับฉันหรือเปล่า คนรับใช้เล็ก ๆ อย่างแกก็มาข่มขู่ฉัน ตลกจริง ๆ แกคงไม่ใช่เพื่อที่จะยืดเวลา ให้มีชีวิตอยู่ต่ออีกห้านาทีหรอกนะ?”
มู่เสี่ยวไป๋เอ่ยถามส้าวส้วย
และสีหน้าของชางสู่นั้น ก็ได้เคร่งขรึมขึ้นมาหลายเท่า
ถึงยังไงยอดฝีมืออย่างส้าวส้วย ไม่จำเป็นที่จะคุยโวโอ้อวดแบบนี้
เวลาผ่านไปทีละนิด หลี่ฝางมองส้าวส้วยอย่างไม่ค่อยวางใจ: “มั่นใจไหม?”
“ตระกูลมู่อ่อนแอจริง ๆ ” ส้าวส้วยยังคงพูดประโยคนั้น
“ระยะนี้ความปลอดภัยในชีวิตของคุณถูกคุกคามอยู่หลายครั้ง พวกเราจำเป็นต้องเปิดเผยความแข็งแกร่งของตัวเองก่อนกำหนด ให้พวกที่ต้องการจะฆ่าคุณ ได้พิจารณาความสามารถของตัวเองใหม่อีกครั้ง” ส้าวส้วยกล่าว
“ดังนั้น นายเลยได้วางแผนไว้หมดแล้ว?” หลี่ฝางเอ่ยถาม
ส้าวส้วยอืมตอบรับ แล้วกล่าว: “ถ้าจะพูดให้ถูก ไม่ใช่ผมที่เป็นคนวางแผนหรอก แต่เป็นลุงเฉียน”
“ถ้าการเจรจาวันนี้ล้มเหลว เช่นนั้น ตระกูลมู่ก็จะมีเคราะห์ครั้งใหญ่”
ส้าวส้วยพึ่งจะพูดจบไป โทรศัพท์ของมู่เสี่ยวไป๋ ก็ดังขึ้นมา
“พี่ใหญ่?” มู่เสี่ยวไป๋ขมวดคิ้ว แต่ก็ยังกดที่ปุ่มรับสาย
“พี่ใหญ่ จู่ ๆ ทำไมพี่ถึงโทรหาผมล่ะ?”
มู่เสี่ยวไป๋เอ่ยถามอีกด้านหนึ่งของสาย แต่อีกด้านหนึ่งของสาย กลับมีเสียงหัวเราะอย่างพออกพอใจดังกลับมา: “มู่เสี่ยวไป๋ใช่ไหม? ความเป็นตายของพี่ใหญ่แก จากนี้ไปขึ้นอยู่กับแก”
“หมายความว่ายังไง?”
“ไม่มีอะไร แกถามคนที่อยู่ตรงข้ามแกสิ” อีกฝ่ายพูดจบ ก็วางสายไปทันที
และหลังจากนั้นไม่นาน แม่ของมู่เสี่ยวไป๋ ก็ได้โทรเข้ามาเหมือนกัน มู่เสี่ยวไป๋กดรับทันที อีกฝั่งก็มีเสียงของชายคนหนึ่งดังออกมา
“มู่เสี่ยวไป๋ แม่ของแกถูกฉันควบคุมเอาไว้แล้ว ถ้าไม่อยากให้หล่อนตาย ก็ทำตามคำสั่งของคนที่อยู่ ตรงข้ามแกอย่างเชื่อฟังซะ”
“แกน่าจะรู้ว่าฉันหมายถึงใครใช่ไหม?
“บอกฉันมา เขาเป็นใคร?” ถึงแม้ภายในใจของมู่เสี่ยวไป๋ ได้มีคำตอบอยู่แล้ว แต่เขายังคงไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
แค่เพียงคนรับใช้คนหนึ่ง จะมีพลังอำนาจมากมายขนาดนี้ได้ยังไงกัน?
