NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง - บทที่642 มือแยกเอ็นแบ่งกระดูก
การทำให้ตระกูลหลี่ทำผิดต่อลูกค้าของชั้นใต้ดิน เป็นแผนการที่ซือถูเฟยกับมู่หรงฉางเฟิงทุ่มเทคิดค้นขึ้น…
ซึ่งตอนนี้ ปลาก็ติดแหแล้ว เป็นเวลาที่เหมาะจะเก็บแหขึ้นมา แต่เวลานี้หนามชิ้นใหญ่กำลังทำให้ซือถูเฟยล้มเลิก ซือถูเฟยจะยอมรับปากได้ยังไง?
แต่ในขณะเดียวกันซือถูเฟยก็กลัวจนตัวสั่น ดีไม่ดีโก่เอ๋อดันมีลูกกับหลี่ฝางขึ้นมาจริงๆ งั้นเรื่องหมั้นระหว่างเขากับเธอก็จะถูกล้มเลิกไปอย่างเป็นทางการงั้นสิ?
“เป็นไง ตกลงตามนี้ไหม?” หลี่ฝางเห็นซือถูเฟยลังเลขึ้นมา ก็ยกยิ้มมุมปาก
ไม่คิดเลยว่าแค่พูดล้อเล่นเฉยๆ แต่ดันได้ผลซะอย่างนั้น
ถ้าซือถูเฟยบ้าจี้รับปากขึ้นมาจริงๆ งานนี้ไม่ต้องถึงมือลุงเฉียน ก็สามารถช่วยฉินหยีหรันได้
มู่หรงฉางเฟิงเหล่มองซือถูเฟยเล็กน้อย ก่อนจะพูดกำชับ “อย่าไปเชื่อคำพูดไร้สาระของไอ้หมอนี่”
“อีกอย่าง อย่าลืมสิซือถูเฟย นี่เป็นแผนการที่ตัดสินทั้งตระกูล อย่าให้เรื่องรักๆใคร่ๆของนายกับผู้หญิงคนเดียวมาทำให้ทุกอย่างพังเละไม่เป็นท่า” มู่หรงฉางเฟิงเริ่มหวั่นใจ
ซือถูเฟยถอนหายใจ แล้วเงียบไปสักพัก
“ถ้าเทียบกับตระกูลอื่นๆ แน่นอนว่าตระกูลซือถูอ่อนด้อยอยู่หลายชั้นเลยสินะ? แต่ถ้านายปีนขึ้นไปเด็ดดอกฟ้าอย่างโก่เอ๋อได้สำเร็จ ฉันว่าสถานะของตระกูลซือถูก็คงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแน่”
หลี่ฝางหัวเราะหึ “นายว่าจริงไหมล่ะ ซือถูเฟย?”
ซือถูเฟยเหล่มองหลี่ฝางนิดหน่อย แน่นอนว่าตัวเขารู้ข้อนี้ดีที่สุด
เพียงแต่…
ซือถูเฟยมองหน้าหลี่ฝางอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “นายมั่นใจหรอว่าจะทำห้โก่เอ๋อแต่งกับฉันได้?”
“ที่ฉันต้องการไม่ใช่แค่ให้นายออกห่างจากโก่เอ๋อ แต่ฉันต้องการให้โก่เอ๋อกลับมารักฉัน นายคิดว่าจะทำแบบนั้นได้ไหมล่ะ ถ้าทำได้ ฉันก็จะรับปากว่าจะปล่อยฉินหยีหรัน” ซือถูเฟยพูด
“ซือถูเฟย ทำไมนาย…”
มู่หรงฉางเฟิงพูดอย่างโมโห
“มู่หรงฉางเฟิง ฉินหยีหรันเป็นถึงคุณหนูแห่งตระกูลฉิน เธอเป็นคนมีระดับมีชนชั้น นายคิดว่าส่งตัวเธอไปให้พวกลูกค้าของชั้นใต้ดินเชยชมมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำมาตั้งแต่ต้นแล้ว นายอย่าลืมสิว่าเธอไม่ใช่สาวพรหมจรรย์อีกต่อไปแล้ว และลูกค้าพวกนั้นเป็นยังไง นายก็น่าจะรู้ดีแก่ใจจริงไหม?”