“ชื่อของเขาคือ ส้าวส้วย
เมื่ออีกฝั่งพูดจบ ก็วางสายไปทันที โดยที่ไม่ให้โอกาสมู่เสี่ยวไป๋ต่อรองใด ๆ เลย
มู่เสี่ยวไป๋มองส้าวส้วยอย่างหวาดกลัวแวบหนึ่ง ในขณะที่กำลังจะตั้งคำถามกับส้าวส้วย โทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ คนที่โทรมาคือพ่อของเขา
“ไอ้เด็กบ้า แกได้ล่วงเกินใครกันแน่? ฉันหลบอยู่ต่างถิ่น ยังถูกคนจับตัวได้”
“ฉันจะบอกแกให้นะ รีบขอโทษเขาซะ ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ ฉันคงต้องตายแน่เลย”
เมื่อพ่อของมู่เสี่ยวไป๋พูดจบ โทรศัพท์ก็ถูกตัดสายไป
บนใบหน้าของมูเสี่ยวไป๋ มีเหงื่อไหลออกมาอย่างเย็นยะเยือก
จากนั้นไม่นาน คุณปู่ของมู่เสี่ยวไป๋ มู่เจิ้งถังก็ได้โทรเข้ามาเหมือนกัน
“คุณปู่ครับ” หน้าอกของมู่เสี่ยวไป๋เริ่มกระเพื่อมขึ้นมา ราวกับเขาได้กำลังฝันร้าย ตกใจกลัวจนวิญญาณแทบออกจากร่าง
“หลานชาย ยอมเถอะนะ ยอมก้มหัว ให้กับคนที่อยู่ตรงข้าม เขาไม่ใช่คนที่พวกเราสามารถล่วงเกินได้” น้ำเสียงทางฝั่งมู่เจิ้งถัง ค่อนข้างไม่มีแรง
และหลังจากที่วางสายจากมู่เจิ้งถังไป ก็ได้มีสายโทรเข้ามาอย่างต่อเนื่องอีกมากมาย
โทรศัพท์จากเหล่าลุง ป้า น้าอาของมู่เสี่ยวไป๋โทรเข้ามา ทั้งยังมีลูกพี่ ลูกน้อง
เพียงแต่โทรศัพท์เหล่านี้ มู่เสี่ยวไป๋ไม่รับแม้แต่สายเดียว
เพราะเขากลัว
ทันใดนั้นมู่เสี่ยวไป๋ก็รู้สึกราวกับว่าพลังงานทั่วร่างกายได้ของเขาได้ถูกดูดไปหมดแล้ว เขานั่งหมดแรงอยู่บนเก้าอี้ และไม่อาจลุกขึ้นได้
เขาอยากจะดื่มกาแฟสักแก้วเพื่อข่มความหวาดกลัว แต่กลับรู้สึกว่ามือของตัวเอง ได้สั่นอยู่ไม่หยุด
กาแฟหกเลอะเทอะไปทั่วโต๊ะ ในตอนที่มาถึงริมฝีปากของตัวเอง กาแฟก็ได้หกไปหมดแล้ว
“มู่เสี่ยวไป๋ เวลาห้านาทีได้ผ่านไปแล้ว นายจะยอมจำนนไหม?”
ส้าวส้วยเดินมาข้างหน้าสองสามก้าว เขามองเสี่ยวไป๋อย่างสงบ และยิ้มพลางเอ่ยถาม
มู่เสี่ยวไป๋กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขามองส้าวส้วยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดผวา
“คุกเข่าลง!”
ส้าวส้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก เขาตวาดออกมา
ร่างกายของมู่เสี่ยวไป๋สั่นสะท้าน การสั่นสะท้านในครั้งนี้ มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ
ส้าวส้วยเป็นเพียงแค่คนรับใช้ มู่เสี่ยวไป๋ทำใจไม่ได้ที่จะลงไปคุกเข่าให้กับคนรับใช้คนหนึ่ง
ถ้าหากเป็นหลี่ฝาง มู่เสี่ยวไป๋อาจจะยังพอรับได้ แต่ส้าวส้วย เป็นเพียงแค่ผู้ติดตามของมู่เสี่ยวไป๋
คุกเข่าให้กับผู้ติดตามคนหนึ่ง อีกทั้งอยู่ต่อหน้าของลูกน้องที่ติดตามตัวเองมานานหลายปี นี่มันทรมาน กว่าการฆ่ามู่เสี่ยวไป๋ซะอีก
“คุกเข่าลง!”
ส้าวส้วยกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่น้ำเสียงในครั้งนี้ เยือกเย็นมากขึ้นกว่าเดิม
แต่มู่เสี่ยวไป๋ก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
เขาทำไม่ได้ เขาทำไม่ได้ที่จะคุกเข่าให้กับคนรับใช้คนหนึ่ง
เขายอมตาย ก็ไม่คิดที่จะคุกเข่าให้กับส้าวส้วย
ส้าวส้วยกล่าวอย่างเฉยเมย: “ทำไมเหรอ นายอยากจะให้คนตระกูลมู่ทั้งหมด ตายไปพร้อมกันกับแกงั้นเหรอ?”