ซือถูเฟยตัดบทมู่หรงฉางเฟยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ไม่ผิด ลูกค้าของชั้นใต้ดินมีรสนิยมพิลึกพิลั่น นอกจากจะต้องหน้าตาสวย เนื้อตัวห้ามมีรอยแผลเป็นแล้ว ยังมีเงื่อนไขอีกอย่างคือ ต้องเป็นหญิงสาวพรหมจรรย์
“อย่าใช้วิธีมักง่ายมากลบเกลื่อนความด่างพร้อยที่ปิดยังไงก็ไม่มิด ถ้าเกิดโดนจับได้ขึ้นมา…” ซือถูเฟยเอ่ยเตือนมู่หรงฉางเฟิง
“โดนจับได้แล้วไง? จะบอกว่าลีลาของฉินหยีหรันเอาพวกนั้นไม่อยู่?”
มู่หรงฉางเฟิงพูด “ซือถูเฟย อย่าให้หลี่ฝางมันปั่นหัวนายได้”
“ซือถูเฟย ถ้านายช่วยฉินหยีหรัน ฉันรับปากว่าจะทำทุกวิถีทางให้โก่เอ๋อกลับไปหานาย” หลี่ฝางพูด
“ได้ยินหรือยังซือถูเฟย? ไอ้หมอนี่มันรับประกันไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาก็แค่ตั้งใจจะทำให้นายไขว้เขว”
มู่หรงฉางเฟิงพูดจา ซือถูเฟยก็ถอนหายใจอีก “ช่างเถอะหลี่ฝาง นายบังคับโก่เอ๋อไม่ได้หรอก”
ตอนนี้เอง แรงสั่นไหวที่กระเทือนมาจากด้านนอก ก็ใกล้เข้ามาทุกที
หลี่ฝางออกไปดู เป็นลุงเฉียนพาคนเข้ามาโจมตี
โดยที่มีแม่มดเป็นคนเดินนำ
“โหจื่อไม่ได้มาด้วยหรอกหรอ?” หลี่ฝางมองหน้าแม่มดแล้วเอ่ยถาม
แม่มดส่ายหน้า “ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่”
“โทรก็ไม่ติด สงสัยจะหลับอยู่มั้ง?” แม่มดหัวเราะ “แต่ไม่มีเขาสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก”
หลี่ฝางเหลือบไปมองลุงเฉียน
กล้ามเป็นมัดๆของลุงเฉียนโผล่พ้นเสื้อผ้าออกมาอย่างชัดเจน ดูยังไงก็ไม่เหมือนชายแก่อายุเยอะเลยสักนิด
ยิ่งไปกว่านั้น ลุงเฉียนบึกบึนยิ่งกว่าเด็กหนุ่มบางคนซะอีก
“ไม่ได้ออกแรงซะนาน พอได้มาทำอะไรแบบนี้จู่ๆก็รู้สึกไม่ชินซะงั้น” ลุงเฉียนมองหลี่ฝางแล้วหัวเราะ “เสี่ยวฝาง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ไอ้เด็กเวรสองคนนั้นไม่ได้ทำอะไรเราใช่ไหม?” ลุงเฉียนถามหลี่ฝาง
หลี่ฝางพยักหน้า “ลุงหมายถึงมู่หรงฉางเฟิงกับซือถูเฟยหรอครับ?”
“ใช่ ลุงรู้มาว่าพวกมันก็อยู่ที่นี่” ลุงเฉียนตอบ
หลี่ฝางพยักหน้า “พวกมันไม่กล้าหรอกครับ”
“ดูท่าทางสิ่งที่ทำมาทั้งหมดเมื่อคืน คงไม่เสียเปล่า” ลุงเฉียนพยักหน้าพอใจ “อย่างน้อย ก็ไม่มีใครกล้าแตะนายอีก”
“พวกมันอยู่ข้างในนี้ใช่ไหม?”