แค่ประโยคเดียว ทำให้มู่เสี่ยวไป๋ต้องตกอยู่ในความสิ้นหวังอีกครั้ง
มู่เสี่ยวไป๋มีความรู้สึกราวกับว่าตอนนี้ตัวเองได้ตกอยู่ในนรก เขารู้สึกเย็นยะเยือกไปหมดทั้งตัว
ช่างน่ากลัวจริง ๆ เลย
เวลาเพียงห้านาที ตระกูลของตัวเองทั้งหมด ล้วนได้ถูกควบคุมเอาไว้
ส้าวส้วยไม่ได้เพียงเจตนาพูดให้ตกใจ บางทีแค่คำพูดหนึ่งประโยคของส้าวส้วย อาจจะทำให้คนตระกูลมู่ ตายไปทั้งหมดก็ได้
มู่เสี่ยวไป๋หวาดกลัวอย่างสุดขีด ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ ตระกูลมู่ของตัวเอง ก็ทำได้แค่เพียงรอถูกฆ่าล้างตระกูลแล้ว
ณ วินาทีนี้ มู่เสี่ยวไป๋ถึงรู้ว่า ส้าวส้วยไม่ได้คุยโวโอ้อวด
บางที ตระกูลหลี่อาจมีความสามารถแบบนั้นจริง ๆ ขยี้ตระกูลมู่ให้ตาย ราบกับขยี้มดตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง
เขามองดูส้าวส้วย ราวกับกำลังมองปีศาจตัวหนึ่ง ที่ตัวเองกำลังเผชิญหน้า แท้จริงแล้วเป็นอะไรกันแน่
ตระกูลหลี่ น่ากลัวขนาดนี้เชียวหรือ?
แค่ช่วงเวลาสั่น ๆ ไม่กี่วัน ตระกูลจูเก่อถูกทำลายล้าง
และจูเก่อเหย่ก็ได้นำยอดฝีมือมากมายขนาดนั้นมา กลับได้หายไปจากโลกมนุษย์ภายในชั่วพริบตา ทั้งหมดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ตายแล้วงั้นเหรอ?”
ยอดฝีมือมากมายขนาดนั้น ล้วนถูกฆ่าตายไปหมดแล้ว?
ตระกูลหลี่ทำได้ยังไงกัน?
มู่เสี่ยวไป๋ยิ่งคิด ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“ดูเหมือนว่า นายไม่ได้สนใจชีวิตของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย” ส้าวส้วยกล่าวอย่างเรียบ ๆ จากนั้นก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมา
ชีวิตของพวกเขา?
นั่นเป็นญาติใกล้ชิดของมู่เสี่ยวไป๋เชียวนะ
เป็นไปได้ยังไงที่มู่เสี่ยวไป๋จะไม่ใส่ใจ?
เพียงแต่ว่า จะให้มู่เสี่ยวไป๋คุกเข่าให้กับคนรับใช้คนหนึ่ง มู่เสี่ยวไป๋ทำไม่ได้จริง ๆ นี่นา
“วันนี้เป็นการเจรจา ฉันแพ้แล้ว พวกแกจะทำยังไง ก็ทำเถอะ แม่แบบฉันไม่เอาแล้ว แม้แต่แม่แบบชิ้นนี้ ฉันก็จะคืนให้พวก นอกจากนี้ จะให้ฉันขอโทษพวกแกก็ได้ ทำยังอะไรก็ได้”
มู่เสี่ยวไป๋กล่าว: “หรือจะให้ชดใช้ด้วยเงินก็ได้
ส้าวส้วยหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เขาเพียงแค่มองมู่เสี่ยวไป๋อย่างเงียบ ๆ แล้วเอ่ยถาม: “นายคิดว่า ฉันกำลังต่อรองกับนายอยู่?”
มู่เสี่ยวไป๋ร่างกายสั่นเทา เขารู้ว่าถ้าตัวเองไม่คุกเข่า เกรงว่า ตระกูลมู่ทั้งหมด คงต้องจบเห่อย่างแน่นอน
ไม่ใช่จบเห่ แต่เป็นถูกฆ่าทั้งหมด
ในดวงตาของมู่เสี่ยวไป๋ ได้ปรากฏภาพลวงตาขึ้นมา ครอบครัวของตัวเอง ได้ปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าของตัวเอง
“ยังไม่ยอมคุกเข่าใช่ไหม?”