ลุงเฉียนชี้ไปยังในห้องแล้วถาม
เมื่อหลี่ฝางพยักหน้า ลุงเฉียนก็เดินเข้าไป แต่แม่มดกลับยื่นมือมาห้ามลุงเฉียน “ลุงเฉียนเข้าไปคงไม่เหมาะ ไม่อย่างนั้นให้ฉันเข้าไปเองดีกว่า”
ลุงเฉียนคิดตามแล้วก็พยักหน้า “ก็ได้ ไม่ว่ายังไงฉันก็เป็นคนของตระกูลเฉียน ถึงจะออกจากตระกูลมานานหลายปี แต่ถ้าขืนลงมือทำอะไรคุณชายในสี่ตระกูลใหญ่ พวกเขาก็ต้องมาแก้แค้นตระกูลเฉียนอยู่ดี เธอไปเถอะ”
“ในเมื่อพวกเขาจะไม่ได้ทำร้ายเจ้าฝาง เธอก็ไม่ต้องเล่นงานพวกเขาจนเกินพอดี เอาแค่ขู่จนยอมบอกทางออกก็พอ” ลุงเฉียนกำชับแม่มด
ทางเข้าของชั้นใต้ดินถูกเปลี่ยนนับตั้งแต่ตอนที่หลอซาบุกเข้าไปครั้งนั้น
แม่มดเดินดุ่มๆเข้าไปในห้อง แล้วมองซือถูเฟยกับมู่หรงฉางเฟิงด้วยสายตาเย็นชา
“เฮ้ ซือถูเฟย ถิ่นของนายมีแหม่มคนสวยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” สายตากะลิ้มกะเหลี่ยของมู่หรงฉางเฟิงจับจ้องไปที่แม่มด
มู่หรงฉางเฟิงลุกขึ้นยืน แล้วจู่โจมเข้าไปหาแม่มด
“ฉันสวยหรอ?” แม่มดหัวเราะ แล้วเดินขึ้นหน้าไปหามู่หรงฉางเฟิงเช่นเดียวกัน
“แน่นอนอยู่แล้ว เคยมีคนบอกว่าคุณไม่สวยหรอครับ? ถ้างั้นไอ้บ้านั่นต้องตาบอดแน่ๆ” มู่หรงฉางเฟิงหยอดไปอีกคำ
แต่ใครจะคิด แค่คำพูดหวานหยดแค่คำเดียวของมู่หรงฉางเฟิง เมื่อเข้ารูหูของแม่มดกู่หย่งฉี สีหน้าของเธอก็ตึงเปรี๊ยะ
ใบหน้าของแม่มดเปลี่ยนเป็นนิ่งสงัด ส่วนมู่หรงฉางเฟิงก็เริ่มรู้สึกตัวว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่จำพวกสาวนั่งดริ๊งก์แม้แต่น้อย แต่เป็นบุคคลที่น่าอันตราย
ทันใดนั้นซือถูเฟยก็พูดขึ้น “ฉันไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ ระวังหน่อย”
ถึงซือถูเฟยจะออกปากเตือนไปแบบนั้นแล้ว แต่ในความเป็นจริงซือถูเฟยเองก็ไม่ได้ยี่หระอะไร แม่มดคนนี้ก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึง คิดจะทำอะไรมู่หรงฉางเฟิงได้หรือไง?
ฝีมือของมู่หรงฉางเฟิงระดับไหน ซือถูเฟยรู้ดีกว่าใคร
ใครจะคิด วินาทีนั้นแม่มดยื่นสองมือไปจับบ่าของมู่หรงฉางเฟิง มู่หรงฉางเฟิงขมวดคิ้ว “ทำอะไรคนสวย จะบีบไหล่พี่หรือไง?”
มู่หรงฉางเฟิงพูดจบ ก็เตรียมจะอาศัยจังหวะนี้ลอบโจมตี
เขารู้สึกได้ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ธรรมดา
ตัวเขาจะยอมเปิดช่องให้ผู้หญิงคนนี้เล่นงานไม่ได้
“ใช่สิคะ ไหล่ของพี่ต้องโดนนวดสักหน่อย”
กร๊อบ ทันทีที่แม่มดพูดจบ นิ้วทั้งสิบก็งอขข้อลงราวกับดอกบัว นิ้วโป้งสองข้างจิกลงใต้กระดูกบนไหล่แล้วล็อกจนมั่น ก่อนจะช้อนไหล่สองข้างขึ้นจนสุดแรง
ทันใดนั้น ใบหน้าของมู่หรงฉางเฟิงก็มีเม็ดเหงื่อไหลติ๋งๆ
“มือแยกเอ็นแบ่งกระดูก?”
วินาทีนั้น สีหน้าของมู่หรงฉางเฟิงก็เผยความหวาดกลัว เขามองหญิงสาวตรงหน้าราวกับเห็นปีศาจก็ไม่ปาน
“ถึงขนาดรู้จักวิชามือแยกเอ็นกระดูก แสดงว่าพี่ก็มีฝีมืออยู่เหมือนกันนี่นา”
แม่มดฉีกยิ้มเย็นยะเยือก มือทั้งสองเปลี่ยนตำแหน่งไปบีบที่ลำคอ
แม่มดเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว เร็วมากจนมู่หรงฉางเฟิงตั้งตัวรับมือไม่ทัน
“เธอเป็นใครกันแน่?”
ซือถูเฟยเด้งตัวลุกขึ้นมาอย่างเร็ว เขามองหน้าแม่มด แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
มู่หรงฉางเฟิงเองก็อาศัยจังหวะนี้พูดขึ้นบ้าง “ดูเหมือนเราจะโดนตัวเทพเล่นงานเข้าให้แล้วล่ะ”
มู่หรงฉางเฟิงฝึกวิทยายุทธ์มาหลายปี เคยเจอคนที่มีฝีมือระดับสูงๆเองก็ไม่น้อย ยังเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับยุทธภพจากปากพวกเขามามากมาย
หนึ่งในนั้นก็คือมือแยกเอ็นแบ่งกระดูก ซึ่งเป็นวิชาขั้นเทพ
ได้ยินมาว่าคนที่มีวิชานี้ได้ สามารถจับจุดสำคัญของร่างกายแล้วหักกระดูกคนด้วยมือเปล่าได้อย่างง่ายได้
“ไอ้หนู นายไม่มีสิทธิไปว่าเขาตาบอดนะ”
แม่มดพูดด้วยน้ำเสียงที่พร้อมฆ่าคนให้ตาย
บนโลกนี้ มีผู้ชายคนนึงที่พูดว่าแม่มดกู่หย่งฉีหน้าตาขี้เหร่ และผู้ชายคนนั้น ก็คือส้าวส้วย
ซึ่งคำพูดเมื่อกี้ของมู่หรงฉางเฟิง ก็กำลังกล่าวหาว่าส้าวส้วยตาบอด
คำพูดคำนี้ ใครก็ไม่มีสิทธิพูดทั้งนั้น นอกจากแม่มด
ถ้าไม่ใช่เพราะสถานะของมู่หรงฉางเฟิงไม่ธรรมดา แม่มดคงได้จิกลูกกะตาทั้งสองข้างของเขาออกมาเป็นการลงโทษ
แม่มดพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บอกมา ทางเข้าของชั้นใต้ดินอยู่ตรงไหน?”
มู่หรงฉางเฟิงเลียริมฝีปาก ราวกับกำลังลังเล แต่แม่มดพูดต่อ “ถ้านายรู้ว่าฉันกำลังใช้วิชามือแยกเอ็นแบ่งกระดูกอยู่ ก็น่าจะรู้นะว่าถ้าไม่ทำตามที่ฉันบอกจะมีจุดจบยังไง?”
“เมื่อกี้ไหล่ของนายก็แค่กระดูกหัก แต่ถ้าเป็นกระดูกที่คอหักล่ะก็…”