“มู่เสี่ยวไป๋ ศักดิ์ศรีของนาย มันมีค่ามากแค่ไหนกันแน่”
ส้าวส้วยจ้องมองมู่เสี่ยวไป๋ แล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมา
“ก็ได้ รักษาศักดิ์ศรีที่น่าขันของนายไว้เถอะ” ส้าวส้วยกล่าว พลางโทรโทรศัพท์ออกไป
เสียงหัวเข่ากระแทกพื้นดังขึ้น โทรศัพท์พึ่งจะมีคนรับสาย มู่เสี่ยวไป๋ก็ได้คุกเข่าลงต่อหน้าส้าวส้วยแล้ว
เสียงคุกเข่าลงกับพื้นดังขึ้น มู่เสี่ยวไป๋ก็ได้ยอมจำนนอย่างบริบูรณ์
มู่เสี่ยวไป๋ก้มหน้า กล่าว: “ปล่อยพวกเขาไป อย่าทำร้ายพวกเขา ฉันขอร้องล่ะ” มู่เสี่ยวไป๋กล่าวด้วยน้ำเสี่ยที่สิ้นหวัง และมีแววสะอึกสะอื้นปะปนอยู่
นั่นคือครอบครัวของเขานะ และคำพูดเพียงประโยคเดียวของส้าวส้วยในตอนนี้ ก็สามารถทำให้พวกเขาทั้งหมดตายได้
ณ วินาทีนี้ มู่เสี่ยวไป๋ทำได้เพียงเลือกที่จะยอมจำนน เลือกยอมจำนน
อย่าว่าแต่คุกเข่าเลย ต่อให้ให้มู่เสี่ยวป๋ายใช้ปืนยังตัวเอง จบชีวิตของตัวเอง มู่เสี่ยวไป๋ก็จะไม่ปฏิเสธสักคำ
ชางสู่ที่อยู่ด้านข้าง หลังจากที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ ก็ได้ปรากฏอาการช็อกขึ้นมาบนใบหน้าของเขา
เมื่อตอนกลางวัน หวางเห้าได้ตักเตือนเขาเป็นพิเศษ ว่าอย่าได้ยั่วยุส้าวส้วยเป็นอันขาด
และในตอนนี้ ชางสู่ก็ได้ประสบพบเห็นแล้ว ส้าวส้วยคนนี้ เป็นปีศาจที่กลืนคนไม่คลายกระดูกชัด ๆ
ส้าวส้วยเก็บโทรศัพท์ลง แล้วเอ่ยถาม: “ตอนนี้ นายยังจะฆ่าฉันไหม?”
“นายพูดไม่ผิด ในสังคมแห่งนี้ ต่อให้กังฟูสูงส่ง ก็หยุดลูกกระสุนไม่ได้ ลูกน้องของนายต่างก็มีปืนอยู่ในมือทั่งนั้น ฉันหนีไปไม่ได้จริง ๆ แล้วก็หลบไม่ได้ด้วย มู่เสี่ยวไป๋ เป็นความจริงที่นายสามารถฆ่าฉันได้ เพียงแต่ว่า นายกล้าไหม?”
ส้าวส้วยมองมู่เสี่ยวไป๋ แล้วเอ่ยถามขึ้นมา
แน่นอนว่ามู่เสี่ยวไป๋ไม่กล้า ปลิดชีวิตส้าวส้วย เช่นนั้นคนในครอบครัวของตัวเอง ล้วนจะต้องตายตามไปด้วย
มู่เสี่ยวไป๋คุกเข่าอยู่ด้านหน้าส้าวส้วย เขาไม่เงยหน้าด้วยซ้ำ แล้วส่ายหัว
ส้าวส้วยหัวเราะเหอะ ๆ กล่าว: “ตอนนี้นายก็เห็นแล้วล่ะสิ? ความสามารถของตระกูลหลี่ของเรา แข็งแกร่งกว่าที่นายคิด อีกมากมายหลายเท่า”
“เดิมที พวกเราไม่ได้อยากจะเด็ดขาดแบบนี้ เพียงแต่ว่า มีคนคิดจะเอาชีวิตเจ้านายของพวกเราอยู่บ่อยครั้ง”
ส้าวส้วยกล่าวอย่างเรียบ ๆ
วิธีนี้ นับว่าเป็นการตักเตือนให้อีกฝ่ายรู้สึกเกรงกลัว
เรื่องที่มู่เสี่ยวไปคุกเข่าประนีประนอม น่าจะได้ยินไปถึงหูของซือถูเฟย มู่หรงฉางเฟิง หรือแม้แต่ลูกพี่หลิน
เพราะว่าบนโลกใบนี้ ความลับไม่มีอยู่จริง
ถึงยังไงที่นี่ก็มีคนนั่งอยู่มากมายขนาดนี้ ใครล่ะจะกล้ารับประกัน ว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ร้านกาแฟในวันนี้ จะไม่ถูกคนนอกรับรู้?”
ต่อในลูกน้องของมู่เสี่ยวไป๋ไม่เอาไปพูด ส้าวส้วย ก็จะต้องนำเรื่องนี้ แพร่งพรายออกไปอยู่ดี
“แก…..แกได้รับรู้ทุกความเคลื่อนไหมของคนตระกูลหลี่ ตั้งแต่แรกแล้ว”
เป็นเวลานาน ส้าวส้วยถึงได้เอ่ยขึ้นมา: “พวกแกคงวางแผนไว้นานแล้วสินะ ตระกูลมู่ของพวกเรา ได้เป็นลูกไก่ในกำมือของพวกแกปตั้งนานแล้วใช่ไหม?”
ส้าวส้วยพยักหน้า กล่าว: “ดังนั้น ฉันถึงได้บอกว่า นายไม่มีคุณสมบัติพอที่จะมาเป็นพันธมิตรกับพวกเราไงล่ะ”
“เพราะว่าตระกูลมู่ของพวกแกนั้น อ่อนแอเกินไป”
“คนที่รอบกัดตระกูลมู่ของพวกนาย ไม่ใช่คนอื่นไกล แต่เป็นคนข้างกายของพวกนาย ตระกูลมู่ของพวกนายแม้แต่มีไส้ศึกอยู่ข้าง ๆ ยังมีรู้สึกตัว ตระกูลแบบนี้ จะไปต่อสู้กับตนอื่นได้ยังไง?” ส้าวส้วยยิ้มอย่างเย้ยหยัน
“ซือถูเฟย มู่หรงฉางเฟิง พวกมัน ฉลาดกว่าพวกแกตั้งเยอะ” ส้าวส้วยกล่าว
มู่เสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไร เขาแพ้แล้ว และยอมรับมัน
วินาทีนี้ เขาไม่มีแรงที่จะต่อสู้กับหลี่ฝางแล้ว
“เฮ้อ น่าเสียดาย เดิมทีนายเป็นหินทดสอบเนื้อทองคำ ที่ดีมากก้อนหนึ่งที่อยู่ข้างกายของเจ้านาย แต่ว่า ได้ถูกพวกเราทำลายไปแล้ว” ส้าวส้วยทอดถอนใจ พลางกล่าว
หลี่ฝางเดินเข้ามา เขามองมู่เสี่ยวไป ในสายตาไม่มีความเห็นอกเห็นใจ และไม่มีความอาฆาตแค้น
“มู่เสี่ยวไป๋” หลี่ฝางจ้องมองมู่เสี่ยวไป แล้วร้องเรียก
มู่เสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้นมองหลี่ฝาง
หลี่ฝางกล่าวอย่างเรียบ ๆ : “ไปจากเมืองเอกเถอะ”
“ถือโอกาส ที่พวกแกยังสามารถมีชีวิตหนีไปได้” หลี่ฝางกล่าว
มู๋เสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไร สีหน้าค่อนข้างจะซับซ้อน จะให้จากไปแบบนี้ เขาจะต้องไม่ยอมแน่ ๆ ถึงยังไงตระกูลมู่ก็อยู่ที่เมืองเอกมานานขนาดนี้ ธุรกิจมากมายขนาดนั้น ต่างก็ได้ตั้งรากฐานที่เมืองเอกไปตั้งนานแล้ว ถ้าจากไปแบบนี้ งั้นทุกสิ่งทุกอย่าง จะไม่สูญสิ้นไปหมดหรอกเหรอ?
หมู่เสี่ยวไป๋ขมวดคิ้ว เขาอยากจะบอกว่าไม่ แต่ว่า เขาก็ไม่กล้า
ชีวิตของคนในครอบครัวทั้งหมด ต่างก็อยู่ในเงื้อมมือของส้าวส้วยนี่นา
“ถ้าไม่อยากไป งั้นก็แข็งแกร่งขึ้นมา”
หลี่ฝางกล่าวต่อ: “ไม่ว่าจะเป็นสหาย หรือศัตรูกับตระกูลหลี่ของพวกเรา ล้วนจะต้องมีฝีมือบ้างถึงจะได้”
หลังจากที่พูดจบ หลี่ฝางก็พูดกับมู่เสี่ยวไป๋: “เอาล่ะ การเจรจาของวันนี้ ได้สิ้นสุดลงแล้ว แกไปเถอะ”
มู่เสี่ยวไป๋ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วออกไปจากร้านกาแฟทันที เขาเดินตรงไปขึ้นรถคันหนึ่ง จากนั้นก็ขับออกไปเพียงลำพัง
ในตอนนี้ส้าวส้วยมองไปที่ชางสู่: “แกจะแก้แค้นให้พรรคพวกของแกไหม?